Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
14 ตุลาคม 2558
 
All Blogs
 
:: 8th Wrap-Up :: (#57 - #64)

  ...





# 57-58

Valente, C. M. (2011). The girl who circumnavigated the Fairyland in the ship of her own making. London: Much-in-Little. 

Valente, C. M. (2012). The girl who fell beneath the Fairyland and led the revel. New York: Corsair.

September หลุดหลงเข้าไปใน Fairyland โดยบังเอิญโดยการพัดพาของ Green Wind ผู้ใจดี แน่นอนว่านิยายแนวนี้ย่อมเป็นการเดินทางเพื่อทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือ quest ซึ่งในเรื่องนี้เอง September ต้องตามหาช้อนเงินให้แก่กลุ่มพ่อมดแม่มดที่เธอเจอระหว่างทาง เพื่อแลกกับการบอกทางกลับบ้าน แต่ก็ติดที่ว่าช้อนนั้นไปอยู่กับ Marquess ผู้ปกครอง Fairyland นั่นเอง ระหว่างทางที่เดินทางไปยัง Pandemonium เมืองหลวงของที่แห่งนี้เพื่อพบกับผู้ปกครอง เธอก็พบกับเรื่องประหลาดมากมาย ได้พบหญิงสบู่ผู้ชำระล้างตัวเธอให้สะอาดสดใสพร้อมเพิ่มความกล้าหาญ เรื่องร้ายก็เจอเพราะต้องสูญเสียเงาของตัวเองหลังจากใจกล้าช่วยเหลือเด็กน้อยตัวหนึ่ง จากนั้นก็ได้เจอเพื่อร่วมทางอย่าง Wyvern มังกรชนิดหนึ่งที่ชอบพูดจาเลื่อนเปื้อนแต่ก็เป็นเพื่อนเธอคลายเหงา และพบกับ Marid (เป็นเทพในตำนานอย่างหนึ่งของท้องทะเล) ก็พากันช่วยเหลือ September จนได้พบกับผู้ปกครอง แต่ก็ต้องให้เธอเดินทางต่อไปยังป่า Autumn เพื่อแลกกับการปลดปล่อยประชากรของ Fairyland ที่ถูกกดขี่ไว้ หารู้ไม่ว่าเหมือนกับการส่ง September ไปผจญความน่ากลัว แต่ด้วยความเป็นแฟนตาซีแม้จะเจอเรื่องสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน คนเขียนก็หาตัวช่วยมาให้เธอเอาตัวรอดมาได้จนได้กลับบ้าน

มาในเล่มสอง September ได้มีโอกาสกลับไปยัง Fairyland อีกหน คราวนี้เธออยากกลับไปมากเพราะคิดถึง แต่ก็ต้องพบว่า Fairyland เปลี่ยนไป เนื่องจากเกิดเรื่องร้ายแรงที่ว่าประชากรใน Fairyland ถูกขโมยเงาของตนไป September จึงคิดว่าตัวเธอนี่แหละเป็นตัวการเพราะเมื่อเดินทางลงไปยังใต้ดินของ Fairyland จึงได้พบกับเงาของคนที่เธอเคยรู้จักมาก่อนในเล่มแรก และตัวการที่ทำให้เงาทั้งหลายต้องมาอยู่ข้างใต้นี้ก็คือ เงาของตัวเธอเองที่ถูกตัดออกจากร่างเธอและทิ้งไว้ใน Fairyland นี้เอง เธอต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยเงาที่เหมือนไม่อยากกลับไปหาเจ้าของ เพราะมีอิสระคิดเองทำเองได้ ให้กลับไปอยู่กับเจ้าของเดิมให้ได้ในที่สุด

สิ่งที่ชอบในเรื่องนี้คือผู้เขียนจับตำนานหรือเทพหรือผีในวัฒนธรรมต่างๆ เข้ามาอยู่ในเล่ม ให้ September ไปเจอสิ่งเหล่านี้แบบไม่คาดคิดมาก่อน จู่ๆ ก็โผล่มาแล้วให้คนดูลุ้นเอาว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงจะเป็นแฟนตาซีแต่ก็มีเอเลเมนต์ของอารมณ์ความรู้สึกตัวละครเอกค่อนข้างเยอะ ทำให้รู้สึกอินและอยากเอาใจช่วย September ไปตลอดเรื่อง เรื่องนี้มีเป็นซีรีส์ ตั้งใจจะตามอ่านให้จบครบ 

...





# 59

Maugham, W. S. (2000, c1941). Up at the villa. New York: Penguin.

