...ความสุขของนักเดินทาง..ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง..แต่อยู่ที่การได้เดินทาง...

เวียนนา นคราแห่งดนตรี

……ได้ฤกษ์กลับมาปัดฝุ่นบล็อกใหม่ หลังห่างหายจากการเขียนมาเกือบสองปี ช่วงเวลาที่ผ่านมาฉันมีอันต้องโยกย้ายที่ทำงาน เลยต้องทำตัวดีๆ ให้เจ้านายไว้ใจ ก่อนจะลาได้ยาวๆ เพิ่มการเดินทางในชีวิตเข้าไปอีก คริ คริ..ไล่เก็บย้อนที่ขาดหายไปเลยแล้วกันนะ...

“......กลับมาแล้วจ้า....”




ฉันตะโกนเข้าไปในบ้าน แข่งกับเสียงดนตรีคลาสสิคจากเครื่องเล่นที่เปิดอยู่ รู้สึกแปลกใจว่าชายหนุ่มของฉันนึกครึ้มอะไรขึ้นมาถึงได้ฟังดนตรีคลาสสิค ทั้งๆ ที่เขาไม่เห็นจะชอบดนตรีแนวนี้ซะหน่อย....พอเข้าไปในบ้านเห็นเขาปีนบันได เหมือนจะทำอะไรอยู่ ก็เลยถามขึ้น

“ปีนบันไดทำอะไรหรือคะ”

“ไม่ได้ทำอะไร ฟังเพลงน่ะ” เขาตอบ

“ว่าไงนะคะ ปีนบันไดฟังเพลง?”

“ใช่.. ก็นี่เพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ของโมซาร์ต เลยต้องปีนบันไดฟัง จะได้หูถึงสุนทรียของดนตรีไง”

บ้าจัง..... อีตานี่.....กวนจริงๆ เลย

ปกติรายนี้ชอบดนตรีแนวสนุกสนานที่ใช้เครื่องเคาะจังหวะ แนวเพอร์คัสชั่น แต่เป็นเพราะโปรโมชั่นของสายการบินออสเตรียนแอร์ไลน์ ที่นำเสนอแพคเกจทัวร์ ตั๋วเครื่องบินไปกลับออสเตรีย ที่พักสามคืนและตั๋วรถไฟภายในประเทศในราคาที่เย้ายวนใจ เลยทำให้เราสองคนไม่รีรอที่จะหาวันว่างให้ตรงกันแล้วซื้อแพคเกจทัวร์รายการนี้ พร้อมยืดวันเวลาที่จะเที่ยวในออสเตรียเพิ่มเติมเข้าไปอีก...



... อากาศที่เวียนนาช่วงเดือนกรกฎาคมค่อนข้างดีทีเดียว เย็นสบายไม่หนาวเกินไป ทำให้ไม่ต้องหอบกระเป๋าใบโตใส่เสื้อโอเวอร์โค๊ตมาด้วย ลากกระเป๋าเดินตามหาสัญลักษณ์รถไฟเข้าเมืองที่อยู่ในสนามบินนั่นแหละ ที่เวียนนามีรถไฟ City Airport Train จากสนามบินเข้าเมืองโดยเฉพาะ ตั๋วรถไฟเข้าเมืองซื้อได้ที่ตู้อัตโนมัติ จะใช้เงินสดหรือเครดิตการ์ดก็ได้ มีตารางเวลาบนจอ ขากลับยังสามารถเช็คอินที่สถานีรถไฟได้อีกด้วย สะดวกสุดๆ ได้ตั๋วก็ออกเดินไปตามลูกศรชี้ เดี๋ยวเดียวรถไฟก็มาจอด เอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่ชั้นวางข้างประตูแล้วหาที่นั่ง สิบหกนาทีต่อมา เราก็ลากกระเป๋าเดินลงที่สถานีปลายทาง Wien Mitte



การซื้อเพคเกจทัวร์กับสายการบินก็ดีอย่าง ไม่ต้องหาโรงแรมเอง แล้วโรงแรมที่มีในลิสต์ของเค้าส่วนมากก็เดินทางสะดวกทั้งนั้น ประเภทอยู่ใกล้สถานีรถไฟหรือสถานีรถไฟใต้ดิน เราต่อรถไฟใต้ดินอีกสามป้ายก็ถึงโรงแรม เช็คอินล้างหน้าล้างตา พักผ่อนครู่ใหญ่ก็ออกมาเดินปร๋อ เดินทางในตัวเมืองเวียนนาสะดวกมาก มีรถไฟใต้ดิน 5 สาย (U1- U6 ไม่มี U5) จุดแรกในการเที่ยวชมเวียนนาของเราสองคน คือนั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Stephanplatz เพื่อชมวิหารหลังคาสวย Stephansdom ซึ่งพอโผล่ขึ้นมาก็เจอวิหารอยู่ตรงหน้า



Stephansdom หรือ วิหารเซนต์สตีเฟ่น (St. Stephen's Cathedral) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1147 จุดเด่นคือหลังคาที่มีลวดลายสีสันสดใสแนวกราฟิก วิหารแห่งนี้ถือเป็นวิหารหลักที่มีความสำคัญของเวียนนา รอบๆ เป็นลานกว้าง มีรถม้าจอดเรียงรายด้านข้าง ส่วนบริเวณด้านหน้ามีนักแสดงเปิดหมวกมาเปิดการแสดง เล่นดนตรี หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราเดินถ่ายรูปรอบๆ วิหารแล้วเดินเข้าไปด้านใน มีส่วนแยกสำหรับนักท่องเที่ยวเข้าชมได้บางส่วนโดยไม่ต้องเสียเงิน อยู่ด้านในเดี๋ยวเดียวก็เดินออกมา จุดหมายต่อไปอยู่ด้านหลังวิหารนี่เอง



เราเดินแวะไปเยี่ยมบ้านโมสาร์ท (Mozarthaus Vienna) ซึ่งเป็นอพาร์ตเมนท์ที่โมซาร์ทเคยมาอาศัยอยู่ตลอด 4 ปี ในช่วงที่เขามาใช้ชีวิตอยู่ที่เวี่ยนนา อาคารนี้มีสามชั้น จัดแบ่งเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวของนักประพันธ์เพลงอัจฉริยะชื่อก้องโลก โซนดนตรี ห้องพักซึ่งมีของใช้โมซาร์ทบางส่วน และร้านขายของที่ระลึก เราเดินดูครู่หนึ่งก็ออกไปเดินต่อ



เดินกลับไปทางหน้าวิหาร บริเวณรอบๆ แถวนี้เรียงรายไปด้วยร้านกาแฟน่านั่ง อาคารแถบนี้มีรูปแบบที่สวยงาม มีถนนคนเดินเส้นยาวจากหน้าวิหารให้เดินดูข้าวของได้ตลอด ระหว่างทางเดินมีประติมากรรมน้ำพุ และประติมากรรมบนยอดอาคารหลากหลายแบบชวนให้ถ่ายรูปได้ไม่เบื่อ ร้านรวงแถบนี้ก็สวยงามละลานตา แถมตกแต่ง Display หน้าร้านได้อย่างน่าดู มีทั้งสินค้าแบรนด์เนม ร้านของที่ระลึก ร้านขายช๊อกโกแล็ตและเค๊กที่น่ากิน แต่ฉันมีร้านในใจอยู่แล้ว ตอนนี้เลยเดินเล่นชมเมืองไปก่อน



จุดท่องเที่ยวในโซนนี้เดินได้ต่อเนื่องกันโดยตลอด ถ้าไม่ขี้เกียจที่จะเดิน สามารถเดินทะลุไปยังอิมพีเรียล อพาร์ตเมนท์ของราชวงศ์ฮับสบรูกส์ (The Imperial Apartments) ซี่งประกอบด้วยอพาร์ตเมนท์ที่พักอาศัยของสมาชิกราชวงศ์ และพิพิธภัณฑ์ซิซี่ (Sisi Museum) ที่รวบรวมสิ่งของและเรื่องราวของจักรพรรดินีอลิซาเบธ จักรพรรดินีองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ฮับสบรูกส์



ภายในพิพิธภัณท์บอกเล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงแห่งแคว้นบาวาเรีย ที่ต้องอภิเษกสมรสกับจักรพรรดิ์ ฟรานซ์โจเซฟ แห่งจักรวรรดิออสเตรียโดยไม่เต็มใจเท่าไหร่ ต้องอยู่ในกฎระเบียบ ไม่เคยได้รับการสนใจจากองค์จักรพรรดิ์ สูญเสียพระธิดาองค์โต แถมพระโอรสองค์เดียวก็ทำอัตวิบากกรรม และสุดท้ายพระองค์เองก็ถูกลอบปลงพระชนม์… น่าสงสารจัง เราเดินถ่ายรูปอยู่แถวนี้สักพัก สมควรแก่เวลาฉันก็ลากชายหนุ่มไปยังร้านเค๊กเจ้าอร่อยที่หาแผนที่ไว้ล่วงหน้าแล้ว



