มีนาคม 2555

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
บันทึกวันเบื่อโลก
ผู้รู้เชิญทางนี้..นี่เราอยากบวชหรือแค่สับสน
ขอความช่วยเหลือ

ช่วงนี้มีความรู้สึกแปลก เหมือนอยากละ อยากวางไปหมด
ทานอาหารก็ไม่รู้รส ไม่รู้สึกตื่นเต้น ว่าจะได้ไปทานของอร่อย
ทานอะไรก็รู้สึกเฉยๆ คิดว่ามันก็เท่านั้น
เคยทานมาหมดแล้วทั้งถูกมาก แพงมาก
เมื่อก่อนชอบสรรหาของอร่อย
ไปลองอะไรใหม่ๆ
ที่หรูๆ บรรยากาศดีๆก็ไป
ตอนนี้รู้สึกว่า มันก็แค่นั้น 


ปกติชอบเที่ยว เมื่อก่อนตื่นเต้น รู้สึกสนุกที่จะได้ไปที่ใหม่ๆ ไปดูสถานที่ใหม่ๆ
ทะเล ภูเขา ต่างจังหวัด ต่างประเทศ
เที่ยวมาแล้วร่วมสิบปี ทั่วไทยเรียกว่าไปมาเกือบหมด
ปีนี้มีทริปอีกสี่ห้าทริปรออยู่
ตอนจองตั๋วล่วงหน้า ก็สนุกอยากได้

มาช่วงเดือนสองเดือนนี้ที่รู้สึกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ว่าเบื่อหน่าย
เหนื่อย ที่จะต้องวางแผน
นึกภาพตัวเองได้ไปพบผู้คน พบอะไรใหม่ๆระหว่างการเดินทาง
ก็ อืม คงสนุก
แต่ไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้น เหมือนเมื่อก่อน
คิดๆไปก็กลับรู้สึกว่า อืม มันก็เท่านั้น
ไปแล้วก็คงแล้ว


เมื่อสี่ห้าปีก่อน เบื่องาน กลับไปเรียนโท
ตอนนั้นมีไฟ ก็รู้สึกสนุกมาก ที่ได้เรียนอะไรน่าสนใจ
ตื่นเต้นที่จะได้เรียนให้จบแล้วออกจากงาน เผื่อมาหาอะไรใหม่ๆทำ
วิชาที่เรียนก็สนุกมาก ถูกจริตมาก

ผ่านมาถึงตอนนี้ ต้องทำธีสิสให้จบ
แต่ไม่มีแรงผลักอะไรเลย
กลับคิดว่า จบมาแล้วไงล่ะ
ตัวเองทำงานอิสระด้วย
ได้วุฒิปริญญาโทมาก็ไม่ได้เอามาใช้อัพตำแหน่งอะไรกับใครเค้า
ทำให้ยิ่งรู้สึกเฉยๆไปกันใหญ่
คิดไปคิดมาก็แบบ อืม จะพยายามไปทำไม
ครูอาจารย์เพื่อนฝูงก็พยายามหว่านล้อม ไม่อยากให้ทิ้งไปเฉยๆ
บอกว่า จบมาก็ได้ภูมิใจตัวเองไง
ได้รู้สึกดีกับตัวเอง
ก็ให้คำตอบเค้าไปว่า สิ่งเหล่านั้นมันแค่เปลือกที่คนเราสร้างขึ้นมาเพื่อยึดติด

สงสัยตัวเองว่า หรือเรากำลังเบื่อโลก อยากจะบวชหรือป่าวนะ
จึงลองเปรยๆกับแม่
แม่บอก จะมาหนีโลกไปบวช ไปขอข้าววัดกิน ไม่ได้ทำอะไร มีแต่คนหมดปัญญาเค้าทำกัน 
อย่างน้อยไปเป็นครูอาสา ทำเพื่อเด็กๆยากจน
ทำตัวให้เป็นประโยชน์


ฟังมาเกือบเคลิ้มละ
มาสะดุดตรงที่แม่พูดต่อว่า

มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะๆ คนนับหน้าถือตา

เราก็แย้งทันที
นั่นมันก็เปลือกนะแม่
ยึดติดกับอะไรแบบนั้นทำไม 
หน้าตา ลาภยศ สรรเสริญ มันของไม่เที่ยง
มันกับดักให้เราไม่ไปไหนนี่นา

