จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
เมษายน 2549
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
5 เมษายน 2549
 
All Blogs
 

รักนี้(แค้น)...ต้องชำระ Chapter 12 คับขันฉันคือเธอ

Chapter 12 คับขันฉันคือเธอ



สไบนางเดินไปเดินมารอบห้องราวกับหนูติดจั่น ในขณะที่หลี่เซี่ยเฟยสลบไสลยังไม่ได้สติ ส่วนหยางเล่ยหลังทำความสะอาดเสร็จก็งีบหลับอยู่บนโซฟานั่นเอง ผีสาวกระวนกระวายใจจนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ หล่อนรู้สึกว่าเวลาแต่ละนาทีช่างผ่านไปเชื่องช้าเสียเหลือเกิน เดินๆ ไปได้สักพักก็ต้องกลับมาดูคุณบุญถึงของหล่อน แล้วคอยลูบหน้าลูบตาให้

“แพท...ฉันขอโทษนะ....แต่ทีหลังบอกให้เร็วกว่านี้หน่อยสิ จะได้ไม่เจ็บตัว”

พูดไปเองก็เขินอายเสียเอง แถมยังระแวงต้องหันกลับดูหยางเล่ยเป็นระยะๆ ว่าแกล้งหลับอยู่หรือเปล่าเดี๋ยวจะมาได้ยินที่หล่อนพูดเข้า

“เธอเจ็บมากหรือเปล่า? ถ้าหายเจ็บแล้วก็ตื่นสักทีนะ อย่านอนนาน....ฉันใจไม่ดี”

ผีสาวพูดแล้วก็นั่งจ๋องอยู่ข้างๆ หนุ่มหล่อที่สลบไสลไม่รู้เรื่องราว เฝ้าภาวนาให้นัยน์ตาที่ปิดสนิทอยู่นี้ลืมตาขึ้นมาสบตาหล่อนเร็วๆ

แต่คำภาวนาไม่เป็นผลนักแสงตะวันอาบอุ่นสาดเข้ามาในห้องพักจนสว่างไปทั้งห้อง หญิงสาวตาปรือขึ้นมาจากการซบหน้าลงกับโต๊ะรับแขก เมื่อเจ้าแมวสองตัวมาร้องอยู่ข้างๆ หู ถางถางแกว่งหางเหลืองๆ ของมันไปมาก่อนจะก้มมามองหน้าหล่อนแล้วร้องทักทายยามเช้า ส่วนพีพีอ้วนดำนั่นเดินหาหลี่เซี่ยเฟยมันเข้าใจว่าเจ้านายที่รักคงยังไม่ตื่น จึงใช้ศีรษะถูไถเข้ากับใบหน้าของเขาแล้วร้องเงี้ยวง้าวอย่างออดอ้อน

“พีพี อย่าไปกวนแพท ปล่อยเขานอนไป หิวข้าวล่ะสิแก” เจ้าตัวอ้วนนั่นดูเหมือนจะฟังเข้าใจ มันละจากร่างของชายหนุ่มเดินกลับมาหาหล่อน

“เดี๋ยวทำข้าวให้นะ” ผีสาวบอกกับแมวเหมียวอย่างเหงาๆ เมื่อเทอาหารให้แมวเสร็จแล้วจึงเดินมาปลุกหยางเล่ยที่หลับอุตุอยู่บนโซฟา

“เวส!! ตื่นสักทีสิ”

เจ้าหล่อนไม่รอช้าที่จะปลุกจึงขึ้นไปนั่งทับอกชายหนุ่มเช่นเดียวกับที่ทำกับหลี่เซี่ยเฟยทุกวี่ทุกวัน ใบหน้าขาวซีดนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นสีเขียวช้ำเลือดช้ำหนองก่อนที่เลือดสดๆ จะไหลทะลักออกมาจากศีรษะหล่อนแล้วไหลลงไปหยดลงบนใบหน้าเขา ไม่ถึงครู่ต่อมาแม้ว่าปกติจะขี้เซาแค่ไหนหยางเล่ยลืมตาขึ้นมาเห็นแบบนี้เข้าก็ลุกพรวดขึ้นมาร้องตะโกนด้วยความตกใจได้รวดเร็วสมใจหล่อน

“แว๊กกกกกกก!! เฮ้อๆๆๆ ว่าน!! ตกใจหมด!!? ปลุกให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง? ตกใจหมดเลย.....ถึงฉันจะไม่ใช่แพทหวานใจเธอก็เถอะแต่แบบนี้หัวใจวายได้นะ” ผีสาวป้ายเอาคราบเลือดออกไปจากใบหน้า ก่อนจะหันมาตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“กับแพทฉันก็ปลุกแบบนี้ทุกวันแหละ หมอนั่นชอบจะตายบอกว่าตื่นชัวร์ไม่มีอิดออดขอนอนต่อด้วย”

“ง่ะ....”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วเบ้ปากออกมาพลางคิดในใจว่าเพื่อนเขากับผีสาวนี่รสนิยมพิลึกพอกัน แถมเข้ากันได้ปานช้อนกับส้อมอย่างไรอย่างนั้นไม่มีผิด

“เวส...แพทยังไม่ตื่นเลย” เสียงนั้นค่อนข้างหดหู่

“นี่เพิ่งกี่โมงเอง? .... 10 โมงเองนะ” หยางเล่ยตอบพลางหันไปดูนาฬิกา

“ตั้ง 10 โมงแล้วต่างหาก นี่หลับไปตั้งแต่ตี 2 ยังไม่ตื่นเลยนะ”

“โธ่เอ้ย....คิดมากไปได้น่าปกตินอนดึกอย่างนั้นวันหยุดน่ะ พวกฉันนอนกันยันบ่ายเลยด้วยซ้ำนะ ตื่น 4 โมงเย็นก็ยังมีมาแล้ว”

“นั่นมันนายไม่ใช่แพท แพทน่ะนอนดึกแค่ไหน 9 โมง 10 ก็ตื่นแล้ว ” สไบนางก้มหน้าไปมองชายหนุ่มที่ยังอยู่ในห้วงนิทรา

“พอตื่นขึ้นมาก็ไปให้อาหารไอ้ 2 ตัวนั้นก่อน แล้วก็ไปอาบน้ำเข้าครัวทำกับข้าวให้ฉันกิน” หยางเล่ยฟังแล้วต้องอมยิ้ม เท่าๆ ที่บอกมานั้นราวกับว่าชายหนุ่มกับผีสาวนั้นใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนสามีภรรยาไม่มีผิดเลย

“แพททำอาหารแล้วว่านทำอะไร?”

