จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
 
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 มกราคม 2549
 
All Blogs
 

รักนี้(แค้น)...ต้องชำระ Chapter 11 ผู้ชายปากหนักกับผู้หญิงใจน้อย

Chapter 11 ผู้ชายปากหนักกับผู้หญิงใจน้อย



“ไม่ไหวแล้ว!! ทรมาณชะมัด!!”

ผีสาวตะโกนขึ้นมาหล่อนเต้นเร่าๆ อยู่รอบๆ โต๊ะกินข้าวในห้องครัว โดยมีหลี่เซี่ยเฟยนั่งนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วตักโยเกิร์ตเข้าปาก

“แพททททททททท....ท ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วนะ”

“งั้นก็บ้าไปเลยสิ!!”

ชายหนุ่มตอบแบบไม่อินังขังขอบ ตรงกันข้ามกับหยางเล่ยซึ่งแวะมาดูใจหล่อนที่บ้าน หลังจากที่สไบนางโทรไปฟ้องว่าหลี่เซี่ยเฟยเอาแต่กินโยเกิร์ตมา 5 วันติดแล้ว โดยไม่สนใจว่าหล่อนจะร่ำร้องฟูมฟายแค่ไหนเลยด้วยซ้ำ

“คิดดูนะ ตั้ง 5 วัน 5 วันเชียวนะกินทุกมื้อมา 5 วันแล้ว โอ้ย...ฉันจะกลายเป็นผีโยเกิร์ตอยู่แล้วนะ เบื่อจะตายชัก ฮือๆๆ”

ว่าแล้วหล่อนก็ทุบโต๊ะปึ้กปั้กประกอบอาการร้องโหยหวนให้ดู หยางเล่ยดูท่าทางของหล่อนแล้วชวนให้หัวเราะมากกว่าจะน่าสงสาร

“แล้วนี่นายไม่ได้กินอย่างอื่นนอกจากโยเกิร์ตเลยเหรอแพท?”

“กินน้ำมะเขือเทศ แอปเปิ้ลเขียว สลัดผัก แต่ยัยนี่บ่นทุกอย่างที่ฉันกิน” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทางเฉยเมย

“ก็ฉันเกลียดน้ำมะเขือเทศที่สุดเลย แล้วแอปเปิ้ลเขียวน่ะ กินธรรมดายังพอว่าตานี่เล่นเอาไปปั่นเป็นน้ำ แล้วแช่ตู้เย็นทิ้งไว้เอาออกมาอีกทีน้ำเขียวกลายเป็นสีน้ำตาลแล้วยิ่งมันมีใยเละๆ นิ่มๆแหยะๆ ด้วยดูเหมือน.....อี๋ แล้วกินเข้าไปลงอีกนะ รสชาติก็ไม่ได้เรื่องกินสดๆ ยังอร่อยเสียกว่า นี่เล่นใส่น้ำแล้วคนๆ ไม่ใส่อะไรไปปรุงเลยน้ำตงน้ำตาลก็ไม่เอา แล้วคิดดูมันจืดๆ เละๆ แหยะๆ เฝื่อนๆ กินแล้วอยากจะ....แหวะ”

“ก็ถ้าเอาแต่น้ำไม่กินกากก็ไม่ได้สารอาหาร แล้วถ้าจะใส่น้ำตาลก็ไม่ได้กำลังลดความอ้วนอยู่”

“ชูก้าร์ฟรีก็มีทำไมไม่ใส่ลงไปหา?”

“ใส่เข้าไปก็เหมือนหลอกตัวเองนั่นแหละ ล่อมันทั้งอย่างนี้ดีกว่า...หึ หึ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

“ฟังดูไม่น่ากินเลยว่ะ....” หยางเล่ยนึกภาพตามแล้วก็เบ้ปาก พลางนึกดีใจที่ตัวเองไม่โดนบังคับให้ลดน้ำหนักด้วย

“อาทิตย์เดียว 5 กก. มันค่อนข้างหนัก ปกติเต็มที่เขาลดกันประมาณ 2 กก. ฉันเลยต้องหักดิบตัวเองน่ะ”

“แล้วทำไมฉันต้องหักดิบไปด้วย แค่เต้น 8 ชม. วันเว้นวันแล้วต้องไปถ่ายละครอีกก็ตายอยู่แล้ว แถมกินแต่โยเกิร์ต....คอยดูสินายไม่เป็นลมตายให้มันรู้ไป”

“เธอตายแล้ว....ไม่ตายซ้ำหรอกฉันรับรอง!!”

สไบนางฟังแล้วอยากกรี๊ดให้ลั่น หล่อนทุบไหล่หลี่เซี่ยเฟยเป็นการใหญ่ในขณะที่ชายหนุ่มเอาแต่นั่งหัวเราะ

“……เอ...สลัดผักใส่ปูอัดก็น่าจะกินได้นะ ”

“กินไปแล้ว...”

