จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
 
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
17 มกราคม 2549
 
All Blogs
 
รักนี้(แค้น)...ต้องชำระ Chapter 10 เกียรติยศของบอยแบนด์

Chapter 10 หึงหวง



กิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของสไบนางในสิบกว่าวันมานี่คือการคุยโทรศัพท์
กับเวสก่อนนอน จะว่าเห่อโทรศัพท์มือถือมันก็ควรเลิกได้แล้ว แต่
เจ้าหล่อนจนติดเม้าท์ฉึ่งซึ่งไม่รู้ว่าสรรหาเรื่องอะไรมาคุยได้นักหนาทุกวี่
ทุกวัน จนหลี่เซี่ยเฟยต้องเป็นฝ่ายเรียกให้นอนได้ทุกคืน และคืนนี้ก็
เช่นกันชายหนุ่มนอนหันหลังตะแครงข้างทนหลับหูหลับตาฟังเสียงหัวเราะ
คิกคักที่ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกเม้าท์สักที

“หนวกหนูจริงๆ เลย” ไอดอลหนุ่มตวาดออกมาทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้กับคนที่นั่งบนเตียงเดียวกัน ผีสาวชงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเบ้ปากออกมา

“ฉันไปคุยที่ห้องรับแขกก็ได้”

“ไม่ต้องออกไปเลยนะ วางหูแล้วนอนเดี๋ยวนี้ เวสนายก็วางได้แล้วพรุ่งนี้นายต้องตื่นเช้า อยากโดนพี่ซิงด่าหรือไง?”

“รู้แล้วน่า...อีกเดี๋ยวเดียวเอง” ผีสาวยังอิดออดแต่ปลายสายกลับเป็นฝ่ายเกรงใจขอวางสายเสียเองโดยอ้างว่างง่วงนอนแล้ว

“ไม่ต้องไปสนใจตานั่นหรอกเวส....อ่ะจ้ะ....ง่วงแล้วเหรอ OK งั้นราตรีสวัสดิ์ฝันดีนะ พรุ่งนี้เจอกันจ้า” สไบนางวางสายแล้วหันไปค้อนชายหนุ่มซึ่งแกล้งนอนนิ่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่ที่เดิม

“เขยิบไปหน่อยสิ นอนซะเต็มเตียงเลย” ผีสาวหันมามองก็พบว่าโดนกินร่างสูงนั้นนอนกินพื้อนที่มาเกินครึ่งเตียงแล้ว แต่คนที่นอนอยู่ก่อนไม่ยอมขยับให้เลย

“ไปนอนที่โซฟาสิ...” เขาตอบเบาๆ

“นี่! นายไล่ผู้หญิงไปนอนที่โซฟาเนี่ยนะ สุภาพบุรุษมากเลยนะตาบ้า!!”

“ทำไมทีเมื่อก่อนยังนอนได้เลย หรือติดใจเตียงแล้ว”

ตั้งแต่วันที่ฟังคำบอกกล่าวน่าใจหายของหยางเล่ยมา หลี่เซี่ยเฟยไม่ยอมให้เจ้าหล่อนนอนบนโซฟาอีกต่อไป เขาอ้างว่าเตียง 6 ฟุตของเขากว้างพอจะนอนได้ 3 คนด้วยซ้ำ จึงชวนให้ผีสาวมาร่วมเตียงด้วยจุดประสงค์เพียงเพื่อจะให้หล่อนได้นอนสบายกว่าเดิม

“คิดอะไรอยู่น่ะ....ลามก”

“......นี่เธอ.....” ชายหนุ่มจ้องมองหน้าผีสาวด้วยแววตาแสนเซ็ง ก่อนจะเสยผมยุ่งๆ ขึ้นให้พ้นจากหน้าผาก

“เธอเป็นผีแค่แตะยังทะลุ...ฉันจะไปทำอะไรได้หา แล้วอย่างเธอเนี่ยฉันไม่เกิดอารมณ์ด้วยหรอกนะ เตี้ยก็เตี้ย อ้วนก็อ้วน”

“ฉันไม่ได้อ้วนนะยะ แค่ไม่หุ่นเป็นไม้เสียบผีเหมือนแม่นางเอกของนายเท่านั้นเอง แล้วนายมันสูงเกินไปต่างหาก ฉันน่ะส่วนสูงมาตรฐานเอเชีย”

อันที่จริงสิ่งที่สไบนางกล่าวก็ไม่ได้เกินความจริง ทั้งนี้เป็นเพราะว่านางเอกสาวส่วนใหญ่ต้องคุมน้ำหนักให้ต่ำกว่ามาตรฐานเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วเวลาออกกล้องหรือถ่ายรูปจะดูบวมกว่าความเป็นจริง ดังนั้นที่เห็นสวยเพรียวตัวจริงมักจะออกแนวผอมแห้งแรงน้อยจนลมแทบจะพัดปลิวเลย

“แล้วทำไมฉันต้องนอนเตียงเดียวกับนาย....ทุกวันฉันก็นอนโซฟาข้างเตียงนี่นึกยังไงขึ้นมาเนี่ย?” ผีสาวชี้มือไปที่โซฟาที่นอนต่างเตียงอยู่ทุกวัน

“......ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว”

“ฉันมีผ้าห่มแล้วนี่?”

“แต่ของฉันผ้านวม...แล้วมันก็มีผืนเดียวฉันไม่คิดจะสละให้เธอหรอกนะ แต่ถ้าแบ่งกันใช้ล่ะก็พอได้”

“โธ่เอ้ย...ฉันเป็นผีจะหนาวอะไร?”

“แต่เธอเป็นผู้หญิง ถึงเธอไม่หนาวแต่ความรู้สึกฉันคือปล่อยให้ผู้หญิงนอนหนาวบนโซฟาแล้วตัวเองนอนห่มผ้านวมบนเตียง!!”