“ดูทีวี....” คำตอบนั้นผิดคาด

“ไม่คิดจะไปช่วยทำบ้างเหรอ?”

“ฉันจะเป็นผีจะไปทำอะไรได้เล่า หน้าที่ฉันคือคิดเมนูอาหารให้แพทไปทำต่างหาก...” เมื่อพูดไปแล้วเห็นหยางเล่ยทำสีหน้าประหลาดๆ เลยชักอายบ้าง

“คือฉันเคยจะช่วยล้างจานที แล้วทำจานแตกหมด แพทโมโหใหญ่เลยจากนั้นก็ไม่ให้ฉันทำอะไรอีก”

“อ้อ....อ” คราวนี้ชายหนุ่มถึงบางอ้อ

“ปลุกมาแบบนี้แสดงว่าว่านหิวแล้วใช่มั้ย? จะกินอะไรล่ะ บอกไว้ก่อนนะฉันทำอาหารไม่เป็นเลย ไอ้ที่ทำได้ก็งูๆ ปลาๆ ทอดไข่ ต้มมาม่า อะไรเทือกนั้นน่ะ”

“คือฉันไม่ได้....”

หางตาผีสาวกระตุกไม่ว่าหน้าไหนมันก็คิดแต่ว่าหล่อนหิวทั้งวันกันหมดเลยหรือไงนะ สไบนางอยากบอกว่าหล่อนไม่ได้ปลุกเขาขึ้นมาเพราะหิวแต่เพราะเป็นห่วงหลี่เซี่ยเฟยต่างหากเล่า แต่หยางเล่ยไม่เปิดโอกาสให้หล่อนได้แก้ตัว

“เดี๋ยวขอไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาก่อนนะ แล้วจะหาอะไรกิน”

“จ้ะ! เชิญ แปรงสีฟันแขกอยู่ในลิ้นชักใต้กระจก เสื้อผ้าเธอยืมของแพทไปใส่ก่อนก็ได้ อ้อ! จริงสิแพทเพิ่งซื้อกางเกงในมาใหม่ยังไม่ได้ใส่เลยตั้งหลายตัวเอาไปใส่ละกัน อยู่ในตู้เดี๋ยวไปหยิบให้นะ”

“เอ่อ...คือ” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยกมือขึ้นโบกค้าง ริมฝีปากก็คลี่กางจนกลายเป็นยิ้มออกมาเต็มที่

“กางเกงในนี่ก็...ไปซื้อด้วยกันเหรอ?” ผีสาวหยุดกึ๊กในทันทีที่ฟังจบ ก่อนหมุนตัวกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“ก็ฉันกับแพทตัวติดกันนี่ยะ ห่างกันเกิน 20 เมตรได้ที่ไหน จะไปซื้อกางเกงในหรือซื้อกล้วยบวชชีฉันก็ต้องไปด้วยทั้งนั้นแหละ คิดอะไรอยู่น่ะตาบ้า!!”

“ฮิ ฮิ ฮิ...ฉันก็ไม่ว่าอะไรนี่แค่ถามว่าไปซื้อด้วยกันเหรอแค่นั้นเอง ฮะ ฮะ แค่นี้ต้องอายไปได้” ว่าแล้วหยางเล่ยก็กลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

“บ้า! ไปอาบน้ำเลยไป!! รีบด้วยฉันหิวแล้ว” หล่อนหันมาแว๊ดใส่ด้วยเสียงเข้ม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนโดนดุรู้สึกกลัวได้เลย


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


หยางเล่ยรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นผีสาวนั่งหน้ามุ่ยอยู่หน้าชามใส่บะหมี่สำเร็จรูปที่เขาทำ ก็หล่อนน่ะเคยชินกับผู้ชายทำอาหารเก่งอย่างเพื่อนซี้ของเขานี่นะ พอมาเห็นอาหารที่ทำกินแบบตามมีตามเกิดก็ทำหน้าสลดใจอย่างไม่มีปิดบัง

“ก็....ฉันทำอาหารเป็นเสียที่ไหนกันล่ะ ทนๆ กินไปก่อนเถอะนะ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่มาม่าไร้สรรพสิ่งนะว่าน ยังมีหมู กะไข่ด้วยเห็นป่ะ?” ผีสาวฟังแล้วก็ยิ้มจืดๆ ให้เขา

“ฉันกินง่ายอะไรก็กินได้ แต่ว่า....ฉันเป็นห่วงแพท เรา....พาเขาไปหาหมอกันดีกว่ามั้ย?” ชายหนุ่มชะงักจ้องมองหล่อนอยู่ครู่แล้วจึงค่อยพูดออกมา

“ว่าน...ฉันว่าว่านกังวลไปหน่อยแล้วนะ รอดูอาการอีกสักพักเถอะ ตอนนี้กินก่อนดีกว่านะ เชื่อฉันสิแพทไม่เป็นไรมากหรอกฉันดูแล้วก็แค่หมดสติไปเดี๋ยวก็ฟื้น”

“ก็แค่เหรอ? ทำไมนายใจเย็นจัง” ผีสาวตบโต๊ะดังปั้งแล้วจะโชกหน้าไปเหวใส่ชายหนุ่ม” ที่นอนอยู่นั่นน่ะเพื่อนนายไม่ใช่หรือไง? แล้วถ้าถึงเวลาต้องไปขึ้นคอนเสิร์ตแล้วยังไม่ฟื้นจะทำยังไง?”