“แต่ดันเอาโยเกิร์ตราดหน้าสลัดแทนครีมน่ะสิ!! หมอนี่น่ะเป็นโยเกิร์ตมาเนียร์ไปแล้ว”

ผีสาวชี้หน้าไอดอลหนุ่ม หยางเล่ยรู้ทันทีว่าเพื่อนของเขาจงใจแกล้งหล่อนเห็นๆ เพราะหลี่เซี่ยเฟยทำอาหารเก่งใช่ย่อย แค่จัดการทำอาหารลดความอ้วนให้ดูน่ากินและไม่เพิ่มแคลลอรี่มากนักไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขาเลย

“ฉันอยากกินอาหารรสชาติอื่นบ้าง นอกจากจืดๆ แหยะๆ ขอร้องนะแพทน้า...” หล่อนอ้อนวอน

“เวสช่วยฉันพูดหน่อยสิ....ไม่งั้นฉันต้องกลายเป็นผีโยเกิร์ตไปจริงๆ แน่ๆ เลย”

“หลังคอนเสิร์ตจะพาไปกินให้เต็มคราบเลยน่า...อย่าร้องไห้สิ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเขาร้องไห้เพราะอดกินหรอกนะ”

“ฉันไม่ใช่คนนี่....ฉันเป็นผีไม่เป็นไรหรอกน่า....ฮือๆๆ” แล้วเจ้าหล่อนก็นั่งแผละลงมาบนเก้าอี้ก่อนจะฟุบหน้าลงกับต้นแขนของชายหนุ่ม

“สงสารฉันหน่อยสิ....ปกติเธอใจดีกับฉันจะตายไม่ใช่เหรอ?”

“ใจดีจนฉันจะถูกพี่ไมค์ฆ่าตายเพราะอ้วนนี่แหละ....”

“แพท...สักมื้อเหอะ....ฉันช่วยปิดเองไม่บอกพี่ไมค์หรอก เรานึ่งปลากินกันก็ได้ ปลาไม่อ้วนนี่” หยางเล่ยเสนอความคิดขึ้นมาด้วยรู้สึกเห็นใจผีสาว

“ใช่ๆ ปลาๆ”

“แต่ในตู้เย็นไม่มีปลาเลย....” ฟังจบผีสาวก็ฟุบโต๊ะสลบไปอีกรอบ

“เออน่า....อย่าเพิ่งสลบสิ เดี๋ยวไปดูก่อนรู้สึกบ้านที่เมืองไทยจะส่งอะไรมาให้อาจจะมีอะไรดีๆ ให้กินก็ได้นะ” ฟังว่าอาหารจากเมืองไทยสไบนางกระเด้งขึ้นมาทัน

“เอามาดูเดี๋ยวนี้เลย!!”

ทั้งสามรีบพากันที่ห้องนั่งเล่นแกะกล่องดูด้วยความตื่นเต้น ในกล่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ใบหน้าบรรจุไปด้วยกระปุกพลาสติกฝาสีชมพู กับห่อเล็กห่อน้อยอีกหลายห่อ หลี่เซี่ยเฟยยกเอากระปุกนั้นขึ้นมาดูแล้วอุทานออกมา

“กะปิ!!”

“.....ฉันเชื่อแล้วว่าบ้านนายเป็นโรงงานทำกะปิ อุตส่าห์ส่งกะปิมาถึงไต้หวัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วมีอะไรอีกน่ะ?”

“อันนี้กุ้งแห้ง...แล้วนี่ก็พริกขี้หนู แล้วนี่....มะนาว ว้าว..ทำหน้าพริกได้เลยนะนี่”

“น้ำพริกที่เผ็ดๆ กินกับไข่เขียวๆ ใช่มั้ย?” หยางเล่ยหูผึ่งขึ้นมาอีกคน

“ใช่...นั่นเขาเรียกไข่ชะอม แต่เราไม่มีชะอมนี่หว่า งั้นแค่ทำน้ำพริก แล้วทอดไข่เจียว แล้วทำแกงจืดเพิ่มอีกอย่างแล้วกัน”

“แพทจะทำน้ำพริกเหรอ?”

ไม่รู้ว่าหล่อนดีใจที่จะได้กินอย่างอื่นนอกจากโยเกิร์ตเสียที หรือทึ่งที่ไอดอลหนุ่มจะตำน้ำพริกกันแน่ “นี่นายทำเป็นจริงๆ เหรอ?”

“ทำเป็นสิไม่เห็นยาก...”

“โอ้ยยยยยยย....ย ฉันอยากถ่ายรูปนายตอนนั่งกับพื้นตำน้ำพริกจิรงๆ ฮ่า ฮ่า รู้ไปถึงไหนดังไปถึงนั่นแน่ๆ แพท Vanilla Shade ตำน้ำพริก เหอ
เหอ” ชายหนุ่มรู้สึกว่าผีสาวนั้นออกอาการโอเวอร์เกินกว่าเหตุ

“พูดมากนักเดี๋ยวไม่ต้องกินเสียหรอก” ไอดอลหนุ่มชักเขินขึ้นมาบ้าง

“เฮ้ยๆๆ ไม่ได้นะฉันก็อยากกิน” หยางเล่ยรีบเกลี้ยกล่อมเพื่อนก่อนจะเปลี่ยนใจ

“อ๊ะๆๆ อย่าใจน้อยสิ แพทคนดีรูปหล่อที่สุดเลย ไปตำน้ำพริกเหอะไม่ล้อแล้ว” ถึงปากจะว่าอย่างนั้นแต่หล่อนก็ยังหัวเราะคิกคักไม่ยอมหยุดอยู่ดี


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


หลี่เซี่ยเฟยหายเข้าห้องครัวไปพักใหญ่ทิ้งให้สไบนางนั่งคุยกับหยางเล่ย โดยไม่ยอมให้ตามเข้าไปช่วยเพราะคนหนึ่งก็เป็นผี อีกคนก็ทำอาหารไม่เป็นเดี๋ยวจะกลายเป็นช่วยวุ่นวายเปล่าๆ ทว่าผีสาวกลับเอาเวลาว่างตอนรออาหารไปนั่งนินทาพ่อครัวเสียหมด

“เวส!! เราไปแอบถ่ายรูปแพทกันมั้ย? ”

“จะดีเหรอ? เดี๋ยวมันโกรธเอาหรอก”

“แต่รูปหายากแบบนั้นน่าเสียดายออกนะ”