สไบนางได้แต่นิ่งอึ้งไปในใจหล่อนมีบางอย่างกำลังถ่ายเทเข้ามาทำให้
รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

ตั้งแต่คืนนั้นมาผีสาวจึงร่วมเตียงกับชายหนุ่ม ได้บอกราตรีสวัสดิ์และ
เข้าสู่นิทราพร้อมๆ กัน เมื่อตะวันขึ้นก็เธอปลุกเขาให้พลิกฟื้นตื่นขึ้นมา และบอกอรุณสวัสดิ์กับเขาเป็นคนแรก สไบนางทำแบบนี้ทุกๆวันมาร่วม
สองอาทิตย์แล้วจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันเลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่อหลี่เซี่ยเฟยเอ่ยปากไล่หล่อนไปนอนโซฟาผีสาวมีหรือจะยอม

“เตียงนี้หารสอง อย่ามาทำเป็นลืมนะ”

หล่อนไม่พูดเปล่าเมื่อเห็นชายหนุ่มนอนนิ่งทำเป็นไม่สนใจ จึงจัดแจงแผลงฤทธิ์ใส่ทันที หล่อนยันทีเดียวด้วยแรงลมพ่อคุณก็กลิ้งตกไปอยู่ข้างเตียงเรียบร้อย

“โอ้ย!! ยัยว่าน!!” ไอดอลหนุ่มผุดขึ้นมาด้วยอาการโมโหเต็มที่ แต่มาเจอกับผีสาวที่ทำหน้าเย็นชาตั้งท่าคอยรับอยู่แล้ว

“ไปนอนที่โซฟาซะ!! โน่น...ไปนอนโน่เลย” หล่อนชี้มือออกคำสั่ง
หลี่เซี่ยเฟยเห็นเข้าก็ขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ

“ไม่มีทาง!! นี่มันเตียงของฉัน” พูดจบก็ผลุนผลันมุดเข้าผ้าห่มไป

“ก็ได้!!ถ้าจะนอนก็เงียบๆ ไปเลยนะอย่ามาหาเรื่องฉันอีกเชียว ไม่งั้นคืนนี้นายไม่ได้นอนแน่ๆ ฉันรับรองเลย!!”

ว่าแล้วผีสาวก็มุดตัวลงมาในผ้าห่มอีกคนจนชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงสะเทือนของที่นอน แล้วต่างฝ่ายต่างก็นอนนิ่งไปร่วม 10 นาที ผีสาวยังนอนไม่หลับจนต้องพลิกตัวไปมาไอดอลหนุ่มเองก็เช่นกัน และแล้วหลี่เซี่ยเฟยเองก็ฝ่ายทนไม่ได้ต้องเปิดปากพูดออกมาก่อน

“ว่าน....”

“อะไร?”

“ราตรีสวัสดิ์”

เสียงแผ่วเบาลอยมาโดยที่เจ้าตัวยังหันหลังอยู่ ผีสาวได้ยินเข้าถึงกับต้องกระพริบตาถี่ๆ ด้วยความไม่แน่ใจ จนกระทั่งได้ยินประโยคต่อมานั่นแหละ

“ฝันดีนะ”

“.....อื้อ”

คราวนี้สไบนางคลี่ยิ้มออกมาได้ พ่อบุญถึงจอมยะโสเป็นฝ่ายลงให้หล่อนก่อน “ราตรีสวัสดิ์” หล่อนตอบออกมาเบาๆ แต่ก็เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นที่มุมปากชายหนุ่มได้เช่นกัน


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“สองคนนี่เป็นอะไรไปน่ะ?”

เช้านี้หยางเล่ยกระซิบถามหลี่เซี่ยเฟยในรถตู้ เมื่อเห็นสไบนางกับเพื่อนรักของตนนั่งหันหน้าไปคนละทางเหมือนงอนกัน

“เมื่อคืนยัยนั่นถีบฉันตกเตียง!!” ชายหนุ่มตอบออกมาด้วยเสียงขุ่นเคือง
เต็มที่ “แล้วเมื่อเช้านี้ก็ทำหน้าจอมือถือฉันร้าว”

“อ๋า? ทะเลาะอะไรกันน่ะ?”

“ก็อยากเอามือถือฉันไปซ่อนก่อนทำไมล่ะ? แล้วเมื่อคืนนายนอนกินที่เองฉันเลยดันให้เขยิบไปก็ดันตกเตียงไปเองนี่”

“มือถือเธอฉันแตะก็ทะลุแล้วจะเอาไปซ่อนได้ไง เธอแหละวางไว้เรี่ยราดหาไม่เจอเองแล้วมาโทษฉัน”

“วางเรี่ยราดที่ไหน? ก็วางไว้บนหัวเตียงแหละ ตื่นมาก็ไม่อยู่แล้วจะให้คิดยังไงล่ะ? แล้วกะอีแค่จะยืมมือถือโทรหาเวสหน่อย กะจะถามวิธีเรียก
ของหายกลับมาหมอนี่ก็ดันงกไม่ยอมให้ยืมดีๆ นี่นา”

“ก็เดี๋ยวเจอหน้าก็ถามเสียสิ ไม่ให้แล้วต้องแย่งด้วยเหรอ?”

หยางเล่ยพอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว คาดว่าหลี่เซี่ยเฟยไม่ยอมให้ยืมมือถือแต่โดยดีผีสาวเลยยื้อจะเอา แล้วก็คงดึงกันไปดึงกันจนมือถือเจ้ากรรมกระเด็นหล่นไปกระแทกพื้นจนหน้าจอร้าว

“เธอผิดแล้วยังมากล่าวหาฉันอีกเหรอ?”

ผีสาวฟังแล้วแทบผุดลุกแต่ติดที่ว่าในรถคับแคบเลยได้แต่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่ชายหนุ่ม จากนั้นก็สะบัดหน้าหนีไปมองวิวนอกหน้าต่างแทน พอๆ กับที่ชายหนุ่มเชิดหน้าใส่หล่อนแล้วหันไปอีกทาง หยางเล่ยเห็นแล้วต้องส่ายหน้าแต่ก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้เลยลอบกระซิบถามเพื่อน

“ตกลงมือถือว่านไปไหน?”

“หล่นอยู่ใต้เตียง!!” หลี่เซี่ยเฟยตอบหน้าตาเฉย

“แล้วทำไมไม่บอกว่านล่ะ” หนุ่มตากลมลดเสียงลงจนได้ยินกันแค่สองคน

“บอกทำไม? ฉันไม่ได้ซ่อนนี่หว่าหล่อนหาไม่เจอเอง”

“แพททททท...ท !! โธ่เอ้ย..ทำไมทำนิสัยเด็กๆ แบบนี้หาไม่สมกับเป็น
นายเลยนะ” หยางเล่ยส่ายหน้าเขาเผลออุทานออกมาเสียงดังจนสไบนางและคนในรถหันมาจ้องมอง

“สมน้ำหน้า....เห็นมั้ยเวสยังเห็นว่านายทำตัวเป็นเด็กอมมือเลย”

“เงียบไปเลยนะไม่ได้พูดกับเธอสักหน่อย!!” หลี่เซี่ยเฟยตวาดกลับ

“สองคนนั่นน่ะ ทะเลาะอะไรกันหา? มีกันอยู่แค่ 4 คนยังทะเลาะกัน
อยู่ได้ สกายนายเป็นพี่ใหญ่ดูแลน้องๆ หน่อยสิ”

เสียงดุของพี่ซิงผู้จัดการวงตวาดดังมาจากหน้ารถทำเอาทุกคนเงียบกริบ เฉินซื่อหวี่เอียงหน้ามามองด้วยสายตำหนิคู่ที่หลังรถก่อนจะเอ่ยปากถาม

“อะไรกันอีกล่ะ?”

