จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
 
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
5 มกราคม 2549
 
All Blogs
 
รักนี้(แค้น)...ต้องชำระ Chapter 3 ผีสาวกับหนุ่มหล่อ

Chapter 3 ผีสาวกับหนุ่มหล่อ


"ว่านน้ำ? หมายถึงอะไร? " ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นมาพิงพนักเตียง ความหวาดกลัวลดลงไปกว่าครึ่งแล้ว

"ต้นไม้ที่อยู่ในน้ำ ต้นว่านแบบในตู้ปลาไง ไม่รู้จักเหรอ? "

‘ว่านสารพัดพิษสินะ!’ หลี่เซี่ยเฟยแอบคิดในใจ พลางขยับตัวหนีด้วยระแวงไปเองว่าผีสาวอาจจะได้ยินเสียงนินทาในใจ

“ชื่อแปลก....คนอะไรชื่อว่านน้ำ ไม่เห็นเคยได้ยิน”

ผีสาวค้อนใส่เขาควับหนึ่งเอาเถอะเห็นแก่ว่าไม่สบายอยู่หล่อนยังไม่อยากรังแกชายหนุ่มมากไปกว่านี้

“นั่นชื่อเล่น... ชื่อจริงฉันชื่อสไบนาง จะเอานามสกุลด้วยมั้ย? ”

หลี่เซี่ยเฟยทำหน้าแหยพยักหน้าไปงั้นๆ หล่อนถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะเล่าต่อ

“ก็ได้ๆ ไหนเราคงต้องอยู่คู่กันไปอีกยาวจนกว่านายจะตายตามฉันนี่นะ ฉันชื่อสไบนาง นาคอารักษ์ อายุ 23 ปี เป็นพี่นายด้วยตั้งปีด้วยดังนั้นนายควรจะให้ความเคารพฉันเข้าใจมั้ย? “

แค่เริ่มแนะนำตัวยัยผีนี่ก็เริ่มเกิดอาการข่มเขาอีกแล้ว แล้วตอนเป็นคนจะมีผู้ชายที่ไหนกล้ามาจีบเนี่ย ไอดอลหนุ่มแอบนินทาในใจไปเรื่อยๆ

“ฉันเป็นลูกคนเดียว จบการศึกษาระดับปริญญาตรี งานอดิเรกเลี้ยงแมว กะสะสมใบปิดหนัง แล้วก็เป็นสาวกของทิม เบอร์ตัน ด้วย”

ชื่อฝรั่งคนหลังนี่ทำเอาหลี่เซี่ยเฟยลอบร้องอ๋อออกมา....มิน่า...ทำไมโหดนักก็เล่นชอบนายฝรั่งคนนี้นี่เอง เพราะผลงานของทิม เบอร์ตัน ผู้กำกับหนังคนดังนั้นออกแนวเสียดสี ตลกร้าย รุนแรง แถมหม่นหมองสิ้นดี แล้วยังอาร์ตใช่ย่อยเสียเมื่อไร คนที่ชอบผลงานของเขาคนนี้จะต้องเป็นคนช่างคิดช่างตีประเด็นและมองโลกในแง่ประหลาดๆ สักหน่อย ถึงจะรู้สึกอินกับภาพยนตร์ที่สร้างและกำกับโดยทิม เบอร์ตั้น

“แล้วฉันก็....ก็......เพิ่งถูกรถชนตายวันที่ 18 นี่เอง อะ..โฮ...ฮือๆๆ โถ...ทำไมชีวิตฉันมันบัดซบอย่างนี้น้าเพิ่งอยู่ดูโลกมาได้ไม่กี่ปี แฟนยังไม่ทันมี ทำไมฉันต้องตายทั้งที่ยังเวอร์จิ้นอยู่นะ แถมยังมาตายเพราะสาเหตุบ้าๆ บอๆ อย่างนี้ด้วย พูดไปแล้วเพราะนายนั่นแหละ ไอ้คุณบุญถึง! ที่สำคัญฉันไม่ได้เป็นสาวก Vanila Shade สักหน่อยทำไมฉันต้องมาตายเพราะนายด้วยหา!!"

หล่อนเริ่มเครียดขึ้นมาอีกจนใบหน้าเริ่มส่องสีเขียวออกมา หลี่เซี่ยเฟยกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกก่อนจะขยับตัวออกห่างแล้วรีบร้องห้ามขึ้นมา

"พอๆ ถามแค่นี้ ตอบซะยาว...."