ผีสาวยิ้มกริ่มหล่อนรู้ว่าหยางเล่ยก็คิดเหมือนหล่อนนั่นแหละ เพียงแต่
ทำทีเป็นปฏิเสธที่จริงคือรอให้ชักจูงมากกว่านี้เท่านั้นเอง

“งั้นค่อยๆ ย่องไปนะ ฮิ ฮิ”

“ปากก็ว่าเดี๋ยวแพทโกรธ แล้วนี่เอามือขึ้นมาเตรียมซูมเลยนะ”

หยางเล่ยฟังแล้วหัวเราะจนตาหยี โบกมือให้ผีสาวย่องนำหน้าไปดูลาดเลาก่อน จากนั้นตัวเขาจึงค่อยกระดึ๊บๆ ตามไปเงียบๆ สไบนางนั้นทำท่าลุ้นระทึกเต็มที่ราวกับเป็นตำรวจที่จะมาจับยาเสพติดก็ไม่ปาน แต่เมื่อยื่นหน้าเข้าไปในครัวแล้วก็ต้องร้องว้า...อย่างเสียดายออกมา

“ว้า....า...นึกว่าตำครกอยู่เสียอีก...เฮ้อ เสียเส้นเลย ทำไมใช้เครื่องปั่นล่ะไม่ใช้ครกแล้วมันจะได้รสชาติแบบแมนนวมเหรอ?” หลี่เซี่ยเฟยละสายตาจากการคุมเครื่องปั่นอาหารสดที่เขาใช้บดพริกแทนครก

“ที่นี่มีครกเสียที่ไหน?.....คิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วเวสยกมือถือขึ้นมาทำไม?” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลสะดุ้งโหยง ก่อนจะโผล่ออกมาจากที่ซอกประตู

“อ๋อ....นี่คิดจะถ่ายรูปฉันนั่งตำครกล่ะสิ....เสียใจด้วยนะ เฮอะๆ ”

“เปล่าสักหน่อย....ฉันแค่....จะถ่ายรูปนายกับว่านเป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง”

ว่าแล้วก็แสร้งถ่ายมันเสียเลย สิ้นเสียงชัตเตอร์...คนถ่ายกลับเป็นฝ่ายนิ่งเงียบแล้วเอาแต่จ้องมองบนจอมือถือจนสไบนางสงสัย

“มีอะไรเหรอเวส? ขอดูรูปหน่อยสิ”

“...ถ่ายไม่ติดว่านน่ะ....” หยางเล่ยส่งมือถือให้ทั้งสองดู ในจอภาพมีแต่หลี่เซี่ยเฟยคนเดียวเท่านั้น ส่วนมุมขวานั้นว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด

“ว่าแล้วเชียว....”

พ่อครัวจำเป็นชะโงกหน้ามาดูก่อนจะถอนหายใจ ในขณะที่ผีสาวมองรูปหน่อยแล้วกลับมีสีหน้าไม่สู้จะดีนัก สไบนางรู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงจิตวิญญาณอันว่างเปล่า แต่เมื่อมีหลักฐานปรากฏให้ดูเต็มตาแบบนี้กลับรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมา

“เป็นอะไรว่าน....”

“..........เปล่า.....” ความรู้สึกบางอย่างสะท้อนในอก เพียงแค่จะถ่ายรูปร่วมกับชายหนุ่มของง่ายๆ แค่นี้หล่อนกลับทำไม่ได้

“เปล่าได้ยังไง แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น? ” ชายหนุ่มถามไถ่ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยยิ่งนัก

“…..ก็....” ผีสาวช้อนนัยน์ตาอมทุกข์ขึ้นมาสบตาเขา ไอดอลรูปหล่อทั้งสองเห็นเข้ายังถูกแววตาเว้าวอนนั้นชักจูง

“ว่านอยากถ่ายรูปกับแพทใช่มั้ย?” หยางเล่ยเดาขึ้นมา “เมื่อกี้ไม่ทันตั้งตัวมั้ง ลองอีกทีก็แล้วกันนะ เดี๋ยวฉันถ่ายให้ใหม่”

“ไม่ต้องหรอกเวส....ฉันเป็นผีถ่ายยังไงก็ไม่ติดหรอก”

ชายหนุ่มทั้งสองเห็นท่าหงอยเหงาของหล่อนแล้วก็รู้สึกสงสารจับจิต
หลี่เซี่ยเฟยไม่รู้จะช่วยเรื่องนี้อย่างไรจึงได้แต่นิ่งเงียบ ส่วนหยางเล่ยพยายามชักจูงเธออีกครั้ง

“ลองใหม่อีกทีนะ....รับรองเลยว่าถ่ายติดแน่ๆ ถ้าไม่ติดฉันเลี้ยงหูฉลามเลยเอ้า!!”

“เห็นฉันเป็นอะไรชอบเอาของกินมาล่อกันอยู่เรื่อยเลย ” ผีสาวค่อยยิ้มออกบ้าง

“เอาน่าลองหน่อยก็ไม่เสียหาย ยังไงเราก็ได้กำไรอยู่แล้ว....กินหูฉลามฟรีเชียวนะ” หลี่เซี่ยเฟยถอดผ้ากันเปื้อนออก แล้วชักชวนหล่อนบ้าง

“ไปถ่ายที่ห้องรับแขกดีกว่า ถ่ายในครัว...แสงไม่ดีหรอกเมื่อกี้ถึงไม่ติดไง”

“แต่ว่า....”

