LOVE ACTUALLY
Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
2 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
ซาร์เศรษฐกิจ...'สมคิด จาตุศรีพิทักษ์' แนะ5แนวทางกู้วิกฤติ-พุ่งเป้าแก้ปัญหาว่างงาน

หมายเหตุ : เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ฝ่าวิกฤติประเทศไทย : ทางเลือกสู่สังคมไหม่" ในงานการประชุมวิชาการระดับชาติเนื่องในโอกาสครบรอบปีที่ 43 แห่งการสถาปนาสถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โดยมีเนื้อหาและรายละเอียดดังต่อไปนี้
วันนี้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาหลายประการและไม่คิดว่าบ้านเมืองจะเกิดความสุขได้ เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองเกิดความไม่ปกติขึ้น ประกอบกับไทยต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ทำให้คนตกงานจำนวนมากโดยเฉพาะภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งสถานการณ์การว่างงานที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนับเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งหากปล่อยทิ้งปัญหาไว้นานจะยิ่งสร้างรอยปริแตกลึก และกว้างมากขึ้น ทั้งนี้แม้ประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาหนักแต่ถ้าแก้ไขอย่างมีสติใช้ปัญญาประเทศไทยจะผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤติไปได้
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาจะต้องมองข้อเท็จจริงและแก้ไขอย่างรอบด้าน โดยในส่วนเศรษฐกิจโลกนั้นมองว่า ยังคงชะลอตัวไปอีก 1-2 ปีแน่นอน เนื่องจากสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ยังไม่สามารถก้าวไปถึงจุดของการพลิกโมเมนตั้มเศรษฐกิจจากภาวะถดถอยให้กลับสู่การฟื้นตัวได้ ดังนั้นในส่วนของประเทศไทยจำเป็นต้องคิดว่าใน 1-2 ปีจากนี้ไทยจะทำอย่างไรให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยดังกล่าว
สำหรับแนวทางแก้ปัญหานั้นเห็นว่าควรแก้ปัญหาใน 5 ส่วนคือ 1.การบรรเทาผ่อนคลายผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยต้องเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาคนตกงาน ด้วยการใช้งบประมาณแผ่นดินและความร่วมมือกับภาคเอกชนช่วยกันพิจารณาแก้ไขปัญหาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมและต้องชี้แนะว่าแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมควรทำอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเข้ามาดูแลผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เป็นพิเศษ เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีจำนวนมากกว่า 1 หมื่นราย ซึ่งทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 1 ล้านคน ดังนั้นรัฐบาลต้องดูแลไม่ให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ยังเติบโตได้ ต้องล้มลงไปโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะเอสเอ็มอีด้านส่งออกและท่องเที่ยว ซึ่งรัฐควรเข้าไปดูแลเรื่องสภาพคลอ่งทางการเงินและให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ให้กับเอสเอ็มอีที่ยังมีสภาพธุรกิจที่ดีต่อไป
พร้อมกันนี้รัฐบาลต้องแบ่งปันความเสี่ยงด้านการปล่อยกู้เงินให้กับเอสเอ็มอีจากเดิมที่แบ่งปันความเสี่ยงเพียง 50% ควรเพิ่มเป็น 80% ทั้งนี้ที่ผ่านมาไทยมีตัวอย่งที่ดีจากวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 มาแล้วซึ่งเห็นได้ว่าธุรกิจต้องล้มลงไปทั้งที่ยังสามารถเติบโตไดนั้นมาจากปัญหาการไม่มีระบบสินเชื่อที่จะมาปล่อยกู้เป็นหลัก ดังนั้นรัฐบาลต้องเข้ามาดูแลเอสเอ็มอีอย่าให้เกิดปัญหาเหมือนอดีตที่ผ่านมา
นายสมคิดยังเห็นว่า การกู้เงินเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อมาประคองโมเมนตั้มเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้ทรุดจนเป็นอันตราย เพราะหากทรุดแล้วจะฟื้นตัวยาก
ส่วนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในส่วนที่ 2 นั้น มองว่ารัฐบาลควรสร้างเส้นทางเดินของประเทศไทยในอนาคตไว้เมื่อผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ โดยต้องนำเงินมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 2 ด้านคือ ส่วนหนึ่งนำมาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น แก้ปัญหาการตกงาน การฝึกอบรมให้ผู้ตกงานเพื่อเปลี่ยนไปสู่อาชีพอื่นที่ยังสามารถเดินต่อไปได้
