ตุลาคม 2553

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
มีคนถามว่า เราเจ้าชู้ไหม ขี้เหงาไหม รักอิสระไหม และความสัมพันธ์แบบเปิดของเราคืออะไร


ตอบเขาไปว่า..

มนุษย์เราเกิดมาโดยมีอิทธิพลจากกรอบของสังคม
เป็นตัวกำหนดความคิดและตัวตนของคนคนนั้น
การที่เราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นประจำ เราก็มักคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เพราะเป็นสิ่งที่ใครๆเขาก็ทำกัน

เช่น เห็นเพื่อนๆมีแฟน ละเราไม่มี เราก็เริ่มตั้งคำถามว่าเราผิดปกติไหม
เห็นใครๆเขามีมือถือ เราก็แบบ เออ กรูไม่มีคงไม่ได้

มนุษย์เราทำตามกันอยู่เสมอ
เมื่อเราเกิดมา เราก็พูดตามคนอื่น เพื่อฝึกพูด
เราไหว้เพราะพ่อแม่เราสอนให้เราไหว้
เราเข้าโรงเรียนพยายามได้เกรดดีๆ เพราะเป็นสิ่งที่ครูและพ่อแม่บอกว่าดี
เราโตขึ้น หางานทำ เราออกเดต เราเริ่มคิดถึงอนาคต เราตกหลุมรัก
และเริ่มมองหาคนที่เหมาะสมไม่ว่าจะฐานะ การงาน หรืออะไรก็ตาม
และแต่งงาน
พอเริ่มมีคนถามว่า เมื่อไหร่จะมีน้อง ๆๆๆ
ทั้งๆที่ตอนแรกเราอาจไม่คิด
แต่พอโดนถามมากๆ เราก็เริ่มคิดว่าหรือเราผิดปกติอะไรหรือเปล่า
ไม่เราก็คู่ของเรา ต้องอยากมี
เพราะพ่อแม่เพื่อน ใครๆก็บอกว่า จะได้มีคนดูแลยามแก่เฒ่า
ต่อมาเราก็มีจริงๆ เพราะหวังให้เค้าเป็นที่พึ่งพาของเรา
และเราก็ทุกข์ใจหากเค้าโตขึ้น และไม่เป็นอย่างที่เราคิด
โดยลืมมองไปว่า ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นเสมอไป

มนุษย์ติดอยู่ในวังวนแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น
โดยลืมมองถึงความต้องการที่แท้จริงภายในใจตัวเอง
ลืมถามตัวเองว่า
ที่เราเลือกเรียนคณะนี้
เพราะเรารักและเห็นตัวเองในอนาคตมีความสุขกับงานที่จะทำนั้นหรือเปล่า
เราคบแฟนคนนี้เพราะพ่อแม่พี่น้องบอกว่าดี บอกว่าเขารักเรา
และจะทำให้เราสบาย


เราทำทุกอย่างโดยได้รับอิทธิพลจากคนอื่น จากสังคมอยู่เสมอ
..โดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำไป..


บางทีก็อาจมีบางแวบที่เราคิดขึ้นมาว่า นี่คือสิ่งที่เราต้องการจริงหรือเปล่า
แต่เราก็จะสลัดมันทิ้งไปอย่างเร็ว เพราะมันทำให้เราสับสน
และเริ่ม...กลัว...คำตอบที่แท้จริงภายในใจของเรา

และเราก็เริ่มกลับสู่วัฎจักรเดิมๆที่เราเคยทำ ที่คนอื่นเขาทำกัน
เพราะทุกคนบอกว่า นี่คือสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูก
เมื่อเราไม่ทำเราก็จะรู้สึกว่าเราประหลาด เราแปลกแยก
เราเข้ากะคนอื่นไม่ได้ และเรารู้สึก..เหงา..
เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม


"ในความเป็นจริง สิ่งที่ดี ถูก ใช่ ดี เลว เป็นเพียงปัจเจกและเป็นสิ่งสมมติ"
ที่เมืองไทย พระห้ามแต่งงาน
แต่ที่ญี่ปุ่น พระที่จะสืบต่อเป็นเจ้าอาวาสต่อไป
ต้องเป็นลูกชายของเจ้าอาวาสคนก่อนเท่านั้น

หากเราหลุดออกจากกรอบนี้ได้
หรือพูดให้ถูก
หากเรา-กล้า-ที่จะยอมรับ
และ-กล้า-เดินออกมาจากกรอบนั้น
กล้าที่จะ-เชื่อ-ในสิ่งที่ตัวเองเป็น
-ยอมรับ-ความเป็นจริง
และ-ฟัง-ความต้องการของหัวใจเรา
โดยที่ยังคงเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้
เราจะไม่รู้สึกเหงาและแปลกแยก
เราจะสามารถรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับคนอื่นๆได้อย่างมีความสุข