ผีสาวเข้าใจดีว่าชายหนุ่มทั้งคู่พยายามปลอบโยนหล่อนยิ่งประโยคต่อมาที่หลี่เซี่ยเฟยกระซิบเข้าที่ข้างหู ยิ่งทำให้หล่อนแน่ใจจนนึกอยากซบแผ่นอกกว้างนั้นขึ้นมาเฉยๆ

“เดี๋ยวพอ...เวสมันจะถ่ายเธอก็แว๊บออกจากกล้องไปเลยนะ เราจะได้กินหูฉลามฟรีไง ขืนให้มันถ่ายติดล่ะก็อดแน่ๆ” สไบนางถึงค่อยยิ้มออกมาได้หล่อนรู้ดีว่านี่เป็นปลอบใจในแบบของหลี่เซี่ยเฟย

“นี่ไปนั่งกันเสียทีสิ จะได้ถ่ายสักที”

หยางเล่ยเร่งเพื่อน ผีสาวกับไอดอลหนุ่มจึงค่อยพากันไปที่โซฟา
หลี่เซี่ยเฟยนั่งลงเป็นคนแรกส่วนหยางเล่ยอ้อมไปทางด้านหลังของ
ชายหนุ่ม จากนั้นจึงใช้วงแขนทั้งสองข้างโอบรอบคอชายหนุ่ม

“OK ท่าสวย....เก๊กไว้ก่อนนะ” หยางเล่ยยืนนิ่งไปคล้ายว่ากำลังปรับเลนส์ ทำให้หลี่เซี่ยเฟยหัวเราะออกมา

“เอากะมันสิ....กล้องมือถือจะปรับอะไรนักหนาถ่ายๆ ไปเหอะ”

แต่ผีสาวไม่คิดเช่นนั้น เพราะสายตาหล่อนเห็นคลื่นเรืองแสงเป็นสีทองคล้ายใยไหมเบาบาง แผ่ออกมาจากร่างของหยางเล่ย แล้วก็ค่อยๆ ถ่ายเทเข้าไปที่โทรศัพท์ในมือ คล้ายว่ากำลังถ่ายพลังงานอยู่ก็ไม่ปานหากแต่...มีหล่อนเห็นอยู่คนเดียวเท่านั้น

“ชวู่....แพทอย่าส่งเสียงไปรบกวนสมาธิเขา”

“อะไร? ทำไม?” นัยน์ตาของผีสาวยังจับจ้องมองนิ่งอยู่ที่ร่างของหยางเล่ยไม่กระพริบตาจนชายข้างตัวหล่อนนึกแปลกใจ

“ไม่เห็นจริงๆเหรอ?.....เพื่อนนายคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว....คราวนี้เขาถ่ายรูปฉันติดแน่ๆ รับรอง”

“ทำไมมั่นใจขนาดนั้น?” หญิงสาวยังไม่ทันได้ตอบหยางเล่ยก็ตะโกนขึ้นมา

“แพทหันมา!! ยิ้มเร็ว” ทั้งสองจึงได้แต่เก๊กท่ายิ้มให้กล้อง....

“OK เรียบร้อย...ขออีกสักใบสองใบนะเผื่อพลาด”

คนถูกถ่ายพยักหน้ารีบตั้งท่าด้วยความว่องไวสมกับที่ถ่ายแบบมาเยอะ จากนั้นไม่นานนักหยางเล่ยก็คลี่ยิ้มให้เพื่อนทั้งสอง แล้วส่งมือถือให้พวกเขาดูกัน

“เป็นไง....เห็นมั้ยติดแล้ว? ฮะ ฮะ พวกนายอดกินหูฉลาม”

สไบนางยิ้มรับเก้อๆ แล้วรีบก้มลงไปดูรูปถ่าย แม้ว่าร่างของหล่อนในรูปจะโปร่งใสมองแล้วเลือนๆ ไปบ้างถ้าเทียบกับชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ รูปของหลี่เซี่ยเฟยดูคมชัดมากกว่า หากแต่รูปถ่ายของสไบนางก็ออกมาค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว

“เวส....ทำยังไงถึงถ่ายติด ?” หล่อนโพล่งถามขึ้นมา ชายหนุ่มยังทำตาแป๋วมองหล่อนกลับด้วยท่าทีงุนงงคล้ายว่าไม่เข้าใจคำถาม

“ก็เล็ง...นับ 1-2-3 แล้วกด...ก็เสร็จแล้วนี่? มีอะไรเหรอ?”

อาการแกล้งเซ่อยังแนบเนียนเหมือนเดิมผีสาวนึกชมในใจ แต่ไม่อยากเซ้าซี้ต่อเพราะแค่นี้เขาก็ช่วยเหลือเธอมากแล้ว บางทีอาจไม่สะดวกใจที่จะอธิบาย

“เวส....ฉันน่ะ.....”เดิมทีหล่อนอยากจะบอกเขาว่าหล่อนเห็นนะแสงเรืองรองที่ห่อหุ้มร่างเขาตอนที่จะถ่ายรูปแต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่พูดดีกว่า

“ขอบใจมากนะ...”

“ไม่เป็นไร”

หนุ่มผมสีน้ำตาลสบตาหล่อนแล้วยิ้มตอบอย่างเข้าใจความนัยซึ่งกันและกัน ทำให้หลี่เซี่ยเฟยที่มองดูอยู่นึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“มัวแต่ยิ้มกันอยู่นั่นแหละ....ถ่ายเสร็จแล้วก็โอนมาที่มือถือฉันสักทีสิ”

“ได้ๆ “ หยางเล่ยพยักหน้าทันทีแล้วจัดแจงตามที่เพื่อนขอ เครื่องโทรศัพท์สองเครื่องถูกดึงมาติดกันเพื่อส่งมวลสารทางอินฟาเรด


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


กลางดึกของค่ำคืนเดียวกันนั้นเองภายหลังที่หยางเล่ยกลับบ้านไปหลายชั่วโมงแล้ว สไบนางนั่งเอนกายพิงร่างสูงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้างกันบนโซฟา เขากับหล่อนกำลังดูโทรทัศน์ด้วยกันอยู่ หลี่เซี่ยเฟยกดรีโหมตเปลี่ยนช่องไปมาอยู่หลายครั้ง เมื่อไม่พบรายการใดถูกใจเลย จนผีสาวนึกแปลกใจท่าทางของหงุดหงิดของเขา

“เป็นอะไร? ถ้าไม่อยากดูแล้วไปนอนดีกว่ามั้ยดึกแล้วนะ? พรุ่งนี้มีคอนเสิร์ตไม่ใช่เหรอ?”