"ก็นึกแล้วมันยังโมโหอยู่เลยนี่หว่า...."

"ฉันไม่เข้าใจเลย เท่าที่ฟังมาเธอถูกรถตายแล้วเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ? "

"ทำไมจะไม่เกี่ยว!!"

หล่อนตวาดแว๊ดขึ้นมา นาฬิกาและข้าวของจุกจิกบนโต๊ะข้างหัวเตียงกระเด้งตามเสียงแหลมนั่นขึ้นมาคืบหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงพื้นเหมือนเดิม

"จะ....ใจเย็นนะ ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก การตายนี่มันเศร้าจริงๆ ค่อยๆ เล่าก็ได้ ไม่ต้องใส่อารมณ์...มะ...มันผ่านพ้นไปแล้ว"

"ฮือ....อ....อ"

นอกจากไม่ใจเย็นลงแล้วหล่อนยังร้องไห้ตีโพยตีพายใหญ่โต หลี่เซี่ยเฟยยกมือขึ้นมาจะตบไหล่บอบใจแต่มือของเขานั้นกลับทะลุผ่านร่างโปร่งใสไปทันที ทำเอาชายหนุ่มได้แต่มองดูมือตัวเองแบบเก้อๆ ไปเล็กน้อย

"ก็ฉันน่ะ...เดินข้ามถนนแล้วเพื่อนมันดันโทรศัพท์มาก็เลยรับ นังหนิงๆๆๆๆ นังหนิงมันผิดมันโทรมาตอนนั้นทำไมวะ"

"เธอนี่ประมาทจริงๆ เลย ข้ามถนนแท้ๆ ไปรับโทรศัพท์ทำไม"

"ก็มันดังไม่หยุดเลยนี่หว่า แล้วฉันก็มองแล้วไม่มีรถ ที่ชุมชนขนาดนั้นมีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ดันวิ่งมาซะเร็ว...ก็เลย...ก็เลย"

"อย่างนี้นี่เอง.....แล้วมันเกี่ยวกับฉันตรงไหนหา?!!!" ชายหนุ่มพยักหน้าอยู่ครู่ก่อนจะตีหน้ายักษ์ขึ้นมาตะโกนใส่ยัยผีตรงหน้าด้วยความโมโห

"เกี่ยวเซ่! ก็นังหนิงน่ะ มันเป็นแฟนคลับนาย อยู่ๆ มันก็โทรมาบอกว่านายชื่อบุญถึง ฉันก็ขำกระจายไม่ทันดูรถ.....สรุปแล้วนายผิดจริงมั้ยล่ะ!!" แม้ไม่มองหน้าก็คงรู้ว่ายามนี้ใบหน้าของหลี่เซี่ยเฟยทั้งอึ้งทั้งโกรธผสมกันให้มั่วไปหมด

"ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันตรงไหนเลย เธอพาลชัดๆ ตายก็ตายเอง อย่างนี้ถ้าคนทั้งโลกเค้าตายตอนได้ยินชื่อไทยฉัน ฉันมิผิดหมดหรือไง ชื่อนี้ไม่เห็นจะประหลาดตรงไหนเลย"

"ไม่ประหลาดหรอกแต่เชยบรรลัย...ไปโน่นเลยนะไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองซะ...แล้วบอกว่าชื่อบุญถึง โอ้ยอยากจะบ้าตายเข้ากับหน้านายม๊าก....มากกกกก จนไม่มีใครเชื่อใครได้ยินจะไม่ขำบ้างหา เผลอๆอาจจะมีขำจนตายเพราะชื่อนายไปไม่รู้กี่คนแล้วเนี่ย"

นายบุญถึงหรือชื่อตามบัตรประชาชนไต้หวันว่า แพททริก ลี ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเผลอหันไปมองกระจกตู้เสื้อผ้าตามคำแนะนำ แล้วก็ยังงงว่าชื่อ...บุญถึง...มันผิดตรงไหน ความหมายดีจะตาย คุณยายอุตส่าห์ตั้งให้ ทำไมยัยผีนี่บอกว่าชื่อน่าหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแถมฟังแล้วตายไปเลยแบบหล่อนนี่อีก

"บ้า! มันจะมีใครหัวเราะขาดใจตายได้ไง! เธอมันเส้นตื้นไปเอง ชื่อนี้ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ชื่อเธอสิประหลาดกว่าตั้งเยอะอะไรนะ...ตะไบนาง ไอ้ที่เป็นเครื่องในวัวใช่มะ “