ถามว่าเราขี้เหงามั้ย เราไม่ขี้เหงา
อาจเป็นเพราะแม่เราน้องเรา ก็เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
แม่เลี้ยงมาแบบยอมรับเหตุผลและความเป็นตัวเราเองโดยไม่ตัดสิน
และเราพูดคุยกันตลอด ถึงความรู้สึก ความต้องการของการและกัน

ครอบครัวอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่เดือดร้อนที่จะแตกต่าง
เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรารู้ว่าคนที่เราแคร์ คือครอบครัวของเรานั้น
จะ..เข้าใจ..และ..อยู่เคียงข้าง..เราเสมอ

ความสัมพันธ์แบบเปิดที่ถามมานั้น
ก็คือความสัมพันธ์แบบที่ไม่ตามใครในสังคมนั่นเอง

เราคิดว่า คนเราเกิดก็มาคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว
การที่เราแต่งงานมีลูก ไม่ได้เป็นเครืองการันตีว่าเราจะมีความสุข
โดยเฉพาะหากแต่งกับคนที่ไม่ใช่
แต่งเพราะอายุถึง
แต่งเพราะคิดว่าเค้าเหมาะสม เค้าจะดูแลเราได้
เพราะพอเอาเข้าจริงๆ ใครเหรอที่การันตีว่าเค้าจะทำแบบนั้น??
ใครการันตีว่าเค้าจะไม่มีคนใหม่??
ใครการันตีว่าเค้าจะไม่ตายก่อน??
ลูกก็อารมณ์เดียวกัน..

สำหรับเราการที่คนสองคนได้โคจรมาพบกัน
ปฏิสัมพันธ์กัน รักกัน เกลียดกัน อยู่ด้วยกันหรือพัฒนาไปจนแต่งงาน
..คือการมาสร้างกรรมร่วมกัน..
ไม่ว่าจะเป็นกรรม..ดี..หรือ..เลว..ก็ตาม
บางคู่อาจมาใช้กรรมกันด้วยซ้ำ

หากเขามีเมียน้อย เราโกรธแค้น ใจเราอาฆาต
นั่นคือทุกข์
เราพยายามทำทุกอย่างให้เขากลับมา และเขารำคาญ
เขาเริ่มเกลียดเรา เราเริ่มเกลียดเขา
นั่นคือทุกข์
และมันเชื่อมโยงต่อไปถึงชาติหน้า
และเราจะต้องกลับมาชดใช้กันอีกไม่รู้กี่ชาติ

การมีลูกก็คือสิ่งเดียวกัน
เมื่อลูกไม่ได้ดั่งใจ เราด่าว่าลูก
ลูกโกรธและโต้ตอบเรา
เราทุกข์ใจ
ลูกก็เป็นบาป

คนเราทุกข์จากความคาดหวังที่ตัวเองสร้างขึ้น
โดยมีอิทธิพลมาจากสังคมและคนรอบข้างอีกเช่นกัน

เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์แบบเปิดของเราคือ
เราต้องการแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่มีความสุข

ความคาดหวังในมิติของความสัมพันธ์ ก็คือ
การหวังว่า เขาจะมีเราคนเดียว เขาจะอยู่กะเราตลอดไป
ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
เรากะเขาเข้ากันได้จริงไหม??
รักกันจริงไหม??

หากคิดดูตามความเป็นจริง
มันคงน่าเบื่อน่าดูถ้าต้องอยู่ในกรอบแบบนั้น
กะใครก็ไม่รู้ที่เราก็ยังไม่รู้ว่าเขาใช่หรือเปล่า


เพราะฉะนั้น หากอยากมีความสุข ก็ต้องไม่คาดหวัง
ไม่ครอบครอง
ไม่เป็นเจ้าของ


คนเราอยู่ด้วยกัน หากไม่มีความสุขด้วยกัน
ก็มีแต่จะสร้างกรรมกันต่อไปไม่จบไม่สิ้น
หากเรามีความสุขกะคนคนนั้น เราก็จะอยากทำแต่สิ่งดีๆให้เขา
อยากให้เขามีความสุข


...เพราะเขาคือความสุขของเรา และเราคือความสุขของเขา...


เราไม่ได้ต่อต้านการแต่งงานหรือมีลูก
แต่เราจะทำก็ต่อเมื่อเราเจอคนที่เราคิดว่า
เรามีความสุขเมื่ออยู่กะเขาและยอมรับในตัวตนของเขาได้ทั้งหมด

การแต่งงานคือการที่คนสองคนบอกว่าหรือคาดหวังว่าจะอยู่กันทั้งชีวิต
หากเข้ากันไม่ได้ ไม่มีความสุขเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วจะเอามาทำไม
เลิกกันไปก่อนที่จะเกลียดกัน ก่อนที่จะสร้างกรรมต่อกัน
เลิกเมื่อยังรู้สึกดีต่อกันไม่ดีกว่าหรือ?

เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรายังไม่เจอคนคนนั้น
ก็เปิดแบบนี้ไปเรื่อยๆละกัลล์ 555

แบบนี้เรียกว่าเจ้าชู้ไหมล่ะ???