“มีตอนเย็น...นอกนั้นว่างจนถึงบ่าย 3 ”

“นี่....ฉันมีเรื่องจะบอก....” สไบนางอยากบอกเล่าสิ่งที่หล่อนเห็นจากร่างหยางเล่ยเมื่อตอนเขาถ่ายรูปให้ชายหนุ่มฟัง ทันทีที่เกริ่นขึ้นมาใบหน้านิ่วๆ ของหลี่เซี่ยเฟยคลายลงบ้างแล้วเอียงคอมามองหล่อนด้วยความแปลกใจ

“อย่าบอกนะว่าเธอหิวอีกแล้ว? ผักในกระเพาะฉันมันย่อยไปหมดแล้วหรือไง?”

“นี่ในสมองฉันไม่ได้มีแต่เรื่องกินนะยะ แต่บ่นหน่อยก็ดี....อุตส่าห์ทำน้ำพริกทั้งที....ดันกินแต่ผักลวก จิ้มน้ำพริก...เฮ้อ...”

“โทษทีนะ....ฉันมันอยู่ในภาวะลดน้ำหนักนี่ ทีหลังเธอก็หาคนสิงสู่ที่กินเก่งพอๆ กัน หรือกินเท่าไรก็ไม่อ้วนอย่างเวสจะดีกว่านะ เธอผิดเองที่มาเลือกฉัน”

“อะไรของนายน่ะ...ลดน้ำหนักจนประสาทหลอนหรือไง ถึงได้พาลนักน่ะ? ประสาทแท้ๆ”

“เธอว่าใครประสาท?!!”

“เอ๋า...ตรงนี้มีใครล่ะ? ฉันว่าพีพีมันมั้ง?” ผีสาวยียวนกลับ

“นี่เธอ!! สำนึกสักหน่อยสิ เธอมีที่อยู่ที่กินทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะฉันหรือไง อยากกินอะไรฉันก็ตามใจจนฉันจะอ้วนตายอยู่แล้วเนี่ย!!”

“ทำไมฉันต้องสำนึก?...หนอย...ทวงบุญคุณกันงั้นเหรอ? ลืมอะไรไปหรือเปล่าไม่ใช่นายหรือไงแพทฉันถึงต้องตาย เรื่องทุกวันนี้มันเป็นเรื่องที่นายต่างหากต้องทดแทนให้ฉันอยู่แล้ว.....งี่เง่า!! นี่ถ้าเป็นเวสเค้าคงไม่มาพูดกับฉันอย่างนี้หรอก เค้าน่ะเข้าใจผีๆ อย่างฉันดีกว่านายเสียอีก”

“ใช่สิ...เวสดีกว่าฉันทุกอย่าง แล้วทำไมไม่ไปอยู่กับเวสเสียเลยล่ะ? หมอนั่นเอ๋อขนาดนั้นยังเอาตัวเองไม่รอดด้วยซ้ำ...โธ่เอ้ย!!”

“คนที่ตาเซ่อน่ะมันนายต่างหาก....เวสน่ะ...ไม่ได้เอ๋อๆ อย่างที่นายเห็นหรอกนะ เพื่อนนายน่ะคมในฝัก ที่ถ่ายรูปติดวันนี้เพราะหมอนั่นถ่ายกระแสจิตใส่กล้อง ลองเป็นตัวเองเหอะทำได้หรือเปล่ามาทำคุยอีโธ่เอ้ย!!”

“ใช่ฉันทำไม่ได้....ฉันมันแค่คนธรรมดาที่บังเอิญเห็นผีนี่ ไม่ได้มีบรรพบุรุษเป็นหยินหยางซือที่บ้านแค่ทำโรงงานกะปิ แต่พลังแบบนั้นมันจำเป็นกับชีวิตประจำวันที่ไหนเล่า มันทำให้หมอนั่นติงต็องต่างหาก แล้วผีอย่างเธอน่ะใครเขาจะไปเห็นกัน คิดให้ดีสิถ้าไม่มีฉันเธอก็เป็นได้แค่ผีจรจัด...ฮึ ” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากออกมาก่อนจะนั่งเชิดหน้ากอดอก

“นายว่า...ผีจรจัดใช่มั้ย?”

“ใช่....ฉันเลี้ยงเธอเอาบุญ คิดว่าเลี้ยงแมวเพิ่มอีกตัวไง !!”

