deeplove
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
12 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add deeplove's blog to your web]
Links
 

 

บอกเล่าเรื่องราววันสงกรานต์










คำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย หมาย

ถึง การเคลื่อนไทยมาช้านาน ฉะนั้นคำว่า "สงกรานต์" จึงหมายถึง วันและ

เวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายนเท่านั้น
แต่เดิม

ประเทศไทยของเราถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่เดือนเมษายน

จนถึงเดือนมีนาคมจึงเป็นรอบหนึ่งปี ในปี 2483 ได้มีพระราชบัญญัติกำหนด

ปฏิทินใหม่ ให้เป็นแบบสากล โดยเปลี่ยนเป็นเดือนมกราคมเป็นเดือนแรก

ของปี
แล้วไปสิ้นสุดในเดือนธันวาคม มีผลใช้บังคับตั้งแต่ปี 2484 เป็นต้นไป

ดังนั้นกฎหมายให้ถือว่าผู้ที่เกิดในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมก่อน พ.ศ.

2484 ให้ถือว่าเป็นผู้ที่เกิดในปีใหม่ ดังนั้นใครเกิดในเดือนมกราคมถึง

เดือนมีนาคม ก่อน พ.ศ. 2484 จะต้องบวกหนึ่งปีเข้าไปด้วยเสมอ




ในปีพุทธศักราช 2551 นี้ พระ อาทิตย์โคจรจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ในวัน

อาทิตย์ที่ 13 เมษายน 2551 เวลา 18 นาฬิกา 55 นาที 48 วินาที ดังนั้น

วันมหาสงกรานต์ หรือ วันสงกรานต์ หรือ วันขึ้นปีใหม่ไทย จึงเป็นวัน

อาทิตย์ ที่ 13 เมษายน 2551 ตั้งแต่เวลา 18 นาฬิกา 55 นาที 48 วินาที เป็น

ต้นไป
นางสงกรานต์ที่จะเข้าเวรปีจึงเป็นนางสงกรานต์ที่ทรงมีนามว่า

พระนางทุงสะเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม ทรงอาภรณ์เป็นแก้วปัทมราช

เสวยผลมะเดื่อเป็นอาหารพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์เสด็จ

ไสยาสน์ลืมเนตรมาบนหลังพญาครุฑ




นางสงกรานต์ เป็นคติความเชื่ออยู่ในตำนานสงกรานต์ เป็นวันที่

พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ สมัยก่อนถือเป็นการเถลิงศกใหม่ หรือวันขึ้นปี

ใหม่ตามสุริยคติ ถ้าตรงกับวันใดนางสงกรานต์วันนั้น ก็จะเป็นผู้อัญเชิญ

พระเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่ไปสรงน้ำ ซึ่งนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดนี้ เป็น

เทพธิดาลูกสาวท้าวกบิลพรหม และเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ จาก

ตำนานเล่าว่า ท้าวกบิลพรหมแพ้พนันธรรมบาลกุมาร ต้องตัดเศียรออกบูชา

ธรรมบาลกุมารตามสัญญา แต่เนื่องจากพระเศียรของพระองค์ตกไปอยู่ที่ใด

ก็จะเป็นอันตรายกับที่ตรงนั้นไม่ว่าจะเป็นบนอากาศ บนดินหรือในน้ำ ดังนั้น

ธิดาทั้งเจ็ดจึงต้องนำพานมารองรับ และนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ

เขาไกรลาส เมื่อถึงกำหนด ๓๖๕ วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึง

วันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะต่างๆ ผลัดเวรกันมาเชิญ

พระเศียรของบิดาออกแห่ ธิดาทั้งเจ็ดนี้จึงได้ชื่อว่า “นางสงกรานต์” ส่วน

ท้าวกบิลพรหมนั้น โดยนัยก็คือ พระอาทิตย์ นั่นเอง เพราะกบิล หมายถึง สี

แดง นอกจากตำนานข้างต้น ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับนางสงกรานต์