“สไบนางย่ะ ไม่ใช่ตะไบเล็บอะไรของนายบ้าสิ!! แล้วสไบนางนี่แปลว่า ผ้าคลุมไหล่ผู้หญิงของชุดไทยย่ะ ไม่ใช่สไบนางที่หมายถึงผ้าขี้ริ้ววัวเฟ้ย....สมแล้วที่ชื่อบุญถึงกินอาหารอีสานจนชินสินะรู้จักผ้าขี้ริ้ววัวด้วย”

“จะตะไบนาง หรือสไบนางอะไรก็ช่างเหอะยัยผี! คราวก่อนป้ายโฆษณาของ Vanila Shade หล่นมาทับคนที่เดินผ่านยังเรียกว่าอุบัติเหตุเลยเห็นมั้ย? ไม่งั้นเค้ามิไม่มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากฉันหรือไงยัยบ้า! เธอนี่มันไร้สาระจริงๆ เลย"

หลี่เซี่ยเฟยฉุนจนลืมตัวไปว่าคนที่กำลังทะเลาะอยู่ด้วยนั้นเป็นผีเลยใส่ไม่ยั้ง ทำเอาสไบนางโกรธจนตาแดงก่ำ

"ไอ้ผู้ชายไม่มีความรับผิดชอบ มากไปแล้วน้าาาาาาาาาา"

หล่อนตะเบ็งเสียงออกมาอีกทีนาฬิกาปลุกบนโต๊ะข้างเตียงก็กระเด็นไปเกือบจะโดนใบหน้าชายหนุ่มแต่เจ้าตัวยกมือขึ้นมากันไว้ได้ก่อน ซ้ำยังเคลื่อนตัวหลบไปอยู่อีกมุมของเตียงด้วยความว่องไว

"ยัยผีอันธพาล อย่าปาของใส่หน้าฉันนะเฟ้ย!! นี่มันเครื่องมือหากินนะเป็นแผลขึ้นมาจะทำยังไง ฉันถ่ายหนังอยู่เดี๋ยวเฟรมก็โดดหรอก ปาใส่ที่อื่นสิแม่คุณ" คำตำหนินี้ทำเอาสไบนางอ้าปากค้าง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าบอยแบนด์มันขายหล่อเป็นอาชีพนี่หว่า

"เอาล่ะต่อไปนี้...กฏข้อที่ 1 ในการอยู่ร่วมกัน ห้ามปาของใส่หน้าฉัน ถ้าหน้าฉันเป็นแผลล่ะก็....."

"จะทำไมฉัน มีหน้ามาต่อรองอีกเหรอ?"

"ก็นี่บ้านฉันนี่เธอเป็นแค่ผู้อาศัย....และถ้าไม่ทำตามกฏล่ะก็....ฉันจะ...จะ"

"จะทำไม?"

"เรียกหมอผีมาปราบเธอ ไม่ทำบุญไม่กรวดน้ำ ไม่อุทิศส่วนกุศลใดๆ ทั้งทิ้ง เธอจะกลายเป็นผีตายโหงหิวโซ"

ผีสาวฟังไม้นี้แล้วได้แต่ชี้นิ้วใส่หลี่เซี่ยเฟยแต่ปากพะงาบๆ เถียงไม่ทันด้วยไม่คิดว่าจะโดนมุขนี้ เนื่องด้วยว่าผู้ชายตรงหน้ากลัวเสียหล่อมากกว่ากลัวผีเสียอีก

"เฮ้ย....นี่นายๆๆๆ พระฉันยังไม่กลัวแล้วคิดว่าฉันจะกลัวหมอผีหรือไง?” ชายหนุ่มไม่ตอบแต่จ้องหน้าหล่อนแบบเอาจริง จนผีสาวอึ้งไปบ้างคนหล่อตอนทำหน้าเม้งๆ นี่มันดูดุจริงๆ แฮะ

“.....ก็ได้....เห็นแก่สาวกนาย เดี๋ยวเสียหล่อไปแล้วยัยพวกนั้นจะเสียใจ" ในที่ผีสาวก็จำยอมแต่ยังแอบนินทาในใจนิดหน่อย....อะหือ บอยแบรนด์น่าหมั่นไส้จริงๆ หลับเมื่อไรหล่อนจะเอาปากกาเขียนให้เป็นแมวไปเลย สไบนางปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าหล่อนทำจริงแน่ๆ

“รับปากแล้วนะ....เอาล่ะเธอออกไปจากห้องนอนฉันได้แล้ว”

“หา?! นะ....นี่นายกล้าไล่ฉันเหรอ?” ดูเหมือนชายหนุ่มจะหมดความกลัวหล่อนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว หลี่เซี่ยเฟยปรับตัวเร็วจนผีสาวตาค้าง

“ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เหงื่อออกจนโชกแล้ว ออกไปได้แล้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงแต่หล่อนยังยืนนิ่งอยู่

“อยากดูหรือไง?”