ในขณะนั้นสไบนางเพียงแค่ตีตนไปก่อนไข้ ไม่ได้คิดเลยว่าตนเองจะแช่งได้แม่นยำราวจับวาง เพราะปาเข้าเกือบจะบ่าย 3 โมงถึงเวลาที่ต้องเตรียมตัวไปงานคอนเสิร์ตแล้ว แต่หลี่เซี่ยเฟยกลับไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ยิ่งสร้างความกระวนกระวายให้หล่อนมากขึ้น ยิ่งเมื่อเห็นพี่ซิงผู้จัดการวงโทรเข้ามือถือของชายหนุ่มเพื่อจะเตือนเวลา หล่อนทำท่าราวกับเห็นผีเสียอย่างนั้นทั้งๆที่ตนเองก็เป็นผี

“กรี๊ดดดดดดด!! พี่ซิงโทรมาแล้ว ทำไงดีๆๆๆ ” ผีสาวแทบจะลุกขึ้นเต้นไปตามจังหวะเพลงมือถือเลยด้วยซ้ำ

“ใจเย็นว่าน!” หยางเล่ยพูดแค่นั้นแล้วกดรับมือถือของหลี่เซี่ยเฟยแทน

“เหวย…..ครับพี่ซิง ไม่ใช่แพทครับ ผมเวส.... ฮะ...ใช่ ผมอยู่บ้านแพท” แล้วปลายสายตอบมาอย่างให้เตรียมตัวทั้งคู่อย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิดเลย

“ดีจะได้ไม่เสียเวลาไปรับทีเดียวสองคนเลย เตรียมตัวได้แล้วนะ”

“เอ่อ....เรามีปัญหานิดหน่อยครับ คือแพท...เขา เขาเอ่อ...ไม่สบาย ใช่ครับไม่สบาย ท่าทางจะไปไม่ไหว”

“จะบ้าหรือไง? จะมีคอนเสิร์ตอยู่เย็นนี้แล้วจะมาบอกว่าไม่ไหว แล้วนี่เป็นอะไรไปล่ะ เรียกมาคุยหน่อยซิ”

“ไม่ได้ครับ...คือ คือ เขาไม่มีเสียงเลย....ตอนนี้นอนอยู่” สิ้นคำอธิบายตะกุกตะกักของชายหนุ่มตาแป๋วซึ่งบัดนี้พยายามจะโกหกจนตาโตยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

“อีก 10 นาทีฉันจะไปถึง แต่งตัวไว้ก่อนทั้งคู่นั่นแหละ “

“พี่ซิงครับบบบบบบบ!! มะ...ไม่ไหวจริงๆ ครับ”

“เดี๋ยวฉันไปดูเองแล้วค่อยว่ากัน....แต่ถึงให้เป็นศพไปแล้วฉันก็จะขุดหมอนั่นไปออกคอนเสิร์ตจนได้ ไม่งั้นสปอร์นเซอร์ถอนตัวพวกนายนั่นแหละจะได้กลายเป็นศพดองจริงๆ”

“ง่ะ.....”

หยางเล่ยอุทานออกมาได้แค่นั้น ปลายสายก็ชิงวางหูไปเสียก่อน ชายหนุ่มได้หันหน้ามาสบตาสไบนางแหยๆ เหมือนจะถามว่าจะทำอย่างไรดี

“จะบ้าเหรอ? ถึงเอาตัวแพทไปตอนนี้ก็เท่านั้นมีสติสตังกะเขาเสียที่ไหน อย่างกับวิญญาณออกจากร่างไปแล้วด้วยซ้ำ อย่างนี้จะไปร้องเพลงให้หมาที่ไหนฟังได้เล่า!!” สไบนางพูดแล้วก็เอามือกุมหัว ในขณะที่หยางเล่ยกลับนิ่งอึ้งจ้องมองหล่อนตาค้างเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้

“จริงด้วย!! วิญญาณ....!! ถ้ามีวิญญาณก็ได้นี่นะ” ผีสาวอ้าปากหวอเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายที่จ้องมองมายังเธอ

“ไม่นะ!!....อย่าบอกนะว่าจะให้สิงร่างแพทไปแทน!!”

“เป็นไอเดียร์ที่ดีมากว่าน ขอบใจที่เสนอขึ้นมา”

“ฉันไม่ได้เสนอ กรี๊ดดดด!!! ไม่นะ ไม่ๆๆๆๆ ไม่มีทาง ฉันร้องเพลงไม่เอาอ่าว เดี๋ยวทำวิบัติ”

“ก็ไม่ได้บอกให้ร้องเพลง แค่ไปขยับปากลิปซิ้งค์ด้วยกันหน่อยเดียวเอง”

“ ฉันไม่ใช่แฟน Vanilla Shade ด้วย จะร้องจะเต้นยังไงฉันทำไม่ได้หรอกนะ ขอโทษฉันช่วยไม่ได้จริงๆ “

“เธอช่วยไม่ได้ฉันก็ไม่อยากบังคับหรอกนะ แต่ว่า....พูดก็พูดนะ....ฉันไม่ได้ตำหนิว่านหรอกที่แพทเป็นอย่างนี้เพราะใครกันน้อ?”

คนเจ้าแผนการเริ่มช้อนตากลมๆ นั่นขึ้นมาจ้องหน้าหล่อนแล้วแกล้งบ่น
พึมพำเสียงยืดยาวด้วยเจตนาจะกดดันผีสาว

“ตั้งแต่เธอตายมานี่....ใครเป็นคนทำกงเต็กให้น้า? ใช่แพทหรือเปล่า? แล้วแพททำอะไรอีกน้า อ้อๆๆ ใช่ๆ นึกออกละอดนอนทำเสื้อผ้าให้ด้วย กระโปรงตัวลายๆ นั่นใช่มะ แล้วอะไรอีกน้า....ซื้อมือให้รุ่นล่าสุดเล่น MP3 ด้วยนี่นา “ ชายหนุ่มพูดไปก็เหลือบมองดูปฏิกิริยาของผีสาวไปเรื่อยๆ ก็พบว่าเจ้าหล่อนกำลังวิตกจริตด้วยความรู้สึกผิดหลอกหลอน

“แพทให้อะไรเธอตั้งหล๊าย...อย่าง” หยางเล่ยเจตนาขึ้นเสียงสูง “ทำอาหารก็อร่อยด้วยเนอะ แถมให้ว่านเลือกเมนูทุกวันด้วย แล้วก็พากันกินจนแพทต้องลดความอ้วน...น่าสงสารแพทจัง”

สไบนางยิ่งฟังยิ่งสลดหล่อนอุปทานไปว่าได้ยินเสียงความผิดทิ่มหลังดังฉึ่กๆ จนหลังหล่อนแทบจะพรุนไปด้วยวาจาของหนุ่มผมสีน้ำตาลแล้ว

“แล้วก็....”