“เปล่า...แค่เล่นกันนิดหน่อย” หยางเล่ยตอบแทน

“งั้นก็เบาๆ หน่อยสิ”

“แพทฉันว่าหมู่นี้นายแปลกๆ นะ ” จินเซี่ยวเซินทักขึ้นอีกคน

“อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ หรือว่าจะ.....อย่างที่เขาลือกันจริงๆ”

“ลืออะไร?” คราวนี้หลี่เซี่ยเฟยกับสไบนางสามัคคีกันยื่นหน้าไปหา
จินเซี่ยวเซิน

“ลือว่านาย....เมนมาว่ะ”

สิ้นคำตอบเสียงหัวเราะก็ถูกตะเบงออกมาจากปากทุกคนในรถตู้จนดังกระหึ่ม แม้แต่ผีสาวกับหยางเล่ยก็ไม่เว้น มีเพียงแค่หลี่เซี่ยเฟย
คนเดียวที่นั่งหน้าแดง

“ปวดท้องเมนหรือเปล่าแพท? แล้วแบบนี้จะซ้อมเต้นไหวเหรอ?”
จินเซี่ยวเซินยังแซวไม่เลิกรา

“ถ้าฉันมีแกก็ต้องมีเหมือนกันแหละ ไอ้บ้าเอ้ย!!”

“ถ้าไม่ปวดท้องเมนก็ดีแล้ว ตั้งใจซ้อมกันหน่อยล่ะ อย่าถือว่าเป็นมินิคอนเสิร์ตเพราะยังไงก็แสดงสด” พี่ซิงผู้ไม่เคยมีใบหน้านิ่งเฉยตลอดศกไม่เคยยิ้มแย้มกับใครเขาก็ยังรับมุขช่วยอำหลี่เซี่ยเฟยเข้าให้ด้วยอีกคน


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


กิจกรรมในวันนี้ของไอดอลหนุ่มต่างไปจากทุกวันจนผีสาวอดตื่นเต้นไม่ได้ เมื่อรู้ว่าอีกหนึ่งสัปดาห์จะมีมินิคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ช่วยโปรโมทงานของสปอร์นเซอร์ใหญ่รายหนึ่ง

“โทรศัพท์มือถือ Mokia ไง งานนี้แพทมันคงได้โทรศัพท์ใหม่ฟรีๆ”

หยางเล่ยอธิบาย เพราะถึงตอนนี้หลี่เซี่ยเฟยยังทำปั้นบึ่งใส่ผีสาวไม่ยอมพูดคุยด้วย

“จะคุยกันไปถึงไหน ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมซ้อมเต้นได้แล้ว”

“อื้อ!” เมื่อหยางเล่ยลุกขึ้นเดินตามเพื่อนคนอื่นๆไป จึงเหลือแต่สไบนาง
กับชายหนุ่ม เขาแกล้งตีหน้าเจ้าเล่ห์ใส่หล่อน

“ไม่ต้องตามไปถ้ำมองผู้ชายเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกล่ะ ยัยผีทะเล!!”

พูดจบก็เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ ทิ้งให้เจ้าหล่อนยืนหงุดหงิดอยู่คนเดียวหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเข้ารูปสำหรับซ้อมเต้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงมาพร้อมหน้ากันที่ห้องซ้อมซึ่งแต่งเป็นพื้นไม้และติดกระจกรอบด้าน ครูฝึกสอนท่าทางไม่ใช่ชายเต็มร้อยตรวจตราชายหนุ่มทั้งสี่ แบบสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนจะไล่มาทีละคนๆ ก่อนจะมาหยุดที่
หลี่เซี่ยเฟย

“แพท...เธออ้วนขึ้นหรือเปล่า?” ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้นครูฝึกยังยกมือขึ้นหยิกแก้มชายหนุ่มทั้งสองข้าง

“แก้มยุ้ยเป็นปลาทองเชียว? อะไรกันไม่ได้เต้นแค่พักใหญ่ เผลอแป๊บเดียวตุ้ยนุ้ยขึ้นเป็นกองเชียวน้า...พ่อคุณ เดี๋ยวตอนถ่ายรูปก็ได้หน้าบานเป็น
ดอกทานตะวันหรอก ต้องคุมน้ำหนักแล้วตั้งแต่เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าวแล้ว
กินโยเกิร์ตอย่างเดียวพอไป ทั้งอาทิตย์นี้เลย”

“อ๊ะ?!!”

“ไม่ต้องอ๊ะ-เอ๊อะ อะไรทั้งสิ้นไม่มีใจอ่อนฮ่ะ ถ้าไม่อยากกินโยเกิร์ตก็กินสลัดผักแทนเสียสิ แล้วพวกนม เนย ขนมหวาน อย่าได้แตะเด็ดขาด
เข้าใจมั้ย?”

ชายหนุ่มเถียงไม่ออก แต่เพื่อนอีกสามคนโดยเฉพาะจินเซี่ยวเซินหัวเราะเสียงดังออกมา ในขณะที่สไบนางที่ยืนอยู่มุมห้องต้องกุมหัว หล่อนอยากจะร้องไห้...แค่หล่อนแค่สั่งให้คุณบุญถึงกินเผื่อแค่นี้ถึงกับทำให้พ่อรูปหล่อโดนไล่ไปลดความอ้วนเชียวเหรอ?

“ก่อนเต้นไปโน่นเลยย่ะ....ช่างน้ำหนักทีละคน เอ้า! จินนี่จดไว้ด้วยว่าเท่าไร เดี๋ยวจับวัดรอบเอวรอบอกด้วยนะ โดยเฉพาะแพทถ้าอีกอาทิตย์ต้องขึ้นเวทีแล้วเอวยังไม่ลดลงไป 2 นิ้วล่ะสวยแน่ๆ ” หลี่เซี่ยเฟยทำสีหน้าไม่พอใจนักแต่ยิ่งยั่วยุให้ครูสอนเต้นมีน้ำโหขึ้นมา

“ยิ่งทำหน้าบูดแบบนี้แก้มยิ่งป่อง จินนี่เอาสายวัด วัดรอบหน้าแพท
เสียด้วยนะประเดี๋ยวแก้มจะบานกว่านี้”

“พี่ไมค์!”