น้ำเสียงนั้นประชดประชันอยู่ในที แต่ผีสาวกลับยิ้มเหยียดอย่างท้าทายก่อนจะหัวเราะ..หึ ออกมาคำหนึ่งแล้วลอยทะลุประตูห้องนอนออกไปทิ้งให้ชายหนุ่มยืนเม้มริมฝีปากอยู่ตรงนั้นเอง


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


กลิ่นหอมของข้าวต้มร้อนๆ ลอยออกมาจากในครัว สไบนางพาร่างโปร่งใสเข้าไปดูเมื่อแรกหล่อนคิดว่าอย่างมากหลี่เซี่ยเฟยคงยัดโจ๊กซองเข้าไมโครเวฟไปตามประสา คนอย่างนี้ไม่น่าละเมียดละไมนัก แต่ผิดคาดชายหนุ่มทำอาหารด้วยตัวเองด้วยท่าทางคล่องแคล่วจนหล่อนแปลกใจ

"ชอบบ๊วยมั้ย? จะใส่ลงไปด้วย จะได้หอมๆ"

"เอ่อ...อ้า อื้อๆ กินได้" เขายิ้มให้หล่อนนิดหนึ่งก่อนจะหันไปปรุงอาหารต่อ

จากนั้นไม่นานนักถ้วยข้าวต้ม 2 ชาม ถูกยกมาวางตรงหน้าหล่อน บนโต๊ะกินข้าวในห้องนั่งเล่น ข้าวต้มมื้อนั้นดูง่ายๆ แต่หอมฉุยหน้าตาน่ารับประทานยิ่งนัก หลี่เซี่ยเฟยนั่งลงตรงกันข้ามกับหล่อนแล้วชักชวนให้กิน สีหน้าราวกับว่ากำลังคุยเพื่อนสักคนมากกว่าจะเป็นผีสาวสักตนอย่างหล่อน

"มีแต่ของกินง่ายๆ นะ พักนี้งานฉันเยอะไม่ค่อยอยู่บ้าน เลยไม่ได้ซื้อของสดติดตู้เย็นไว้"

"ไม่เป็นไร ฉันกินง่ายๆ ปกติกินมาม่าเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว"

"มาม่ามันสะดวกแต่ต้องดูแลสุขภาพไว้บ้าง ข้าวต้มก็ได้ทำง่ายๆ ด้วย เอาสิลองชิมฝีมือฉันดู"

หลี่เซี่ยเฟยยิ้มท่าทางมั่นใจในฝีมือทำอาหารพอสมควร จนสไบนางเป็นฝ่ายอายเสียเองเพราะหล่อนทำอาหารแบบทำได้แค่พออยู่ แค่ต้มมาม่า หรือ ทอดไข่เท่านั้น แถมยังละอายใจเล็กน้อยเพราะดูถูกผู้ชายตรงหน้าเอาไว้มาก คิดว่าบอยแบนด์แบบนี้คงมีคนประคบประหงมราวกับเป็นเจ้าชายแทบจะทำอะไรเองไม่เป็นอยู่แล้วแต่มันผิดคาดไปมาก...

"ทำอาหารเก่งนะ....ไปฝึกมาจากไหนเนี่ย?"

"ก็แค่ของง่ายๆ ยากกว่านี้ก็ทำได้ เมื่อก่อนฉันเคยทำงานพิเศษร้านอาหาร"

"จริงสิ....เหมือนจะเคยได้ยินมาจากนังหนิง" แต่ตอนนั้นหล่อนฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเลยไม่ใส่ใจจำสักเท่าไร

"กินเหอะจะเย็นอยู่แล้ว" ส่วนเจ้าตัวก็ไม่ยินดียินร้ายอะไรนักกับแฟนคลับ หันไปก้มหน้าก้มตากินอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าหล่อนยังไม่แตะต้องอาหารได้แต่ยิ้มแหยๆ