แต่ละวัน จะมีนาม อาหาร อาวุธ และสัตว์ที่เป็นพาหนะ ต่างๆ กันดังต่อไปนี้





วันอาทิตย์ ชื่อ ทุงษ

ทัดดอกทับทิม เครื่องประดับปัทมราค ภักษาหารผลมะเดื่อ อาวุธขวาจักร

ซ้ายสังข์ พาหนะครุฑ




วันจันทร์ ชื่อ โคราค

ทัดดอกปีบ เครื่องประดับมุกดา ภักษาหารน้ำมัน อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายไม้

เท้า พาหนะเสือ




วันอังคาร ชื่อ รากษส

ทัดดอกบัวหลวง เครื่องประดับโมรา ภักษาหารโลหิต อาวุธขวา ตรีศูล ซ้าย

ธนู พาหนะสุกร




วันพุธ ชื่อ มัณฑา

ทัดดอกจำปา เครื่องประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย อาวุธขวาเข็ม ซ้ายไม้

เท้า พาหนะลา




วันพฤหัสบดี ชื่อ กิริณี

ทัดดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถั่วงา อาวุธขวาขอ ซ้ายปืน

พาหนะช้าง





วันศุกร์ ชื่อ กิมิทา

ทัดดอกจงกลนี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำว้า อาวุธขวาพระ

ขรรค์ ซ้ายพิณ พาหนะกระบือ





วันเสาร์ ชื่อ มโหทร

ทัดดอกสามหาว เครื่องประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย อาวุธขวาจักร

ซ้ายตรีศูล พาหนะนกยูง





ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์


กล่าวไว้ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้

ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมี

ครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะ

พูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก แต่ไร้

ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดง

อาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็

จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้ว สมบัติก็ตกเป็นของผู้

อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจน แต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้

และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ







นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์

และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อ

กันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนา จนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์

สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้น

หนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าว

สารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระ

ไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่

เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “ธรรมบาล” ลงมาเกิดใน

ครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย

เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐี

จึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร







เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัย

เพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ “ท้าวกบิลพรหม” ได้

ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลอง

ภูมิปัญญา โดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้

ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่

ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ ปัญหานั้นมีว่า


1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด

2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด

3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด



เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัดวัน

ตอบปัญหาไปอีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิด

หาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอน

พักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนก

ถามสามีว่า “พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน” นกสามีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้เราไม่

ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหม

ตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า “ปัญหานั้นว่าอย่างไร” นก

สามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง







ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า

ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก

ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน



ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ ทั้งนี้

เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็น

วันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าว

แก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก ธิดาทั้ง

7 ของตนอันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่า







ตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็

จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้ง ฟ้าฝนจะ

หายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน

จึงสั่งให้ นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นาง

ทุงษธิดาคนโต นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้ แล้วแห่ประทักษิณรอบ

เขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส

บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ

ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างใน

สระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์ ครั้นครบ 365 วัน โลก

สมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวร

กันมาเชิญพระเศียรของพระบิดา ออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกปี

แล้วจึงกลับไปเทวโลก







ประเพณีสงกรานต์ถือเป็นวันแห่งความรักและความผูกพัน เอื้ออาทรต่อกัน

ในครอบครัว สังคม เป็นวันที่ทำให้คนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

เพื่อแสดงความมีกตัญญูกตเวทิตา โดยการรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และการ

แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยการทำบุญ









อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ เป็นวันที่ได้พบปะสังสรรค์สนุกสนาน ทำบุญตัก

บาตร เลี้ยงพระ ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์และมีการสรงน้ำพระ







ประเพณีสงกรานต์จะเป็นวันที่ 13 - 14 เมษายน ของทุกปี เรียกวันนี้ว่า "วัน

เทศกาลสงกรานต์" แต่อย่างไรก็ตามช่วงเวลาสงกรานต์ในแต่ละท้องถิ่นอาจ

แตกต่างกันไปบ้างขึ้นอยู่กับประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมา










ภาคกลาง


วันมหาสงกรานต์ คือ วันที่ 13 เมษายน

วันเถลิงศก คือ วันที่ 14 เมษายน

วันเนา คือ วันที่ 15 เมษายน








คำทำนายเกี่ยวกับวันสงกรานต์ในปีนี้ จาก (//www.songkran.net/th/announce.php)


ถ้าวันอาทิตย์ เป็น วันมหาสงกรานต์ ปีนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่สู้จะงอกงาม

นัก ถ้าวันอาทิตย์เป็น วันเนา ข้าวจะตายฝอย คนต่างด้าวจะเข้าเมืองมาก

ท้าวพระยาจะร้อนใจ ถ้าวันอาทิตย์เป็น วันเถลิงศก พระมหากษัตริย์จะมีพระ

บรมเดชานุภาพ ปราบศัตรูได้ทั่วทุกทิศ นางสงกรานต์ปีนี้ท่านเสด็จมา“ท่า

นั่ง” ซึ่งอิริยาบถนี้ เขาก็ว่าจะนำมาซึ่งความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตายและจะเกิด

เหตุเภทภัยต่างๆ อ่านโดยรวมแล้ว ดูท่าว่าจากวันปีใหม่สากลจนถึงปีใหม่

แบบไทยคือวันสงกรานต์ปีนี้ มีแต่เรื่องชวนหดหู่ไม่น้อย ส่วนดีมีนิดเดียว

และแม้จะไม่ดูคำทำนาย แต่จากสภาพเศรษฐกิจ ตลอดจนดินฟ้าอากาศที่

ผ่านมาก็บ่งบอกอนาคตได้อยู่แล้ว ยิ่งมีความเชื่อสมัยก่อนมาตอกย้ำเช่นข้าง

ต้น หลายคนคงแทบหมดหวัง หรือเกิดอาการท้อแท้ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม

หากย้อนไปดูนางทุงสะเทวี นางสงกรานต์ปีหนูนี้ ถ้าอ่านให้ดีจะพบว่า พระ

นางนั้นนอกจากจะดูไม่ดุแล้ว ยังทรงครุฑ ซึ่งเป็นพาหนะของพระนารายณ์

หรือพระวิษณุ ผู้เป็นหนึ่งในสามมหาเทพของพราหมณ์ และในพระหัตถ์ยัง

ทรงจักรและสังข์ ที่เป็นอาวุธของพระนารายณ์อีกเช่นกัน ดังนั้น หากจะมอง

ในด้านบวก นางทุงสะเทวีก็เป็นเสมือน “นอมินี” ของพระนารายณ์ที่ทรงมี

หน้าที่ปกป้องคุ้มครองโลก และปราบปรามเหล่ายักษ์อสูรที่คอยมาสร้าง

ความเดือดร้อนแก่มนุษย์ ส่วนภักษาหารที่เป็นผลมะเดื่อนี้ ทางฮินดูถือเป็น

ไม้มงคล และตามหลักวิทยาศาสตร์ก็เป็นผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง สัตว์ต่างๆ

