...ความสุขของนักเดินทาง..ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง..แต่อยู่ที่การได้เดินทาง...

สโตนเฮนจ์ กองหินเกะกะ กับเมืองน่ารักที่ชื่อ บาธ

ตอนเด็กๆ เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เคยกลายเป็นหัวข้อถกเถียงของฉันกับเหล่าเพื่อนฝูงในชั้นเรียน ความที่บางสิ่งก็ดูเกินความสามารถของมนุษย์ ทำให้กลุ่มพวกเราในวัยนั้นปันความเชื่อให้กับผู้มาเยือนจากต่างดาว แต่เมื่อโตขึ้น มุมมองที่มีต่อสิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้น กลายเป็นความท้าทาย กระหายให้ได้ไปเยี่ยมชม



เมื่อมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวลอนดอนทั้งที เป้าหมายที่เล็งไว้ก็ไม่พ้นสโตนเฮนจ์ (Stonehenge) หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แถมด้วยบ้างเมืองแถบทางตอนใต้ แบบไม่ต้องเดินทางไกล

เราตั้งใจจะไปเยือนกองหินยักษ์ สโตนเฮนจ์ แบบเช้าไปเย็นกลับ แต่พอดูแผนที่แล้วก็รู้สึกว่าน่าจะแวะไปพักค้างคืนที่เมืองเล็กๆ แถวนั้นซึ่งใครๆ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวว่า “สวย” สักคืน ไหนๆ ก็มาแบบตะลอนๆ อยู่แล้ว ก็เลยทิ้งกระเป๋าใบใหญ่ฝากไว้ที่โรงแรมในลอนดอน หอบเสื้อผ้าใส่เป้ใบเล็กคนละใบ ขึ้นรถไฟเที่ยวเช้าไปดูความยิ่งใหญ่ของสโตนเฮนจ์เสียก่อน แล้วค่อยนั่งรถไฟตอนบ่ายต่อไปยังบาธ (Bath) เมืองเล็กที่น่ารัก ทางตอนใต้ของลอนดอนตามที่เล็งไว้

อาศัยตั๋วรถไฟแบบเดินทาง 4 ใน 7 วัน ที่ซื้อมาจากเมืองไทย เราแวะไปที่ช่องจำหน่ายตั๋วในสถานี Waterloo พร้อมพาสปอร์ต ให้เจ้าหน้าที่ประทับตราวันเดินทางครั้งแรก จากนั้นก็ขึ้นรถไฟที่จอดเทียบชานชาลา มุ่งหน้าไปยัง ซัลลิสเบอรี่ (Salisbury) เมืองซึ่งเป็นจุดต่อรถที่จะเดินทางไปยัง สโตนเฮนจ์ รถไฟไปซัลลิสเบอรี่ มีทุกๆ ครึ่งชั่วโมงในช่วงเช้า ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งเราก็แบกเป้สะพายบ่าลงมายืนหารถที่จะไปยังกองหินมหัศจรรย์ เดินดุ่มออกมาด้านนอกเห็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นยืนอยู่ทางซ้ายของสถานีบริเวณป้ายรถเมล์ สัญชาติญาณบอกเลยว่าใช่ เดินเข้าไปอ่านที่ป้ายก็แม่นแล้ว ครู่หนึ่งรถบัสสองชั้นคันโตก็วนอ้อมเข้ามาจอด เรียงแถวจ่ายสตางค์คนขับ ซื้อตั๋วแบบไปกลับ หาที่นั่งสบายๆ ชั้นบน ดูวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเดียวเราก็มาถึง



สโตนเฮนจ์ เป็นกลุ่มกองหินขนาดยักษ์ ที่มีจำนวน 112 ก้อน ตั้งเรียงเป็นวงกลม 3 วงซ้อนกัน ไม่มีใครรู้ว่าหินประหลาดเหล่านี้ ถูกนำมาจัดวางเรียงอยู่กลางทุ่งกว้างได้อย่างไรและมาจากที่ใด เพราะในแถบนั้นไม่มีแหล่งหินชนิดนี้อยู่เลย และนี่อาจเป็นความมหัศจรรย์ที่ทำให้สโตนเฮนจ์ ถูกจัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง



ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้ว ก้อนหินก้อนใหญ่ๆ กองหนึ่งก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่น่าสนใจ แต่เจ้าหินสีขาวกลางทุ่งซัลลิสเบอรี่ที่เขียวขจีแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ยินดีจ่ายเงินเพื่อให้ได้เข้าไปชม โดยมีเชือกกั้นเป็นแนวรอบในระยะห่างประมาณ 20 เมตร และมีทางเดินปูด้วยไม้ให้เข้าไปในใจกลางกลุ่มหินได้ หลายๆ คนเลือกที่จะมาชมในบรรยากาศยามเย็น นั่งมองกองหินจนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ได้บรรยากาศอีกแบบ