"ทำไมไม่กินล่ะ? " สไบนางไม่ตอบแต่ทำหน้าเลี่ยนๆ แล้วแกว่งมือผ่านชามข้าวต้มไปเหมือนอากาศธาตุที่ว่างเปล่าให้ดู

".........." หลี่เซี่ยเฟยทำตาโตแล้วนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งค่อยนึกขึ้นได้ จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

"ไม่ตลกนะเฟ้ยยย! ฉันหิวจะตายอยู่แล้วน้าาาา ไม่ได้กินอะไรมาตั้งหลายวันแล้วด้วย"

"เออน่าไม่กินเธอก็ไม่ตายซ้ำหรอก"

"แต่ฉันจะกินนี่....โธ่เว้ย! อยู่ตรงหน้าแท้ๆ ดันกินไม่ได้"

"แล้วจะให้ทำไง? จะให้ฉันกินแทนหรือไง บอกแล้วเป็นผีลำบากอย่ามาตามฉันเลย ไปผุดไปเกิดเหอะ ฮึ ฮึ"

ชายหนุ่มถามไปอย่างนั้นแหละในแววตามีสีหน้าเยาะเย้ยก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ผีสาวหน้าคว่ำไปบ้างก่อนจะยิ้มแยกเขี้ยวออกมา

"ใช่กินแทนซะสิ แล้วอธิษฐานว่าให้ฉันไงล่ะ"

"นี่ฉันกินไปจานแล้วนะ อิ่มแล้วไม่เอาล่ะ ถ้ากินไม่ได้ก็เททิ้งไปแล้วกันนะ "

"แพททททททททททท....นายนี่มันไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย ดูซิฉันเห็นว่านายอุตส่าห์ทำดูมันน่ากินเชียว เลยอยากชิมสักหน่อยนายกลับจะเททิ้ง!! รู้มั้ยว่ามีคนอดอยากอีกมากในโลกนี้แล้วนายกลับกินทิ้งกินขว้างนี่เหรอบอยแบนด์คนดัง"

ในหน้าของหล่อนเกือบทำให้เขาขำ เพราะหล่อนหน้าง้ำแถมยังทำแก้มป่องดูก็รู้ว่าหิวเต็มที่ แต่แกล้งพูดจาประชดประชันเขาไปอย่างนั้นเอง ชายหนุ่มอมยิ้มลอบหัวเราะกับตัวเองเบาๆก่อนจะยอมเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้า

"ทำไงนะ? แม่ว่านสำลักน้ำ"

"ว่านน้ำ! เรียกถ้ามันเรียกยากเรียกเย็นนักก็เรียกว่านเฉยๆ ก็ได้ฉันไม่ว่า" หล่อนยังบ่นอุบอิบอีกหลายคำจนหลี่เซี่ยเฟยส่ายหน้าคิดว่าหล่อนนี่ช่างพูดได้ไม่หยุดไม่หย่อนเลยจริงๆ

".....ก่อนอื่นไหว้ก่อน อธิษฐานว่าให้สไบนาง นาคอารักษ์ อย่าเรียกผิดเป็นตะไบนางนะยะเดี๋ยวฉันอด"

เขาทำตามอย่างว่าง่ายแล้วจึงลงมือกิน ทุกๆ คำที่ชายหนุ่มกลืนลงท้องไปจะมีเสียงผีสาวประสานด้วยราวกับกินไปพร้อมๆ กัน

"อื้มมมมม...ม" ผีสาวส่งเสียงพึมพัมออกมาเป็นระยะๆ เดี๋ยวก็อื้ม เดี๋ยวอื้อ แล้วตบท้ายด้วยคำว่า "อร่อย"

"กินช้าๆ หน่อยสิ ไม่ใช่กลืนลงคอเอื้อกๆๆ ฉันยังไม่ทันลิ้มรสเต็มคำเลยนะ"

"ฮึ้ย! เรื่องมากจริงๆ เลย"

"กินน้ำด้วยสิ"

".....อือๆ สั่งจั๊ง มันอร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ?"