“พอแล้วไม่ต้องพูดแล้ว!! ยังไงก็จะให้ฉันสิงร่างแพทไปแทนใช่มั้ย? ก็บอกแล้วไงว่า....” ยังไม่ทันที่ผีสาวจะพูดจบหยางเล่ยก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ว่าน!! แพทน่ะเคยทำอะไรไม่ดีกับเธอบ้างมั้ย? สงสารแพทบ้างสิ....” น้ำเสียงขี้เล่นเมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที

“ถ้าไม่ไปงานนี้สปอร์นเซอร์จะว่าไง มันมีผลต่ออนาคตของแพทนะ ไม่ใช่แค่แพทคนเดียวด้วยแต่เป็น Vanilla Shade ทั้งวงเลย Mokia เป็นสปอร์นเซอร์หลักประจำปีเลยนะ แล้วแค่ไปร้องเพลง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้นเอง”

“แต่...แต่...” สไบนางอ้าปากเถียงไม่ทัน เมื่อหยางเล่ยยกเหตุผลขึ้นมา
เป็นชุด

“ว่าน...แพทรักเธอแค่ไหน ถึงเธอไม่รักเขาแต่ไม่สงสารเขาเลยเหรอ?
แพทตั้งใจซ้อมเพื่อนคอนเสิร์ตวันนี้มาตั้งนานนะเธอก็รู้....แล้วจะรอให้เขาตื่นขึ้นมาเพื่อรับคำตำหนิจากใครๆ เหรอ? พวกสื่อฯ ต้องรุมด่าแหงๆ แล้วไหนจะพี่ซิง ไหนจะสปอร์นเซอร์ แล้วยังแฟนๆ ที่รอคอยวันนี้มาตลอดอีกล่ะ แพทคงจะเสียใจมาก...น่าสงสารจังเลย....”พูดจบก็แอบหลิ่วตามองดูหล่อนพอเห็นว่าผีสาวอ่อนลงกว่าครึ่งจึงเริ่มหว่านล้อมอีกครั้ง “น่า...นะขอร้องล่ะว่าน...”

“แต่ว่า...ไหนจะร้องเพลง ไหนต้องเต้นอีก ฉันจะไปทำเสียมากกว่าดีล่ะสิ ทีนี้อย่าว่าแต่แพทโกรธเลย พวกเธอจะพลอยขายขี้หน้าไปด้วย” ผีสาวทำหน้าเหยเกเต็มที่

“เอาน่า...ฉันบอกพี่ซิงไปแล้วว่าแพทไม่มีเสียง โกหกว่าเป็นหวัดเจ็บคอไปก่อน เดี๋ยวลิปซิ้งเอาก็ได้ พวกฉันอีก 3 คนจะร้องกลบเอง ส่วนเรื่องเต้นก็เต้นตามๆ กันไป เธอก็ไปดูเราซ้อมนี่น่าจะพอจำได้มั่งล่ะน่าไม่ยากหรอก แค่นี้เอง”

“เวส...ส มันไม่ใช่แค่นั้นอ่ะเด้ ฉันน่ะแค่คาราโอเกะยังร้องตกร่อง เรื่องร้องรำทำเพลงฉันไม่มีพรสวรรค์สุดๆ แล้วๆๆๆ อีกอย่างนะ....นี่มันงานสดถ้าพลาดขึ้นมาล่ะก็” สไบนางพยายามค้านเต็มที่ เพราะหล่อนมั่นใจว่าจะทำงานเขาล่มมากกว่า

“Stop!! ต้องพูดแล้ว ยิ่งพูดจะยิ่งกลัวล่ะสิ เราไม่มีทางเลือกแล้วนะว่านขอร้องล่ะ ไม่สงสารพวกฉันก็นึกว่าทำเพื่อแพทก็ยังดีนะ”

หยางเล่ยยกมือขึ้นไหว้ผีสาวปลกๆ หล่อนได้แต่นิ่งอึ้งจะตอบรับก็ไม่ใช่
จะปฏิเสธไม่เชิง แต่เมื่อมองยังร่างอันหลับไหลของหลี่เซี่ยเฟยแล้ว
ก็พาลคิดไปว่าเขาต้องโกรธแน่ๆ ถ้าไม่ได้ไปงานนี้ อีกทั้งคงไม่มานั่งไหว้
ขอร้องอย่างหยางเล่ย แต่คงตวาดใส่หน้าเธอว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยกันแน่? แค่นี้ทำเพื่อเขาไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว ผีสาวมั่นใจว่าถ้าไม่รับปากงานนี้หลี่เซี่ยเฟยคงงอนหล่อนไปเป็นปีแน่ๆ ด้วยความรู้สึกแคร์ว่าพ่อบุญถึงจะโกรธหล่อนนั้น ชนะคำขอร้องของหยางเล่ยหรือใครๆ ในโลกนี้ทั้งมวล

“เฮ้อ....ก็ได้ แต่เป็นยังไงฉันไม่รับผิดชอบนะ ถ้าทำออกมาไม่ดีอย่ามาโทษฉัน แล้วถ้าแพทโกรธนายต้องรับหน้าแทนฉันด้วยล่ะ”

“ขอบใจว่าน!! เฮ้ออออ..อ ค่อยโล่งอกไปหน่อย อย่างนี้สิถึงเรียกว่า
รักกันจริง แพทรู้เข้าดีใจตายเลยนะนั่น” หนุ่มหน้าละอ่อนยิ้มกว้างออกมาอย่างโล่งอก

“รีบไปเข้าร่างแพทก่อนเถอะพี่ซิงจะมาอยู่แล้วเดี๋ยวไม่ทันนะ”

“จะเข้ายังไงล่ะ?” ผีสาวทำหน้าฉงนๆ ทำเอาหยางเล่ยเกาหัวแกร่กๆ เหมือนจะบอกว่าหล่อนนี่สมเป็นผีมือใหม่จริงๆให้ตายเถอะ

“อย่ามาทำหน้าอย่างนั้นนะ ฉันเคยสิงร่างใครที่ไหนเล่า!!”

