ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลงไปทดสอบ 100เหรียญ/บาร์เรล
กลุ่มน้ำมันและก๊าซ : เป็นลบ/เป็นบวก หลายปัจจัยลบกดดันราคาน้ำมันไปทดสอบระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรล จากการที่ราคาน้ำมันดิบ (Nymex) ปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องถึง 38 เหรียญ/บาร์เรลหรือ 25% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จากจุดสูงสุดที่ 147 เหรียญ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 109.35 เหรียญ/บาร์เรลในปัจจุบัน และล่าสุดราคาน้ำมันได้ปรับลดลงแรงถึงเกือบ 10 เหรียญ/บาร์เรลในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากการคลายความกังวลว่าเฮอริเคน Gustav จะทำลายแหล่งผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมันประมาณ 25% ของกำลังการผลิตของสหรัฐฯ ทั้งหมด แต่ปรากฏว่าเฮอริเคน Gustav ได้ขึ้นฝั่งและลดความรุนแรงลง โดยไม่มีผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน คาดว่าโรงกลั่นส่วนใหญ่ที่ปิดไปก่อนหน้านี้จะกลับมาผลิตได้ตามปกติภายในวันจันทร์นี้ ดังนั้นราคาน้ำมันจึงอ่อนตัวลงมามากเราเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลดลงไปต่อเนื่องทดสอบที่ระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรล ในไม่ช้าจากปัจจัยหลักๆ ดังต่อไปนี้ 1. ความต้องการใช้น้ำมันที่ชะลอตัวลง ตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะเห็นได้ว่าการใช้น้ำมันเบนซินใน 7 เดือนแรกของประเทศไทยลดลง 5.3% และดีเซลลดลง 4% yoy ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันของโลก ก็เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่มีความต้องการอยู่ที่ 86.8 ล้านบาร์เรล/วัน ลงมาเหลือ 85.8 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือนกรกฎาคม และคาดว่าจะลดลงไปอีกในเดือนสิงหาคม จากราคาน้ำมันที่สูงมากและความต้องการจากจีนชะลอตัวลงไปหลังจบกีฬาโอลิมปิก 2. ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น (เมื่อเทียบกับเงินยูโร) 9.4% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาจากระดับ 1.59 ยูโร/ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1.44 ยูโร/ดอลลาร์ ในปัจจุบัน ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรมีการขายสินค้าโภคภัณฑ์ทุกตัว โดยเฉพาะน้ำมันและนำเงินกลับไปสู่ดอลลาร์ (เป็นกลยุทธ์ที่กลับกันกับก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนขายดอลลาร์เข้าลงทุนในน้ำมัน) ซึ่งการที่เศรษฐกิจของยุโรปยังคงชะลอตัวและมีแนวโน้มที่ ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ยิ่งเป็นข้อสนับสนุนให้ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงสั้น ซึ่งจะกดดันราคาน้ำมันให้ปรับตัวลดลงต่อ 3. การชะลอตัวของการเติบโตของประเทศจีน จนกระทั่งรัฐบาลจีนได้ออกมาประกาศว่าจะอัดฉีดเงินอีกประมาณ 58 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้าไปช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ที่มีแนวโน้มว่าการเติบโตจะลดลงไปพอสมควรหลังจบกีฬาโอลิมปิก โดยเราเชื่อว่าการที่จีนออกมาบอกว่าไม่กังวลเงินเฟ้อ ก็เนื่องจากจีนทราบดีว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่ง (ค่อนข้างมาก) เป็นผลมาจากความต้องการของจีน ทำให้ราคาโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นมาก แต่ปัจจุบันจีนไม่มีการไล่ซื้อโภคภัณฑ์อีกต่อไป (เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเร่งซื้อเพื่อจัดกีฬาโอลิมปิก) ทำให้จีนไม่กังวลเงินเฟ้อมากนัก ประกอบกับที่จีนรายงานตัวเลขดัชนีผลผลิตเพิ่มขึ้น เป็น 48.7 ในเดือนสิงหาคม จาก 47.4 ในเดือนกรกฎาคม ในขณะที่รายงานคำสั่งซื้อใหม่กลับลดลงเหลือ 46 จาก 46.2 ในเดือนก่อนหน้า และดัชนีราคาวัตถุดิบลดลงจาก 71.3 เหลือ 51.8 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาวัตถุดิบได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ดังนั้นเราเชื่อว่าจากนี้ไปจะไม่ได้เห็นราคาโภคภัณฑ์ ทั้งน้ำมัน, โลหะ, ปิโตรเคมี มีราคาเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงเหมือน 2-3 ปี ก่อนหน้านี้อีกแล้ว น้ำมันเป็นขาลงในครึ่งปีหลัง ตอนนี้สังเกตได้ว่าตลาดน้ำมันเป็นตลาดหมี (bear market) ปัจจัยส่วนใหญ่จะพูดออกมาในแนวลบ และหากมีปัจจัยบวก (เช่น เฮอริเคน) ก็จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันไม่ได้ขึ้นไปมากแล้ว (ซ้ำยังโดนขายออกมาอีกด้วย) เนื่องจาก Hedge fund ตอนนี้ได้ลด position ในตลาดน้ำมันไปมากแล้ว (เนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยงขาลงมากกว่าโอกาสที่จะได้ผลตอบแทน) ซึ่งจะเห็นได้ว่า จำนวนสัญญาในการซื้อขาย ตลาดล่วงหน้าลดลงไปมากกว่าในช่วงที่ราคาน้ำมันเป็นขาขึ้นอย่างมาก ดังนั้น เชื่อว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในครึ่งปีหลังจะเป็นขาลง แม้ว่าโอเปกจะออกมาประชุมและลดการผลิต ก็ไม่อาจช่วยราคาน้ำมันได้มากนักในความคิดของเรา เพราะในตอนขาขึ้นแม้จะเพิ่มกำลังการผลิตก็ไม่อาจลดราคาน้ำมันลงได้เช่นกัน อีกทั้งปัจจุบันหลายประเทศได้มีการพัฒนาพลังงานทางเลือกไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเอทานอลมาทดแทนน้ำมันเบนซิน (E10, E20 และ E85 ในไทยและ E100 ในบราซิล), น้ำมันปาล์มมาทดแทนน้ำมันดีเซล (B5. B100) และใช้ก๊าซ LPG และ NGV ในรถยนต์และอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าการใช้น้ำมันเบนซินใน 7 เดือนแรกของประเทศไทยลดลง 5.3% และดีเซลลดลง 4% ในขณะที่การใช้ LPG เพิ่มขึ้น 18% ดังนั้นเรามีมุมมองเป็นขาลงสำหรับราคาน้ำมันในครึ่งปีหลัง ปีก่อน supply ไม่เพียงพอกับความต้องการทำให้ราคาน้ำมันขึ้น แต่ปีนี้ supply มีมากกว่าความต้องการแล้ว ดังนั้นราคาน้ำมันน่าจะอ่อนตัวลง จากตัวเลขความต้องการใช้น้ำมัน (demand) และปริมาณการผลิต (supply) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราจะพบว่าความต้องการใช้น้ำมันมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความต้องการใช้น้ำมันจากจีนและสหรัฐฯ เป็นหลัก ดังจะเห็นได้ว่า demand ในปี 2550 จะมีอยู่หลายเดือนที่ supply ไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นมากในปีที่ผ่านมา (ตามหลักเศรษฐศาสตร์) แต่ไในปีนี้ที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นมาสูง บวกกับมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นของโอเปก ทำให้ Supply มีมากกว่า demand อยู่ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน) ทำให้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง (จาก demand ที่ชะลอตัวและ supply ที่เพิ่มขึ้น) ซึ่งเราคาดว่าจะได้เห็นทิศทางของราคาน้ำมันเป็นขาลงไปในช่วงที่เหลือของปี จากการที่ supply ยังคงสูงกว่า demand ที่ชะลอตัวลงไปต่อเนื่อง แม้ว่าโอเปกอาจจะมีการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมวันที่ 9 กันยายนนี้ (มีการพูดถึงว่าจะลดกำลังการผลิตลง 