ทำเอาแม่อึ้งกันไป

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ปกติก็ไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อที่จะต้องมี เพราะอยากเอาอย่างใครอยู่แล้ว
ทำอะไรทำด้วยใจมาตลอด เป็นตัวของตัวเองมาตลอด
ลองทำมาแล้วทุกอย่างที่อยากทำ 
เป็นคนมีอิสระในชีวิตค่อนข้างมาก อยากทำอะไร ก็มักทำได้ ได้ทำ และเต็มที่กับมันเสมอ
ณ ตอนนี้ เหมือนไม่มีสิ่งที่เราอยากทำด้วยใจ passionately อีกต่อไป 
(หรืออาจจะเรียกว่า หาไม่เจอ ก็ได้)


ปีสองปีมานี้ คิดมาตลอดว่า ไม่อยากมีลูกแน่นอนแล้ว เพราะไม่อยากสร้างบ่วงกรรมต่อเนื่อง
ส่วนเรื่องความรัก ถ้ายังไม่เจอคนที่ใช่ ก็ไม่ได้เดือดร้อนว่าจะต้องรีบแต่ง
ถ้าอายุซักห้าสิบหกสิบ แล้วไม่มีครอบครัวให้ห่วง (ไม่แต่งงาน)
คงไปอยู่วัดจริงๆ


มาเดือนสองเดือนนี้ ที่รู้สึกว่างเปล่ารุนแรง
มองไปทางไหน ก็เห็นว่า ชีวิตมีแต่ความทุกข์
เพื่อนบางคน ก็ไปเป็นภรรยาน้อย สร้างกรรมสร้างเวร
เพื่อนบางคน ก็มีชีวิตลุ่มๆดอนๆ
ออกจากงานแล้วออกจากงานอีกเพราะใจร้อน
คิดว่า แต่งงานแล้วจะสุข..ก็ไม่สุข
คิดว่า เปิดร้าน มีกิจการของตัวเองแล้วจะสุข...ก็ไม่สุข
บางคนที่บ้านเคยมีรถเบนซ์สมัยมัธยม
มาวันนี้สิ่งเหล่านั้นไม่เหลืออีกแล้ว

มองไปทางไหน ก็เห็นถึงความไม่เที่ยงเหล่านี้มาตลอด
เมื่อเห็นใครสุข แม้จะสุขด้วย 
แต่อีกใจก็คิดเสมอว่า ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

จนตอนนี้คิดว่า อาจจะไป(อยู่วัด)ซักตอนอายุสี่สิบ
พอคิดแบบนี้ เท่ากับว่า เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบปีเท่านั้น
ใจก็ยิ่งไม่อยากเอาอะไรอีก เข้าไปใหญ่

เบื่อหน่ายที่จะต้องเวียนว่าย
มองไปทางไหน ก็ไม่อยากเอาอะไรเลย
มาถึงตรงนี้ ก็สับสนใจในตัวเองว่า
นี่เราอยากไปบวชจริงๆ
หรือว่า เพียงแค่สับสน และซึมเศร้า 

งงกับตัวเองจริงๆ

ใครพอวิเคราะห์ได้ หรือเคยอยู่ในอารมณ์นี้ ช่วยบอกที

จากคุณ : cinta  
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 01:59:35  
ถูกใจ : กันดั้มตัวนี้สีชมพู
bookmark เก็บเข้าคลังกระทู้ ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ หน้าหลัก กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป
 ความคิดเห็นที่ 1
เพราะรู้สึกว่าตัวเองมันไม่มี พอจะหาอะไรมายัดมาเติมให้ตัวเองมันมีขึ้นมาก็เลยเป็นทุกข์ ถ้าเลิกหาได้ก็หายทุกข์ครับ

จากคุณ : Windows X 
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 02:39:51  

 ความคิดเห็นที่ 2
ไม่เก็ทค่ืะ ขอคำอธิบาย

จากคุณ : cinta  
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 02:53:51  

 ความคิดเห็นที่ 3
อาการเบื่อโลกแบบนี้  ถ้ารุนแรงมากๆขึ้นจนถึงขั้นตกลงใจได้เด็ดขาดออกบวชเลยก็จะดีมาก  จะฝึกธรรมะได้ผลไว  ไปได้ลึกละเอียดกว่าปกติมากเลยละ ...