อาจเป็นด้วยมุมมองที่แตกต่าง เราก็เลยใช้เวลาดื่มด่ำกับที่นี่ไม่นาน หลังจากเดินเข้าไปภายในกลุ่มหินเพื่อถ่ายรูปใกล้ๆ แต่ได้ภาพที่ดูแล้วเหมือนก้อนหินธรรมดาที่มีขนาดใหญ่ ก็เลยเดินวนออกมาด้านนอก เดินเวียนหามุมถ่ายรูปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแวะเลือกซื้อหนังสือเกี่ยวกับ Stonehenge ที่ร้านขายของที่ระลึกฝั่งตรงข้ามเอาไว้อ่านเพิ่มเติม จากนั้นก็นั่งรถบัสกลับไปยังเมืองซัลลิสเบอรี่เพื่อต่อรถไฟไปยัง บาธ



บาธ (Bath)เป็นเมืองเล็กๆ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โด่งดังจากบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ ซึ่งชาวโรมันที่เข้ามารุกรานอังกฤษ ได้สร้างสถานอาบน้ำแร่แบบโรมันแห่งนี้ขึ้นในคริสต์ศักราชที่ 75 ผู้รุกรานตั้งชื่อสถานที่นี้โดยเรียกรวมกับชื่อท้องถิ่นของเทพธิดาแห่งสายน้ำ คือ Sulis มีการสร้างเสาระเบียงเรียงรายประกอบเป็นวิหาร Sulis Minerva แบ่งเป็นส่วนๆ สำหรับใช้เป็นที่บูชาเทพธิดาแห่งสายน้ำ และใช้เป็นที่อาบน้ำเพื่อรักษาโรคและเก็บกักน้ำร้อนไว้ใช้ในเมือง ต่อมาเมื่อชาวโรมันอพยพไปแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ถูกทำลายและในสมัยศตวรรษที่ 12 ก็ได้มีการสร้าง King’s Bath ขึ้นทับบริเวณนี้ จนกระทั่งปี 1880 จึงได้มีการขุดค้นพบ Roman Bath และจวบจนกระทั่งปัจจุบันที่แห่งนี้ก็ยังคงมีน้ำพุร้อนพวยพุ่งตลอดเวลา ทำให้เมืองบาธกลายมาเป็นสถานที่มีชื่อเสียง ซึ่งโรงอาบน้ำใต้ดินแห่งนี้ก็เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือน ดูได้จากแผ่นปลิวที่มีข้อมูลของที่นี่ ซึ่งเดินไปหยิบได้เมื่อซื้อตั๋ว โอ้! มีเวอร์ชั่นภาษาไทยด้วย !



ภายใน Roman Bath แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ทั้งบ่อน้ำพุร้อน พิพิธภัณฑ์ ลานวิหาร บ่อเก็บน้ำแร่ ห้องอาบน้ำซึ่งมีการจัดวางระบบถ่ายเทเป็นอย่างดี จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณ ซึ่งหลังจากเสียสตางค์ค่าตั๋วแล้ว ผู้มาเยือนจะได้รับแจก ไกด์ เรคคอร์ด ที่จะคอยบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวในแต่ละจุด แยกตามภาษาต่างๆ



วิธีการก็เพียงเดินไปตามจุดต่างๆแต่ละจุดในตัวอาคาร ซึ่งจะมีหมายเลขกำกับ กดปุ่มตามหมายเลขนั้น แล้วก็จะมีเสียงบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง จริงๆ แลัวก็ดูจะเป็นปกติ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวในยุโรปส่วนใหญ่ก็จะมี ไกด์ เรคคอร์ด ทั้งนั้น แต่ที่น่าสนใจอยู่ที่ว่า แต่ละจุดในที่นี้จะมีเสียงบรรยายที่แตกต่างกันออกไป บางจุดเป็นเสียงของผู้หญิง บางจุดเป็นเสียงของผู้ชาย บางจุดเป็นเสียงคนแก่ บางจุดก็จะเป็นเสียงเด็ก ไม่ใช่เสียงคนๆ เดียวพูดตลอด ทำให้รู้สึกไม่น่าเบื่อและดูเป็นเรื่องราวที่น่าติดตามฟังมากยิ่งขึ้น แถมแต่ละจุดก็จะมีรูปการ์ตูนเจ้าของเสียงติดอยู่คู่กับหมายเลขนั้นๆ

ฟังเพลินจนถึงทางออกก็เลยเดินโอ้เอ้ย้อนกลับไปนั่งเล่นอยู่ริมบ่อน้ำร้อน จนกระทั่งแสงแดดเริ่มหดหาย ไฟในตะเกียงที่อยู่รายล้อมก็ถุกจุดขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่หลอดไฟแต่เป็นเปลวไฟ ทำให้ได้บรรยากาศโบราณที่ดูย้อนยุคสมจริงไปอีกแบบ