0.5-1.5 ล้านบาร์เรล/วัน) แต่เราเชื่อว่าจะกระตุ้นราคาน้ำมันได้ไม่มาก (ปกติแล้วหลังโอเปกประชุมลดกำลังการผลิตลง ราคาน้ำมันจะปรับลง เนื่องจากตลาดมองว่าความต้องการชะลอตัวลงมาก ทำให้โอเปกต้องลดกำลังการผลิตลง เป็นเพียงแค่การพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ปรับลดลงไปแรงเท่านั้น แม้ราคาน้ำมันลดลง แต่สมมติฐานราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปียังไม่เปลี่ยน แม้ว่าราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงในครึ่งปีหลัง แต่เรายังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ (Nymex) เฉลี่ยทั้งปีไว้ที่ 100 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งแม้ว่าจะค่อนข้างอนุรักษนิยม แต่เราเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีจะไม่สูงไปกว่าสมมติฐานเรามากนัก (ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 114 เหรียญ/บาร์เรล) ดังนั้นประมาณการผลกำไรสำหรับ PTT และ PTTEP ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยเราประเมินว่า PTT จะมีกำไรในปีนี้ 97,956 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 34.77 บาท เติบโต 0.2% yoy ในขณะที่ PTTEP คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 39,618 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 34.77 บาท เพิ่มขึ้น 39% yoy รอราคาน้ำมันทดสอบ 100 เหรียญ/บาร์เรล หากยืนได้ ซื้อเก็งกำไร PTTEP และ ซื้อลงทุน PTT ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะลดลงจะเป็นผลลบโดยตรงกับการลงทุนใน PTTEP แม้ว่ากำไรยังเติบโตได้ (คาดกำไรปีนี้เติบโต 39% yoy เป็น 39,618 ล้านบาท หรือ 12.06 บาท/หุ้น) จากปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมที่ยังเติบโต 24% yoy (จากการเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ของโครงการอาทิตย์, เวียดนาม 9-2 และอาทิตย์เหนือ) เป็น 223,000 บาร์เรล/วัน แต่เราคาดว่านักลงทุนที่เก็งกำไรใน PTTEP โดยดูราคาน้ำมันเป็นหลัก อาจจะขาย PTTEP ออกมาในช่วงสั้นก่อน โดยแม้ว่าคำแนะนำทางพื้นฐานของเราจะแนะนำ ซื้อเก็งกำไร (ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 210 บาท) แต่ในเชิงกลยุทธ์เราแนะนำนักลงทุนในลักษณะให้รอดูราคาน้ำมันก่อนว่าหากลงไปทดสอบ 100 เหรียญ/บาร์เรลแล้ว จะสามารถยืนเหนือ 100 เหรียญ/บาร์เรลได้หรือไม่ หากสามารถยืนได้ค่อยเข้าซื้อเก็งกำไร แต่หากไม่สามารถยืนได้ก็อาจจะต้องขายตามตลาดไปก่อน (อนึ่งคำแนะนำในลักษณะซื้อเก็งกำไรของ PTTEP เป็นไปในรูปแบบที่ต้องติดตามราคาน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากราคาหุ้นของ PTTEP มีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันค่อนข้างสูง) ในส่วนของ PTT เรายังคงแนะนำให้ ซื้อลงทุน โดยมีราคาเป้าหมาย 400 บาท แม้ว่าราคาหุ้นของ PTT จะไม่มีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันสูงเท่า PTTEP แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาน้ำมันที่ลดลง จะทำให้ราคาจำหน่ายปิโตรเลียมของ PTT ลดลงด้วย (แต่ในทางกลับกันภาระในการชดเชยหรือรับภาระขาดทุนจากการจำหน่ายปิโตรเลียมต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลกก็ลดลงไปด้วย).--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน
Create Date : 05 กันยายน 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 5 กันยายน 2551 11:43:20 น. |
Counter : 394 Pageviews. |
|
|
|