“ไปช่างน้ำหนักซะ ไม่ต้องมาทำตาหวานใส่ฉัน” ครูสอนเต้นชื่อไมค์
ใช้นิ้วชี้จิ้มเข้าให้ที่หน้าผากชายหนุ่ม ในขณะที่เพื่อนร่วมวงคนอื่น
แอบหัวเราะกันคิกๆ คักๆ

“ไม่ต้องมาหัวเราะกันเลย ถ้าใครขืนอ้วนขึ้นโดนแน่ๆ...เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน เวสหันหลังซิ!!” คนถูกเรียกสะดุ้งโหยงก่อนจะหันหลังให้ดูแต่โดยดี

“ต๊าย! ก้นเป็นลูกเชียว” ไม่พูดเปล่าไมค์ตบป้าบเข้าให้ที่ปั้นท้ายของ
หยางเล่ยจนตัวแอ่น

“เหวอ..อ!!”

“วันๆ น่ะหัดขยับตัวเสียบ้าง ไม่ใช่นั่งเป็นหลับขยับเป็นหม่ำ มิน่าก้น
ถึงได้ใหญ่แบบนี้”

“พี่ไมค์พูดได้อย่างกับตาเห็นเลยฮะพี่ ฮ่า ฮ่า” เฉินซื่อหวี่แตะไหล่
ครูฝึก

“ไม่ต้องเห็นก็เดาได้ ไอ้เจ้าหมาน้อยเนี่ย เฮอะ!”

หลังช่างน้ำหนักจับผิดกันต่อหน้าต่อตาผลปรากฏว่า หลี่เซี่ยเฟยน้ำหนักขึ้นมาเกือบ 5 กิโลกรัม เจ้าตัวเองก็รู้สึกตกใจไม่น้อยเผลอหันไปสบตาสไบนางโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งผีสาวหลับตาปี๋รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพย
ชายหนุ่มเป็นการใหญ่

“แค่ 5 โล....นี่มันถึงตายเลยเหรอ? อึ๋ย....ทำไมเป็นดาราชีวิตมันลำบากอย่างนี้ฟะ?!!”

“คนที่อยากร้องไห้น่ะ...มันฉันต่างหาก 5 โล..เชียวเหรอเนี่ย...เฮ้อ”

“ไม่ต้องมาบ่นเลย!! ตอนกินทำไมไม่รู้จักคิดหา” ครูฝึกได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดกับผีสาวแต่เข้าใจไปว่าเขารำพันกับตัวเอง

“ริเป็นคนดังไปมีชื่อเสียงน่ะ ขอความเป็นส่วนคืนไม่ได้หรอกนะ ก็มีแต่
พุ่งไปข้างหน้าให้มากที่สุด ถ้าแรงพุ่งหยุดก็ต้องประคองตัวไม่ให้ตก
แล้วไอ้การจะอยู่ให้ทนให้นานได้นี่ก็คือดูแลตัวเองให้ดูดีที่สุด เอี่ยมอ่องไฉไลตลอดเวลา ไม่งั้นพวกคลื่นลูกใหม่คลื่นมาหน้ามันจะใสกว่า อย่าหาว่าพี่ชายคนนี้ขี้บ่น ฉันหวังดีกับพวกเธอทุกคน” หลังถูกเทศนายาวเหยียดชายหนุ่มทั้งสี่ได้แต่ยิ้มเก้อๆ คงมีแต่หลี่เซี่ยเฟยที่ตกปากรับคำอย่างจริงจัง

“ขอบคุณครับพี่ พักนี้ผมไม่ค่อยสบายเลยกินบำรุงมากไปหน่อย”

ชายหนุ่มมาดตุ้งติ้งแต่กล้ามเป็นมัดฟังแล้วทำตาพราวปรี่เข้ามาสวมกอด
หลี่เซี่ยเฟยทันที

“แหม....เธอนี่มันน่ารักก็ตรงนี้แหละ พูดอะไรเข้าใจง่ายไม่มีงอแง ฉันชอบเด็กดีแบบนี้จริงๆ เอาเหอะก็ระวังเรื่องกินไว้หน่อยแล้วกัน ไปซ้อมกันได้แล้ว”

หลังจากนั้นการซ้อมเต้นก็เริ่มขึ้น สไบนางนึกสนุกลุกขึ้นมาเต้นตามบ้างแต่แค่สิบกว่านาทีหล่อนก็หอบแฮ่ก เลิกเต้นแล้วไปนั่งดูเฉยๆ ดีกว่า ผีสาวขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิงไม่เข้าใจว่าก็เคยเห็นใน MV มันเต้นกระหยองกระแหยง ซ้ำหล่อนเคยนึกค่อนขอดว่า Vanilla Shade นั้นเอาแต่ขายหล่อร้องเพลงก็แสนจะธรรมดาไม่ได้ไพเราะอะไรนักหนา แต่ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งได้เพราะแรงโปรโมท ส่วนเรื่องเต้นนั้นหรือก็งั้นๆ ไม่ได้ดีเด่นอะไร แถวส่วนมากจะเป็นการเต้นประกอบเพลงช้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวง แต่ทำไมตอนลองมาเต้นด้วยแค่สิบนาทีก็เหนื่อยขนาดนี้ได้นะ สุดท้ายเพื่อความแน่ใจผีสาวเลยทดลองใหม่แต่ฝืนตัวเองเต็มที่ได้ไม่เกิน 30 นาทีก็แทบจะสิ้นใจตายไปอีกรอบแล้ว แต่ชายหนุ่มทั้งสี่ยังไม่ได้หยุดพักเลยพวกเขาเต้นติดต่อกันเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว จึงค่อยพักดื่มน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาไล่เหงื่อเปียกโชก

“วันนี้จะเต้นทั้งวันเลยเหรอ?”

“ก็คงถึงบ่ายๆ ” ชายหนุ่มตอบ “จากนั้นก็ไปวัดตัวตัดเสื้อผ้าใหม่”

“ไม่ต้องอดอาหารหรอก ลองได้เต้นแบบนี้ทุกวันนายผอมแน่ๆ ” สไบนางทำหน้าอ่อนละโหย ไอดอลหนุ่มมองแล้วก็คลี่ยิ้มออกมา

“อะไรแค่นี้เหนื่อยแล้วเหรอ? ปกติก่อนมีคอนเสิร์ตฉันเต้นวันละ 8 ชั่วโมงอยู่เป็นเดือนด้วยซ้ำ”

“8 ชั่วโมง.....”

