134. มาฆบูชา โอวาทปาฏิโมกข์
ในวันมาฆบูชา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดง “โอวาทปาฏิโมกข์” หรือ “โอวาทปาติโมกข์” แก่พระสงฆ์ เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้ว เป็นเวลา 9 เดือน โดยมีเนื้อความ ดังปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ดังนี้ ***ทรงแสดงพระโอวาทปาติโมกข์ [๙๐] ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีพุทธเจ้า ทรงแสดงปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์ ที่กรุงพันธุมดีราชธานีนั้น ดังนี้ “ความอดทน คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพานเป็นบรมธรรม ผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี้คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย การไม่กล่าวร้ายผู้อื่น การไม่เบียดเบียนผู้อื่น ความสำรวมในปาติโมกข์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร การอยู่ในเสนาสนะที่สงัด การประกอบความเพียรในอธิจิต นี้คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย” พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวรรค [๑. มหาปทานสูตร] ทรงแสดงพระโอวาทปาติโมกข์ {ที่มา: โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม: ๑๐ หน้า: ๕๐-๕๑} *************** โอวาทปาติโมกข์ 3 ประการ ที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงแสดง ในวันมาฆบูชา คือ - การไม่ทำบาปทั้งปวง
- การทำกุศลให้ถึงพร้อม
- การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
ได้ชื่อว่า “เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา” เพราะเป็น “บทสรุปของการปฏิบัติธรรม เพื่อทำความดับทุกข์” *************** “สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม กมฺมุนา วตฺตตีโลโก (กัมมุนา วัตตติ โลโก)” “คนเราเกิดมา เพื่อมารับผลของกรรม ที่ตนได้เคยกระทำ สั่งสมเอาไว้ ในชาติก่อนๆ” กรรมดี หรือ การกระทำดี ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ (กุศลกรรม) มีผลเป็น วิบากกรรมดี หรือ กุศลวิบาก วิบากกรรมดี หรือ กุศลวิบาก หมายถึง การได้รับ และ การได้ประสบกับ “สิ่งที่ดีๆทั้งหลาย” (ทำให้ชีวิตเป็นสุข) กรรมไม่ดี หรือ การกระทำไม่ดี ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ (อกุศลกรรม) มีผลเป็น วิบากกรรมไม่ดี หรือ อกุศลวิบาก วิบากกรรมไม่ดี หรือ อกุศลวิบาก หมายถึง การได้รับ และ การได้ประสบกับ “สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย” (ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์) *************** เมื่อคนเราเกิดมาแล้ว คนเราก็จะทำ ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี คละเคล้ากันไป ทำให้ต้องเวียนวน กลับมาเกิดอีก เพื่อมารับผลของกรรม ที่ตนได้เคยกระทำ สั่งสมเอาไว้ เป็นความสุขและความทุกข์ คละเคล้ากันไปอีก ทำให้ชีวิต ต้องเวียนวน อยู่ในวังวนของ “ความสุข (โลกียสุข) และความทุกข์” ไม่มีที่สิ้นสุด เป็น “วัฏสงสาร” *************** ถ้าต้องการจะทำความดับทุกข์ หรือ ต้องการจะหลุดพ้นออกไปจากวัฏสงสาร ต้องปฏิบัติตาม “โอวาทปาฏิโมกข์ 3” ทั้ง 3 ข้อ คือ - ไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ หมายถึง ไม่สร้างอกุศลวิบาก หรือ วิบากกรรมที่ไม่ดี มาเติมเพิ่มให้กับชีวิต
- ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ หมายถึง หมั่นสร้างกุศลวิบาก หรือ วิบากกรรมดี มาเติมเพิ่มให้กับชีวิต
- ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว หมายถึง หมั่นชำระล้าง หรือ หมั่นทำความดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ที่มีอยู่ภายในจิตใจ หรือ ที่ครอบงำจิตใจอยู่ ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ เพื่อทำให้จิตใจ ใสสะอาด ปราศจาก “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” เพราะ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” คือ มูลเหตุของ “อกุศลกรรมและความทุกข์” ทั้งหลาย
*************** การปฏิบัติตาม “โอวาทปาฏิโมกข์ 3” คือ การเดินไปตามทาง “อริยมรรคมีองค์ 8” ด้วยการปฏิบัติ “ศีล สมาธิ และ ปัญญา” เพื่อปรับเปลี่ยน “การงานอาชีพ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม” ที่เป็น “บาปอกุศล (มิจฉา)” ให้เป็น “กุศล (สัมมา)” และ เพื่อชำระล้าง หรือ เพื่อดับ “กิเลส ราคะ ตัณหา และ อุปาทาน” ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ เพื่อทำให้จิตใจ “ใสสะอาดผ่องแผ้ว” ชาญ คำพิมูล ขอขอบคุณภาพจาก: สถาบันศิลปะและวัฒนธรรม มทร.รัตนโกสินทร์
Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2567 |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2567 9:01:23 น. |
|
2 comments
|
Counter : 223 Pageviews. |
|
|
|