ร้านเค๊กเจ้าดังของเวียนนามีชื่อว่า Café Sacher ราคาอาจแพงสักนิดแต่อร่อยมากกก....ขายทั้งเค๊กทั้งช็อกโกแล็ตหลากหลาย ต้องยอมกัดฟันซื้อกินให้สมใจหน่อย มายุโรปหลายครั้งก็จริงแต่นานๆ จะได้มาเจอร้านเค๊กแบบนี้สักที ร้านนี้มีสาขาอีกแห่งที่ซาลส์บวร์กด้วย เอาไว้อีกสองวันจะไปกินที่นั่นอีก ตอนนี้ขอหม่ำที่นี่ก่อน

แวะทานแถมหิ้วถุงขนมเดินออกจากร้านไปเที่ยวต่อ เนื่องจากมีเค๊กตุนไว้ในกระเพาะแล้ว เราสองคนจึงรวบมื้อเย็นกับมื้อเที่ยงไว้เป็นมื้อบ่ายแก่ๆ จุดหมายอยู่ที่ตลาดแนชท์มาร์ค (Naschmarkt) ซึ่งมีร้านอาหารเพียบ แต่เห็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มานั่งดื่มมากกว่านั่งทานอาหาร ตลาดแห่งนี้เปิดวันจันทร์ - เสาร์ ส่วนวันอาทิตย์เปลี่ยนเป็นตลาดนัดและสินค้ามือสอง เราแวะทานอาหารประเภทกระทะร้อน ควันฉุย ได้ปลาทอดอร่อยๆ อิ่มไปเลย เค๊กที่ซื้อมาเก็บไว้ละเลียดที่ห้องพักตอนเย็นๆ คนเดียว อิ อิ...



วันรุ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงคนเยอะ เราจึงนั่งรถไฟใต้ดินไปยังพระราชวังเชินน์บรุนน์ (Schonbrunn Palace )ตั้งแต่เช้าก่อนเลย ลงสถานี Schönbrunn ชื่อเดียวกันกับพระราชวัง โผล่ขึ้นมาข้างกำแพงทางเข้าหลักพอดี เราตัดสินใจถูกที่มาแต่เช้า คิวซื้อตั๋วยังไม่ยาวเท่าไหร่ มีกลุ่มทัวร์ญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่กำลังทยอยเดินเข้ามา แต่พวกเขาซื้อตั๋วกรุ๊ปทัวร์เลยได้เข้าไปก่อน ตั๋วเข้าชมมีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบถูกสุดชมพระราชวัง 35 นาที 22 ห้อง Grand tour ชมพระราชวัง 50 นาที 40 ห้อง Classic Pass ชมพระราชวังและอื่น ๆ เช่น โซนเขาวงกต ส่วน Gold Pass แพงสุด ควรมีเวลาไม่ต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมง



พระราชวังแห่งนี้เคยใช้เป็นที่พำนักของราชวงศ์ฮัมบูร์ก มาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 - 20 สร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในยุคสมัยที่จักรวรรดิออสเตรียเรืองอำนาจ โดยเริ่มจากจักรพรรดิโยเซฟที่ 1 ซึ่งหวังจะให้ยิ่งใหญ่กว่าพระราชวังแวร์ซายน์ แต่ต่อมาในรัชสมัยของพระจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซาก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและสีสัน ซึ่งถึงแม้ว่าภายนอกจะดูไม่วิจิตรพิศดารมากนัก แต่ภายในมีความงดงามมาก และก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป



ภายในพระราชวังมีห้อง 1,441 ห้อง เเต่เปิดให้เข้าชมเพียง 400 ห้อง เราใช้เวลาเดินชมห้องต่างๆ ประมาณชั่วโมงเศษ ผ่านห้องซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ห้องบรรทมของจักรพรรดินีอลิซาเบธ ห้องทรงงาน ห้องรับรอง ห้องแกลลอรี่ ไปจนถึงห้องอื่นๆ ว่ากันว่าพระราชวังนี้เป็นหนึ่งในสามพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ของยุโรป และมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพระราชวังแวร์ซายน์ของฝรั่งเศสเสมอๆ ในเรื่องของความหรูหราอลังการ



นอกจากตัวอาคารแล้ว พระราชวังเชินน์บรุนน์ยังมีพื้นที่กว้างขวาง เดินจนเมื่อยหากจะต้องการดูให้ทั่ว ทั้งสวนดอกไม้ ประติมากรรมน้ำตก สวนปาล์มและสวนสัตว์ เราเดินขึ้นไปเยือนนกอินทรี (Glioriette) ผ่านประติมากรรมน้ำตกขึ้นไปยังเนินเขา ขึ้นไปนั่งชมภาพในมุมสูงที่มองเห็นอาณาบริเวณอันกว้างขวางของพระราชวังแห่งนี้ และเพราะเราเดินจนเหนื่อย จึงใช้เวลาอยู่ที่นี่นานหน่อย เอ้อระเหยรับลมเย็น ดูนักท่องเที่ยวที่เริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ



เรานั่งเล่นอยู่นานทีเดียว ก่อนจะเดินกลับมาบริเวณอาคารพระราชวังเพื่อจะไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ก็ได้ยินเสียงเพลงเพราะมาก มีนักดนตรีกลุ่มใหญ่กำลังบรรเลงดนตรีคลาสิค และมีชายหญิงในชุดเครื่องแต่งกายโบราณสามคู่กำลังเต้นรำ เลยเข้าไปหยุดดูครู่หนึ่งก็เลิกเล่น หันมาโค้งให้กับผู้ชม เราสองคนจึงเดินออก



กลับออกจากพระราชวังเราก็ไปหาอะไรทานมื้อเที่ยง แล้วก็นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีสตาร์ดพาร์ค (Stadtpark) แวะเดินเล่นในสวนเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ อากาศเย็น ต้นไม้กำลังเขียวขจี ชวนให้รู้สึกสบายจนไม่อยากเดิน เปลี่ยนเป็นเอ้อระเหยอยู่ในสวน ดูกระรอกสีสวยวิ่งไปมา แล้วก็เดินไปถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นของโยฮันสเตราส์ (Johann Strauss) นักดนตรีเอกซะหน่อย



เวียนนาเป็นดินแดนแห่งนักดนตรีอยู่แล้ว คีตกวีและนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงก้องโลกหลายต่อหลายคนล้วนแล้วแต่เป็นคนออสเตรีย ไม่ว่าจะเป็น โมสาร์ท, บราห์ม, ชูเบิร์ต, โยฮันสเตราส์ ที่เวียนนานี้จึงมีสถาบันดนตรีมากมาย เราเจอเด็กๆ แบกกระเป๋าใส่ไวโอลิน วิโอล่า กระทั่งบางคนแบกแชลโล่ตัวโต เดินไปมา มีเด็กญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่สะพายกระเป๋าเครื่องดนตรีขึ้นรถไฟใต้ดินขบวนเดียวกับเรา เห็นแล้วรู้สึกดีจัง แต่เสียดายที่โลโซอย่างเราสองคนไม่ได้มีความรู้และความสนใจในดนตรีคลาสสิคมากนัก แนวเพลงถนัดของเราดูจะเป็นแนวเพลงเพื่อชีวิตซะมากกว่า ประเภทหนุ่มบาว สาวปาน..อิ..อิ..เราจึงไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าชมดนตรี หรืออุปรากรที่จัดแสดงทุกวันในโรงอุปรากรกลางเมือง ได้แต่ผ่านไปดูเฉยๆ



นอกจากนั้นที่เวียนนายังมีหอศิลปะ และงานจิตรกรรมของศิลปินหลายคนที่น่าสนใจเช่นที่ Secession ซึ่งเราแวะไปถ่ายรูปแต่ไม่ได้เข้าไปดู สรุปว่าเวลาสองคืนสองวันเต็มในเวียนนาสำหรับเราสองคนได้เห็นและสัมผัสอะไรเยอะทีเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปฟังดนตรีคลาสสิคหรือดูโอเปร่าก็เถอะ

......พรุ่งนี้เราจะเดินทางต่อ มีตั๋วรถไฟในมืออยู่แล้วนี่ ที่หมายของเราคือแวะไปเยี่ยมบ้านเกิดของโมสาร์ทซะหน่อย แล้วก็แวะไปดูโลเกชั่นของ “The Sound of Music” ภาพยนตร์เพลงที่โด่งดังตั้งแต่ยุคคุณแม่ยังสาว ซึ่งสมัยที่ฉันเป็นเบบี๋ แม่เคยสอนให้ฉันร้องเพลงในเรื่องด้วย.....