แต่เกรงว่ามันอาจจะยังไม่เบื่อจริง พลังยังไม่พอ เป็นประเภทเบื่อๆอยากๆ ทำนองนั้น ... รอดูไปสักพักก่อนดีไหมละ   ให้เวลาเป็นตัวตัดสิน  หรือไม่ก็พิจารณาลึกๆลงไปในใจตนเอง  จนตัดสินใจได้เองอย่างมั่นใจเด็ดขาดแน่นอน  ถึงตอนนั้นใครเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่แล้ว

คนที่มีอาการเบื่อแบบนี้มากๆ จนเกิดความทุกข์ในใจมากๆจะฝึกธรรมะได้ง่าย  จิตรวมไว พิจารณาธรรมได้ดี เห็นธรรมของจริงได้ไว

จากคุณ : โขตาน 
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 04:32:46  
ถูกใจ : plemarine, 5tik, เช เชียงราย, cinta

 ความคิดเห็นที่ 4
คนที่มีอาการเบื่อแบบนี้มากๆ จนเกิดความทุกข์ในใจมากๆ>>> มันรู้สึกเป็นทุกข์จริงๆค่ะ
จนเราคิดว่า นี่เราซึี่มเศร้าหรือป่าว เพราะไม่แน่ใจว่า สภาวะแบบนี้คืออะไร

แต่เพราะเคยปฏิบัติธรรมะมาบ้าง
จึงไม่หาหลักยึดแบบโลกๆ
บางคน พอมีอาการแบบนี้ ก็อาจจะไปเที่ยวหาสิ่งภายนอกมาถมหลุมในใจ
เช่น ชอปปิ้ง การพนัน หาแฟน หาคนมายึดติด

แต่เรารู้เท่าทัน จึงไม่ทำเช่นนั้น

จึงเกิดคำถามว่า หรือเราจะอยากบวช
แต่อีกใจก็กลัวมันจะแค่เบื่อๆอยากๆเหมือนกัน

น่าจะต้องรอดูซักพักไปก่อนจริงๆ 
เรื่องที่ให้พิจารณาจิตใจลงไปลึกๆ อยากทราบว่า สภาวะที่จิตจะตัดขาดได้จริงๆ จะเป็นแบบไหน
เบื่อหน่ายถึงขีดสุด และ ทุกข์จากความเบื่อหน่ายจนถึงขีดสุด อะไรแบบนี้หรือป่าวคะ



วันนี้ก็พาตัวเองออกไปเจออาจารย์ที่ปรึกษา 
ไปเล่าให้แกฟังว่าที่เราหายไป ไม่ยอมมาทำธีสิส เพราะรู้สึกแบบนี้

ท่าทางแกออกจะเวียนเกล้าพอสมควร
ก็เข้าใจนะ ว่าหน้าที่แก คือทำให้เราจบ
แกคงไม่ปลื้มนัก ที่มาได้ยินว่า เราไม่มีกะใจจะทำ

ก็ได้แต่หวังว่า ไปเจอแกแล้วจะรู้สึกผิด เกิดแรงฮึดอะไรขึ้นมาอีกซักเฮือก

นี่ก็สัญญากะแกว่า จะลองอีกซักตั้งละกัน ทั้งๆที่ไม่ได้มีใจกะมันเลย
เฮ่ออออ

แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 05:20:34

จากคุณ : cinta  
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 04:59:53  

 ความคิดเห็นที่ 5
^

อาจารย์ที่ปรึกษา น่าจะใช้คำว่า "ท่าน" มากกว่านะ


ด้วยความปรารถนาดี

จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร  
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 07:06:28  
ถูกใจ : cinta

 ความคิดเห็นที่ 6
สงสัยกำแพงกำลังจะถล่ม..โลกคงขังคุณเอาไว้ไม่อยู่แล้วล่ะ
ถ้าเป็นความเบื่อหน่ายของจริง..ไม่ใช่เบื่อๆ อยากๆ ตามประสามนุษย์
เวลาของคุณคงมาถึงแล้ว..???


จากคุณ : อารยัน  
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 07:43:13  
ถูกใจ : เช เชียงราย

 ความคิดเห็นที่ 7
เรามีการเกิดเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ก็ยังแสวงหาการเกิด
เรามีเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ก็ยังแสวงหามัน
เรามีวัยชราเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังแสวงหาไปยังวัยชรา
เรามีความตายเป็นเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาไปสู่ความตาย

ถ้าจะไปบวช แล้วไม่มีศรัทธา ก็ทุกข์
ต้องมีความตั้งใจ มีความอดทน มีศรัทธา ต่างๆนาๆ
ปัญญาก็จะเกิด ขอให้ จขกท พบทางออกที่ดีที่สุด

ขอให้เจริญในธรรมนะครับ

จากคุณ : Neothank 
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 08:55:36  
ถูกใจ : cinta