“จ้ะ...จ้ะ เอางี้นะ ประสานจิตให้เข้ากับร่างเขาแล้วนอนทับลงไปก็น่าจะได้แล้วมั้ง แพทไม่มีสตินี่เธอพยายามตั้งจิตควบคุมร่างเขาไปก่อน”

“อืมๆ จะพยายาม” ว่าแล้วหล่อนก็ลุกขึ้นตรงที่ร่างของหลี่เซี่ยเฟยแล้วคุกเข่ามองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง

“แพท...ขออนุญาตเข้าร่างนะ มันจำเป็นจริงๆ”

หล่อนยกมือไหว้ร่างนี่นอนนิ่งไม่ไหวติงนั่นเหมือนจะบอกกล่าว ก่อนจะค่อยก้มหน้าลงแนบหน้าผากลงอิงแอบกับหน้าผากของชายหนุ่ม แล้วร่างโปร่งใสของหล่อน ค่อยๆ จางหายไปคงไว้แต่แสงเรืองรองออกมากจากร่างของหลี่เซี่ยเฟยอยู่ครู่หนึ่งแสงระยิบระยับก็ค่อยๆ ดับลง ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกของหยางเล่ย นัยน์ตาที่หลับพริ้มมาตลอดของร่างสูงนั่นค่อยๆ ปรือขึ้นมา

“ว่าน!! สำเร็จแล้ว เป็นไงบ้างลุกไหวมั้ย? มึนหัวหรือเปล่า ค่อยๆ ลุกนะ” หนุ่มผมสีน้ำตาลมีสีหน้าตื่นเต้นยิ่งกว่าผีสาวในร่างหลี่เซี่ยเฟยเสียอีก เมื่อหล่อนลุกขึ้นนั่งและค่อยๆ หันหน้ามามองอีกฝ่าย สีหน้านั้นไม่สู้จะดีนักและกลายเป็นขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิงไปหมด

“เป็นอะไรปวดหัวเหรอ?” สไบนางไม่ตอบเอาแต่ส่ายหน้าท่าเดียว “มีอะไรบอกฉันสิ?”

“เวส....เวส!! ” หล่อนลุกพรวดเดียวมาหาเขาแล้วคว้าเอามือมาเขย่าอย่าเอาเป็นเอาตาย

“เฮ้ยๆๆๆ เป็นอะไร?”

“เวส! I don’t speak Chiness!! I don't understand what you say”

“หา? นะ...นี่เธอ...เอ๊อะ...เอ่อ ฟังที่ฉันพูดไม่รู้เรื่องเลยเหรอเนี่ย? ตอนเป็นผีเราก็ยังคุยกันรู้เรื่องนี่ ก็ตอนนั้นฉันก็พูดภาษาจีน”

“ Speak English now!!. I don't understand what you say. I don't know Chinese

“กรรม!~ ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้”

“Speak English ! Speak English! Speak English now! I can speak Thai and little bit English. But I can’n speak chiness.

“Ok! Ok I ‘m sorry ”

เขาขอโทษหล่อนเป็นภาษาอังกฤษแล้วเริ่มกุมศีรษะด้วยความปวดหัว หยางเล่ยลืมนึกไปว่าเมื่อเป็นวิญญาณเขากับหล่อนสนทนากันด้วยภาษาจิต ดังนั้นภาษาจึงไม่มีความหมายถึงแม้ว่าเขาจะพูดภาษาจีนในขณะที่หล่อนพูดภาษาไทยก็ตามที แต่เมื่ออยู่ในร่างของหลี่เซี่ยเฟยก็เท่ากับว่าเป็นมนุษย์อีกครั้งต้องสนทนาการกันด้วยร่างเนื้อ สไบนางจึงไม่เข้าใจภาษาจีนที่ชายหนุ่มพูดเลยแม้แต่น้อย

“แล้วจะทำไงดีกันวะเนี่ย?...เฮ้อ...”

“I told you speak English. If you speak Chinese again, i will hit you” พอหล่อนบอกว่าจะตบเขาถ้ายังขืนพูดจีนอีก หยางเล่ยถึงกับหัวเราะก๊าก
ออกมา

“how we understand .......it's different language there is problem sure.”

“Ok, if you don’t understand Chinese it’s ok, just watch and follow me. it's my duty .(จ้ะๆๆ เอางี้นะ....เรื่องฟังจีนไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร คอยดูฉันเอาไว้ฉันทำไรทำตามนะ ที่เหลือฉันจัดการเอง)” หนุ่มผมสีน้ำตาลเอามือจิ้มอกเหยงๆ บอกให้มั่นใจได้

“Can we solve this problem?” ผีสาวชักอยากร้องไห้ไม่ค่อยเชื่อว่าจะสามารถรอดผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดี

“เอาน่า....ว่าน Trust me, I will be beside you always..don't let you lonely” ชายหนุ่มให้สัญญาว่าจะไม่ทิ้งกันกลางทาง ว่าแล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้งเป็นพี่ซิงนั่นเองที่โทรบอกว่ามาถึงแล้วอยู่หน้าห้องนี่เอง

“ Fight!! สู้ๆ” หยางเล่ยตบไหล่หล่อนในร่างหลี่เซี่ยเฟยเป็นการให้กำลังใจพร้อมกับอวยพรไปในตัว “Good Luck!”

“Bad luck ล่ะสิไม่ว่า...” ผีสาวบ่นพึมพำไล่หลังชายหนุ่มที่กำลังจะลุกไปเปิดประตูให้พี่ซิงกับทีมงานเข้ามาจนต้องหัวเราะคิก ก่อนเปิดประตูเขาก็หันมาสั่งหล่อนอีกครั้ง


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“Don’t forget, Patt has a cold, don’t act like a woman, don’t eat too because Patt is on diet, ok? (อย่าลืมนะ....แพทป่วยเป็นหวัดเจ็บคอ ทำหน้าให้เนียนๆ หน่อย แล้วก็อย่าเผลอพูด อย่าจิกตา อย่ากรีดนิ้ว เดี๋ยวคราวนี้ล่ะมีข่าวว่าแพทสาวแตกแน่ๆ อ้อ! อย่ากินอะไรด้วยแพทลดความอ้วนอยู่ โอเคนะ)”

หยางเล่ยกระซิบผีสาวฟังแล้วต้องเบ้ปากอยากด่าคนขึ้นมายิกๆ แต่เจ้าหล่อนก็รีบปั้นหน้าคนป่วย ทำหน้าซีดหน้าเซียวเหมือนพร้อมจะตายอยู่มะรอมมะร่อแล้ว ใครต่อใครในรถตู้ทั้งทีมงานทั้งเพื่อนร่วมวงพากันเป็นห่วงกันยกใหญ่ โดยเฉพาะพี่ซิง

“ทำไมอยู่ๆ เป็นอย่างนี้ไปได้? ไปทำอะไรมา?”