.......โด่...เร....มี....ฟา...ซอล....ลา....ซี...โด๊.....ยุคนี้มีใครรู้จักไหมเนี่ย !!




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2555   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 23:44:05 น.   
Counter : 1453 Pageviews.  

ผู้ชายเยอรมัน.. รถเยอรมัน

....ฉันนั่งนิ่งอยู่ในรถยนต์คันเล็กของเพื่อนชาวเยอรมันตัวใหญ่ เราสามคนอยู่บนทางด่วนออโต้บาร์น ระหว่างการเดินทางจากสตุ๊ทการ์ทไปมิวนิค เข็มความเร็วบนหน้าปัทม์ชี้ที่ 100 ไมล์ต่อชั่วโมง...ไมล์นะ.. ไม่ใช่กิโล..



“ยูรู้ไหมว่าผู้ชายเยอรมัน รักและห่วงอะไรมากที่สุด”

เพื่อนชาวเยอรมันหันมาถามฉันที่กำลังนั่งลุ้นให้เขาลดความเร็วลงบ้าง ฉันส่ายหน้า เขาพูดต่อ

“มีสามอย่างที่ผู้ชายเยอรมันรักและห่วงมากที่สุด อันดับแรกคือรถยนต์ อันดับสองรองลงมาคือหมา และอันดับสามคือภรรยา ฮ่าๆๆ”

เขาตอบแล้วหัวเราะร่วน คำตอบนี้เล่นเอาชายหนุ่มที่มาด้วยกันผสมโรงฮา เรื่องภรรยากับหมานี่ไม่รู้ แต่เรื่องรถยนต์นี่พอเดาได้ ไม่ใช่คนเยอรมันหรอกหรือที่ผลิตรถยนต์คุณภาพออกสู่ตลาดโลก แล้วก็ไม่ใช่รถเยอรมันแพงๆ หรอกหรือที่ใครต่อใครในบ้านเราอยากเป็นเจ้าของกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตราดวงดาวหรือใบพัดฟ้าขาว ถ้าผู้ชายเยอรมันไม่ทุ่มเทความคลั่งไคล้ให้กับรถยนต์จริงๆ ล่ะก็ ไม่มีทางผลิตรถคุณภาพดีๆ เหล่านี้ได้แน่




ออโต้บาห์นในเยอรมันเปรียบเสมือนฟรีเวย์สำหรับผู้รักความเร็ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นรถสปอร์ตจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง มาขอยืมถนนที่นี่เป็นที่กดคันเร่งระบายความเร็ว แต่ใช่ว่าออโต้บาห์นทั้งสายสามารถซิ่งได้ไม่จำกัด บางช่วงก็มีป้ายกำหนดความเร็วเอาไว้ด้วย และกฎหมายที่นี่ก็แรงอยู่แล้ว เราสามคนในรถถึงกับหัวเราะก๊าก เมื่อเห็นรถสปอร์ตสองคันที่แซงเราไปอย่างกับจรวดเมื่อครู่ ลดความเร็วลงอย่างฉับพลัน แล้วก็ขับช้าๆ ตามหลังรถตำรวจที่แล่นอยู่ข้างหน้า!



เยอรมัน เป็นแหล่งกำเนิดรถยนต์คุณภาพมากมายหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น Mercedes Benz, BMW, Audi, Volkswagen ไปจนถึง Porsche แถมยังซื้อกิจการบริษัทรถยนต์อื่นๆ ทั่วโลกอีกหลายราย วันนี้เรากำลังจะไปเยือน BMW Welt ศูนย์แสดงรถยนต์และเทคโนโลยีของ BMW ในมิวนิค บ้านเกิดของรถยนต์หรูโลโก้ใบพัดฟ้าขาวตามความต้องการของชายหนุ่มเค้า เรื่องรถราฉันไม่ค่อยจะรู้เรื่องกับเขานักหรอก ได้แต่ขับอย่างเดียว อย่างอื่นปล่อยเป็นธุระของเขา เพราะฉะนั้นคราวนี้ฉันจึงทำตัวเป็นผู้ตามที่ดี ในเมื่อมีผู้ชายเยอรมันและผู้ชายไทยที่ชอบเรื่องรถอยู่ด้วยทั้งที เรื่องราวต่างๆ ในนี้จึงขอยกให้คุณชายทั้งสองเป็นคนถ่ายทอดให้ฉันนำมาเรียบเรียง



BMW Welt หรือในความหมาย BMW World อยู่ห่างออกมาจากตัวเมืองมิวนิคพอควร ถ้ามาทางรถไฟใต้ดินจากในเมืองก็ลงสถานีเดียวกับสนามกีฬาโอลิมปิคแล้วเดินอีกหน่อย แถบนี้เป็นถิ่นของ BMW เค้าโดยเฉพาะ มีทั้งพิพิธภัณฑ์และโรงงานผลิตอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กัน ศูนย์นิทรรศการแห่งนี้ไม่ต้องเสียสตางค์ค่าเข้าชม ตัวอาคารออกแบบได้อย่าง “เดิ้น” มาก จุดเด่นอยู่ตรงอาคารโคนกระจกคู่บิดเป็นเกลียว โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์และเทคโนโลยีการก่อสร้าง สมกับเป็นสถานที่สำหรับยานยนต์ระดับโลก



อาคารสีเงินที่ดูล้ำสมัยแห่งนี้เป็นทั้งโชว์รูม ศูนย์ส่งมอบรถให้ลูกค้า และศูนย์แสดงเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของ BMW ซึ่งเป็นที่แสดงตัวตนของ BMW ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ไม่เฉพาะรถยนต์แต่รวมไปถึง รถมอเตอร์ไซด์ ทั้ง Big Bike และ Cruiser เครื่องยนต์ เทคโนโลยีพลังงานทดแทน รถจักรยาน สินค้าไลฟ์สไตล์ ในแต่ละปีมีผู้มาเยี่ยมชม BMW Welt แห่งนี้ปีละกว่า 850,000 คน



เราเดินผ่านประตูเข้าไป ข้างในจะเป็นเหมือน Hall ขนาดใหญ่ที่มีเพดานสูง มีชั้นลอยในลักษณะ Permanent Display อยู่กึ่งกลาง ชั้นล่างเรียงรายไปด้วยรถยนต์ BMW โมเดลล่าสุด ทั้งสปอร์ต Z4 และ M3 อ๊อฟโรด X6, X5, X3 รวมไปถึงรถยนต์นั่ง Series 3, 5, 7 บีเอ็มดับเบิ้ลยูเป็นผู้นำในการใช้ตัวเลขในการกำหนดรุ่นของรถและเครื่องยนต์ เช่น BMW 320d ก็คือรถนั่งอนุกรม 3 เครื่องยนต์ดีเซล(d) ขนาด 2,000 cc ซึ่งแตกต่างกับรถญี่ปุ่นที่ใช้ชื่อเรียกเป็นตัวกำหนดรุ่นเช่น Toyota รุ่น Camry หรือรุ่น Corolla

พูดถึงรถญี่ปุ่น การสร้างคุณค่าและความน่าเชื่อถือของรถเยอรมันทั้ง Mercedes Benz และ BMW ให้คงอยู่ในระดับ Premium ไว้ตลอด ทำให้รถญี่ปุ่นหลายยี่ห้อพยายามที่จะเจาะตลาดบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ นั่นเป็นเหตุผลให้ TOYOTA ต้องปั้นรถ LEXUS ขึ้นมาอีกยี่ห้อ เพื่อสร้างภาพพจน์อีกระดับให้แตกต่าง ถึงจะสามารถก้าวสู่ตลาดระดับบนได้




กลับมาทัวร์ต่อ บริเวณชั้นลอย ที่จัดเหมือน Display จุดพักรถบน Free way นั้น แท้จริงแล้วบนนี้แหละคือพื้นที่ส่งมอบรถให้กับลูกค้าที่สั่งจองไว้ ส่วนนี้จะอนุญาตให้เฉพาะลูกค้าที่มารับรถใหม่ในแต่ละวันขึ้นไปเท่านั้น ไม่เปิดสำหรับบุคคลทั่วไป มีทางเดินชั้นสองฝั่งตรงข้ามไปยังร้านขายหนังสือ ของที่ระลึกและทางเชื่อมไปยังโชว์รูมเฉพาะกิจด้านนอก ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามแต่จะเอารถรุ่นไหนขึ้นเป็นพระเอก ด้านใต้ชั้นลอยเป็นพื้นที่แสดงเทคโนโลยีความก้าวหน้าต่างๆ ตั้งแต่การออกแบบ เครื่องยนต์ รถแข่งฟอร์มูล่า วัน รวมไปจนถึงระบบเตือนภัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ต่างๆ