เจ้าหล่อนอ้าปากหวอ จนชายหนุ่มขำแต่ไม่กล้าหัวเราะเสียงดังด้วยเกรงว่าจะเป็นจุดสนใจของคนอื่น ในขณะที่หยางเล่ยพยายามยืนข้างๆ หลี่เซี่ยเฟย เสมอเผื่อปะเหมาะเคราะห์ร้ายใครหันเห็นหลี่เซี่ยเฟยยืนพูดอยู่คนเดียว จะได้ช่วยกันอ้างได้ว่าคุยกันอยู่สองคน

“จะได้คุ้มค่าบัตรคอนเสิร์ตไง”

สไบบางยิ้มแหยๆ นึกดีใจที่ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินหล่อนด่าถล่มคอนเสิร์ตของเขาไว้อย่างไร ก็มีอย่างเหรอหรอกให้คนจองตั๋วคอนเสิร์ตที่เมืองไทยจนเต็มแล้วมายกเลิกทีหลัง อ้างว่าคิวไม่ได้ที่จริงคือเรียกค่าตัวสูงไปสปอร์นเซอร์จ่ายไม่ไหวต่างหากไม่อย่างนั้นคงต้องขึ้นราคาค่าตั๋วอีกรอบซึ่งคงโดนด่ากระจาย และพอตกลงกันได้คิวก็ไม่ลงตัวเสียแล้วต้องเลื่อนออกไปอีกหลายเดือนจนป่านนี้ยังไม่ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตที่เมืองไทยเลย เท่านั้นแหละสื่อมวลชนเมืองไทยพากันขนานนามทั้ง 4 หนุ่มว่า [บอยแบนด์เทวดา] เรื่องมากก็เท่านั้น ค่าบัตรก็แพงกระฉูด แถมผู้จัดการวงยังมีหน้ามาบอกว่าถ้าไม่สู้ราคาก็ไม่เล่น ประเทศอื่นเขายังรอจ่อคิวอีกเพียบ

วันนั้นเพื่อนๆ ของหล่อนพากันร้องไห้กระจองงองแงที่อดดูคอนเสิร์ตกันยกใหญ่ หล่อนเองยังรู้สึกมันช่างเป็นวงที่หยิ่งยะโสเสียเหลือเกินแบบนี้จะดังไปได้อีกสักกี่น้ำกัน แต่เมื่อหล่อนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของหลี่เซี่ยเฟย ตอนนี้สไบนางชักจะด่าไม่ค่อยออก ยิ่งพอถึงนึกพี่ซิงผู้จัดการวงหน้าตายคนนั้นหล่อนนึกออกเลยว่าตอนเขาก็คงรำคาญลูกอีช่างต่อราคาที่เมืองไทย แต่ก็คงพูดด้วยท่าทางปกติธรรมดาแบบที่คุยธุรกิจทั่วๆไป นี่แหละ ซึ่งวิธีการพูดของพี่ซิงนั้นก็รู้ๆ กันอยู่ว่าตรงไปตรงมาม้วนเดียวจบแล้วหิ้วคอศิลปินกลับบ้านไปเลย นึกๆ ไปหล่อนเริ่มคิดว่าบางทีที่ไอ้ท่าทางยะโสเชิดหน้าจนคอตั้งแถมยังพูดตรงจนน่าเขกกะโหลกของหลี่เซี่ยเฟยนั้น เผลอๆ ก็ติดมาจากผู้จัดการวงนี่แหละ แต่ในโลกของมายายิ่งเป็นข่าวมากเท่าไรจะทางดีหรือทางร้ายก็ตาม ก็ยิ่งส่งเสริมให้ Vanilla Shade ดังกระหน่ำขึ้นอีก และประเทศอื่นๆ ที่ไปจัดคอนเสิร์ตก็ไม่กล้าต่อรองมากนักเพราะมีบทเรียนจากประเทศไทยของหล่อนนั่นเอง

“โอย...เมื่อยเป็นบ้าเลย” หยางเล่ยมานั่งยืดขาอยู่ข้างๆ หล่อน ก่อนจะเหลือบมองสีหน้าผีสาว “อ้าว? ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?”

“ไม่มีอะไรหรอก? แต่ว่า...แพทต้องกินโยเกิร์ตทั้งอาทิตย์จริงๆ เหรอ?”

“อุ๊บ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า เธอกังวลเรื่องนั้นเองเหรอ?”

“ก็สมองยัยนี่น่ะวันๆ สนใจแต่เรื่องกิน ไม่เคยกลุ้มใจเรื่องอะไรกับเขาหรอก” หลี่เซี่ยเฟยเดินเข้ามานั่งขนาบอีกข้างเลยกลายเป็นว่าผีสาวนั่งอยู่ระหว่างกลางสองหนุ่ม

“ฉันแค่เป็นห่วง....กินโยเกิร์ตจะเอาแรงที่ไหนไปซ้อมเต้น?”

“ห่วงฉันหรือห่วงกระเพาะตัวเองกันแน่ สารภาพมาดีกว่า หึ หึ?”

“หุบปากไปซะ....เจ้าปลาทอง!!”

“นี่เธอ!!” ชายหนุ่มชี้นิ้วค้างในขณะที่สไบนางเท้าสะเอวทำหน้ายียวนกวนประสาท หยางเล่ยไม่รู้จะเข้าข้างใครดีเลยได้แต่นั่งหัวเราะ

“ปลาทอง ฮ่าๆๆๆ ปลาทองๆๆๆ” แต่พอได้ยินคำนี้เข้าก็หยุดต่อมหัวเราะของตัวเองไม่ได้

“เชอะ! เดี๋ยวก็เลิกเป็นปลาทองแล้วเว้ย!! นายนั่นแหละไปลดก้นกาลามังซะ”

“โธ่เอ้ย....มาทำพาลว่าคนอื่นเอาตัวเองให้รอดเหอะ หึ หึ”