เรื่องในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในอิตาลี Mary สาวชาวอังกฤษถูกขอแต่งงานโดยเศรษฐีใหญ่แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจ ชายหนุ่มที่แก่คราวพ่อนี้จึงให้เวลาเธอ ระหว่างนั้นเขาไม่อยู่ก็ให้ปืนเธอไว้ป้องกันตัว หารู้ไม่ว่า ปืนนั้นเองนำไปสู่หายนะที่เธอไม่คาดคิด เมื่อคืนหนึ่งที่เธอกลับจากงานเลี้ยงที่บ้านเศรษฐีนีชาวอเมริกันหม้าย เธอได้ช่วยเหลือนักดนตรียากไร้คนหนึ่งไว้ เขาหลงรักเธอทันทีจึงตามมาที่วิลลา แต่เธอไม่รักเขา ชายหนุ่มจึงใช้ปืนนั้นฆ่าตัวตายต่อหน้าเธอ Mary ตกใจทำอะไรไม่ถูก จึงเรียกชายหนุ่มมาช่วย ก็ไม่นึกเลยว่าจะเป็นการร่วมหัวจมท้ายในการอำพรางคดีไปด้วยกันจนสุดท้ายเรื่อง 

สนุกดีเหมือนกันตอนที่เอาใจช่วยตัวละครให้หาทางออกให้กับความผิดพลาดของตัวเอง เสียแต่สั้นไปหน่อย เห็นว่าไปทำหนัง ไม่รู้เวอร์ชันหนังทำออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

...





# 60

Wharton, E. (1997, c1920). The age of innocence. New York: Dover Publication.

นิยายคลาสสิกที่เล่าเรื่องของสังคมชั้นสูงที่นิวยอร์กเมื่อก่อนปี 1900 เป็นเรื่องราวของหนุ่ม Newland ที่ได้หมั้นหมายใคร่ร่วมหอกับ May เรียบร้อยแล้ว สองตระกูลผูกสัญญาว่าจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน ทั้งสังคมในขณะนั้นก็รับรู้และพอตาพอใจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องกลับมาชะงักก็ด้วยใจของ Newland เองที่เอนเอียงไปทางญาติสาวของคู่หมั้นที่ตกอยู่ในภาวะหนีจากสามีผู้เป็นบารอนมาจากยุโรป นั่นคือหญิงสาวสวยอย่าง Ellen นั่นเอง ทั้งนี้เพราะชายหนุ่มเข้าไปช่วยจัดการคดีที่จะฟ้องหย่าของ Ellen ได้เห็นความเสียใจของหญิงสาวจนตนเองก็อึดอัดขัดใจตาม แต่อย่างไรก็ดีด้วยกรอบสังคมและครอบครัวที่ตีล้อมไว้ ทำให้ Newland ต้องลงเอยกับ May ในที่สุด เมื่อ Ellen ตัดสินใจกลับไปยุโรป ไม่ต้องการเข้ามาเป็นขวากหนามในทางรักของคนทั้งคู่ ท้ายเรื่องเป็นที่สะเทือนใจที่ว่าแม้จนแก่เฒ่าจวนเฝ้าประตูผีแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังคิดถึงกันเป็นความผูกพันแม้ไม่ลึกล้ำแต่ยั่งยืนนาน

อ่านตอนแรกๆ เหมือนอืดๆ คล้ายจะไม่ชอบ แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นการปูพื้นเรื่องให้เห็นสภาพของสังคมชั้นสูงในสมัยนั้นที่เชื่อมโยงกันไปทุกแห่งหน พอครึ่งหนังของเรื่องถึงได้ชอบเพราะลุ้นตามตัวละครว่าจะหาทางออกอย่างไร ตอนจบคิดว่าทำได้ดีมาก กินอารมณ์คนอ่าน ไม่เคยดูหนัง เวอร์ชันหนังน่าจะฉายภาพฉากและสังคมได้ชัดเจนขึ้น

...





# 61

Rushdie, S. (1994). East, West. London: Jonathan Cape.