ฉันเดินดูรถกับเขาด้วย เสร็จแล้วก็เข้าไปดูสินค้าไลฟ์สไตล์ ซึ่งมีทั้งเสื้อ กระเป๋า หมวก ปากกา อุปกรณ์กีฬา ที่ล้วนแต่มีโลโก้ BMW ประดับอยู่ทั้งสิ้น สาวกตัวจริงเห็นคงเลือกไม่ถูก ดูราคาแล้วก็แพงทีเดียวล่ะ โดยส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าของไลฟ์สไตล์ที่มีโลโก้ BMW นี้ เหมาะกับผู้ชายมากกว่า ส่วนพวกสินค้าไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับสาวสวยนิสัยดี อ่อนโยน รักธรรมชาติอย่างฉัน ไม่ใช่ของเยอรมันแน่นอน ถ้าเป็นของฝรั่งเศสก็ว่าไปอย่าง




นอกจากนั้น ยังมีมุมรถจักรยาน BMW หลากหลายรุ่นและรูปแบบให้เลือก แต่เห็นราคาแล้วก็อึ้ง และยังมีมุมสินค้าสำหรับสมาชิกครอบครัวตัวน้อย ทั้งรถยนต์สำหรับเด็กที่ใช้ไฟฟ้าและพลังขา จักรยานคันเล็ก และรถโมเดลของเล่น ดูท่าจะสร้างให้เกิด Brand Loyalty ปลูกฝังจองตัวกันตั้งแต่วัยเยาว์ไว้ล่วงหน้าเลย




จริงๆ แล้ว เราสามารถซื้อตั๋วเข้าไปชมโรงงานผลิตที่อยู่ใกล้ๆ ได้เลย แต่ชายหนุ่มที่มาด้วยคงกลัวฉันเบื่อแย่ เลยไม่ไปดู แต่เลือกที่จะเข้าชม BMW Museum แทน และอย่างที่บอกไว้ ฉันไม่ใช่คนที่มีความรู้เรื่องรถยนต์มากมายนัก แต่การมาเยือนถึงถิ่นคราวนี้ก็ต้องยอมรับโดยปริยายว่า..ผู้ชายเยอรมัน ผลิตรถยนต์เยอรมันได้ดีจริงๆ..

....แล้วสำหรับผู้หญิงไทยคนหนึ่ง ที่ไม่รู้เรื่องรถรา เครื่องยนต์กลไกอะไรเลยอย่างฉันล่ะ..แค่ ขอเป็นเจ้าของรถเยอรมันสักคันก็แล้วกันนะ..อิ..อิ..

...กลับไปช่วยเปลี่ยนคันใหม่ให้หน่อยนะค้า..นะ..นะ...ขอรถเยอรมัน นะค้า...จุ๊บ..จุ๊บ…




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2553   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2553 13:56:53 น.   
Counter : 1178 Pageviews.  

บุกป่าดำ เที่ยวงานวัด ที่สตุ๊ตการ์ท

ครั้งหนึ่ง...ครั้งหนึ่งเธอจำได้ไหม...สองเราเคยเที่ยวงานวัดบ้านใต้ ทำบุญปิดทององค์พระมาลัย ก่อพระเจดีย์ทรายร่วมกัน.....เพลิดเพลินเคยเดินด้วยกันแทะไหมฝันดูรถไต่ถัง หยอกเย้าบนชิงช้าสวรรค์ ถ่ายรูปคู่กันกินขนมจีนข้างทาง....



เพลงของวงดนตรี “เพื่อน” สมัยยังเด็กๆ แวบขึ้นมาในโสตประสาท ระหว่างที่ฉันก้าวเข้าไปในบริเวณงาน ในเมืองสตุ๊ตการ์ท (Stuttgart) เมืองหลวงของรัฐบาเดน-เวือร์ทเทมแบร์ก ประเทศเยอรมัน เทศกาลคาร์นิวัลเพิ่งผ่านพ้น แต่สวนสนุกเคลื่อนที่ยังคงปักหลักอยู่ต่ออีกสามสี่วัน เราเลยได้โอกาสมาเดินเล่น ดูบรรยากาศแบบงานวัดของฝรั่งดูบ้าง

ฉันอยู่ที่เมืองสตุ๊ตการ์ทนี้กับชายหนุ่มได้สองวันแล้ว เมืองนี้อยู่ในลิสต์การเดินทางมาเยอรมันของเขา ด้วยเหตุผลที่เมืองนี้เป็น “บ้านเกิด” ของรถสายพันธุ์เยอรมันที่มีสาวกทั่วโลกอย่าง เมอร์เซเดส เบนซ์ และ ปอร์เช่ สปอร์ตพันธุ์แรง และเมืองนี้ยังอยู่ใกล้กับเขตป่าดำ (Black Forest) ที่เราไปเดินลุยมาแล้วก่อนจะกลับมาเที่ยวงานนี้



ทุ่มกว่าแล้ว แต่ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ แสงสีและผู้คนยิ่งทำให้ย้อนระลึกถึงตอนเยาว์วัยสมัยยังอยู่ต่างจังหวัด ฉันชอบชิงช้าสวรรค์มาก มีงานที่วัดทีไรต้องให้แม่พาไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ สำหรับโลกใบเล็กของเด็กหญิงตัวน้อย เจ้าวงล้อที่ประดับไปด้วยไฟนีออนหลากสีนั้นดูยิ่งใหญ่ ยิ่งเมื่อกงล้อหมุนลอยสูงพาขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดก็ยิ่งตื่นเต้น แต่เมื่อเจริญวัยได้ออกมาเห็นโลกกว้างขึ้น ชิงช้าสวรรค์ตามงานวัดที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ชื่นชอบ ดูจะกลายเป็นของเด็กๆ ไปเลย เมื่อเทียบกับลอนดอนอาย กงล้อยักษ์ในลอนดอน



ผู้คนเดินขวักไขว่ สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีเครื่องเล่นต่างๆ มากมายให้เลือกเล่น ทั้งรถไฟเหาะ ชิงช้าสวรรค์วงใหญ่ ซุ้มยิงปืนเลเซอร์แลกตุ๊กตา วงล้อหมุน รวมไปถึงเครื่องเล่นหวาดเสียว ทั้งไวกิ้ง Rollercoaster หมุนจนเวียนหัว หรือประเภททิ้งดิ่ง แน่นอน ฉันเลือกเล่นเครื่องเล่นที่เหมาะกับวัยรุ่นตอนปลายสายอาชีพอย่างเรา คือรถไฟเหาะ จานหมุนที่ลอยสูงรวมถึงเครื่องเล่นแบบหมุนเหวี่ยงกลับหัว แล้วหาไอสกรีมอร่อยๆ กิน เดินเล่นดูผู้คนก่อนกลับไปหลับสบายจากกิจกรรมหลากหลายตลอดทั้งวัน…..



ย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ตอนเช้า เนื่องจากที่พักเราอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟซึ่งอยู่ใจกลางเมือง สามารถเดินเล่นชมเมืองได้อย่างสะดวก วันแรกในเมืองนี้เราจึงทำตัวแบบง่ายๆ ไปเดินตลาดสตุ๊ตการ์ท หรือ สตุ๊ตการ์ทมาร์เก็ต (Verkaufszeiten der markthalle) ดูชีวิตของคนเยอรมันตั้งแต่เช้าตรู่ ตลาดในร่มสองชั้นแห่งนี้สะอาดสะอ้าน ชั้นล่างวางขายสินค้าประเภทอาหาร ทั้งไส้กรอก ขาหมู ชีส ผลไม้ ไวน์ ผักต่างๆ และอีกสารพัด ส่วนชั้นบนเป็นร่านอาหารและห้างสรรพสินค้าขนาดย่อมที่ขายเครื่องครัว เครื่องใช้ภายในบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์อื่นๆ เราซื้อผลไม้และไส้กรอก ซึ่งมีสารพัดชนิดให้เลือกไว้เป็นเสบียงสำหรับมื้ออื่นๆ แล้วออกไปเดินเล่นแถว City Hall ผ่านโบสถ์เล็กๆ ที่มีตลาดนัดแบบชาวบ้านวางของขายเต็มไปหมด ทั้งผัก ผลไม้ ดอกไม้สวยๆ และแยมแบบโฮมเมด