 ความคิดเห็นที่ 8
ลป ดู่เคยสอนประมาณว่า ที่พวกแกเบื่อหนะ เบื่อไม่จริง

ตามประสบการณ์ส่วนตัวเอง  ก็จริงของท่าน
เพราะภาวนาไปแล้ว มันก็มีช่วงเจริญ ช่วงเสื่อม ขึ้นๆลงๆ
ช่วงจิตเจริญไม่ต้องพูดถึง
อยู่วัดเป็นเดือน  ก็อยู่มาแล้ว  ภาวนาเอาให้ได้ดี สู้ไม่มีถอยเลยละ
อยู่ๆไป เอ๊ะ ทำไมเบื่อวัด 55

ลองไปอยู่สักพักซิคะ
แล้วจะรู้เอง กิเลสมันอยู่ในใจเหมือนเดิมนั่นแหละ
เพียงแต่มันมาเนียนๆ พลิกอีกด้านมา
ไม่เท่าทัน ก็เชื่อมันอีก

จนกว่าจิตจะมีปัญญาเห็นความไม่เที่ยงนี้ และ หมดความยึดมั่นหมายในตัวจิตเอง
ถ้ายังปฎิบัติธรรมอะไรไม่ค่อยเป็น  ทำไม่ได้ตั้งแต่ตื่น จนหลับ
จะอยู่วัด อยู่บ้าน มันก็ขี้เกียจเหมือนเดิมแหละ
เสียดายข้าววัดเปล่าๆ

คนไปอยู่วัดแล้วเขาเจริญในธรรม  ไม่ใช่เขาแค่เบื่อโลกนะคะ 
แต่เขาเห็นทางแล้ว ว่าต้องเร่งภาวนาเพื่อจะพ้นทุกข์ในชาตินี้

เห็นแต่คุณบอกว่าเบื่อ ไม่เห็นบอกเลย 
ว่าจิตใจมันแช่มชื่นเบิกบาน ไหม  เมื่อนึกว่าจะไปอยู่วัด
จะได้ออกไปรบ กับกองกิเลส
จะได้ไปปฎิบัติธรรมอย่างเต็มที่ ได้นั่งสมาธิ เดินจงกรม เจริญสติได้ต่อเนื่องทั้งวัน ทั้งคืน

อาการของคุณ มันเหมือนพวกอมทุกข์ทางโลก แต่ไม่ค่อยรู้ตัว เป็นกันทุกคนนั่นแหละ 
ไม่งั้น ไม่วิ่งหาสิ่งใดๆมาตอบสนองความสุขที่คิดว่ามีจริง ให้ตัวเองหรอก
หลังชนฝาแล้ว  ก็มาภาวนาจริงจังเสียที ..เคยหรือยังคะ

ภาวนาทำที่บ้านให้เข้าใจดี แล้วหาเวลามาวัด เป็นระยะๆ
แต่ไม่ต้องถึงขนาดย้ายมาอยู่วัดถาวรตลอดหรอกคะ 
ถ้าอย่างที่คุณเล่า    มีแต่ความเบื่อท่วมหัว
เอาแค่มาอยู่วัดภาวนา  ถ้าของเคยกินไม่ได้กินสักเดือน  แล้วจะรู้สึก
(ว่าอยากแล้วไม่สมอยาก มันทุกข์กว่าเบื่ออีก..เด๊ยวจะเผ่นแน่บกลับบ้านไม่ทันนะคุณ)

แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 09:13:55

จากคุณ : น้องต๋าว   
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 09:07:19  
ถูกใจ : plemarine, Neothank, I know who am i, เช เชียงราย, cinta, empty_handed, กันดั้มตัวนี้สีชมพู, โขตาน, aunemaek2, ฟ้าสีใส

 ความคิดเห็นที่ 9
ปลาไม่เคยบินเหมือนนก
นกไม่เคยว่ายน้ำเหมือนปลา

คนเราไม่ใช่นกไม่ใช่ปลา กลับบินได้ ว่ายน้ำได้

อยากบวชก็บวชเลยครับ  ไม่มีอะไรเสียหายเลย  ไม่ได้ไปฆ่าใคร ทำร้ายใคร
แต่กินข้าวของคนที่ให้ด้วยศรัทธา มันหนักครับ(น้ำหนัก)   ทำบุญก็หนักมาก  ทำบาปก็บาปหนักมาก


ก่อนบวชฟังธรรมให้มาก  ที่วัดอาจจะไม่สบายอย่างที่คิด คนดีก็มี คนไม่ดีก็มี
พระดีก็มี พระไม่ดีก็มี  
ต้องเลือกวัดให้ดี

จากคุณ : aunemaek2  
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 09:14:20  
ถูกใจ : เช เชียงราย, cinta