รวมเรื่องสั้นของนักเขียนผู้มากด้วยความสามารถ แบ่งเป็น 3 ตอนด้วย East ในช่วงแรก West ในช่วงที่สอง และ East, West ในช่วงสุดท้าย ตามที่ชื่อช่วงได้บอกไว้เลย ก็คือเรื่องนั้นในแต่ละช่วงจะสะท้อนค่านิยมและความคิดของคนที่ฝั่งตะวันตกและตะวันออก ส่วนช่วงสุดท้ายคือประเด็นที่ทัศนคติตะวันออกและตะวันตกชนกันอย่างจัง

หลายเรื่องออกจะแนวกึ่งๆ แฟนตาซี ส่วนใหญ่จะเข้าใจยากเพราะเขียนถึงเรื่องที่เราไม่ค่อยมีความรู้ แต่เรื่องไหนที่พอจะ relate ก็จะสนุกสนานเพราะประทับใจที่คนเขียน “เล่น” กับคำและ “ปั่น” เรื่องราวได้อย่างที่ต้องร้องว่า เอ้อ...ทำไปได้...
ในเล่มนี้ชอบไม่กี่เรื่องแต่ที่ชอบและติดใจมากสุด คือ “The Prophet’s Hair” (ล้อเลียนเรื่องความเชื่องมงายทางศาสนาของคนอินเดีย จนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมทั้งครอบครัว) 

...





# 62

Trevor, W. (1994). Death in summer. London: Penguin Books.

ชอบงานเขียนของ Trevor ได้อ่านมาก็หลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เป็นผลงานชั้นหลังๆ ของแก มีความรู้สึกว่าไม่ค่อยออกรสเท่าไหร่ เรื่องเนิบช้าไปหน่อย ประเด็นเหมือนจะมี เพราะเป็นแนวตัวละครจิตๆ ที่แฝงเข้ามาในหมู่คนปกติให้ต้องซวยกันเป็นแถบๆ 

ในเรื่องนี้ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อครอบครัวร่ำรวยครอบครัวหนึ่งในอังกฤษต้องการคนเลี้ยงลูกสาวที่เพิ่งเกิด ผู้เป็นแม่เสียไปด้วยประสบอุบัติเหตุ ไม่อาจดูแลได้ พ่อจึงประกาศรับหาคนเลี้ยงดูเด็ก แต่สิ่งที่ได้มาคือหญิงสาวที่มาหลงชอบเจ้าของบ้านชายหนุ่ม เขาบอกปัดไม่ให้ทำงานก็กลับมาซุ่มซ้อนดู หาเรื่องอ้างมาที่บ้านตลอด จนสุดท้ายทำท่าไหนไม่รู้ เกิดไปขโมยลูกเขาเข้า แต่ก็ต้องเอามาคืนพร้อมตัวเองได้รับจุดจบที่น่าอนาถ เรื่องน่าจะทำให้ตื่นเต้นได้มากกว่านี้ คนเขียนเสียเวลาไปกับการตีแผ่จิตใจตัวละครแต่ละตัวอยู่นานเกินไปหน่อย 

...





# 63

Jackson, S. (2009, c1962). We have always lived in the castle. New York: Penguin Modern Classics.

เด็กสาววัยรุ่นอาศัยอยู่กับพี่สาวและอาพิการสามคนในคฤหาสน์กลางทุ่งในอเมริกา (ยุค 50-60) Merricat มักเป็นตัวแทนพี่สาวและอาออกมาซื้ออาหารประจำสัปดาห์ เจอสายตาของคนในชุมชนที่มองว่าตนเองเป็น “ของแปลก” เพราะมีคดีเกิดขึ้นในบ้านนั้น คือพ่อแม่และญาติๆ อีกหลายคนถูกลอบวางยาพิษจนตาย คนก็ล่ำลือว่าเป็นฝีมือของพี่สาวเธอ เพราะเป็นคนทำอาหาร ตอนนั้น Merricat รอดตายเพราะถูกทำโทษให้ขึ้นไปบนห้องให้อดอาหารเย็น

เรื่องมาคับขันก็ตอนที่ลูกพี่ลูกน้องหนุ่ม (ลูกพี่ชายคนโตของเจ้าของบ้าน) เดินทางมาหา เพราะได้ข่าวว่าที่บ้านมีเซฟซ่อนเงินอยู่มากมาย ไม่ได้ไปฝากธนาคาร จึงคิดเข้ามายุ่มย่ามในบ้าน คอยพยายามที่จะพาให้พี่สาวของ Merricat ออกสู่สาธารณชนสักที ลืมเรื่องครั้งก่อน แต่นั่นเองเป็นการทำให้ Merricat รำคาญจนกระทั่งก่อเรื่องเผาบ้านเพื่อไล่ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ออกไป ในเหตุการณ์นั้นเรียกคนทั้งชุมชนมาดูไฟที่ไหมคฤหาสน์พร้อมสาแก่ใจลึกๆ ในขณะเดียวกันนั้นอาผู้พิการก็ตายในกองไฟ เหลือรอดแค่สองพี่น้อง พร้อมความลับในอดีตที่เผยออกมาว่าใครเป็นคนวางยาทั้งครอบครัว สุดท้ายพี่น้องสองสาวก็อาศัยอยู่ในบ้านร้างต่อไปอีกนานหลายปี

เป็นนิยายแปลกประหลาด บรรยากาศหลอนๆ อึมครึมๆ ไม่เชิงว่าน่ากลัว แต่โดยรวมคือพิลึก ชอบและคิดว่ามันเล่นกับสภาพจิตใจหลอนๆ ของตัวละครได้ดี

...