สไบนางหัวเราะเยาะหลี่เซี่ยเฟยไปได้ไม่กี่น้ำ มื้อเย็นวันนั้นหล่อนถึงกับต้องสะอื้นไห้ออกมา เมื่อคนอื่นๆ นั่งกินสเต็ก แต่พ่อยอดขมองอิ่มของเธอกินได้แค่ซุปน้ำใส กับสลัดผักล้วนๆ แม้แต่เฟร้นด์ฟรายสักชิ้นยังหยิบกินไม่ได้เลย ผีสาวนั่งมองจานอาหารของเฉินซื่อหวี่ที่นั่งตรงกันข้ามกับหล่อนตาละห้อย ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่เห็นหล่อนแต่กลับรู้สึกกระอักกระอ่วนจนกินไม่ลงขึ้นมาได้เฉยๆ ชายหนุ่มกินไปแค่ครึ่งจานก็จัดแจงหั่นเนื้อทีโบนติดมันชิ้นนั้นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยๆ เขี่ยใส่จานหยางเล่ยไปเรื่อยๆ จนหมดจาน ซึ่งหนุ่มผมสีน้ำตาลนั้นก็ไม่นึกแปลกใจหรือถามไถ่อะไรขึ้นมา หมอนั่นยังคงกินเอาๆ หน้าตาเฉยๆ เรียกว่าส่งอะไรให้พ่อก็ยัดเข้าปากหมด ผีสาวมองแล้วก็นึกสาปแช่งในใจ

กินไม่อายฟ้าอายดินอายผีบ้าง ก็รู้อยู่ว่าพ่อบุญถึงของเธอกินไม่ได้เธอเลยพลอยอดไปด้วย แล้วยังจะมาจงใจกินยั่วอีกนะขอให้อ้วนพรวดๆ ต้องมานั่งลดน้ำหนักเป็นเพื่อนกันด้วยเหอะ

“เชอะ!! กินอย่างกับปอบลง กินมากกว่าแพทอีกทำไม่เห็นอ้วนเลยล่ะ“ แล้วในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้ต้องบ่นออกมาดังๆ

“เวสมันเพิ่ง 20 เอง กินเท่าไรก็ไปยืดเป็นส่วนสูง....ไม่อ้วนง่ายเหมือนฉันนี่…ฉันปาเข้าไป 22 แล้วนี่ เผาผลาญน้อยลงแล้ว”

“ผู้ชายน่ะเค้าสูงได้ถึง 25 ” ในขณะผีสาวกำลังปลอบโยน คนอื่นๆ กลับคิดว่าหลี่เซี่ยเฟยบ่นออกมาเพราะอยากกินสเต็กขึ้นมาบ้าง

“OK เดี๋ยวฉันจะกินเผื่อนะ จากนั้นจะแผ่นส่วนกุศลไปให้นายแล้วกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” จินเซี่ยวเซินหัวเราะขึ้นมาแต่หลี่เซี่ยเฟยตอบกลับด้วยหน้าหงิกๆ เต็มที่

“ฉันยังไม่ตาย แผ่ส่วนกุศลมาก็ไม่ได้รับหรอกเว้ย!! ไม่ได้รู้อะไรเลย...เฮอะ”

“แล้วอะไรที่ฉันไม่รู้วะบอกหน่อยเซ่” จินเซี่ยวเซินยังกระเซ้าเย้าแหย่ จนพี่ใหญ่อย่างเฉินซื่อหวี่รำคาญ

“อดทนหน่อยสิ อย่าไปพาลน้อง”

เฉินซื่อหวี่กล่าวขึ้นมาเบาๆ อย่างเห็นใจก็อาชีพอย่างพวกเขา ใช้ชีวิตแบบคนปกติธรรมดาไม่ได้แม้แต่เรื่องอาหารการกิน ต้องกินแค่พอหายหิวแต่ห้ามรู้สึกอร่อยพี่ไมค์เคยเตือนไว้แบบนั้น เพราะถ้ารู้สึกว่าอร่อยเมื่อไรจะอยากกินแล้วเมื่ออยากก็จะเผลอปล่อยตัวตามใจปาก เมื่อนั้นแหละความอ้วนถามหาแน่นอน ดาราสาวสวยดาวค้างฟ้าคนหนึ่งที่อยู่วงการมานาน เคยออกมาเผยเคล็ดลับดูแลรูปร่างว่า หล่อนกินมะเขือเทศกับน้ำมะนาวเป็นอาหารหลักแทบทุกมื้อเลยทีเดียวจะมีเนื้อเสริมมาไม่เกิน 4 ชิ้นในแต่ละมื้อซึ่งเป็นชิ้นพอดีคำเสียด้วย แล้วบอยแบนด์อย่างพวกเขาสิ่งที่ขายคือแพ็คเกตภายนอกอย่างรูปร่างหน้าตามากกว่าน้ำเสียงหรือสิ่งอื่นๆ ซึ่งพี่ซิงเคยว่าไว้ตอนที่ 4 หนุ่มโดนหนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับหนึ่งวิจารณ์จนยับเยิน

“อย่าได้ดูถูกการเป็นบอยแบนด์ของตัวเองอย่างเด็ดขาด ศิลปินทุกแบบคือการให้ความสุขกับผู้คนจำนวนมาก ทาร์เก็ตหลักของบอยแบนด์คือวัยรุ่นกับผู้หญิง สิ่งที่พวกเธอต้องการซื้อความฝัน ซึ่งพวกนายเป็นแพ็คเกตที่พวกเค้าเลือกซื้อ ในความเป็นจริงน่ะผู้หญิงสักกี่คนกันจะได้แฟนรูปหล่อแสนดี แล้วเค้าซื้อไปเพื่อหล่อเลี้ยงความฝันของตัวเองจะเป็นอะไรไป ก็เหมือนผู้ชายซื้อความเซ็กซี่หรือน่ารักของนักร้องสาวนั่นแหละ บางทีคนเราก็เลือกเสื้อผ้าของใช้น่ะ ก็ยังเลือกซื้อจากแพ็คเกตหรือยี่ห้อเลยไม่ใช่หรือ ดูความสวยงามก่อนแล้วคุณภาพมันค่อยไปพิสูทน์กันหลังใช้งานแล้ว จงภูมิใจในความเป็นบอยแบนด์ซะ!!“

ในตอนนั้นเจ้าหล่อนก็อยู่ด้วยเลยก็ออกความคิดเห็นตามประสาคนปากไวทันที แบบลืมสนิทไปแล้วว่าตนเองก็หนึ่งในกลุ่มที่ร่วมด่านั่นแหละ

“จริงด้วย...แต่ไอ้พวกออกมาด่าๆ นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย...ไม่หล่อแถมใจแคบ เอาง่ายๆ ไอ้พวกนี้มันหมั่นไส้พวกนายก็แค่นั้นเอง แหม...ทีตัวเองกรี๊ดเกิร์ลแบนด์ได้ ทีพวกผู้หญิงกรี๊ดบอยแบนด์ดันมาด่า อย่างนี้มันเรียกเอาเปรียบทางเพศชัดๆ แล้วถ้าไม่หล่อเอามาเป็นบอยแบนด์มันจะขายได้มั้ยนั่น? คนเรามันก็ต้องเด่นไปคนละอย่างสิ”