 ความคิดเห็นที่ 10
อีกอย่าง ถ้าเข้าใจธรรมมากพอ
คุณจะไม่เบื่อหน่ายงานที่ทำ ที่เรียนเลย เพราะการภาวนา คือ การอยู่กับปัจจุบันเป็นขณะๆ ทุกขณะที่อยู่กับปัจจุบันขณะ  ทุกข์จะดับไป เพราะ รู้
(ยกเว้นคุณเห็นทุกขสัจ ในอริยสัจ4  แต่ภาวนาเบื้องต้นยังไม่เห็นหรอก)

ทำงาน เรียน ก็ภาวนาไปได้ด้วยตลอด  กระฉับกระเฉง กายใจ คล่องแคล่ว
มีประสิทธิภาพ  ไม่มีเสียด้วย ถ้าทำเป็นแล้ว

แล้วคุณจะรู้เอง ว่าจะไปอยู่วัดทำไมค๊ะ  ในเมื่ออยู่ที่ไหนก็มีกายใจอยู่แค่นี้ อยู่ไหนก็ทำได้
แต่ลดสิ่งบันเทิงไปให้หมด ถือศีล5แน่นๆ ศีล8 เมื่อสะดวก ทำแต่ตื่นจนหลับ
ทำพื้นฐาน(นั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนตร์)ทุกวันอย่าขาด
(อย่าบอกว่าทำไมไม่ได้นะ อยู่วัดทำหนักกว่าอยู่บ้านอีก)

ฆราวาสสมัยนี้เข้มแข็งนะ พี่ๆป้าๆ ที่เรารู้จัก แต่ละคนภาวนากันเก่งๆ
ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา  ล้วนแต่อยู่บ้าน รับผัสสะทางโลกเป็นเครื่องฝึกใจกัน 
วันหยุดยาว ก็ไปอยู่วัด สร้างกำลังกันเป็นคราวๆไป  

แต่ถ้าทำได้อย่างที่เราร่ายยาวมาแต่ต้นอยู่แล้ว
เบื่อโลกแบบนี้  รีบๆไปบวชเลย ลองพิจารณาดูนะคะ

แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 09:27:47

จากคุณ : น้องต๋าว   
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 09:26:15  
ถูกใจ : I know who am i, cinta, โอยสะลา

 ความคิดเห็นที่ 11
ลองไปบวชดู 
ใช้ชีวิตอยู่ในวัด ไม่ต้องมาก สักเดือนหนึ่งก็พอ  

จะได้รู้ว่า อยู่ได้ เหมาะจริง

หรือยิ่งเบื่อหนัก

จากคุณ : saengdaed 
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 09:56:16  
ถูกใจ : cinta

 ความคิดเห็นที่ 12
เป็นเหมือนกันค่ะ
ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่
เบื่อมากจนไม่อยากจะทำอะไรเลย
คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นสภาวะที่ดีสักเท่าไหร่

ติดตรงที่ว่าชาตินี้คงบวชเป็นพระไม่ได้

กำลังพยายามสร้างความสมดุลในชีวิต
ในทางโลกและในทางธรรมอยู่ค่ะ

จากคุณ : เอหิปัสสิโก (จงดูจงเห็น) 
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 10:12:04  
ถูกใจ : cinta, ฟ้าสีใส

 ความคิดเห็นที่ 13
ขอแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์ดูก่อนว่าจิตใจท่านยังปกติดีอยู่หรือเปล่า? การปฏิบัติธรรมทำให้หลุดพ้นจากโลกแต่ไม่ใช่หนีโลกครับ

จากคุณ : wichcha 
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 10:22:41  
ถูกใจ : cinta

 ความคิดเห็นที่ 14
ก็อย่าเพิ่งไปคิดว่าจะบวชตลอดชีวิตครับ
เอาสักสามเดือนเข้าพรรษาดูก่อน
แล้วหลังจากนั้นก็พิจารณาอีกที 
ผมก็รออีก 1 ปีจะทำอย่างที่ว่านะครับ เจริญในธรรมเทอญ ^^)

จากคุณ : เช เชียงราย 
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 11:03:21  
ถูกใจ : cinta

 ความคิดเห็นที่ 15
1. เบื่อมีสองแบบนะ เบื่อแบบ นิพพิทา คืออยากออกจากกองทุกข์นี้เลย