และเงินอีกส่วนควรนำมาสร้างเศรษฐกิจในอนาคต โดยไทยต้องอาศัยจังหวะที่เศรษฐกิจถดถอยนี้มาคิดว่าอนาคตจะสร้างเมืองไทยให้เป็นอะไรและวางแผนการเงินให้สอดรับกับเศรษฐกิจในอนาคตตรงนั้น
ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯ กำลังอัดฉีดเงินเข้าระบบโดยจัดลงไปในส่วนของการวิจัยด้านไอที ขณะที่จีนใช้เงินกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อปฏิรูปชนบท สร้างชุมชนเข้มแข็ง ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่านานาประเทศกำลังดำเนินการเปลี่ยนภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกกันใหม่เมื่อผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลกรอบนี้ไปแล้ว ดังนั้นหากไทยยังไม่คิดว่าจะวางอนาคตประเทศไทยไว้อย่างไร ต่อไปหากเศรษฐกิจฟื้นไทยจะกลายเป็นเพียงผู้รับเพียงอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในเวทีโลกได้
การแก้ไขในส่วนที่ 3 คือ ปัจจุบันหลายประเทศกำลังคิดวางแผนเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมา เช่น สหรัฐฯ กำลังพัฒนาสติปัญญา และความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัยไอที และบรอดแบนด์ เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยถึงเวลาที่ต้องมานั่งคิดว่าจะปฏิรูปการศึกษาวิจัยอย่างไร ทำอย่างไรให้เด็กหัดคิด และสถาบันการศึกษาจะสร้างอะไรบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาการเมืองไม่เอื้อให้มีการปฏิรูปการศึกษารัฐมนตรีทีเวียนเข้ามารับตำแหน่งจะแก้ปัญหาแค่ 2 ด้าน คือเรื่องหนี้สินครูและการเรียนฟรี 15 ปี เท่านั้น ซึ่งหากไทยไม่แก้ไขเรื่องการ ปฏิรูปการศึกษานี้ จะส่งผลให้เมื่อก้าวเข้าสู่โลกข้างหน้าที่พัฒนาขึ้นและไทยเข้าไม่ถึงก็จะถูกจำกัดให้อยู่อีกโลกหนึ่ง
การแก้ปัญหาส่วนที่ 4 คือ การหันมาพึ่งพาตลาดในประเทศมากขึ้นอย่างไรก็ตามขณะนี้ชาติอาเซียนได้รับบาดเจ็บจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยเพราะไม่สามารถส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศได้ หลายชาติจึงหันมาพึ่งตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 70% ดังนั้นเมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ถ้าจะพึ่งพาตลาดในประเทศแทนการส่งออก ต้องถามว่าอำนาจซื้อในประเทศมาจากไหน เพราะตอนนี้ไทยมีปัญหาความยากจนสะสมมานานไม่มีกำลังซื้อจนทำให้ผู้ประกอบการหันไปพึ่งตลาดส่งออกแทน
ดังนั้น รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อมาสร้างชุมชนให้เข้มแข็งก่อน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาก ที่ผ่านมาไทยขาดการจัดการปัญหานี้มานาน และหากยังสร้างชุมชนให้เข็มแข็งไม่ได้ การพึ่งพาตลาดในประเทศก็ทำไม่ได้ ต้องหันไปพึ่งส่งออกเหมือนเดิม และการส่งออกในช่วงเศรษฐกิจถดถอยนี้ก็นับว่ายาก
แนวทางแก้ปัญหาสุดท้ายคือ ในเรื่องของภาวะโลกร้อย ที่ผ่านมาพูดกันมาโดยตลอดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา และไทยไม่เคยจิงจังกับเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะต่อไปจะมีการบีบบังคับให้ทุกประเทศต้องดูแลสิ่งแวดล้อม และมีบทลงโทษบนเวทีโลก ดังนั้นไทยควรเอาใจใส่ให้มากขึ้นเพราะอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจบนเวทีโลกด้วย
พร้อมกันนี้ นายสมคิด ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ต้องมองไปถึงภูมิทัศน์ใหม่ทางเศรษฐกิจโลกและของประเทศว่า มีทิศทางเดินอย่งไรหากเมื่อผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปแล้ว การจะเดินไปข้างหน้าให้อยู่รอดได้ต้องรู้ว่าขณะนี้เงื่อนไขบริบทโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง และถึงเวลาต้องจริงจังและเอาใจใส่สิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้น วันนี้คนไทยไม่ต้องการสงครามการเมือง แต่ต้องการกอดคอกันเดินไปสู่ความมั่นคง และวิกฤติเศรษฐกิจระยะสั้นนี้จะต้องไม่ประมาท ต้องคิดว่าเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไปแล้วประเทศไทยจะเดินอย่างไรต่อไปด้วย
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
อดีตรองนายกรัฐมนตรี