สัญญลักษณ์ของเมืองสตุ๊ตการ์ท เป็นรูปม้า ซึ่งมีให้เห็นในหลายๆ จุดของเมือง และยังถูกนำไปใช้เป็นตราสัญญลักษณ์ทั้งในทีมฟุตบอล Stuttgart Football Club ทีมในบุนเดสลีก และใช้เป็นโลโก้ของรถสปอร์ตสายพันธ์แรง ที่เรากำลังจะแวะไปเยือน เราเอาอาหารที่ซื้อมาจากตลาดไปเก็บไว้ในที่พัก เดินกลับออกมาที่สถานีรถไฟ นั่งรถไฟสายชานเมือง S6 (S- Barn Number 6) ใช้เวลาครู่หนึ่งเราก็ลงมายืนบนชานชาลาสถานีเล็ก ๆ หน้าตาเหมือนป้ายรถเมล์แต่มีโลโก้ Porsche ติดอยู่ เบื้องหลังสถานีเล็กๆ นี้คือศูนย์กลางของสายการผลิตรถสปอร์ตสายพันธ์เยอรมันที่ยิ่งใหญ่ “ปอร์เช่” (Porsche) ที่ชายหนุ่มของฉันหลงใหล แต่รับรองว่าไม่มีปัญญาเป็นเจ้าของแน่นอน



ที่นี่เป็นทั้งโรงงานผลิต โชว์รูมขนาดใหญ่ และพิพิธภัณฑ์ (Porsche Museum) ซึ่งเรื่องและประวัติต่างๆ ของรถยี่ห้อนี้ เอาไว้ให้ชายหนุ่มว่างแล้วฉันจะจับเขามาถ่ายทอดบรรยากาศและเรื่องราวในช่วงที่เราเข้าไปเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์นี้ สรุปโดยคร่าวๆ ก็คือ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดเมื่อเดือนมกราคม 2552 ค่าเข้าชม 8 ยูโร ภายในจัดแสดงรถรุ่นต่างๆ ของปอร์เช่กว่า 80 คัน นับตั้งแต่ 60 ปีแห่งสายการผลิต รูปแบบอาคารภายนอกออกแบบได้ล้ำสมัย ดูหวือหวาสมกับคาแรคเตอร์รถสปอร์ตหรูสายพันธ์เยอรมัน



เราใช้เวลานานพอควรทีเดียว ฉันเองแม้ไม่ค่อยสนใจเรื่องรถราแต่ก็ยังอดตื่นตาตื่นใจไปด้วยไม่ได้ ภายในพิพิธภัณฑ์ตกแต่งแบบเรียบง่าย ใช้สีขาวเป็นหลัก เน้นจุดสนใจที่รถแต่ละรุ่น ไล่เรียงประวัติตั้งแต่สมัยที่ร่วมกับโฟล์คสวาเก้น ออกแบบรถโฟล์คเต่า ซึ่งกลายเป็นรถอมตะนิรันดร์กาลมีใช้งานจนถึงปัจจุบัน จนกระทั่งสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นมา และด้วยจุดเด่นในเรื่องเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง กลายเป็นรถสปอร์ตพันธุ์แรง



มีหลายๆ มุมที่ฉันชื่นชอบ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะรถจอดให้ดูเฉยๆ เช่น จอขนาดใหญ่บนผนัง ที่แสดงเส้นร่างด้านข้างของรถแต่ละ Model แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งที่ผลิตรุ่นใหม่ๆ ออกมา โดยมีรุ่น classic คือ Porsche 911 อีกจุดเป็นพื้นที่ให้เราเดินเข้าไปยืน ด้านบนเหนือศีรษะเป็นครอบวงกลม พอเราเดินเข้าไปก็มีเสียงสตาร์ทรถ และเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ดังขึ้น โดยมีไฟ LED บอกว่ากำลังฟังเสียงของรถรุ่นไหนอยู่



เราออกออกมาจากพิพิธภัณฑ์ โดยมีเพื่อนผู้อารีชาวเยอรมันมารับตามเวลานัด สองสามีภรรยาลางานเพื่อพาเราไปเดินป่า บ่ายกว่าแล้วขณะที่เรากำลังมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่ เมืองไฟรบวร์ก เพื่อไปยังป่าดำ หรือ Black Forest หรือที่เรียกในภาษาเยอรมันเรียกว่า "ชวาสวาลด์" (Schwarzwald) ที่เรียกว่าป่าดำเป็นเพราะผืนป่านี้หนาทึบไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์โดยเฉพาะมีต้นสนสีเขียวเข้มขึ้นอยู่หนาแน่น และมืดครึ้มตลอดปี




จุดที่เราจะไปกันเป็นชายขอบส่วนหนึ่งของป่าดำ ริมทางมีจุดจอดรถหลายจุดเป็นระยะๆ หาที่จอดได้เราก็เริ่มต้นเดิน อากาศเย็นสบาย ต้นไม้เขียวขจี มีเส้นทางเดินป่าให้เลือกหลายเส้นทาง แต่ละเส้นทางจะมีป้ายบอกว่าจะไปสิ้นสุดที่ไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ เราเดินไปตามทางที่มีลำธารเล็กๆ คู่ขนานไปกับทางเดิน ผ่านจุดสำหรับแคมปิ้ง ก่อไฟโดยเฉพาะ เราเดินแซงพ่อแม่ที่พาเด็กๆ มาเดินป่ากันหลายต่อหลายครอบครัว เห็นแล้วรู้สึกอิจฉาคนที่นี่ ที่ใช้ชีวิตในเมืองโดยมีธรรมชาติที่สมบูรณ์อยู่ไม่ห่างเลย เราใช้เวลาเดินป่าเกือบสามชั่วโมง แล้วย้อนกลับทางเดิมมายังรถที่จอดอยู่




....เรากลับเข้าเมืองสตุ๊ตการ์ทด้วยความอิ่มเอม ปนเมื่อยขานิดหน่อย เดี๋ยวหลังอาหารเย็น พักขาแล้วเราจะไปเดินเล่นในงานวัด เป็นการปิดท้ายของวัน...




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2553   
Last Update : 22 กรกฎาคม 2553 14:33:56 น.   
Counter : 877 Pageviews.  

โดดเดี่ยว เดียวดายในปารีส

....เขาทิ้งฉันไปแล้ว...ไม่ใช่ความฝัน แต่นี่คือความจริง..ฉันกล้ำกลืนความรู้สึกไว้ในอก เดินไปอย่างเดียวดายริมถนนชองป์เอลิเซ่ส์ ในมหานครปารีส... ไม่เป็นไร.. ท่องไว้.. ไม่เป็นไร..เราต้องอยู่คนเดียวได้สิ...



ว่าแล้วก็กำกระเป๋าสตางค์แน่น อย่างน้อยก็ยังมีบัตรเสริมให้อุ่นใจ อิ.. อิ.. บัตรของเราไม่ยอมใช้ ตามองไปข้างทาง นั่นไง.. ร้านหลุยส์ วิคตอง อยู่นี่เอง!

ชายหนุ่มที่อุตส่าห์บินมาส่งถึงปารีส ..ไปแล้ว บินกลับเมืองไทยแล้ว ทิ้งฉันให้ผจญภัยอยู่ตัวคนเดียว ใจร้ายจัง แต่อุ๊ย..จะโทษเขาก็ไม่ได้ เขาลางานได้แค่นั้น ฉันสิ ถูกส่งมาดูงานคนเดียวโดดๆ ไม่มีเพื่อนร่วมงานมาด้วยเลยสักคน ส่งผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งมาไกลถึงฝรั่งเศสเพียงลำพังแบบนี้ เจ้านายต้องแกล้งกันแน่ๆ

... แง๊.. เจ้านายไม่รักหนู !.....



แต่ช่างเถอะ ปารีสกับฉันไม่ถึงกับแปลกหน้า สงสัยเป็นเพราะไปยืนอฐิษฐานทุกครั้งตรงศูนย์กลางกรุงปารีส หน้าโบสถ์นอตเตรอดาม เลยได้มาแล้วมาอีกเป็นครั้งที่สาม คราวนี้มีเวลาในปารีสหนึ่งอาทิตย์เต็ม ดูงานไปด้วย เที่ยวไปด้วย กำลังเดินอย่างมาดมั่นไปข้างหน้า ทันใดก็ต้องชะงัก จู่ๆ อาเจ๊ มาจากไหนก็ไม่รู้โผล่พรวดมาดักหน้าแบบไม่ทันตั้งตัว

“ ขอโทษนะค้า..คุณเป็นนักท่องเที่ยวใช่ไหมค้า” เจ๊เธอเล่นภาษาอังกฤษสำเนียงเอเชีย

“ค่ะ” ฉันตอบรับทั้งๆ ที่ยังงงๆ อยู่

“ คือ ฉันจะฝากซื้อกระเป๋าหลุยส์หน่อยค่า ฉันมาเที่ยวทั้งที ซื้อได้แค่ใบเดียว ญาติฉันเขาฝากซื้ออีกใบ รบกวนคุณช่วยหน่อยนะค๊า”