กับเบื่อแบบโทสะ คือ เบื่อแบบนี้ จะเอาอีกแบบ  เบื่อวุ่นวาย จะเอาสงบ

เบื่อทำงานแข่งขัน จะเอาทำงานสบายใจ

เบื่อเที่ยว จะเอาอยู่บ้าน ไม่ต้องไปไหน อะไรแบบนี้ครับ

2. ผมแนะนำว่า อย่าให้ความเบื่อแบบนี้มาทำร้ายตัวเอง ผมคิดว่าอย่างน้อย ควรเรียนให้จบโท อย่าให้คนอื่นต้องมาเข็นเรา  ไม่งั้นจะกลายเป็นคนทำอะไรค้างๆคาๆ ไม่สำเร็จ  ทำตามอารมณ์  อีกหน่อยหายเบื่อจะกลับมาเรียนอีก พอเรียนไปสักพัก ก็เบื่อเลิกเรียนอีก อย่างนี้ ไม่ใช่เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด แต่เป็นคนไม่เอาไหน

3. การภาวนาเจริญสติ ทำไปได้ในขณะนี้เลย ไม่ต้องไปบวชก็ได้เหมือนกัน  เบื่อก็ให้รู้ว่าเบื่อ เท่านั้นเอง รู้สึกตัวไว้ เกิดอารมณ์ความรู้สึกใดก็ให้รู้ไว้ แล้วก็ทำหน้าที่การงาน การเรียนของเราไปตามความรับผิดชอบให้ถูกต้องเรียบร้อย

จากคุณ : ป้อม (Bgate) 
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:11:29  
ถูกใจ : cinta, ฟ้าสีใส

 ความคิดเห็นที่ 16
น่าจะสนับสนุนให้บวชกันมากกว่านะ
ไม่แน่ใจก็สิกขาลาเพศได้
ไม่จำเป็นนี่ครับ ที่คุณจะบวช แล้วจะต้องบวชตลอดชีวิต ห้ามสึกออกไป
ยังไม่ได้บวชเลย ตัดสินใจแทนคุณไม่ได้หรอก

จากคุณ : ใจพรานธรรม   
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:42:05  
: cinta

 ความคิดเห็นที่ 17
พระยสะ

           พระยสะนั้น เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี เป็นผู้บริบูรณ์ มีเรือน ๓ หลังเป็นที่อยู่ใน ๓ ฤดู ครั้งหนึ่ง เป็นฤดูฝน ยสกุลบุตรอยู่ในปราสาทเป็นที่อยู่ในฤดูฝน บำเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรี ค่ำวันหนึ่ง ยสกุลบุตรนอนหลับก่อนบริวาร แสงไฟตามสว่างอยู่ ยสกุลบุตรตื่นขึ้น เห็นหมู่บริวารนอนหลับ มีอาการพิกลต่าง ๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเหมือนก่อน ๆ ปรากฏแก่ยสกุลบุตร ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า ยสกุลบุตรเกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย ออกอุทานว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ยสกุลบุตร จึงสวมรองเท้าเดินออกจากประตูเรือนไปแล้ว ออกประตูเมืองตรงไปในทางที่จะไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง 

ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรออกอุทานนั้น เดินมายังที่ใกล้ จึงตรัสเรียกว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านมาที่นี่เถิด นั่งลงเถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ยสกุลบุตรได้ยินอย่างนั้นแล้ว จึงถอดรองเท้าเข้าไปใกล้ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา คือถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ  พรรณนาทานการให้ก่อนแล้ว  พรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย  พรรณนาสวรรค์ คือ กามคุณที่บุคคลจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดี คือ ทานและศีล  พรรณนาโทษแห่งกามอันได้ชื่อว่าสวรรค์นั้น  พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฟอกจิตยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ให้เกิดธรรมจักษุ เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ฉะนั้น แล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง คือ อริยสัจ ๔ อย่าง คือ ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์ดับ และข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ ณ ที่นั้นแล้ว ภายหลังพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว จิตพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน

จากคุณ : ใจพรานธรรม   
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:50:38  
: cinta

 ความคิดเห็นที่ 18
แนะว่าทำทั้งสองทางครับ

เรียนให้จบ

ฝึกกรรมฐาน 

ผลในวันนี้เกิดจากเหตุของเมื่อวาน เหตุในวันนี้ส่งผลไปอนาคต

วันนี้รู้สึกอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเมื่อวานมัวแต่ดูชีวิตคนอื่น แต่ไม่ได้ทำจิตเราให้ผ่องใสหรือเปล่า

พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดจำเป็นต้องใช้วุฒิป.โท แต่วันนี้ไม่ได้เรียนให้จบ

มองยาวเป็นเรื่องดี แต่มองแต่ยาว แต่ไม่ทำอะไรในวันนี้ พรุ่งนี้ชีวิตก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