“....พักนี้แพทไม่ค่อยสบายเราก็รู้กันอยู่ อากาศเปลี่ยนแถมยังโหมลดความอ้วน ก็เลยป่วยมั้งครับ”

หยางเล่ยเป็นคนตอบแทนโดยมีสไบนางพยักหน้าหงึ่กๆ อยู่ข้างๆ ไม่ได้รู้หรอกว่าเขาคุยอะไรกันแต่เห็นพูดถึงแพทเลยพยักหน้าไว้ก่อน

“แย่ชะมัด ทำไมต้องจำเพาะเจาะจงไม่มีเสียงเอาวันนี้ด้วยนะ ยังดีนะที่
เตรียมลิปซิ้งค์ทันน่ะ”

“เมื่อวานเย็นก็เริ่มแย่แล้วครับ ผมเลยไปนอนเป็นเพื่อน”

ชายหนุ่มเผลอกระพริบตาถี่ๆ ในขณะที่พยายามโกหกให้แนบเนียนที่สุด จนผีสาวเห็นอาการเข้าก็ชักใจคอไม่ดี พอจะรู้ว่าเพื่อนชายของหล่อนคนนี้นั้นนอกจากจะโกหกไม่เก่งแล้วยังไม่แนบเนียนสุดๆ แถมถ้าบีบมากๆ พ่อจะเผลอเทพิรุธออกมาหมด แล้วยิ่งเป็นคนที่สนิทด้วยจะดูออกทันที หล่อนจึงลอบหยิกแขนหยางเล่ยทันที

“เอ๊อะ.....” ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกแล้วอุทานออกมาก่อนจะเหลียวมองดูผีสาว

“เป็นอะไรเวส?”

“คะ...คือ ผมอยากจามครับ”

“ติดหวัดกันหรือเปล่าเนี่ยคนนี้?” เฉินซื่อหวี่ได้ยินเข้าก็หันหน้ามายังเบาะหลังแล้วยื่นมือมาอังศีรษะหยางเล่ย ในขณะที่พี่ซิงขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะกล่าวเตือนออกมา

“ระวังๆ กันหน่อยก็ดี ขืนไม่มีเสียงไปอีกคนจะแย่ งั้นเดี๋ยวไปถึงงานก็กินยาแก้หวัดกันไว้ก่อนเลย พวกนายทั้งหมดด้วย” หยางเล่ยรับคำอย่างแกนๆ

เมื่อมาถึงบริเวณจัดงานที่บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ที่แออัดยัดเยียดกันเข้ามาจองพื้นที่ชมมินิคอนเสิร์ต ของ Vanilla Shade กันเนืองแน่ไปหมด และยิ่งเมื่อรถตู้ของทีมงานจอดเข้าเทียบที่ทางเข้างาน แฟนคลับส่วนหนึ่งที่มาดักรอรับอยู่แล้วก็กรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ทำเอาสไบนางอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เสียงกรีดร้องดังขึ้นรอบตัวนี้มีให้ไอดอลที่รักของพวกเขา

‘ยืดอกสิ!! หายใจเข้าลึกๆ เรื่องแค่นี้แพททำอยู่ทุกวันเห็นจนชินตาแล้วไม่เห็นยากอะไร เออๆใช่ต้องยิ้มด้วย ยิ้มๆๆ’

ผีสาวบอกตัวเองในใจก่อนจะฉีกยิ้มออกมาและยกมือขึ้นโบกให้กับแฟนๆ แน่นอนเมื่อไมตรีจิตถูกหยิบยื่นไป แฟนคลับก็ตอบแทนมาด้วยเสียงกรี๊ดด้วยความดีใจที่ศิลปินคนโปรดยิ้มให้ แต่นั่นทำเอาหล่อนนึกหวาดหวั่นแถมตกใจจนสะดุ้งเฮือก หยางเล่ยเห็นท่าไม่ดีกลัวหล่อนจะตื่นคนจนเป็นลมไปเสียก่อน จึงเบียดเข้ามาประชิดตัวแล้วจับมือหล่อนเอาไว้

“กรี๊ดดดดดดดดดดด!! อว่อโซ่วเลอ แพท-เวส เจ่อเปียน ค่านเจ่อเปียน (เค้าจับมือกันด้วย แพท-เวส หันมาหน่อย กรี๊ดดดดดด!!)” เสียงเรียกชื่อ สมาชิกวง Vanailla Shade ดังกระหน่ำราวคลื่นทะเลพัดเข้าหาฝั่งไม่ขาดระยะ

“Clam down, and smile don’t stop smiling, how much they try, mean, how much they’re happy to see us.(ใจเย็นๆ ยิ้มต่อไป อย่าหยุดยิ้ม ยิ่งพวกเขากรี๊ดเราเท่าไรแปลว่าเขาดีใจที่ได้เจอเรา)”

“Surely ? (เหรอ?)”