เจ๊...มุกนี้รู้ทันน่า เจ๊จะเอาไปขายต่อไม่ว่า หลุยส์ที่ร้านนี้ขายให้คนละใบเท่านั้น กฎของร้านคือพาสปอร์ตหนึ่งเล่มซื้อสินค้าได้หนึ่งชิ้น เจ๊ซื้อไม่ได้เพราะพนักงานทั้งร้านเขาจำหน้าเจ๊ได้หมดแล้ว

“ไม่ค่ะ...ฉันไม่ได้จะเข้าร้านค่ะ ขอโทษนะคะ”

ฉันตอบแล้วก็เดินต่อ ปล่อยให้เจ๊แกดักรอนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ ของแกต่อไป เพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งมาก็เจอแบบนี้ อีตานั่นก็ใจดี๊ ใจดี เป็นธุระไปซื้อให้เธออีก เฮ้อ... มาร้านนี้ไม่ได้คิดจะซื้อกระเป๋าหรอกนะ แต่ชอบดู display ของร้านมากกว่า กระเป๋าสวยน่ะยอมรับ แต่ราคาสิ เอาเงินไว้เที่ยวดีกว่า



ว่าแล้วก็เดินต่อ บนถนนชองป์เอลิเซ่ส์เส้นนี้ นอกจากประตูชัยที่ใครๆ ต้องมาถ่ายรูปด้วยแล้ว ยังมีร้านรวงต่างๆ ที่ประดับประดาตกแต่งร้านอย่างสวยงามให้เดินช๊อป เดินชมได้ไม่เบื่อ แถมมีร้านอาหารที่ฉันหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องมานั่งละเลียดกินอาหารฝรั่งเศสอร่อยๆ เลียนแบบชาวปาริเชียง ริมถนนเส้นนี้ให้ได้สักครั้ง

แล้วมื้อกลางวันของวันนี้ ฉันก็ฝากท้องไว้ที่ร้าน Leon de Bruxelles ริมถนนชองป์เอลิเซ่ส์ กับเมนูหอยแมงภู่อบชีสแสนอร่อยแล้วเดี๋ยวจะนั่งรถไฟใต้ดินไปยืนอฐิษฐานที่หน้ามหาวิหารนอตเตรอดามอีกรอบ ตามด้วยไอสกรีมโฮมเมดสุดอร่อย ที่ร้านดังใกล้ๆ วิหาร สำหรับคนชอบไอสกรีม นอกจากประเภทโฮมเมดแล้ว มายุโรปขอแนะนำยี่ห้อ “Movenpick” สกู๊ปละ 2 ยูโร ซึ่งในเมืองไทยแพงมาก รับรองไม่ผิดหวัง



ทุกครั้งที่มาปารีส เราสองคนก็ยังต้องวนเวียนไปทักทายถ่ายรูปกับหอไอเฟล ซึ่งถือเป็นภาคบังคับสำหรับผู้มาเยือนปารีสได้ซะทุกที เพียงแต่เปลี่ยนมุมจากจตุรัสทร็อคคาเดโลเป็นฝั่งตรงข้ามบ้าง มุมอื่นๆ บ้าง แล้วก็เกี่ยวก้อยเดินเล่นริมแม่น้ำแซนน์ เปลี่ยนเนื้อเพลงจาก I wanna hold your hand walk along the sand เป็น walk along the Seine ชอบที่จะเอ้อระเหยเดินดูผู้คน สลับกับเดินให้คนฝรั่งเศสที่นั่งจิบกาแฟใต้หลังคาผ้าใบนอกร้านแถวนั้นดูเราบ้าง เดินเลาะดูภาพถ่ายเก่าๆ หนังสือเก่าๆ ที่วางขายแถวแผงลอยริมน้ำ แล้วชะโงกดูเรือที่พานักท่องเที่ยวขึ้นล่องจากบนสะพาน ได้ชื่นชมบรรยากาศก็มีความสุขแล้ว



ปารีสมีเสน่ห์ในแบบที่มาได้ไม่เบื่อ สวยและอ่อนหวานควบคู่กับความคลาสสิคสง่างาม จุดหลักๆ ของปารีสที่นักท่องเที่ยวที่ไม่ว่าจะมากับทัวร์หรือมาเองต้องแวะไป คือ หอไอเฟลนี่แหละเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยประตูชัยและถนนชองป์เอลิเซ่ส์ เดินชมร้านค้าสองข้างทางซึ่งมีสินค้าแบรนด์เนมให้เลือกซื้อมากมายตลอดระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตร แล้วถ้ายังไม่เมื่อย เดินต่ออีกหน่อยก็จะผ่าน กรอง ปาเลย์ (Grand Palais) พระราชวังโครงสร้างเหล็กหลังคาแก้วสไตล์อาร์ตนูโว ไปจนถึงจตุรัส ปลาส เดอ ลา คองคอร์ด ที่มีเสาหินโอบีลิกส์จากอิยิปต์ตั้งอยู่ จากนั้นเดินผ่านสวน ไปถ่ายรูปหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ซึ่งอยากบอกว่า ควรหาโอกาสเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์นี้ให้ได้สักครั้ง งานศิลปะสุดยอดของโลกรวมอยู่ที่นี่ รวมถึง โมนาลิซ่า และรูปปั้นวีนัส ที่โด่งดังด้วย



พิพิธภัณฑ์ลูฟร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีปิรามิดแก้วซึ่งสร้างขึ้นภายหลังดูขัดแย้งแต่กลมกลืนอยู่กึ่งกลางใช้เป็นทางเข้า ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ แดน บราวน์ มาที่นี่ย่อมไม่พลาดที่จะนึกถึง “รหัสลับดาวินชี” หรือ The Da Vinci Code นวนิยายและภาพยนตร์เรื่องดัง ฉันใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์กับชายหนุ่มเมื่อสองวันก่อน เดินอยู่ค่อนวันยังดูไม่ทั่วเลย ต้องเลือกดูเฉพาะห้องที่น่าสนใจแทน ที่ลูฟร์นี่ถ้าจะดูกันจริงๆ ต้องมีเวลาสักสามวัน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่อยากมีเวลาช๊อปปิ้งมากกว่าเสพงานศิลปะ บริษัททัวร์จึงไม่ค่อยจะพาเข้า ปล่อยให้ช๊อปกระจายแถวถนนชองป์เอลิเซ่ส์สำหรับสินค้าแบรนด์เนมอย่างที่บอก ย่านมงมาร์ตสำหรับของที่ระลึกทั่วไป แถมด้วยห้างดังอย่าง Geleries Lafayette ซะมากกว่า



พูดถึงมงมาร์ต ที่นี่เป็นอีกที่หนึ่งที่ฉันชอบนอกเหนือจากริมแม่น้ำแซนน์ มงมาร์ตเป็นแหล่งรวมของศิลปิน ทั้งจิตรกรวาดภาพ นักดนตรี นักแสดงเปิดหมวก สองข้างทางที่เดินขึ้นไปยังเนินเขาเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าที่ระลึก งานศิลปะ ร้านขายภาพเขียนและภาพพิมพ์ บนเนินเขามีวิหารซานเครเกอร์ หรือแปลเป็นไทยได้ว่า วิหารพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ ศิลปะแบบไบเซนไทน์สีขาวทั้งหลัง ตั้งโดดเด่นบนเนินสูง สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของปารีสได้จากบนนี้ ส่วนลานศิลปินก็อยู่ใกล้ๆ กัน มีจิตรกรมานั่งวาดรูปขาย หรือเราจะจ่ายสตางค์นั่งเป็นแบบให้เขาวาดรูปเอากลับมาก็ได้



สถานที่อีกแห่งที่ไม่ควรพลาด คือพระราชวังแวร์ซายน์ซึ่งอยู่นอกตัวเมือง นั่งรถไฟ สาย C ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ที่นี่เป็นต้นตำรับของ “หลุยส์” ที่ไม่ใช่ยี่ห้อกระเป๋า ห้องต่างๆ ภายในพระราชวังนี้วิจิตรงดงามด้วยสไตล์การตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์หลุยส์ และโคมไฟระย้าที่งดงาม มีภาพวาดบนเพดาน ที่งดงามดูราวกับเป็นภาพสามมิติที่หลุดลอยออกมา ส่วนห้องที่สวยที่สุดคือ ห้องกระจก “ Hall of Mirrors” ซึ่งเป็นห้องโถงยาวตกแต่งด้วยกระจก ห้องนี้ใช้ในงานพิธีการที่สำคัญต่างๆ รวมถึงใช้เป็นที่ลงนามใน “สนธิสัญญาแวร์ซายน์” ในการยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย และนอกจากตัวอาคารพระราชวังแล้ว บริเวณสวนก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าไปเดินถ่ายรูปเล่นถ้ามีเวลาพอ