เริ่มเลยครับ ฝึกกรรมฐาน เรียนให้จบ พรุ่งนี้มาดูกันว่าผลจะเป็นยังไง

ขอให้หลุดจากอารมณ์นี้ไวๆครับ

จากคุณ : เส้นขอบฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกดิน  
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:46:47  
ถูกใจ : ฟ้าสีใส, cinta

 ความคิดเห็นที่ 19
เข้ามาเป็นกำลังใจให้

เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ว่า การภาวนามีช่วงเจริญ มีช่วงเสื่อม 

จิตใจมันขึ้นได้ลงได้ 

แต่สิ่งนึง ที่จะพิสูจน์ตัวเราได้

คือการที่ตั้งใจจะทำอะไร ต้องทำให้สำเร็จ

เรียนแล้ว แม้จะเครียด จะตัน ก็ต้องลุยให้สำเร็จ

สิ่งนี้จะเป็นพลังใจ เป็นอุปนิสัย เป็นบารมีติดตัว

หนทางธรรม การก้าวเดินในการชำระกิเลสนั้น

ต้องใช้พลังใจมากมายกว่านี้  กิเลสยังมีอุบายหลอกล่อเรา แนบเนียนกว่านี้

มากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

ขอให้รอจนจิตเลิกดิ้นรน เลิกเบื่อ จิตเริ่มเบา ปลง อยู่ตัว

แล้วกลับมาทำปริญญาโทให้สำเร็จเถอะค่ะ แม้จะเป็นความสำเร็จทางโลก

แต่มีความสำเร็จทางใจอยู่ในนั้นด้วยนะคะ

(แก้คำผิด)

แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 22:24:13

จากคุณ : ฟ้าสีใส 
เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:20:31  
ถูกใจ : เส้นขอบฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกดิน, cinta

 ความคิดเห็นที่ 20
ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ

หลังจากพูดคุยกับเพื่อน อาจารย์ และคนรู้จัก
รวมถึงอ่านความเห็นของเพื่อนๆทุกท่านที่เข้ามาตอบ
ก็เอากลับมาคิดกลับไปกลับมา
จนพอจะได้ไอเดียแล้ว
ตอนแรกก็บอกตัวเองว่า เอาล่ะ จะเรียนโทให้จบ พยายามเฮือกสุดท้าย โดยคิดซะว่า "เพื่ออาจารย์"
(ซึ่งกำลังของมันน้อยมาก ที่จะผลักเราให้ทำจริงๆ แต่ตอนนี้เรากำลังหาหลักยึด จึงเอาคำนี้ตั้งไว้ในจิตก่อน)


ต่อมาก็จินตนาการว่า หากเราไปจริงๆ 
เรามี ห่วง อะไร บ้างหรือไม่

ได้คำตอบหลักๆคือ ห่วงว่า หากเราไปวันนี้ วันที่ยังมีแรง
แล้ววันนึงจำเป็นต้องกลับมาอีก (เช่น แม่ป่วย เราป่วย ต้องใช้เงินก้อนใหญ่เมื่อเราอายุสี่สิบห้าสิบ)
ถึงตอนนั้น โลกจะยังรับเราอยู่หรือไม่
เราจะแก่เกินกว่า จะทำอะไรด้วยตัวเองหรือไม่

จึงได้คำตอบว่า งั้นให้เดตไลน์ตัวเองไว้ที่อายุสี่สิบ
จะทำทุกอย่างที่อยากทำ เก็บเงินให้ได้มากที่สุด ต่อยอดจากของเดิมที่พอมีอยู่บ้างให้ได้ตามเป้า
อย่างน้อยต้องมากพอให้เงินทำงานเองได้อย่างหมดห่วงในระดับหนึ่ง เมื่อเราไม่อยู่ 
เพื่อคนข้างหลัง จะได้มีใช้ หากเกิดอะไรขึ้น
เพื่อเราจะไม่ต้องรบกวนใครเมื่อเจ็บป่วยยามแก่ชรา

ระหว่างนี้ จะนั่งสมาธิภาวนาให้มากขึ้น
เพื่อดูว่า เราจะหันเข้าหาทางธรรมได้จริงหรือไม่
เริ่มจากปลายปีนี้ อาจไปซักสิบยี่สิบวัน (จากเมื่อก่อน สามวันเจ็ดวัน)
อยู่บ้านก็จะทำให้บ่อยขึ้น
และในอนาคตก็ตามแต่โอกาส จะอำนวย


ได้คำตอบเช่นนี้ ก็ยังเห็นตัวเองค้างคาใจกับอีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือ เรื่องเรียน

ไอ้ความรู้สึกค้างคานี้มันแปลก ทั้งๆที่ใจไม่ได้อยากเอาอะไรกับมัน
แต่กลับวางมันลงไม่ได้
แต่ก็ไม่แน่ใจว่า มันคืออะไร