"วิกฤติประเทศไทยขณะนี้มีอยู่ 4 ประการเรียกว่าจตุมหาวิกฤติประเทส สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ได้แก่ วิกฤติทางด้านเศรษฐกิจที่ได้รับอิทธิพลและส่งผลกระทบทางการเงินการคลังไปทุกประเทศวิกฤติทางด้านการเมืองเกิดความแตกแยกรุนแรง มีความเห็นแตกแยก เป็นศัตรูกัน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย วิกฤติทางด้านสังคมซึ่งปกติมีอยู่แล้วแต่เมื่อมารวมกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติการเมืองก็ทำให้ปัญหาสังคมรุนแรง เช่นทำให้สังคมเกิดความรุนแรง เดือดร้อนเรื่องร้ายได้ การจ้างงาน สวัสดิการสังคม มีปัญหาความปลอดภัยไข้เจ็บรุนแรงขึ้น ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และปัญหาวิกฤติ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่ผ่านมาเรามีความดีบ้าง แต่ยังดีไม่พอ คนยังเห็นแก่ตัวโลภเกิดขึ้นจนชาชิน นำไปสู่การคิดประดิษฐ์ กอบโกย คิดการป้องกันความเสี่ยง จนกลายมาเป็นความเสี่ยงของสังคม เราเสียดุลอย่างแรง ความสุขที่เคยมีอยู่บ้างลดหายลงไปเลย ที่สำคัญปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง ส่งผลกระทบต่อทุกด้าน สร้างปัญหามหาศาล
สำหรับทางออกปัญหา ต้องมององค์รวม ปัญหาทั้ง 4 อย่างรัฐบาลจะต้องมีกลไกและวิธีการพิเศษเข้ามาจัดการ ดูเหมือนว่าปัญหาทุกอย่างรัฐบาลรับรู้แล้วแต่ยังไม่มีกลไกเพียงพอในการแก้ไขปัญหา แม้ว่าปัญหาเศรษฐกิจจะมีมาตรการออกมาแล้ว แต่ปัญหาการเมืองยังไม่มี น่าจะต้องมี เพราะจะทำตัวเชิงรับคงไม่ทันสังคมเดือดร้อนหลายอย่างอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจ
ปัญหาภาคใต้ยังมีปัญหา กลไกที่มีเพียงกระทรวงต่างๆ แล้วแต่ยังไม่พอ สังคมมีหลากหลายมิติ แต่จะให้โฟกัสก็ต้องโฟกัสไปที่ชุมชน 2 อย่าง ชุมชนหมู่บ้าน ชุมชนในเมือง ซึ่งมารวมกันในที่ทำงาน ที่จะทำให้ชุมชนดีตั้งเป้าไปที่ชุมชนที่ทำงานดีที่สุด จะเป็นโครงการที่อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน การทำแบบนี้จะทำให้ชุมชนได้ร่วมคิดร่วมทำ ดูแลชีวิตให้ดีอย่างพอเพียง สมดุล
ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์
อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
"วิกฤติวันนี้ถือว่ารุนแรงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤติการเมืองเป็นวิกฤติที่ซับซ้อนมากในเรื่องความดี คุณธรรมทำให้เยาวชนงง ว่าอะไรคือแบบอย่างที่ดีงาม การประพฤติทุจริต ประพฤติไม่ชอบ เป็นเรื่องที่ไม่ผิด เพราะมีคนจำนวนมาก นี่เป็นการต่อสู้ของ 2 ฝ่ายที่มีผลต่อสังคมในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ปัญหาการเมืองเริ่มเบาลงไปบ้างแล้ว แต่ถึงวันนี้กลับเติมเชื้อลงไปอีกเพราะการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรากฎข้อเรียกร้องต่างๆ และมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนที่จะเผด็จศึกในวันที่ 8-9 เม.ย.นี้ ซึ่งถ้ารัฐบาลสู้ไม่ไหวยุบสภาจะเป็นการซ้ำเติมวิกฤติ ประชาชนเสียประโยชน์ ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤติที่รุนแรง เพราะปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่กำลังถาโถมขณะนี้ แม้แต่ประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองยังรับมือกับปัญหานี้อย่างยากลำบาก
ประเทศที่มีสงคราม เขาไม่ตัดสินใจเลือกตั้งใหม่เมื่อครบวาระมีการยืดเวลาออกไปแต่บัดนี้นักการเมืองไทยกำลังทำอะไร ไม่มีใครคิดต่อต้านมันใกล้เกิดสงครามการเมืองแล้วหรือจะปล่อยให้ประเทศล่มสลายแล้วจึงมาบำรุงฟื้นฟูกันใหม่ เช่นนั้น หรือคนไทยขณะนี้กำลังตกเป็นเหยื่อของนักการเมือง เคลื่อนไหวเพื่อวัตถุประสงค์ของตัวเองนี่ถึงยุคกลียุคของบ้านเมืองแล้วทำลายชาติ ทำไมนักการเมืองต้องมาปลุกระดม ถ้าเราผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ สังคมใหม่ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ประเทศชาติจะแตก เหมือนกรุงศรีอยุธยาในอดีต"--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ


Create Date : 02 เมษายน 2552
Last Update : 2 เมษายน 2552 10:27:56 น. 0 comments
Counter : 295 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

illuminant
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




1.Cut loss
2.Looking forward
3.Market move by sentiment
4.The crowd usually wrong
5.Stick to the plan
6.Patience
Friends' blogs
[Add illuminant's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.