“…..เลี้ยงเอาบุญใช่มั้ย ได้ฉันจะให้นายได้บุญเต็มๆ ” ผีสาวผุดลุกขึ้นยืนเต็มตัวด้วยความโกรธจัด

“ไม่ต้องหรอก...แค่นี้ฉันก็มีบุญเหลือเฟือแล้ว ถึงชื่อบุญถึงไงล่ะ....เธอน่ะอยู่เฉยๆ ไปเหอะเจียมเนื้อเจียมตัวหน่อย เป็นแค่ผู้อาศัยที่ฉันจำยอมให้อยู่ด้วยแท้ๆ ทำฉันเดือดร้อนสารพัด รู้มั้ยตอนนี้คนอื่นเขาว่าฉันบ้าชอบพูดคนเดียวไปแล้ว ก็เพราะเธอนั่นแหละ”

“อ้อ...ฉันแค่คนอาศัยเท่านั้นใช่มั้ย? ใช่สิฉันทำให้นายเดือดร้อน....แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะนายทำให้ฉันตายเหรอ? แล้วเวสมาเป็นเพื่อนกับฉันนี่ไม่พอใจมากใช่มั้ย?ที่ฉันมีเพื่อนน่ะ ”

“ใครว่าฉันไม่พอใจที่เธอมีเพื่อน....แต่อยากเตือนไว้หน่อยเท่านั้นเอง ว่ายังไงเธอก็เป็นแค่ผี….อย่าไปให้ความหวังเวสดีกว่าหมอนั่นยิ่งใจอ่อนง่ายๆ อยู่ด้วย....จะให้เขามีแฟนเป็นผีหรือไง?”

“แพท!! นายว่าฉันให้ท่าเวสงั้นเหรอ?”

“….เปล่านี่....แต่ถ้าเธอจะตีความหมายว่าฉันพูดอย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้….คนหนึ่งเห็นผี อีกคนก็เป็นผี ดูๆ ไปก็เหมาะกันดีนะ...พยายามหน่อยก็แล้วกันคู่แข่งเธอเยอะบอกไว้ก่อน”

ใบหน้านิ่งเฉยนั้นมีแววเยาะเย้ยอยู่ในสายตา หลี่เซี่ยเฟยยามปกติแม้จะไม่ใช่คนพูดจาหวานๆ แต่ไม่เคยพูดทำร้ายจิตใจหล่อนถึงเพียงนี้

“แพท!! มันมากไปแล้วน้าาา....า”

หล่อนกรีดร้องออกมาเสียงแหลมออกมาดังลั่นบ้าน ทุกอย่างรอบตัวพากันสั่นไหวราวกับมีมือยักษ์มาจับห้องทั้งห้องเขย่าไปมา ดวงไฟที่เปิดสว่างเมื่อแรกก็พร้อมใจกันกระพริบวิบวับทุกดวง เจ้าเหมียวสองตัวเห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าไปหลบซ่อนในห้องนอนทันที

“ว่าน....หยุด!!”

“ฉันไม่หยุดดดดด!! กรี๊ดดดดดดดดดดด...ด”

ผีสาวกรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ น้ำใสจากดวงตาก็ไหลปริ่มออกมาจนนองหน้า ข้าวของในห้องพร้อมใจกันปลิวว่อนไปหมด ทั้งทางซ้ายและทางขวาบินสลับกันเหมือนมีใครจับโยนไปมาอยู่คนละข้าง

“ว่าน!! ใจเย็นๆ แว๊ก!” ไอดอลหนุ่มพูดได้แค่นั้นก็ต้องรีบก้มศีรษะหลบหนังสือที่ลอยมาปะทะเขาไปอย่างหวุดหวิด

“ว่าน...ฉันไม่ตั้งใจพูดอย่างนั้น...ฉันแค่….”

ผีสาวลอยตัวขึ้นกลางห้องไม่รับฟังคำแก้ตัวของเขา ใบหน้านั้นขาวจนแทบเรืองแรงรัศมีสีฟ้าแผ่ออกมารอบตัวราวกับกระแสไฟฟ้าทั้งหมดจะไหลมารวมกันที่หล่อน

“ไม่ต้องมาแก้ตัว!!”

นาฬิกาแขวนฝนังและข้าวของที่ตั้งโชว์ไว้บนโต๊ะ และมุมต่างๆ ของห้องทนแรงสั่นสะเทือนไม่ได้ทยอยหล่นลงมาบนพื้น เสียงสิ่งของแตกหักดังไม่ขาดระยะ หลี่เซี่ยเฟยพะว้าพะวงไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่คิดว่าพูดออกไปด้วยอารมณ์ประชดแค่นั้นจะทำให้หล่อนเสียใจถึงเพียงนี้

“ใช่ฉันตั้งใจพูด!! ก็ได้ฉันยอมรับแต่ที่ฉันพูดแบบนั้นเพราะว่า.....”

ชายหนุ่มดูยังพูดไม่จบประโยคก็เงียบไปเพราะยังไม่อยากให้บางอย่างในใจหลุดออกไปถึงหล่อน แต่สไบนางเข้าใจไปว่าเขานึกคำแก้ตัวไม่ออกจึงได้แต่เงียบ ยิ่งทำให้หล่อนโมโหหน้ามืดเข้าไปอีก เมื่อไม่มีแม้แต่คำปลอบโยนออกจากปากชายหนุ่มพายุหมุนในห้องทำงานเร็วขึ้น จากห้องหนึ่งลามไปอีกห้องหนึ่งเหมือนโรคระบาด เสียงจานชามที่ตากไว้บนที่เรียงจานใกล้อ่างล้างจาน หล่นลงมาแตกทั้งแผงเหมือนมีใครใช้มือกวาดทุกอย่างบนเค้าท์เตอร์นั่นลงมาทั้งหมด ยิ่งทำให้หลี่เซี่ยเฟยร้อนใจจำต้องพูดสิ่งที่ปิดปังไว้ออกมา

“เพล้งๆๆ ”

“ว่านนนนนนน !! ” ชายหนุ่มตัดสินใจตะโกนแข่งกับเสียงจานที่หล่นมาแตก “ฉันพูดแบบนั้นเพราะว่า......ฉันหึงเธอ!! ฉันชอบเธอได้ยินมั้ย?”