"อร่อยที่สุดในรอบ 7 วัน"

"จริงเหรอ....เพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตายมากกว่ามั้ง"

ชายหนุ่มพูดเลี่ยงไปอย่างนั้นจริงๆ ก็แอบเขินนิดๆ ไม่เคยมีใครชมซึ่งๆ หน้าอย่างนี้นานแล้ว ยิ่งทำท่ากินไปซาบซึ้งไปอะไรจะปานนั้น แต่ก็ทำให้เริ่มรู้สึกว่ายัยผีว่านน้ำนี่น่ารักขึ้นมานิดๆ แฮะ

"นี่ถ้าเพื่อนฉันรู้ว่าฉันกินข้าวต้มฝีมือแพทล่ะก็ อิจฉาตาร้อนบีบคอฉันตายอีกรอบแน่"

"ใครๆ เขาก็รู้ว่าฉันชอบทำอาหาร....แล้วก็" หลี่เซี่ยเฟยทิ้งเสียงลงนิดหนึ่งก่อนจะตอบด้วยท่าทางชวนให้หมั่นไส้ "ทำอร่อยด้วย"

"แต่ใครๆ ที่ว่าไม่ใช่ฉัน เพราะฉันไม่ใช่แฟนคลับของนายนี่ยะ" ผีสาวยิ้มกวนๆ กลับไป หล่อนคิดว่าชายหนุ่มจะฉุนขึ้นมาอีกแต่กลายเป็นว่าหมอนั่นทำท่าพออกพอใจแถมยังถอนหายใจอีกต่างหาก

"ดีแล้ว ถ้าเธอเป็นผีแฟนคลับ ฉันไม่เอาเธอไว้แน่ๆ มีคนตามกรี๊ดกระทั่งในบ้านนี่ประสาทกินแน่ๆ" คำอธิบายเล่นเอาสไบนางตาค้างว่าหล่อนได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า?

"เฮ้...ศิลปินน่ะ เค้าต้องรักแฟนคลับสิ พูดอะไรอย่างนั้นแฟนคลับนายได้ยินน้อยใจตายพอดี" หลี่เซี่ยเฟยยักไหล่ไม่ยี่หระ

"ฉันไม่ใช่ศิลปินเธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าฉันมันแค่บอยแบนด์ จะเอาอะไรกับฉันถ้าต้องเลือกเอาใจฉันเลือกนักข่าวดีกว่า"

"เฮ้ย! ดาราเค้ามีแต่เกลียดนักข่าว เอาใจแฟนคลับ ศิลปินน่ะอยู่ได้เพราะแฟนคลับนะยะจะบอกให้"

"นี่....เธอคิดว่าฉันอาชีพอะไร?" คำถามย้อนกลับแบบนี้ทำเอาสไบนางงงเป็นผีตาค้าง

"นักร้อง ดารา หรือคนขายเต้าฮวย อาชีพอะไรมันคือการทำธุรกิจแลกเงินทั้งนั้นแหละ ฉันเข้าวงการเพราะแมวมองบอกว่าทำแล้วรวยเร็ว ได้เงินเยอะกว่าเป็นเด็กเสิร์ฟเป็นไหนๆ เด็กเสริฟน่ะได้ชั่วโมงละ 80 เหรียญเองนะ ถึงต้องหัดทำอาหาร เป็นผู้ช่วยกุ๊กได้มากกว่าหน่อย"

ว่าแล้วหลี่เซี่ยเฟยก็เอนหลังนั่งไขว่ห้าง ไม่น่ารักช่างยิ้มอย่างที่หล่อนเคยเห็นในทีวีเลยสักกะติ๊ด นี่ตัวจริงมันเป็นอย่างนี้เองเหรอ? ขนาดหล่อนไม่ใช่แฟนคลับยังอึ้งกิมกี่ไปได้ขนาดนี้ แล้วแฟนคลับรู้เข้ามิช็อคตายไปเลยเหรอ?

"มะ....มันก็ใช่ แต่...แฟนคลับสำคัญนะเฟ้ย! รู้มั้ยอีนังหนิงน่ะ นายออกซีดี สมุดภาพ เล่นหนัง มันซื้อเก็บหมด โปสต้งโปสเตอร์ นี่ถ้านายตดใส่เทปอัดขายมันก็คงซื้อด้วย" คำเปรียบเทียบของหล่อนอาจจะฟังดูประหลาดไปหน่อยแต่คงไม่เกินกว่าเหตุนักหรอก

"แน่นนอน....ฉันรู้ว่าแฟนคลับสำคัญ เวลาเจอกันในงานอยากกรี๊ดอยากแต๊ะอั๋งฉันแค่ไหนก็เชิญฉันไม่ว่า แต่นอกงานมันก็ต้องเป็นเวลาส่วนตัวของฉัน ไม่ใช่มาดักแม้กระทั่งจะเข้าห้องน้ำบ้าชะมัด....ไปพักโรงแรมก็ตามเคาะไล่มันทุกห้องไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ารบกวนคนอื่นคลั่งจนน่าเกลียด"