^^


--------------------------------------------------

ส่วนหนึ่งจาก MSN
22 ตุลาคม 2553
ตีหนึ่ง ยี่สิบแปด



Create Date : 22 ตุลาคม 2553
Last Update : 22 ตุลาคม 2553 2:44:46 น.
Counter : 1147 Pageviews.

6 comments
  
ไม่เจ้าชู้เลย
โดย: 123 IP: 192.168.2.94, 202.143.155.99 วันที่: 22 ตุลาคม 2553 เวลา:9:40:30 น.
  
เขียนได้ดีมากเลยค่ะ อยากบอกว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่คิดเหมือนกับคุณเกือบหมดทุกอย่าง^^
โดย: มะจ๋อง IP: 61.91.113.170 วันที่: 26 ตุลาคม 2553 เวลา:9:02:46 น.
  
ดีใจจัง ที่มีคนบอกว่าไม่เจ้าชู้

แถมมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกต่างหาก

หุหุ

ขอบคุณที่ทักทายกันนะคะ

^^
โดย: cinta วันที่: 26 ตุลาคม 2553 เวลา:23:24:47 น.
  
Oh!!! Wonderful
โดย: 111 IP: 124.121.57.55 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:10:23:33 น.
  
ตามมาอ่านครับ ไม่เรียกเจ้าชู้ แต่เรียกช่างเลือกไงครับ อิอิ

เห็นด้วยเกือบทั้งหมดโดยเฉพาะในส่วนที่ว่า "หากเข้ากันไม่ได้ ไม่มีความสุขเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วจะเอามาทำไม "

แต่มีข้อสังเกตอีกมุมมอง(จากในกระทู้ผมเอง) ว่า เช่น ความคิดเห็นที่ 19
ผมเป็นผู้ชายนะ ตอนนี้มีแฟนแล้ว แต่ยังไม่แต่งงาน เพราะเธอไม่พร้อม
ผมเคยคิดอย่างนั้นนะครับ อยู่คนเดียวอิสระจะตาย อยากทำอะไรก็ืทำ
ทำงานได้เต็มที่ ให้เป็นที่ยอมรับดีกว่า
แล้ววันนึงผมเห็น ลูกน้องผม(เขาแก่กว่าผมอีก) เงินเดือนเขาไม่ถึง หมื่น รวม ot ก็ไม่เกิน 15k
เขามาลาพักร้อนไปส่งลูก เขาเข้าโรงเรียน ดูเขามีความสุข มากกว่าผมซะอีก
ทั้งๆ ที่ผมเงินเยอะกว่าเขา มีบ้าน(ยังผ่อนไม่หมด) มีรถ มีหน้าที่การงานที่ดี พาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ
วันๆ ทำแต่งาน + เที่ยว มันเหมือนชีวิต เกินมาแค่นี้หรือ แล้วผลงานที่เราทำ กว่าครึ่ง ก็เป็นแค่แผนในกระดาษ
ถ้าเราตายไปวันนี้ อีก 5 ปี ข้างหน้า เขายังจะจำได้ไหมว่า งานนี้เราสร้างขึ้นมานะ
ถ้าเราแก่ไปใครจะเลี้ยงเรา เราต้องเก็บเงินไว้เยอะๆ มาจ้างพยาบาลดูและเราตอนแก่หรือ
ก่อนตาย เราคงมีสาย ต่างๆ ห้อย เต็มเตียง จะมีคนมาแย่งสมบัติ เราไหม หนอ
เวลาป่วย นี่ ทรมาณ สุดๆ ต้อง ฝืนขับรถไปโรงพยาบาลเอง ฯลฯ
ความคิดเห็นที่ 27
แต่เริ่มแปล่งงๆ แกว่งงๆๆ เริ่มมีคนถามเมื่อไหร่จะแต่งงาน แก่ๆจะได้มีคนดูแล ทำงานเยอะ ทำให้ใคร ไม่มีครอบครัว ลึกๆ เราว่าวัยเนี่ยคิดอยากมีครอบครัวแน่นอน คิดเยอะด้วย คิดมากกว่าช่วงที่ผ่านมา อารมณ์ไม่ดี เหวี่ยง ลูกน้องก็บอกเป็นสาวแ่ก่

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L10244941/L10244941.html#35 ^^

โดย: พยัคฆ์ภูผา IP: 61.7.177.179 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:11:17:06 น.
  
เยี่ยมคับ ผม คือ 1 คนนั้น อุดมการเดียวกัน
โดย: ชาญวุฒิ นรชาญ IP: 110.164.104.230 วันที่: 22 กรกฎาคม 2557 เวลา:13:31:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

cinta
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีค่า ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค้า
แบบว่ายังใหม่มากๆสำหรับที่นี่
เห็นบล็อกคนอื่นเค้าสวยๆงามๆก็ให้อิจฉาตาร้อนผ่าวๆ
ไม่รู้เค้าทำกันยังไง
ใครมีจิตเมตตาก็มาบอกกันมั่งเน้อ
free counters
New Comments