เป็นเพราะมาเป็นครั้งที่สาม สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ส่วนใหญ่ฉันจึงเคยไปมาหมดแล้ว คราวนี้จึงทำตัวสบายๆ เลือกไปเดินเล่นชิวๆ ริมแม่น้ำแซนน์ และถึงแม้วันนี้จะไม่มีชายหนุ่มอยู่เคียงข้างด้วยเหมือนทุกครั้ง แถมการนั่งรถไฟใต้ดินคนเดียว เจอคนดำค่อนข้างเยอะกว่าที่อื่นเลยรู้สึกวังเวงนิดหน่อย แต่ก็ต้องทำใจ ฝรั่งเศสเคยปกครองประเทศของพวกเขาเหล่านั้นตั้งแต่ยุคอาณานิคม ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะอพยพมาทำมาหากินบนแผ่นดินของอดีตผู้ปกครองบ้าง



เสร็จมื้อกลางวัน ฉันก็ลงรถไฟใต้ดินไปวิหารโนตเตรอดามต่อ แวะซื้อไอสกรีม กินไปเดินไปจนถึงหน้าวิหาร คนเยอะเต็มไปหมดเหมือนทุกครั้ง วิหารโกธิคอายุกว่า 700 ปีแห่งนี้ สร้างอุทิศให้กับพระแม่มารี ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำแซนน์ ด้านในมีมีรูปปั้นพระแม่มารีกับพระเยซู มีกระจกสีขนาดใหญ่ และมี “กากอยล์” (Gargoyles) ศิลปะปูนปั้นหน้าตาประหลาด ซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบตกแต่งรางน้ำฝนอยู่รอบๆ หลังคา ฉันเดินหาหมุดหลักซึ่งอยู่แถวจตุรัสด้านหน้า ไปยืนอฐิษฐานเหมือนเคย แล้วเดินอ้อมไปด้านข้างของวิหารริมน้ำ ดูผู้คนบนเรือในแม่น้ำแซนน์ ก่อนกลับไปขึ้นรถไฟใต้ดินอีกครั้งเพื่อเดินทางต่อไปดูประตูชัยแห่งใหม่ของปารีส



ประตูชัยแห่งใหม่ (l’Arc de la Défense) เป็นตึกสมัยใหม่ มีทั้งร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงภาพยนตร์ อาคารโดยรอบล้วนแล้วแต่เป็นตึกกระจกโมเดิร์น เป็นโซนที่ดูทันสมัยต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับความคลาสสิคของเหล่าอาคารใจกลางปารีสที่คุ้นตา ประตูชัยแห่งนี้ถือเป็นอีกสัญญะหนึ่งของนครปารีส ฉันเข้าไปเดินเล่น ซื้อขนมในซุปเปอร์มาร์เก็ต เดินเข้าไปในอาคารกระจกโค้งด้านข้างดูโปรแกรมหนัง แล้วเดินทางต่อไปยังหอศิลป์ปอมปิดู อาคารสุดจ๊าบ ที่มีทั้งความโมเดิร์นและอาร์ตผสมผสานกันอยู่



เดินเข้ามาบริเวณหอศิลป์ ก็เจอนักศึกษาศิลปะกลุ่มใหญ่นั่งเสก็ตซ์ภาพอาคารแห่งนี้ในมุมต่างๆ หอศิลป์ปอมปิดู มีชื่อเต็มๆ ว่า ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติ จอร์จ ปอมปิดู (Centro Nacional de Artey Cultura Georges Pompidou de Paris) กล่าวกันว่า ปอมปิดูเซนเตอร์แห่งนี้ คือ สถานที่สำคัญลำดับที่สาม รองจาก พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ และ หอไอเฟล ที่ผู้มาเยือนปารีส ต้องไปชมให้ได้ อืมม...แต่ส่วนตัวฉันคิดว่าการจัดอันดับนี้อาจใช้ไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยนะ อย่างที่บอก เพราะเราสนใจช๊อปปิ้งมากกว่าศิลปะ ช่างเถอะ...ความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ฉันไม่ชอบช๊อปปิ้งนะ เพียงแต่ก็อยากเสพงานศิลป์บ้างถ้ามีโอกาส



หอศิลป์ที่ดูรุงรังด้วยโครงสร้างเหล็กนี้ เป็นศูนย์ศิลปะร่วมสมัยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้านข้างมีจตุรัสสตาวินสกี้ ที่สะดุดตาด้วยกลุ่มประติมากรรมสีสันสดใส มีลานกว้างให้นั่งเล่นด้านหน้า แถมมีวงดนตรีและนักแสดงสมัครเล่นมาขับกล่อมและแสดงโชว์ต่างๆ ให้ดู ใครชอบใจก็เดินไปหยอดยูโรในกล่องด้านหน้า ฉันเข้าไปเดินเล่นในหอศิลป์ ดูหนังสือและงานดีไซน์หลากไอเดีย แล้วออกมานั่งรับแดดอุ่น เคล้าเสียงดนตรีจนสมควรแก่เวลา นั่งรถไฟใต้ดินกลับโรงแรมที่พัก



...ปารีสมีสถานที่ซึ่งน่าสนใจอีกหลายต่อหลายแห่ง ไม่ใช่แค่จุดหลักๆ ที่ทัวร์พาชม ถ้ามีโอกาสใช้เวลาอย่างน้อยสักสามวันที่นี่ จะพบว่าทำไมนครหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้ จึงยังคงเป็นเมืองอันดับหนึ่งที่ผู้คนจากทั่วโลกอยากมาเยือน สำหรับตัวฉันเองหนึ่งสัปดาห์ในปารีสผ่านไปอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายก็ถึงเวลาที่ต้องจากลา ถ้าถามว่าอยากมาอีกไหม ฉันก็คงตอบได้ทันทีเลยว่า...

....อธิษฐานไว้แล้ว...




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 25 พฤษภาคม 2553 12:13:59 น.   
Counter : 853 Pageviews.  

ปราก เมืองมนต์ขลังสะพานโรแมนติค

ชื่อเสียงเลื่องลือด้านสถาปัตยกรรมและความงามของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่อายุหลายร้อยปีในปราก ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลกขององค์การ UNESCO ทำให้เราสองคนไม่ลังเลที่จะบรรจุเมืองนี้ไว้ในแผนการเดินทาง และเมื่อโอกาสและเวลามาถึงเราก็มาไม่พลาดที่จะไปดูให้เห็นด้วยตา



เราใช้บริการสายการบิน Austrian Airlines มาลงที่เวียนนา แล้วต่อเครื่องมาถึงยังกรุงปราก นครหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐเช็กตอนสาย ประทับตราวีซ่าได้ก็ลากกระเป๋าออกมาขึ้นรถบัสสาย 119 แล้วต่อรถไฟใต้ดินสายสีเขียวเข้ามายังตัวเมือง ระบบรถไฟใต้ดินของเมืองนี้เก่าแก่กว่า 30 ปี และอยู่ใต้ดินลึกมาก ลงบันไดเลื่อนสูงลิบจนดูน่าหวาดเสียวเมื่อต้องลากกระเป๋าใบโตตามมาด้วย



ปรากหรือ “ปราฮ่า” ในภาษาถิ่น ต้อนรับคนแปลกหน้าสองคนนี้ด้วยมิตรไมตรี เมื่อเราโผล่ออกจากสถานีรถไฟใต้ดินมายืนเงอะงะ กางแผนที่วุ่นวายหาโรงแรม คุณป้าคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา ทั้งที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เธอก็ใช้ภาษาเชคควบคู่กับภาษามือชี้ทิศทางที่ตั้งของโรงแรมที่เรากำลังหาอยู่บนแผนที่ให้ นี่คือความประทับใจเริ่มต้นที่เราได้รับ



หลังจาก เช็คอิน เปิดกระเป๋า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เราก็นั่งรถรางจากโรงแรมไปเพียงสี่ป้ายถึงบริเวณเมืองเก่า เนื่องจากปรากรอดพ้นจากสงครามโลกทั้งสองครั้งมาได้โดยไม่ถูกทำลายเช่นเมืองใหญ่อื่นๆ ของยุโรป เมืองเก่าแห่งนี้จึงเป็นสถานที่เที่ยวหลักสำหรับการชมอาคารบ้านเรือนที่งดงาม แต่ท้องฟ้าวันนี้ไม่เป็นใจให้เราเลย เมฆเต็มท้องฟ้าบดบังความสดใส บรรยากาศทึมๆ ชวนง่วงนอนมากกว่าน่าเดิน



จุดเริ่มต้นอยู่บริเวณจัตุรัสเมืองเก่า (Old Town Square) ที่มีร้านอาหารต่างๆ ตั้งโต๊ะนอกร้านเรียงรายเป็นทิวแถว เราเดินเรื่อยๆ ชมอาคารบ้านเรือนแบบโบราณสองข้างทางที่เป็นทั้งร้านค้า ร้านของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ซึ่งนอกจากรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ต่างกันในแต่ละยุคทั้งโกธิค บารอค เรเนสซองส์ ที่มีอายุหลายร้อยปีแล้ว ตึกต่างๆ ยังประดับประดาไปด้วยรูปปั้นมากมาย