สไบนางยิ่งฟังยิ่งอ้าปากค้างด้วยความตกใจจนแมงวันแทบจะไปทำรังในปากได้สักฝูงหนึ่งแล้ว....หล่อนไม่รู้จะพูดยังไงได้แต่ปล่อยให้หมอนั่นบ่นให้ฟังต่อไป

"ส่วนนักข่าว ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรนักหรอก แต่ถ้าไม่เอาใจไว้หน่อยก็แย่ถ้าไม่ลงข่าวให้ อาชีพอย่างฉันมันน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า แต่พวกปาปารัสซี่นี่.....” หลี่เซี่ยเฟยเว้นจังหวะไปนิดหนึ่งก่อนจะเน้นเสียงขึ้นมา

“....ไปตายซะ!!"

ผีสาวฟังแล้วทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกเสียเอง บอยแบนด์หน้าใสยิ้มง่าย อ่อนโยนออกแนวเด็กดีน่ารักใสซื่อเวลาอยู่ในจอทำไมตัวจริงมันปากจัดขนาดนี้ฟะ

"แล้วคนอื่นๆ ในวงเขาหน้าไหว้หลังหลอกเหมือนนายด้วยหรือเปล่าเนี่ย?"

ถ้าเป็นเมื่อก่อน Vanila Shade มันจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันหล่อนไม่เคยสนใจ แต่ตอนนี้สไบนางภาวนาให้ตัวแสบแบบนี้มีคนเดียวในวงก็พอ ไม่งั้นคงได้แต่สงสารแฟนคลับทั้งเอเชียไม่รู้กี่ล้านคนแน่ๆ

"ไม่หรอก....อย่างสกาย เขาเกิดมาเพื่อเป็นบอยแบนด์อยู่แล้ว หมอนั่นมาแบบถูกธรรมเนียม ไล่ตั้งแต่เป็นนายแบบ ยันนักแสดง ยิ้มได้ตลอดรับแขกสุดๆ ความอดทนสูงกว่าฉันเยอะ" ผีสาวพยักหน้า 'สกาย' คนนี้เป็นคนที่หล่อนจำได้ว่าตัวสูงที่สุดในวง

"มาร์ตี้....ก็คล้ายๆ กัน หมอนั่นอยากเป็นนักร้อง ก็สมใจแล้วแต่ผิดแนวไปหน่อยเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วหมอนั่นชอบแร็พมากกว่าป๊อบ"

"อ้าว? แล้วทำไมมาเป็นบอยแบนด์?"

"ผู้จัดการบอกว่ามันหล่อเกินไป แร็พไม่ได้ขายหน้าตา ขืนออกไปจะโดนเพ่งเล็ง ยิ่งหน้าใหม่ถ้าหล่อเกินเพลงไม่เจ๋งมีสิทธิ์ดับตั้งแต่ต้น ก็เลยเข็นมาทางนี้แทน มาร์ตี้อาจจะผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำเพลงเลย รอชื่อเสียงอยู่ตัวกว่านี้แล้วค่อยฉีกแนว"

แม้จะรู้มาบ้างว่าวงการบันเทิงนั้นการแข่งขันสูงขนาดไหน แต่ฟังแล้วสไบนางกลับรู้สึกว่ามันหนักหน่วงขาดอิสระกว่าที่คิดมาก

"แล้วคนนั้นล่ะ ที่ตาโตๆ หน้าตาน่ารักๆ ชื่ออะไรน้า...เวส หยาง ใช่ๆ ชื่อนั้นแหละ" หลี่เซี่ยเฟยฟังแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้หล่อน พลางฟุบหน้าท้าวคางกับแขนตัวเองแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

"ชอบเวสเหรอ?" ผีสาวยืดตัวตรงทันทีหล่อนไม่ชอบสายตาเย้ยๆ แบบนั้นเลย มันเหมือนจะจับผิดว่าไหนว่าเกลียดบอยแบนด์ไง

"ก็แค่ถามดู....ชอบบทในหนังล่ะใช่ แต่ว่าเพื่อนนายเล่นแข็งๆ ไปหน่อยๆ นะถ้าไม่ใช่บทขำๆ ต็องๆ ใกล้เคียงตัวเองหมอจะแข็งมาก"