“อีกอย่างกลุ่มคนฟังที่เป็นนักวิจารณ์ด้วยน่ะไม่ใช่กลุ่มใหญ่ กลุ่มพวกทำตัวหูถึงหรือรู้มากพวกนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่อาชีพแถวๆ เดียวกันนี้แหละ แต่ยังมีทาร์เก็ตอีกจำนวนมากที่ต้องการเปิดเพลงฟังตอนทำงาน...แล้วก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างจำเนื้อหาไม่ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งพวกเค้าต้องการฟังเป็นเพื่อนให้ความเพลิดเพลิน ไม่ได้ต้องการความเลิศเลอทางดนตรีเพราะเค้าเล่นดนตรีไม่เป็นหรอก แค่เพลงไม่แย่เสียงร้องไม่ห่วยแตกจนเกินไปนักก็ OK แล้ว ”

“ก็กลุ่มฟังเพลงแบบตลาดๆ หน่อย” ผีสาวต่อเข้าให้

“ทาร์เก็ตกลุ่มใหญ่ไม่ชอบเพลงโดดเด่นเกินไป ต้องการฟังแบบคุณภาพกลางๆ ไม่ดีเกินไปและไม่แย่เกินไป”

“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ?”

หลี่เซี่ยเฟยส่งเสียง ชวี่...ออกมาเบาๆ เป็นการเตือนผีสาวว่าอย่าไปขัดคอพี่ซิง ปล่อยให้เขาอธิบายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้เรื่องเอง ทั้งที่จริงแล้วพี่ซิงนั้นไม่ได้เห็นสไบนางเลยด้วยซ้ำแต่ชายหนุ่มมักจะลืมไปว่าเจ้าหล่อนเป็นผีไม่ใช่มนุษย์อย่างเขา

“ง่ายๆ นะ ยกตัวอย่างเช่น เอพริล ลาเวล กับ บริตานี่ย์ ซาเดียร์ ใครๆ ก็รู้ว่าเอพริล เก่งกว่าทั้งเสียงเป็นเอกลักษณ์ แต่งเพลงเล่นดนตรีได้ดีกว่า โดยไม่ต้องพึ่งพาความเซ็กซี่เป็นองค์ประกอบเหมือนบริตานี่ย์ แต่บริตานี่ย์ขายดีกว่าเพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะเพลงของเธอฟังได้เรื่อยๆ ไม่ต้องใช้สมาธิ ไม่ต้องตั้งใจฟังมาก น้ำเสียงอยู่ระดับกลางๆ ไม่ได้โดยเด้งจนแทงหูได้ยินแล้วต้องหันกลับมาฟังในทันที ดังนั้นเพลงของบริตานี่ย์ถึงได้ถูกขอให้ดีเจเปิดให้ฟังบ่อยกว่า นอกจากนั้นแล้วเธอก็มีแพ็คเกตขายฝันให้ผู้ชายได้ด้วย นี่เป็นองค์ประกอบดีที่มีจุดให้เลือกมากกว่า เก่งกว่าไม่ใช่ว่าจะขายได้มากกว่าเสมอไป”

“โครตจะการตลาดเลย....สมแล้วที่เป็นพี่ซิง” ผีสาวอดอุทานออกมาไม่ได้

“ถ้าไม่มีนักการตลาดศิลปินจะอยู่ได้ยังไง ดีแต่แต่งเพลงทำการค้าไม่เป็นหรอก ทุกอย่างมันต้องแบ่งหน้าที่กัน” แล้วชายหนุ่มก็ลืมตัวดันเผลอตอบออกมาไม่ใช่ค่อยๆ เสียด้วย

“มีคำถามหรือแพท?” พี่ซิงหันมาที่คนพูด

“เปล่าครับ ผมกำลังจะบอกว่าดีใจที่ได้อยู่สังกัดนี้ แล้วมีพี่ซิงเป็นคนดูแล”

“ใช่ครับ!! พวกเราก็เหมือนกัน” อีกสามหนุ่มตอบรับขึ้นมา

“ฮึ! ทีนี้มาทำเป็นชมกัน อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่ารับหลังเรียกฉันว่าจอมโหดน่ะ” เมื่อพบว่าถูกรู้ทันเสียงหัวเราะเลยดังขึ้นพร้อมๆ กัน

“พี่ซิงก็....คิดมากไปได้ใครจะไปกล้าเรียกพี่อย่างนั้นล่ะครับ ยกเว้น....” หยางเล่ยยิ้มหวานก่อนจะชี้ไปที่เพื่อนคนนี้คนนี้ให้มั่วไปหมด สรุปแล้วก็เรียกกันทุกคนนั่นแหละ

“เพลงที่เพราะมากไป ฟังครั้งแรกคนฟังจะตั้งใจฟังมาก ฟังครั้งที่ 2-3 ยังรู้สึกซาบซึ้งชื่นชม แต่ 4-10 เริ่มเบื่อแล้ว เลยครั้งที่ 10 ไปจะกลายเป็นหลอกหลอนเผลอๆ จะเอียนพาลไม่ยอมซื้อไปฟังด้วยซ้ำ แต่ถ้าเพลงที่ฟังได้เรื่อยๆ เพลินๆ คนจะไม่เบื่อง่าย บอยแบนด์จัดอยู่ในจำพวกนี้ เป็นความต้องการโดยรวมไม่ต้องดีมากหรือแย่ไปแล้วพอบวกกับรูปร่างหน้าตาจะทำให้พวกเขารู้สึกดียิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ดีอย่าให้โทรมเร็ว”

“แต่ว่า...เราก็อยากให้เขาชมว่าเราร้องเพลงดีเหมือนกันนะครับ นี่อะไรๆ ก็หาว่าเราขายหล่อ อย่างอื่นๆ งั้นๆ เหมือนพยายามเท่าไรก็ยังด่าอยู่ดีรู้สึกว่ามันผิดตั้งแต่หน้าตาแล้ว” แม้แต่คนทะเล้นอย่างจินเซี่ยวเซินยังรู้สึกหดหู่น้อยใจกับเขาด้วย