จึงชอบกินผลมะเดื่อ อีกทั้งเปลือก รากและผลของมะเดื่อ ก็มีสรรพคุณทาง

ยา โดยสามารถแก้ท้องร่วง ชะล้างบาดแผล สมานแผล ถอนพิษไข้ และ

เป็นยาระบายอีกด้วย ดังนั้น หากเรามีความเชื่อมั่นว่า “เมืองไทยไม่สิ้นคน

ดี” พร้อมยึดพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแนวทาง

ในการดำเนินชีวิต คือ รู้จัก “พอ” ในการกิน การอยู่ และใช้ชีวิตแล้ว ก็เชื่อ

ว่า เหล่ามารทั้งหลายไม่ว่าจะมาจากระบบทุนนิยม บริโภคนิยม ฯลฯ ก็มิอาจ

มาทำร้ายเราได้





ภาคเหนือ


วันที่ 13 เมษายน วันสังขานต์ล่อง


เริ่มจากตอนเช้ามีการยิงปืนขับไล่เสนียดจัญไร ให้ล่วงลับไปกับสังขานต์

และในแต่ละบ้านมีการทำความสะอาด ตลอดจนตามถนนและตรอกซอยเข้า

บ้าน จากนั้นก็ทำความสะอาดชำระล้างร่างกาย สระเกล้าดำหัวให้สะอาดมีจิต

ใจผ่องใส หลังจากนั้นไปเที่ยวตามหมู่บ้านหรือในปัจจุบันนิยมไปเที่ยวตาม

สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เรียกว่า “ไปแอ่วปีใหม่” วันนี้มีการเล่นรดน้ำกันแล้ว



วันที่ 14 เมษายน วันเนา หรือวันเน่า


วัน “ขนทราย” หรือ วันเนาว์ วันปู๋ติ วันนี้จะทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นมงคล ไม่ค่าทอ

หรือทะเลาะวิวาท ตอนเช้าไปจ่ายของและอาหาร เตรียมทำบุญถวายพระ ใน

วันรุ่งขึ้น วันเตรียมอาหารและเครื่องไทยทานเรียกว่า“วันดา” (คำวันสุกดิบ

ทางภาคอื่น) และทุกบ้านจะทำกับข้าวที่สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน เช่น แกง

เส้นร้อน แกงอ่อม ฯลฯ หรือไม่ก็จำพวกห่อนึ่ง เช่น ห่อนึ่งไก่ ห่อนึ่งปลา

ฯลฯ พร้อมทั้งตระเตรียมอาหารหวาน และเครื่องไทยทานไว้ให้พร้อม

ตอนบ่ายมีการขนทรายจากแม่น้ำ นำไปไว้ที่วัดใกล้บ้าน โดยก่อเจดีย์ทราย

ตามลานวัด เจดีย์ทรายจะถูกประดับตกแต่งด้วยตุง (ธง) ทำด้วยกระดาษสี

ตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม และรูปอื่นๆ ชายธงมีการทานช่อ (ทำด้วยกระดาษสี

ต่างๆ) ตัดเป็นลวดลายติดปลายไม้สำหรับปักที่กองเจดีย์ทรายการทานธง

และทานช่อนี้ ด้วยถือคติว่า ผู้บริจาคทานเมื่อตายไปแล้วจะได้อาศัยชายธง

หอบหิ้วไห้พ้นจากนรกได้ อานิสงส์การทานตุงหรือช่อนี้มีอยู่ในพระธรรม

เทศนาใบลานตามวัดทั่วไป เจดีย์ทรายนี้จะทำพิธีถวายทานในวันรุ่งขึ้น มีการ

ปล่อยนกปล่อยปลาอีกด้วย ในวันเดียวกันนี้มีการเล่นน้ำกันอย่างหนัก และ

เป็นที่สนุกสนานโดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว


ทุกๆ ปี เมื่อถึงเทศกาลตรุษสงกรานต์ ชาวเหนือมีประเพณีอย่างหนึ่งที่ยึดถือ

ปฏิบัติ คือ “สุมาคารวะ” ลูกหลานจะมาขอขมาลาโทษในความผิดต่างๆ ที่

เคยกระทำมาต่อญาติผู้ใหญ่ ถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีของ

ผู้น้อย อันมีต่อผู้ใหญ่ เรียกกันว่า “การไปดำหัว” หรือประเพณีดำหัว การไป

ดำหัวของคนไทยภาคเหนือ มักจะเริ่มกันใน “วันพญาวัน” (คือวันเถลิงศก)