พื้นถนนและทางเดินของเมืองในย่านนี้ก็เป็นหินก้อนใหญ่ๆ แบบโบราณ โดยมีถนนปาริสก้าเป็นถนนช๊อปปิ้งสายหลักที่มีร้านค้าและสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ๆ ในยุโรป และใกล้ๆ กันยังเป็นที่ตั้งของโรงโอเปร่า และศาลาว่าการ (Municipal House) ที่สวยงาม ขัดแย้งกับหอคอยดินปืน (Powder tower) สีเข้มที่อยู่ถัดไป



เราเดินต่อไปยังหอนาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) นาฬิกาที่ยังใช้งานได้ดี สามารถบอกข้างขึ้น ข้างแรม และจักรราศี ฉันพยายามดูแล้วดูอีกก็ไม่รู้เรื่องจนต้องหันมาดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือตัวเองแทน ได้เวลาพอดี ผู้คนเริ่มทะยอยมาหยุดยืนรอดูพาเหรดตุ๊กตาที่จะออกมาขยับแข้งขาให้ชมพร้อมเสียงดนตรีทางช่องหน้าต่างเล็กๆ เหนือหน้าปัทม์ ทุกๆ ชั่วโมง ซึ่งพอได้เวลาเป๊ะ ตุ๊กตาและนาฬิกาก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเที่ยงตรง เรียกเสียงปรบมือจากนักท่องเที่ยวได้เมื่อสิ้นเสียงดนตรี จากนั้นฝรั่งมุงก็สลายตัว เราสองคนเดินไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน จนถึงซอยเล็กๆ ที่มีผู้คนมากจนกลายเป็นไหลตามคนอื่นๆ ไปโผล่ที่เชิงสะพานชาล์ลพอดี



สะพานชาล์ล เป็นสะพานหินข้ามแม่น้ำวัตตาวา ปัจจุบันเป็นสะพานสำหรับคนเดินโดยเฉพาะ มีศิลปินมานั่งวาดภาพและขายภาพเขียน รวมถึงของที่ระลึกที่มีดีไซน์เฉพาะตัวแบบแฮนด์เมด จุดเด่นของสะพานอยู่ที่ราวสะพานด้านข้างสองฝั่งซึ่งเรียงรายประดับประดาด้วยรูปสำริดของเหล่านักบุญเป็นระยะๆ และหนึ่งในรูปสำริดเหล่านั้น คือรูปของนักบุญ จอห์น ออฟ เนโปมุก ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ซื่อสัตย์และรักษาความลับยิ่งชีพ จึงมีผู้คนพากันเอามือเข้าไปสัมผัส อฐิษฐานลูบคลำที่ฐานจนเป็นมันวาวต่างจากรูปปั้นและรูปสำริดอื่นๆ ให้เป็นจุดสังเกตุได้ง่าย ซึ่งฉันก็ร่วมด้วยช่วยลูบอฐิษฐานกับเขาด้วย



เรื่องราวของท่านมาจากการที่ท่านเป็นพระผู้รับการสารภาพบาปของพระราชินีเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งพระราชาเกิดความสงสัยในตัวพระราชินี จึงพยายามคาดคั้นจากท่าน แต่ท่านก็ไม่ปริปากพูด สุดท้ายจึงถูกนำมาถ่วงน้ำ และได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็นนักบุญในเวลาต่อมา รูปสำริดของท่านมีดวงดาวรายล้อมอยู่เหนือศีรษะ



ข้ามสะพานไปจะพบกับถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านขายไอสกรีมและร้านอาหารเป็นแถว โดยมีโบสถ์ St Nicholas Church ที่เด่นสะดุดตาด้วยยอดโดมขนาดใหญ่อยู่ทางขวา จากนั้นทางเดินจะเริ่มลาดชัน และมีบันไดขึ้นสู่ลานกว้างหน้าปราสาท มีทหารรักษาการณ์ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ด้านล่างรูปปั้นของยักษ์ใหญ่ที่กำลังทุบและแทงคู่ต่อสู้บริเวณประตูทางเข้า ดูแล้วเหมือนจะมีชีวิตมากกว่าทหารรักษาการณ์เสียอีก



ปราสาทปราก เป็นปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการก่อสร้างและต่อเติมมานับร้อยๆ ปี ดังนั้นจึงผสมผสานศิลปะหลากหลายรูปแบบเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งโรมัน โกธิค บารอค เรเนสซองส์ ภายในยังมีวิหารเซนต์วิตุส (St. Vitus Cathedral ) วิหารโกธิคยอดสูงที่ผสมผสานศิลปะหลายแขนงเช่นกัน วิหารนี้สร้างขึ้นในปี 1344 โดยจักรพรรดิชาร์ลที่ 4 เพื่ออุทิศให้ St.Vitus, St. Wenceslas และ St. Adalbert นักบุญโบฮีเมียน แต่เพราะแถวนักท่องเที่ยวที่ยาวเหยียดชนิดหางแถวเลยไปอยู่หลังปราสาท ทำให้เราสองคนยอมแพ้ที่จะเข้าไปดู ทั้งที่รู้ว่าภายในอลังการก็ตามที



เดินอยู่ในบริเวณปราสาทและจตุรัสนอกปราสาทพักใหญ่ ขากลับเราเดินลงทาง Golden Lane หรือถนนช่างทองสมัยโบราณ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นร้านขายของที่ระลึก เราเดินกลับไปยังนาฬิกาดาราศาสตร์อีกครั้งและแวะไปถ่ายรูปที่ หอคอยดินปืน(Powder Tower) แวะทานมื้อเย็นแล้วเดินย้อนกลับมาอ้อยอิ่งบนสะพาน ดูสายน้ำในแม่น้ำวัตตาวาที่ไหลเอื่อยอยู่ด้านล่าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไหลแรงเมื่อกระทบกับแนวเขื่อนที่อยู่ถัดไป คู่รักหลายคู่ต่างพากันใช้สะพานนี้เป็นที่เติมความหวาน โอบกอด จุมพิตบอกรักบนสะพานโดยมีสักขีพยานเป็นเหล่านักบุญ อากาศก็เย็นช่างเป็นใจเหลือเกิน ฉันซุกตัวเองเข้าหาชายหนุ่มเพื่อหาไออุ่น...

.....โรแมนติคขนาดนี้....ต้องขอเลียนแบบบ้างดีกว่า...



เกือบสองทุ่มแล้ว ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแต่ฟ้ายังไม่มืด เราขึ้นไปบนหอคอย Old Town Bridge Tower ซึ่งอยู่เชิงสะพานฝั่งเมืองเก่า ถ่ายรูปสะพานชาล์ลและปราสาทปรากที่เริ่มประดับประดาด้วยแสงไฟ ถือโอกาสพักขาชมเมืองในมุมสูงอยู่บนนี้พักใหญ่ให้สมกับที่เสียสตางค์ขึ้นมา มุมมองตอนย่ำค่ำบนหอคอยนี้ให้ความรู้สึกที่อบอุ่น นุ่มนวล จนแทบอยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่อยากรีบร้อนกลับไปทำงานหามรุ่งหามค่ำที่กรุงเทพฯ....แต่เวลาก็ต้องเดินต่อไป...และเราก็ยังต้องเดินทางไปต่อ



นักท่องเที่ยวเริ่มน้อยลงเมื่อเราเดินกลับลงไปข้างล่าง แต่ภาพและบรรยากาศกลางคืนของจตุรัส งามมลังเมลืองด้วยแสงไฟที่สาดส่อง ดูราวกับย้อนอดีตไปในยุคกลาง เปลี่ยนภาพมุมมองจากกลางวันไปอีกแบบ สองเราอ้อยอิ่งชมเมืองยามราตรี แล้วขึ้นรถรางกลับโรงแรม เก็บความทรงจำกลับไปหลับสบายด้วยความประทับใจ

…..Good night….Sleep tight…นะจ๊ะ...Prague!




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 17:58:03 น.   
Counter : 647 Pageviews.  

1  2  

world not wide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




บันทึกการเดินทางของเขาและเธอ
ที่ใช้ชีวิตคู่กับการเดินทาง
155 เมือง 34 ประเทศ ใน 5 ทวีป...




*รูปภาพทั้งหมดที่ปรากฏบน Blog นี้ ถ่ายด้วยตนเองทั้งสิ้น และไม่หวงห้ามแต่ประการใด หากมีผู้ต้องการนำไปใช้
[Add world not wide's blog to your web]