“งั้นก็ขยันฝึกสิ! ร้องเพลงเต้นรำ ไม่มีใครเต้นเป็นตั้งแต่ออกจากท้องแม่หรอก ของอย่างนี้มันพัฒนากันได้ พรสวรรค์ไม่สำคัญเท่าความพยายาม รู้มั้ยทำไมฉันถึงเลือกมาดูแลบอยแบนด์แทนที่จะไปเลือกไอ้พวกที่มันเป็นเก่งๆ ได้เรื่องได้ราวอยู่แล้ว” 4 หนุ่มส่ายหน้ากันเป็นพัดลม พี่ซิงจึงคลี่ยิ้มที่นานๆ จะมีให้เห็นสักทีออกมา

“ก็เพราะว่าไอ้พวกนั้นมันคิดว่าตัวเองเป็นศิลปิน อาร์ตเหลือเกินบางคนติ๊สแตกจนไม่ฟังใคร ไม่ได้สำนึกเลยว่าเก่งแค่ไหนถ้าโปรโมทไม่ดี ลุคออกมาไม่ดี ก็ขายไม่ได้ อย่างเช่น...ฟงอี้ถิง ไอ้เด็กนั่นมันอยากให้ภาพมันออกมาแรงๆ แมนๆ ไม่ดูหน้าตาตัวเองเลยว่าเป็นยังไง เฮ้อ..”

“ใครเหรอ? ฟงอี้ถิง?” สไบนางกระซิบถามชายหนุ่ม

“นักร้องในสังกัดหน้าตาบอยแบนด์ ตัวเล็กๆ หน้าหวานๆ แต่ลูกคอ...” หลี่เซี่ยเฟยยกนิ้วโป้งให้ดูแทนคำตอบ “แล้วเจ้านั่นมันชอบอะไรเมทัล....แต่ไม่เข้ากับลุคมันสักนิด เลยทะเลาะกับทีมงานทุกครั้งที่จะออกซิงเกิ้ลใหม่”

“ลำบากนะนั่น ตัวเป็นติสคุณภาพ แต่หน้าเป็นบอยแบนด์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

หลังจากนั้นไม่นานนักในสัปดาห์เดียวกันนั่นเอง หลี่เซี่ยเฟยก็นำหนังสือพิมพ์หน้าบันเทิงมาอ่านให้ฟัง เป็นข่าวของฟงอี้ถิงที่ไปเล่นมินิคอนเสิร์ตกลางแจ้งแต่กลับใช้วิธีลิปซิ้งค์ จนโดนสื่อมวลชนวิจารณ์ไปในทางลบกันยกใหญ่ ด้วยข้อหาลดระดับคุณภาพตนเองลงไป

“หมอนั่นเจ็บคอไม่มีเสียง ทีมงานเลยแก้ปัญหาให้ใช้ลิปซิ้งค์แทน”

“ก็บอกสื่อไปสิ! แค่นี้ต้องเขียนด่าด้วยเหรอ?”

“บอกแล้วเขาหาว่าแก้ตัว...อี้ถิงมันอยู่ตรงกลางระหว่างไอดอลกับอาร์ติสน่ะ แล้วมันจัดตัวเองให้เป็นอาร์ติส แต่มาใช้วิธีการแบบนี้เลยโดนรุมด่า”

“โอ้ย...ลำบากลำบนจริงเป็นดาราเนี่ย ทำยังไงมันก็ถูกด่าเซ็งแทนเลยนะเนี่ย...”

“รู้มั้ยฉันเห็นข่าวนี้แล้วดีใจที่ตัวเองเป็นบอยแบนด์ นักข่าวยิ่งจับผิดเก่งๆ อยู่ถ้าเผลอพลาดพลั้งอะไรขึ้นมาจะได้ไม่โดนซ้ำเติมมาก แล้วค่อยๆ พัฒนากันไปถ้าเก่งขึ้นน่าจะชมมากกว่าคนเก่งอยู่แล้วมาถอยลงแบบที่อี้ถิงมันโดนนักข่าวว่า” สไบนางพยักหน้าช้าๆ จ้องมองชายหนุ่มซึ่งบัดนี้นัยน์ตาเป็นประกาย

“คอยดูสิ!! ถ้าฉันออกอัลบั้มเดี่ยวเมื่อไรมันต้องขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ให้ได้ ตอนนั้นจะไม่มีใครมาพูดว่าขายได้แค่หน้าตาแล้ว” แววตามุ่งมั่นของหลี่เซี่ยเฟยในตอนนั้นยังติดแน่อยู่ในความทรงจำของผีสาวจนกระทั่งวันนี้

“ว่าน! ว่านๆๆๆ เป็นอะไร?” เสียงเรียกของชายหนุ่มปลุกให้ผีสาวตื่นจากภวังค์กลับมาสู่เวลาปกติได้

“เป็นอะไรเงียบเชียว? ไม่อิ่มล่ะสิ...”

กำลังซึ้งๆ อยู่ดีเจ้าตัวกลับมาทำให้เสียอารมณ์ หล่อนนึกค่อนขอดในใจว่าหล่อนในหัวหลี่เซี่ยเฟยคงมีแต่เรื่องกินเท่านั้น

“ไว้รอพี่ซิงเผลอก่อน เดี๋ยวจะไปหามาม่ามาซดสักซอง ทนหน่อยนะ”

“ไม่ต้องหรอก อย่าลืมสิว่านายกำลังลดความอ้วนอยู่นะ” หญิงสาวส่ายหน้าทันที

“ไว้พรุ่งนี้ก็ได้...เธอจะได้เตรียมตัวทัน”

“ไม่ได้ รู้มั้ยเพราะผัดวันประกันพรุ่งอย่างนี้นี่แหละ ก้นฉันถึงได้บานเป็นบ๊ะจ่างแบบนี้” ไอดอลหนุ่มเงียบก่อนจะยิ้มแปลกๆ ออกมา

“แน่ใจนะแม่บ๊ะจ่าง....แล้วอย่ามาร้องกินทีหลังล่ะ หลัง 6 โมงเย็นฉันจะไม่กินอะไรอีกแล้วนะ”

“แน่ใจ!!”

แล้วหลังจากนั้นสไบนางก็รู้สึกว่าที่รับปากไปนี่เป็นการฆ่าตัวเองชัดๆ แต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะว่าหลี่เซี่ยเฟยใจแข็งกว่าที่คิดไม่ว่าจะโวยวายตีโพยตีพาย หรือแกล้งร้องไห้ร้องห่มยังไง ชายหนุ่มก็ใจอ่อนยอมกินอะไรอีกนอกจากน้ำเปล่าเท่านั้น


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


อ่านต่อตอนหน้าค่ะ




Create Date : 17 มกราคม 2549
Last Update : 3 มิถุนายน 2552 1:00:31 น. 0 comments
Counter : 557 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.