และความคิดเห็นของคุณฟ้าสีใส มีคีย์เวิร์ดที่เราหาอยู่
คำนั้นคือ 

"แต่สิ่งนึง ที่จะพิสูจน์ตัวเราได้
คือการที่ตั้งใจจะทำอะไร ต้องทำให้สำเร็จ
เรียนแล้ว แม้จะเครียด จะตัน ก็ต้องลุยให้สำเร็จ
สิ่งนี้จะเป็นพลังใจ เป็นอุปนิสัย เป็นบารมีติดตัว"


ใช่แล้วค่ะ ปกติเราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วทำจนถึงที่สุด ทำด้วยใจรัก 
ความรักในสิ่งที่ทำเป็นแรงผลักดันให้เราทำทุกอย่างที่เราได้ทำมาทั้งชีวิต
ตอนที่เรียน ก็เรียนด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม ว่าจะทำมันให้สำเร็จเสร็จสิ้น
มาถึงวันที่อยากจะวาง จึงวางมันไม่ลง
เพราะใจเราลึกๆ รู้อยู่เต็มอกว่า การทิ้งไปเฉยๆนี่ไม่ใช่ตัวเราเลย

คนเราเวลาทำอะไรจนกลายเป็นนิสัย เป็นตัวตนของคนคนนั้น
สิ่งนั้นจะเป็นตัวกำกับ พฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิด ของเรา
และสิ่งนี้เองที่ดึงเรา จขกท ให้อยู่ในร่องในรอย
ให้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ให้ประสบความสำเร็จ
ให้ดำรงตนอยู่ในศีลในธรรมมาโดยตลอด

และหากเมื่อใดที่เราทำสิ่งที่ผิดไปจากความเป็นเรา เราจะรู้สึกว่าผิดต่อตัวเราเอง
ซึ่งตัวเราเองนั้นแหละ ที่จะยอมรับตัวเองไม่ได้ โดยไม่ต้องให้ใครมาดุว่า


ขอบคุณมากๆค่ะ เราคิดว่า เราได้คำตอบให้ตัวเองแล้ว

^_^

จากคุณ : cinta  
เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 00:57:14  

เครดิต : 



Create Date : 20 มีนาคม 2555
Last Update : 3 กันยายน 2558 0:40:54 น.
Counter : 1296 Pageviews.

2 comments
  
ความคิดเห็นที่ 21
ลองไปปฏิบัติธรรมที่สงบๆ ซัก 3 วันดูก่อนว่าเป็นอย่างไร

จากคุณ : Nirvanastream.com (สวรรค์รำไร)
เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 01:06:15


ความคิดเห็นที่ 22
ถ้ามีจุดหมายอยากบวชจริงๆ อายุมากเกินไปจะมีปัญหา เพราะร่างกาย จิตใจ และอะไรๆจะอ่อนแอไปมาก สัญญาในใจก็มาก ฝึกจิตยาก ฟุ้งซ่านง่าย พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงสรรเสริญการออกบวชตอนแก่ พระองค์ทรงบอกว่าคนแก่เป็นคนทุรพล(หมายถึงไร้สมรรถนะ หรืออ่อนสมรรถนะ) ตัวอย่างคือ..คนที่จะบวชเป็นพระภิกษุ มีข้อจำกัด ข้อห้ามหลายๆอย่าง อย่างหนึ่งในจำนวนข้อห้ามนั้นคือ เป็นคนแก่(แต่ไม่บอกชัดว่าแก่แค่ไหน)

อายุย่างเข้า ๔๐ อาจจะเริ่มแก่ไปแล้วสำหรับการออกบวช สำหรับคนในยุคนี้ .... แต่ก็ไม่แน่ ลองพิจารณาเทียบเคียงดูเอง

จากคุณ : โขตาน
เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 01:17:34
โดย: cinta วันที่: 20 มีนาคม 2555 เวลา:1:51:23 น.
  
แวะมาเยี่ยมยามค่ำ...สวัสดีครับ

โดย: **mp5** วันที่: 20 มีนาคม 2555 เวลา:21:35:46 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

cinta
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีค่า ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค้า
แบบว่ายังใหม่มากๆสำหรับที่นี่
เห็นบล็อกคนอื่นเค้าสวยๆงามๆก็ให้อิจฉาตาร้อนผ่าวๆ
ไม่รู้เค้าทำกันยังไง
ใครมีจิตเมตตาก็มาบอกกันมั่งเน้อ
free counters
New Comments