เมื่อผิดหวังจากคำตอบหลี่เซี่ยเฟยยืดตัวกลับไปทันที สีหน้าราวกับจะบอกว่าไม่สนุกเลยหาเรื่องล้อเลียนหล่อนไม่ได้

"เวส มันก็แค่เด็กเวรที่หลงเข้ามาวงการ เพราะมาเป็นเพื่อนคนอื่นเทสหน้ากล้องแล้วดันฟลุ๊คได้บทไปซะอย่างนั้นแหละ งั้นก็อย่าไปหวังอะไรกะมันเลย กำลังฝึกอยู่เนี่ยะแต่เรื่องเต้นก็มันโอเคนะ"

"อ้าว? งั้นก็ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นดาราล่ะสิ"

"อื่อ ทำนองนั้นมันเป็นจังหวะน่ะ.... บ้านหมอนั่น....ตระกูลหยางรวยจะตาย อย่างเวส...คุณชายหยางเล่ยน่ะไม่ต้องมาเป็นดารามันก็อยู่ได้ นี่เห็นกลุ้มใจอยู่ว่าพ่อยื่นคำขาดถ้าอยากเป็นนักร้องต่อจะตัดออกจากกองมรดก" ชายหนุ่มยกมือขึ้นประสานกันไว้ที่ต้นคอแล้วเอนตัวลงไปหลังนินทาเพื่อนเสร็จหมาดๆ แต่สไบนางฟังแล้วยังตะหงิดๆ

"แล้วบ้านตัวเองไม่รวยหรือไงเป็นโรงงานกะปิตราชะนีถือกล้วย เอ้ย มะม่วงไม่ใช่หรือไง? "

"ไม้ซีกกับไม้ซุงอย่าเอามาเทียบกัน บ้านฉันก็แค่อุตสาหกรรมครัวเรือนทำกันในครอบครัวน่ะ.....แต่เล่ยไม่ใช่ ตระกูลหยางเป็น 1 ใน 5 มังกรเศรษฐกิจของฮ่องกงเชียวนะ ชื่อตระกูลหยางเธอน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง? น่าสงสารคุณชายเล่ยต้องหนีออกจากบ้านมาเป็นไอดอลที่ไต้หวัน หึ หึ หึ " พูดเองก็ขำเองไปเสียอย่างนั้นแหละ

"เคยดูแต่ขุนศึกตระกูลหยาง" สไบนางตอบไปแบบเฉยชา ก็รู้จักอยู่หยางเดียวนี่แหละ....หนังชุดด้วย

"หา!!......นี่เธอ ก๊ากกกกก ฮ่าๆๆๆๆๆ " ผีสาวนั่งหน้าง้ำมันจะขำอะไรขนาดนั้น

"ทำไม! หรือคิดว่าผู้หญิงทุกคนต้องรู้เรื่องของ Vanila Shade ฉันก็แค่ดูหนังจบก็ผ่านไปเท่านั้นแหละ แพท! ชื่อจีนของนายฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ!!"

"ก็ดีแล้ว!" หลี่เซี่ยเฟยยิ้มดูจริงใจที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ชายหนุ่มยื่นมือมาตรงหน้าเธอ

"งั้นยินดีที่ได้รู้จัก ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการฉันชื่อ...หลี่เซี่ยเฟย เซี่ย ที่แปลว่าหิมะ เฟยที่แปลว่า เหิร ชื่อสากลเธอรู้อยู่แล้วนี่ แพททริก ลี"

"แล้วชื่อไทยก็ บุญถึง นามสกุล นากระโทกใช่มั้ย?"

"ไม่ใช่เลยยัยว่าน มั่วแล้ว บุญถึง ทิพย์อรรถรส ต่างหาก"

"ใครจะไปรู้เล่า....ก็เห็นชื่อออกจะชนบทปานนั้น นึกว่านามสกุลก็แนวนั้นด้วยก็เดาๆ เอา"

และแล้ว....การเริ่มใช้ชีวิตด้วยกันของ น.ส.สไบนาง กับ นายบุญถึง ก็เริ่มต้น



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


อ่านต่อตอนหน้าค่ะ





Create Date : 05 มกราคม 2549
Last Update : 2 มิถุนายน 2552 22:24:14 น. 1 comments
Counter : 429 Pageviews.

 
กำลังตัดสินใจ ระหว่างผีกับคน ปากจัดพอๆกันเลย บุญถึงกับตะไบ


โดย: มณีมัญชุ์ วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:59:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.