“Yes, I’m happy, heap of people waiting for us. (อืม...ต้องดีใจสิ มีคนมาต้อนรับเยอะขนาดนี้) ” ได้ฟังดังนี้หล่อนก็มีกำลังใจส่งยิ้มให้แฟนๆ นึกปลาบปลื้มแทน
หลี่เซี่ยเฟย

“ But don’t stop and shake hands to any girl, you must not!, (แต่อย่าหยุดจับมือกับสาว ๆนะ ไม่ได้เด็ดขาด!) “

เสียงกรี๊ดยิ่งดังขึ้นอีกเมื่อเห็นหยางเล่ยเอียงหน้าเข้าติดใบหูของหลี่เซี่ยเฟย แล้วกระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตามด้วยแสงแฟรชรุมถ่ายรูปช็อตนี้กันเป็นที่สนุกสนาน แต่ผีสาวกลับตาลายเพราะพร่าวพราวไปหมดมองไปทางไหนก็ยิงแฟรชใส่หล่อนกันวูบวาบ เรียกว่าแทบจะทุกอิริยาบสที่ขยับเลยด้วยซ้ำ

“ Why not? If I don’t , people might think, Patt ‘s not friendly.(ทำไมล่ะ? ก็อย่างนี้ล่ะสิเค้าถึงหาว่าหยิ่งกันนัก)”

“ don’t worried, when is not many people and you have a chance, you just go thought, don’t have to take care fan club because…. (เออน่า....เดี๋ยวพอ การ์ดกันคนออกไปได้หน่อย มีช่องว่างแล้วให้รีบวิ่งขึ้นเวทีไปเลยนะไม่ต้องไปเทคแคร์แฟนคลับหรอกเพราะว่า....)”

ชายหนุ่มยังพูดไม่ทันขาดคำสไบนางก็เริ่มห่างจากตัวเขาไปสัมผัสมือแฟนๆ ที่ยื่นมากันยกใหญ่ไม่ได้ฟังคำเตือนของเขาเลยสักนิด จนใครต่อใครพากันตาโตไม่เว้นแม้กระทั่งเฉินซื่อหวี่ กับจินเซี่ยวเซิน ที่พากันมองตาค้าง
เพราะหลี่เซี่ยเฟยไม่เคยเล่นกับแฟนๆ แบบถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ ชายหนุ่ม
สงวนพื้นที่ส่วนตัวระหว่างศิลปินกับแฟนคลับไว้พอสมควร

“จ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก.....ก!!”

แต่ยังไม่ทันได้หายแปลกใจก็ถูกเสียงหวีดร้องเจ็บปวดของเจ้าตัวดังขึ้นมาเสียก่อน บอร์ดี้การ์ด 4-5 คน จึงรีบไปลากตัวหลี่เซี่ยเฟยออกมาแล้วตีวงกันแฟนๆ ให้ห่างจากศิลปิน

“เฮ้ย!! เป็นอะไร?” จินเซี่ยวเซินตะโกนแทรกเสียงกรี๊ดกร๊าดรอบตัวไปยังเพื่อนที่ยืนกุมเป้าหน้าเขียวอยู่

“ฉันยังไม่เคยจับของแพทเลยนะ แล้วมาบีบกันอย่างนี้ได้ยังไง!!”

เจ้าหล่อนบ่นเสียงอู้อี้ในคอออกมาเป็นภาษาไทย แต่ไม่มีใครทันจับความได้ว่าหลี่เซี่ยเฟยพูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่แมนดารินอยู่

“โดนบีบไข่เรอะ!! แว๊ก!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เพื่อนร่วมวงพากันหัวเราะทั้งเห็นใจทั้งขำ ในขณะที่เจ้าของไข่ยืนน้ำตาเล็ดหน้าเขียวไปแล้ว คราวนี้พอแฟนๆ พยายามยื่นมือเข้ามาสัมผัสตัวเขาอีก เจ้าหล่อนก็ตะโกนเสียงดังออกไปว่า

“Don’t touch me !!” น้ำเสียงนั้นปนเปกันระหว่างคนกำลังโมโหกับเจ็บจนเสียงขุ่น

“I've told you before,don't wait for checking hand with the fans.just hurry go up on the stage!! (ก็ฉันบอกแล้วว่าอย่าๆๆๆ ให้รีบๆ ขึ้นเวทีไปจับมือกับแฟนๆ ทำไม)”

หยางเล่ยส่ายหน้าแล้วรีบตรงรี่เข้าฉวยมือหล่อนแล้วพากันวิ่งโกยอ้าวไปเลย ไม่เปิดช่องให้คลื่นมนุษย์ที่ลุกล้ำเข้ามาประชิดตัวทุกขณะเข้าใกล้หลี่เซี่ยเฟยได้อีก

“เวส...ส ฉันเจ็บจะตายอยู่แล้ว....โอ้ว โน่!! ไข่...ไข่ของแพทแตกหรือเปล่าวะเนี่ย?” หล่อนยังบ่นต่อไปเป็นภาษาไทยโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ แต่ถ้าใครเห็นสีหน้าหล่อนตอนนี้ถึงฟังภาษาไทยไม่ออกก็เข้าใจว่าหล่อนกำลังบ่นอะไรอยู่

“Ah…be strong, smile (เฮ้อ...อดทนหน่อย อย่าทำหน้าหงิก ยิ้มๆๆ) ”

“who can smile now? (ใครมันจะไปยิ้มออกวะ!!)” หล่อนตวาดใส่หยางเล่ยด้วยอาการหัวเสียเต็มที่

“ Hey,the camera is turning to you right now,so keep smiling,Wann smiles for Patt (กล้องหมุนมาทางนี้แล้ว ยิ้มเร็วๆ เพื่อแพทนะ ยิ้มๆๆ ว่านยิ้มสู้หน่อย)” เพราะคำว่าเพื่อหลี่เซี่ยเฟยนี่แหละ สไบนางถึงพยายามคลี่ยิ้มเต็มที่ทั้งๆ ที่หน้าตากำลังบู้บี้เต็มที

กว่าจะฝ่าคลื่นมนุษย์ขึ้นมาถึงเวทีได้ระยะทางแค่สิบกว่าเมตรแต่กลับกินเวลาไปร่วมสามสิบนาที เรียกว่าขึ้นมาได้แบบยักแย่ยักยันเต็มทีแต่ละคนเหงื่อโทรมกายแต่ยังพยายามยิ้มสู้กล้องกันเต็มที่ เมื่อขึ้นมาถึงบนเวทีผีสาวเพิ่งจะมีโอกาสสูดหายใจเข้าปอดเต็มๆ แบบไม่มีใครมาแย่งอ็อกซิเจนได้ก็คราวนี้ แต่เมื่อมองลงไปตรงหน้าหล่อนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าจำนวนฝูงชนนั้นแห่กันมาแบบแออัดยัดเยียดกันมากมายขนาดไหน แถวด้านหน้าเวทีเต็มเหยียดยาวไปถึงด้านหลังก็เห็นหัวคนเหลือขนาดแค่หัวไม้ขีดไฟเสียแล้ว ลมหายใจที่เพิ่งสูดเข้าไปเมื่อครู่กลับแน่นค้างอยู่ในอกไม่ยอมออกมา หล่อนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่