วันที่ 15 เมษายน วันพญาวัน หรือวันเถลิงศก


ตอนเช้า จัดเตรียมอาหารคาวหวานใส่สำรับไปถวายพระที่วัด และทำบุญตัก

บาตรและนำไปให้ผู้เฒ่า ผู้แก่ ครูอาจารย์ หรือบุคคลที่ตนเคารพนับถือ เรียก

ว่าไปทานขันข้าว (ตานขันข้าว) การทานขันข้าวนี้ นอกจากจะทานให้พระ ผู้

เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือดังกล่าวแล้วก็มีการถวายทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลถึง

ญาติพี่น้อง บิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว โดยพระที่วัดจะแยกย้ายกันนั่ง

ประจำที่บริเวณวัดเพื่อให้ศีลให้พร แก่ผู้ไปทานขันข้าว



เสร็จจากการทำบุญตักบาตร ก็มีการถวายทานเจดีย์ทราย ปล่อยนกปล่อย

ปลา มีการสรงน้ำพระพุทธเจดีย์ มีการค้ำต้นโพธิ์ภายในวัดและหมู่บ้าน มีการ

สรงน้ำพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง เช่น เชียงใหม่ก็จะมีการสรงน้ำพระ

พุทธรูป เสตังคมณี (พระแก้วขาว) วัดเชียงมั่น พระเจ้าทองทิพย์ และ พระ

พุทธสิหิงค์ วัดพระสิงห์ พระเจ้าเก้าตื้อ วัดสวนดอก เสาอินทขิล หรือเสาหลัก

เมือง ส่วนตามจังหวัดต่างๆ ก็จะมีการไปสักการะบูชาพระพุทธรูปสำคัญ

ประจำบ้านเมืองตนเช่นเดียวกัน เช่น ลำปาง ก็ไปสรงน้ำพระแก้วมรกตที่วัด

พระธาตุลำปางหลวง เมืองน่านที่วัดพระธาตุแช่แห้ง และที่แพร่ก็ไปสรงน้ำ ที่

พระธาตุช่อแฮเป็นต้น



ตอนบ่าย ก็จะเริ่มการดำหัว และจะทำเรื่อยไปจนถึงวันรุ่งขึ้น หรือวันปากปี


วันที่สี่ เป็นวันปากปี มีการดำหัวตามวัดต่างๆ ที่ใกล้เคียงและห่างไกล ซึ่งมี

พระในวัดและในหมู่บ้านนั้นนำไป การไปดำหัวตามวัดนี้มักจะแบ่งแยกกัน

เป็นสายๆ เพราะบางวัดที่อยู่ห่างไกลก็ไม่ได้ไปกันอย่างทั่วถึงนอกจากวัดที่

คนนิยมไปกันอย่างสม่ำเสมอ เรียกตามภาษาเมืองว่า “ไปเติงกั๋น” หรือไปวัด

ของเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด หรือพระเถระผู้ใหญ่


จาก //www.relaxzy.com/place/songkran.html






เปียกอับชื้น
บุดดาเบลส (Buddha Bless)


เซิ้งกันให้เต็มที่ บ่ต้องอาย
บุดดาเบลส บุดดาเบลส บุดดาเบลส บุดดาเบลส

* เปียกแฉะอับชื้น (ทั้งจื้นทั้งเปียก)
เปียกแฉะอับชื้น (ทั้งทรงทั้งเซี่ย)
เปียกแฉะอับชื้น (ม่วนซื่นกันดีกว่า)
พ่อลุงแม่ป้า อยากถามอีนางว่า น้องแฉะหรือยัง

1 ในรอบปีมีแค่ครั้งเดียวจิ๊กโก๋อย่างเราจะได้ออกมาเปรี้ยว
ข้าวเจ้าข้าวเหนียวออกมารวมตัวกัน
บุดดาเบลสมาสะเดิดออกมาระเบิดความมัน
ตั้งใจวันนี้จะทำให้สาวแฉะแก้มน้องสีชมพูอู้หูน่าแตะ
ควักแป้งออกมาเตรียมจะเข้าไปแปะ
เธอดันหันมาค้อนแล้วเขวี่ยงด้วยรองเท้าแตะ