เดินออกมาทานอาหารเย็นแล้วแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ Surprise! มีอาหารไทยเพียบ เป็นแพคใสแบบใส่ไมโครเวฟแล้วทานได้เลย รูปแบบแพคดูดี แล้วก็ผลิตในอังกฤษนี่เอง ใช้ชื่อทับศัพท์ไทยแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผัดไทย หรือข้าวผัดกระเพรา ไม่น่าเชื่อว่าอาหารไทยจะเป็นที่นิยมขนาดนี้ เสียดายที่เพิ่งทานอาหารเย็นมาไม่อย่างนั้นคงได้หม่ำอาหารไทยไปแล้ว ก็เลยซื้อขนมกระจุกกระจิกแล้วกลับโรงแรมที่พัก ไว้ลุยต่อตอนเช้า



ท้องฟ้าวันใหม่สวยสดใส ไม่มัวซัวเหมือนวันวาน เราเดินถ่ายรูปอาคารบ้านเรือนตามที่ต่างๆ Roman Bath เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว ซึ่งจะว่าไปแล้ว บรรยากาศของเมืองต่างหากที่สร้างเสน่ห์ให้ผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามา ทั้งอาคารที่ถูกสร้างและออกแบบคลุมโทนสี ให้ดูกลมกลืนงดงามเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งเมือง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ Bath Abby หรือมหาวิหารบาธ และมีถนนคนเดินอยู่กลางเมือง เสาไฟริมถนนแขวนกระถางดอกไม้สีสด ตัดกับสีอาคารที่เป็นสีครีมซีดๆ เหมือนกับหินทราย ทำให้ดูอบอุ่น ให้ความรู้สึกโรแมนติก แถมยังมีแม่น้ำ Avon สายเล็กๆ ไหลผ่านเมือง แค่นั่งในสวนสาธารณะริมน้ำ ชมเรือรูปร่างแปลกตาล่องไปมาในลำน้ำ ดื่มด่ำกับดอกไม้หลากสีแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว อีกทั้งระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงลอนดอน สะดวกต่อการเดินทางเช้าไปเย็นกลับสำหรับคนไม่มีเวลาพอ



เราสองคนนั่งเล่นในสวน แล้วเดินอ้อยอิ่งจูงมือทอดน่องชมเมืองขึ้นไปทางเหนือ ข้ามสะพาน Pulteney ที่มีรูปแบบเฉพาะตัว สวนทางกับรถบัสสำหรับท่องเที่ยวชมเมืองสีแดงสดสะดุดตาแบบ Hop On Hop Off ที่ขึ้นลงเมื่อไหร่ก็ได้ เดินเลี้ยวกลับไปถ่ายภาพอาคารโค้ง The Royal Crescent ที่ทอดโค้งยาวงดงามตัดกับสนามหญ้าเขียวขจี ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสมองเห็นบอลลูนหลากสีล่องลอย ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไม่เร่งรีบ จนสมควรแก่เวลาที่ต้องนั่งรถไฟกลับไปลอนดอน

บางครั้งการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำเวลาเพื่อได้เห็นสิ่งต่างๆ ให้มากมายเข้าไว้ การเดินช้าๆ ใช้เวลาสบายๆ ไม่รีบร้อน เปิดโอกาสให้ใช้ความรู้สึกจากใจช่วยในการมองเห็นและสื่อสารกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึมซับบรรยากาศและความงดงาม กลายเป็นความอิ่มเอิบ เบิกบาน และบันทึกไว้ในความทรงจำมากกว่า...

....ก็เลยมีเรื่องมาเขียนนี่ไง....



Create Date : 03 พฤษภาคม 2553
Last Update : 3 พฤษภาคม 2553 20:45:44 น. 6 comments
Counter : 2606 Pageviews.  

 
ทักทายยามบ่าย สุขสันต์วันชดเชยแรงงานนะจ้า ^^


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 3 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:30:45 น.  

 
เมื่อไหร่จะมีโอกาสไปกะเค้าบางน๊า อิจฉาจังงงง


โดย: j a r n i k วันที่: 3 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:47:59 น.  

 
ตึกสวยงามมาก ๆ เลยค่ะ



โดย: ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ วันที่: 3 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:48:02 น.  

 
ถ้ามีโอกาสได้ไปลอนดอน เราก็อยากไปให้เห็นกับตาเหมือนกัน


โดย: marzo วันที่: 3 พฤษภาคม 2553 เวลา:18:17:17 น.  

 
ดีจังค่ะ ได้ไปเห็นกับตาตัวเอง อยากไปบ้างจัง


โดย: holybasil วันที่: 3 พฤษภาคม 2553 เวลา:18:41:03 น.  

 
สวยงาม น่าตามไปดูด้วยตนเองซักครั้ง


โดย: minie IP: 125.25.140.118 วันที่: 4 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:41:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

world not wide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




บันทึกการเดินทางของเขาและเธอ
ที่ใช้ชีวิตคู่กับการเดินทาง
155 เมือง 34 ประเทศ ใน 5 ทวีป...




*รูปภาพทั้งหมดที่ปรากฏบน Blog นี้ ถ่ายด้วยตนเองทั้งสิ้น และไม่หวงห้ามแต่ประการใด หากมีผู้ต้องการนำไปใช้
[Add world not wide's blog to your web]