‘ไหน? ใครบอกว่ามินิคอนเสิร์ตฟะ มินิบ้านมันสิ....นี่สองหมื่นคนเข้าไปแล้ว แถมยังเป็นคอนเสิร์ตสดอีกต่างหาก....ไหนว่าไม่ค่อยสำคัญไงแค่เอาใจสปอร์นเซอร์แป๊บเดียว....แล้วนี่อะไร.....??!! ’

แค่คิดหล่อนก็อยากเป็นลมตายลงไปตรงนั้นแล้ว มือไม้เริ่มเย็นจนชาเหงื่อกาฬซึมท่วมฝ่ามือไปหมด สไบนางขบริมฝีปากตนเองโดยไม่รู้ตัวหล่อนเริ่มจะเข้าใจคำว่าตื่นเวทีขึ้นมาก็เดี๋ยวนี้นี่เอง ทั้งๆที่เคยติดตามหลี่เซี่ยเฟยออกงานมาหลายต่อหลายครั้ง หากแต่ทุกครั้งหล่อนเป็นแค่ส่วนหนึ่งในจำนวนผู้ชม หรืออยู่หลังเวทีกับสต๊าฟเท่านั้น ไม่เคยมีครั้งใดที่ต้องออกมาทำหน้าที่แทนพ่อบุญถึงของหล่อนเช่นวันนี้เลย

“West, I….I can’t do it. เวส...ฉะ...ฉัน ฉันทำไม่ได้” หล่อนพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเหมือนคนใกล้จะร้องไห้อยู่แล้ว

“Don’t worried, I’m here, try to count 1 to 10, it might help, remember It likes, when we’re together, ....(ใจเย็นๆ ฉันอยู่นี่ นับเลขในใจนะจะได้สงบลง นึกเสียว่าเราซ้อมกันในห้องซ้อมนะ)”

หยางเล่ยลอบกุมมือหล่อนทางด้านหลังไม่ให้ใครเห็นแล้วกระซิบปลอบใจเบาๆ เป็นระยะ

“Can we stop I would make a mistake, (เวส...เลิกได้มั้ย? ฉะ...ฉัน ต้องทำเสียแน่ๆ เลย)” แต่ยังไม่ทันที่หล่อนจะพูดจบเฉินซื่อหวี่พี่ใหญ่ของวงก็ตบไหล่เขาพลางติดไมค์ลอยไว้ที่ข้างหูให้แต่ไม่เปิดสัญญาณ

“แพท! ปู๋เย้าซัวฮว่า เซินอิงน่าเมอส่าหย่า ไมเคอฟงฮุ่ยโซวอิง (แพท!อย่าพูด เสียงจะออกไมล์....แหบขนาดนี้เงียบๆ ดีกว่า)”

“สกาย....” หล่อนฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไรแต่เห็นสายตาแล้ว ก็เดาไปว่าเขาให้หล่อนเตรียมตัวได้แล้ว

“เหมยกวานซี เหมยโย่วเซิงอิงเหย่เหมยกวานซี จิ้วจ่าจวงจายช่างจิ้วห่าวเลอ (ไม่เป็นไร เสียงไม่มีก็ไม่ต้องกังวล ทำเป็นว่าร้องไปก็พอ)”

น่าเสียดายที่สไบนางไม่ได้เข้าใจเลยสักนิดว่าเฉินซื่อหวี่กำลังปลอบใจและช่วยเหลือเต็มที่ หาไม่อย่างนั้นคงจะมีกำลังใจขึ้น

“ห่าวล่า....ปู้ซื่อหนี่อีเกอเหรินจั้วโชว์ ซื่อหว่อเหมินซื่อเกอล่ะ เหมยโยวเซิงอิงปู้ไต้เปี่ยวเปี๋ยวเหยี่ยนปู้เขออี่คายซือ เซี่ยวลา แพท ปู้เย้าร่างเปี๋ยเหรินจือเต้าหนี่จ้ายไฮ้ผ้า (เอาน่า...ไม่ได้โชว์เดี่ยวสักหน่อยพวกเรามีตั้ง 4 คนนะ แค่ไม่มีเสียงแต่ไม่ได้หมายความว่าการแสดงจะเริ่มไม่ได้ ยิ้มสิแพทอย่าให้ใครเห็นความหวั่นไหว)”

“หนี่เย้าฉ้างเตอนาอี่ต้วน เจ้าต้งอี่ต้งจุ่ยปา ฉีทาร่างเก่ยหว่อเมินป่ะ (เดี๋ยวท่อนของนายขยับปากให้ลงเพลงก็พอ ที่เหลือพวกเราจะช่วย)”

จินเซี่ยวเซินที่อยู่ถัดไปขยิบตาให้เพื่อนรัก ผีสาวในร่างหลี่เซี่ยเฟยมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจแล้วหันไปมองที่หยางเล่ยเป็นคนสุดท้าย

“Sky and Matie, said, they will help don’t worried, we’re always with you.(สกายกับมาร์ตี้ บอกว่าจะช่วยเต็มที่ไม่ต้องกังวลบนเวทีไม่ได้มีเธอคนเดียวพวกเราอยู่ข้างๆ เสมอ)” ชายหนุ่มอธิบายคร่าวๆ ก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน หล่อนฟังแล้วซาบซึ้งกับมิตรภาพของพวกเขามากจึงหันไปยิ้มน้อยๆ ให้กับพวกเขาทั้งดวงตาที่บัดนี้เริ่มมีน้ำตาเอ่อขึ้นมา ทั้ง 4 หนุ่มยิ้มให้กันและกันอย่างจริงใจ และแล้วการแสดงสดก็เริ่มขึ้น........



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ขอลงถึงแค่ตรงนี้นะคะ ลงทั้งหมดเดี๋ยวสำนักพิมพ์จะว่าเอา
อย่างไรถ้าอยากอ่านต่อ ก็ช่วยอุดหนุนเล่มนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ








 

Create Date : 05 เมษายน 2549
0 comments
Last Update : 3 มิถุนายน 2552 1:37:01 น.
Counter : 1183 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.