** อีนางเอ๋ยเจ้ามีคนควงแล้วหรือยัง
ถ้ายังบ่มีพี่จะชวนไปเดินด้วยกัน
รดน้ำให้ตัวแฉะไปเซิ้งไปกระแซะกลางคืนกลางเวน
มามะคนดีสงกรานต์ปีนี้มาม่วนน่ำกัน

( ซ้ำ * )

มันสุดๆ สงกรานต์บ้านเราขอบอกว่าสุดๆ
มันกันยาวๆ แบบไม่มีสะดุด
ชอบกันจริงๆ เลยก็ไอ้เรื่องวันหยุด
เอาสาดมาสาดมาก็สาดไป
ฝรั่งแขกจีนไทยใครๆ ก็ชอบใจ
รักจะสนุกจะกังวลไปทำไม
เอาสาดกันตามสบายตามสไตล์คนไทย

อีนางเอ๋ยเจ้าแฉะแล้วติ้
ทรงเหี่ยนขนาดนี้เห็นแล้วพี่ไม่มีแรงถือขัน
ยามเจ้าย่อนเห็นแล้วพี่ใจสั่น
อับชื้นขนาดนี้ห่วงคนดีเดี๋ยวจะคัน

( ซ้ำ * )

อับชื้น อับชื้น ปล่อยไว้นานๆ ระวังจะเป็นผื่น
อับชื้น อับชื้น ปล่อยไว้นานๆ ระวังจะเป็นผื่น

มีที่เดียวในโลกที่นี่แหละเมืองไทย
สนุกที่สุดในโลกวู้มันอย่าบอกใคร
สาวเหนือสาวกรุงสาวอีสานสาวใต้
เยอะแยะเต็มไปหมดมีให้ดูจนตาลาย

( ซ้ำ ** , * )

ฮด ฮด ฮด ฮด ฮด ฮด ฮดให้แฮงแฮง
ฮด ฮด ฮด ฮด ฮด ฮด ฮดให้แฮงแฮง
ฮด ฮด ฮด ฮด ฮด ฮด ฮดให้แฮงแฮง
ฮด ฮด ฮด ฮด ฮด ฮด ฮดให้แฮงแฮง… วู้






Get this widget | Track details | eSnips Social DNA





 

Create Date : 12 เมษายน 2551
8 comments
Last Update : 23 มีนาคม 2552 22:50:55 น.
Counter : 1638 Pageviews.

 

 

โดย: shame_of_sins 12 เมษายน 2551 15:16:56 น.  

 

 

โดย: CrackyDong 12 เมษายน 2551 15:21:25 น.  

 

ขอให้มีความสุข สดชื่น ชุ่มฉ่ำรับวันสงกรานต์นะคะ

 

โดย: รัตตมณี (kulratt ) 12 เมษายน 2551 17:29:10 น.  

 

ได้เก็บเกี่ยวเอาความรู้ของประเพณีไทยเพิ่มเติมอีกแล้ว
ขอบคุณนะคับ จุ๊บๆๆ ^^
สุขสันต์วันสงกรานต์นะค้าบ ขอให้สดชื่นแจ่มใส ไม่มีโรคไม่มีภัย คิดอะไรให้ได้สมดังหวังนะคับ
รักนะคับ จุ๊บๆๆ

 

โดย: AquiraX IP: 58.8.138.131 12 เมษายน 2551 23:06:50 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: ความเจ็บปวด 13 เมษายน 2551 0:24:20 น.  

 

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมนะครับ
สงกรานต์ปีนี้สนุกป่าวครับ

 

โดย: i-palmy (palmy_yoyo ) 13 เมษายน 2551 16:25:52 น.  

 

โอ ความรู้ดีมากเลยค่ะ ยาวเหยียด

สุขสันต์วันสงกรานต์ด้วยนะคะ

 

โดย: นางสาวดุ่บดั่บ 14 เมษายน 2551 5:00:52 น.  

 

ดี


 

โดย: รสดี IP: 180.180.174.67 29 สิงหาคม 2553 19:05:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.