# 64

Murdoch, I. (2001, c1961). A severed head. London: Vintage Classics.

เป็นเรื่องของรักสี่เส้าเขียนขึ้นในยุค 60 ที่อังกฤษ เล่าผ่านสายตาของ Martin ปมปัญหาเริ่มที่ตัว Martin เองที่ไปมีกิ๊กชื่อ Georgie ซึ่งอ่อนกว่าตัวเองเป็นสิบปี หากเรื่องกลับกลายเป็นว่า Antonia เมียของตนเองนั้นก็ขอเลิกไปครองคู่กับ Anderson หมอจิตเวทของตนเอง เรื่องพันกันอีรุงตุงนังเมื่อมี Honor น้องสาวของ Anderson เข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้าหล่อนเผลอไปแนะนำ Georgie ให้ Alexander พี่ชายของ Martin รู้จักจนกระทั่งกลายเป็นชอบกัน แทงข้างหลัง Martin ซ้ำสอง 

แต่เรื่องมันมาถึงจุดอึ้งก็เมื่อ Martin เกิดหลงรัก Honor อย่างไม่อาจถอนตัวได้ จนกระทั่งตามไปหาที่ Cambridge แต่ก็ต้องพบว่า Anderson กับ Honor พี่น้องมีความสัมพันธ์แบบต้องห้ามต่อกันจะๆ คาตา 

ประเด็นหมิ่นเหม่ศีลธรรมใส่เข้ามาจนกระทั่งทำให้คนอ่านต้องงุนงง แต่ก็เหมือนอยากรู้ว่าตัวละครจะลงเอยกันอย่างไร ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนั้นทำให้เรื่องวุ่นวายจับต้นมาชนปลายมั่วไปหมด ให้ความรู้สึกประหลาดใจเมื่อคนอ่านพบว่าผู้เขียนจับจูงไปสู่ความสัมพันธ์แบบดังกล่าว เพราะไม่เชิงว่าไร้เหตุผลเสียทีเดียว ก็เลยอยากรู้ว่าทำไมเหตุการณ์ถึงได้เลื่อนเปื้อนไปแบบนั้น

พูดถึงพล็อตก็ไม่มีอะไรมาก มีแต่เซอร์ไพรซคนอ่านไปมาอย่างที่บอกข้างต้น แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าอะไรทำให้ชอบงานเขียนของคุณป้าแก สงสัยจะเป็นบรรยายกาศและแนวคิดของชีวิตที่แกใส่มาระหว่างทางในหนังสือแน่ๆ 

...



Create Date : 14 ตุลาคม 2558
Last Update : 14 ตุลาคม 2558 16:20:34 น. 3 comments
Counter : 637 Pageviews.

 
ชอบ The girl เล่มแรกมากค่ะ รูปประกอบน่ารักสุดๆ เรารู้สึกว่ามันเป็นนิทานเด็กที่ต้องเป็นผู้ใหญ่ถึงจะรับสารที่คนเขียนสื่อทั้งหมดได้ละค่ะ

อ่านเล่มสองแล้วสนุกน้อยลงยังไงไม่รู้ เล่มอื่นเป็นไงรอฟังนะคะ


โดย: Froggie วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:19:52:29 น.  

 
เห็นด้วยเลยครับคุณกบ ตอนที่อ่านนี่พวกเทพหรือปีศาจในตำนานของฝรั่งนี่ ผมต้องเปิด google ดูเลยว่าหน้าตาแล้วเรื่องราวเป็นไงมาไง ถึงได้อ่านแล้วเก็ต

เล่มสองไม่อินเท่าเล่มแรกเหมือนกันฮะ เหมือนจับตัวประหลาดยัดๆ ใส่มา เดี๋ยวจะลองหาเล่มต่อไปมาอ่านเพิ่มครับ


โดย: Boyne Byron วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:21:26:35 น.  

 
เรื่องสุดท้ายน่าอ่านค่ะ


โดย: kunaom วันที่: 15 ตุลาคม 2558 เวลา:16:23:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Boyne Byron
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Friends' blogs
[Add Boyne Byron's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.