ฉับพลันนั้นเองกาต้มน้ำร้อนบนเตาทำงานเองเหมือนโดนเร่งอุณหภูมิจนถึงจุดเดือดส่งเสียงแหลมราวนกหวีดออกมา หลี่เซี่ยเฟยตกใจหันกลับไปดูต้นเสียง ไม่ทันได้ระวังเอนไซโครพิเดียร์เล่มหนาที่ลอยตรงดิ่งเข้ามาหา

“โอ้ยยยย!!”

ด้วยขนาดและน้ำหนักของมันเมื่อกระแทกเข้ากับศีรษะของชายหนุ่มโดยที่เจ้าตัวมิทันได้หลบ ผลก็คือส่งให้ร่างสูงนั้นลงไปนอนกองกับพื้นทันที

“เมื่อกี้ว่าไงนะ!! หึงฉันเหรอ? นี่นาย.....?”

สไบนางเพิ่งได้สติเมื่อสักครู่หล่อนได้ยินคำพูดบางอย่างลอยแว่วเข้ามาในขณะที่โมหะครอบงำสติหล่อนอยู่ เมื่อรู้สึกตัวจึงค่อยลดระดับพลังลงจนห้องที่เมื่อสักครู่คล้ายว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมานิ่งสนิทลงทันที ข้าวของที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศพากันล่วงหล่นลงมา ดวงไฟกระพริบติดๆ ดับๆ ค่อยเปิดสว่างขึ้นทุกดวง

“นี่จะบอกว่าชอบฉันก็เลยหึงเวสงั้นเหรอ?”

ผีสาวทวนคำเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินมา แต่เมื่อจะหันไปคาดคั้นเจ้าตัวพ่อบุญถึงก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไปเสียแล้ว

“ตายแล้ว!! แพทททททททททท” หล่อนรีบลอยละลิ่วไปหาร่างสูงที่นอนพังพาบคว่ำหน้าอยู่บนพื้นทันทีแล้วส่งเสียงเรียกเป็นการใหญ่

“แพทๆๆๆๆๆ เป็นอะไรหรือเปล่า? เธอเจ็บตรงไหน? ทำไงดีล่ะสลบไปจริงๆ เหรอเนี่ย? ” ผีสาวเขย่าตัวเขาอยู่ครู่ใหญ่แต่ร่างนั้นไม่ไหวติงเมื่อลูบศีรษะดูก็ปรากฏว่ามีเลือดซึมออกมาจากขมับเล็กน้อย

“แพท! ฉันขอโทษฉันไม่ได้ตั้งใจ อย่าเป็นอะไรไปนะ”

ผีสาวร่ำไห้ออกมาอีกหน แต่คราวนี้น้ำนัยน์ตาที่ไหลออกมานี้ ไม่ได้เป็นเพราะความโกรธจนเกินเก็บกลั้น แต่เป็นความเศร้าโศกและตำหนิตัวเองอย่างที่สุด หล่อนไม่น่าใช้อารมณ์กับเขาอย่างนี้เลย


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สไบนางนั่งเฝ้าร่างหมดสตินั้นอยู่ครู่ใหญ่แต่ไม่มีวี่แววว่าหลี่เซี่ยเฟยจะฟื้นขึ้นมาเลย ร้องเรียกเท่าไรเจ้าของร่างก็ไม่รู้สึกตัวคล้ายกับว่าร่างนี้ว่างเปล่าไร้วิญญาณ แค่คิดมาถึงตรงนี้หล่อนก็ใจหายวาบน้ำตาไหลออกมาอีกยกใหญ่ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แต่จะมัวมานั่งรอให้หลี่เซี่ยเฟยฟื้นเองก็ดูไม่น่าไว้วางใจในอาการ หากชายหนุ่มเป็นอะไรไปมากกว่าบาดแผลที่เห็นนี่เล่า เมื่อคิดได้อย่างนั้นผีสาวจึงโทรหาหยางเล่ยทันที

เสียงโทรศัพท์ดังอยู่พักใหญ่แต่เจ้าของเครื่องยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องราว จนกระทั่งมันดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าหยางเล่ยจึงค่อยงัวเงียขึ้นมารับสาย

“เหวย....ครายย...น่ะ” เสียงยานคางนั้นตอบกลับมาผีสาวดีใจจนต้องตะโกนออกไป

“เวสสสสสส....ฮือๆๆ ช่วยด้วย...แพท แพทแย่แล้ว!! ฮือๆๆ “

หยางเล่ยแม้ยังไม่ตื่นเต็มตาแต่ก็จำได้ดีว่าเสียงหญิงสาวที่สะอื้นไห้อยู่นั้นเป็นสไบนาง จึงค่อยลืมตาเต็มที่

“ว่านเหรอ? เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม?”

“แพท...แพทแย่แล้ว เขาไม่ขยับเลยเลือดออกด้วย ฉัน...ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี “

“หา?!! แพทเป็นอะไร แล้วทำไม? เกิดอะไรขึ้นน่ะ? “

“ฉัน..ฉันไม่ตั้งใจ เขาทำฉันโกรธ เขาว่าฉันแรงๆ หาว่าฉันให้ท่าเธอ ฉันก็เลย...ฮือๆๆๆ “

“ว่าไงนะ? มันหาว่าให้ท่าฉันเหรอ? มันบ้าหรือเปล่า? “ หยางเล่ยฟังแล้วตกใจไม่แพ้กันจึงตะโกนตอบสไบนางไป

“เขาบอกว่าเขาหึงฉัน....เขาชอบฉันก็เลยหึงเธอ” จากนั้นผีสาวก็เงียบไปได้คงได้ยินแต่เสียงสะอึกสะอื้นของเธอดังแว่วๆ มา

“ว่านใจเย็นๆ นะ ตกลงเขาหึงเธอก็เลยพูดไม่ดีแล้วเธอโมโหเลยเล่นงานเขาใช่มั้ย? แล้วตอนนี้แพทเป็นยังไง?”

“ฉะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ”

“ไม่เป็นไรใจเย็นนะ...ฉันรู้ว่านไม่มีทางทำอันตรายแพทหรอก เธอแค่โมโหเท่านั้นเอง”

เรื่องนี้หยางเล่ยรู้อยู่แก่ใจมานานแล้ว มิเช่นนั้นหลี่เซี่ยเฟยไม่มีทางมีชีวิตรอดอมาจนป่านนี้หรอกหากผีสาวตั้งใจจะเอาชีวิตเขาจริงๆ ล่ะก็

“แพท...สลบไปแล้ว เขาเลือดออกด้วย....เวสช่วยแพทด้วยนะ ฮือ...
ฉันเรียกยังไงเขาก็ไม่ฟื้นทำไงดี ฮือๆๆ”

“OK ใจเย็นๆ นะว่าน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ เธอดูแลแพทไปก่อนนะ”

ผีสาวรับปากแต่ยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด จนเมื่อหยางเล่ยมาถึงเธอก็ยังนั่งร้องไห้อยู่ข้างตัวหลี่เซี่ยเฟยชายหนุ่มผมสีน้ำตาลพยุงร่างหมดสติของเพื่อนขึ้นมา

“อุ๊...หัวโนเป็นลูกเลย....”

“แพทเลือดออกด้วย....แพทจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า? ” หล่อนทำท่าจะเป็นลม

“เดี๋ยวดูก่อนนะ...อืม...เลือดหยุดแล้วล่ะ คงไม่เป็นไรมากหรอกเลือดไม่ได้ออกอะไรมากมาย สงสัยมุมหนังสือจะไปกระแทกถูกเลยถลอกน่ะ”

“ถ้าไม่เป็นไรมากทำไมแพทไม่ฟื้นสักทีล่ะ?” ผีสาวระร่ำระลักถามด้วยความเป็นห่วง

“ก็....หัวกระแทกแรงไปหน่อยมั้ง ปล่อยให้นอนไปอีกสักพักเดี๋ยวก็คงฟื้นเอง”

“พาไปหาหมอดีกว่ามั้ย?”

“อย่าดีกว่าเดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่ พรุ่งนี้มีคอนเสิร์ตด้วย” ว่าหยางเล่ยก็สอดมือเข้าไปใต้แขนร่างสูงใหญ่นั้นแล้วลากคนหมดสติมาใกล้โซฟา

“เวส!! ลากอย่างนั้นได้ยังไงเดี๋ยวแพทเจ็บหรอก ประคองได้มั้ย?”

“ประคองน่ะได้ถ้าหมอนี่ยังไม่สติอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ไหวหรอก...ขืนงัดขึ้นมาแบบนั้นจะโถมน้ำหนักใส่แล้วหัวทิ่มไปทั้งคู่น่ะสิ แถมถ้าทำหลุดมือไปจะแย่กว่าเดิมอีกนะ”

“งั้นไม่ต้องลากแล้ว เอาหมอนในห้องนอนมารองหัวเค้าก็พอให้นอนบนพื้นนี่แหละ หมอนๆๆ ผ้าห่มด้วยนะเวส”

ผีสาววิ่งเข้าไปเอาหมอนในห้องมา แต่เมื่อพบว่าตนเองหยิบจับอะไรไม่ติดมือเลยจึงค่อยนึกได้ว่าตนเป็นวิญญาณหยิบจับอะไรไม่มีทางติด

“เฮ้อออ...อ ในเวลาอย่างนี้ทำไมฉันต้องเป็นผีด้วยนะ แพทยิ่งแย่ๆ อยู่ โธ่เอ้ยๆๆ ”

“ใจเย็นๆ ว่าน ยิ่งใจร้อนเธอยิ่งรนนะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง” ไม่นานนักก็จัดให้หลี่เซี่ยเฟยนอนหลับพักผ่อนโดยนอนหนุนหมอนแล้วห่มผ้าให้บนพื้นนั่นเอง

“ทะเลาะกันอีท่าไหนเนี่ย? บ้านเละเทะอย่างกับเกิดแผ่นดินไหว?” หยางเล่ยมองสำรวจไปทั่วห้องแล้วบ่นออกมา

“ก็ตอนนั้นฉันกำลังโมโห....เขาทำฉันโกรธมากเลยนะ คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ปากจัดชะมัดเลย!!”

“อ่ะนะ.....” หยางเล่ยยกมือขึ้นเกาศีรษะแบบปลงๆ “ฉันว่าเรามาทำความสะอาดกันก่อนดีกว่ามั้ย? เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ซิงมารับตกใจแย่เลย”

“ได้....แต่ว่า แพทไม่เป็นไรแล้วจริงๆ นะ”

“อื้อ....อย่ากังวลสิ”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะเธอเบาๆ แม้จะสัมผัสกันไม่ได้แต่ก็รู้สึกได้ถึงมิตรภาพที่ถ่ายทอดมากับฝ่ามืออบอุ่นข้างนั้น ความกังวลในใจของสไบนางจึงได้คลี่คลายลงบ้าง คราวนี้น้ำตาของหล่อนไหลออกมาเพราะความโล่งใจและนึกดีใจที่ยามคับขันแบบนี้ยังมีหยางเล่ยอยู่เป็นเพื่อน

“อย่าร้องไห้สิว่าน...แพทไม่เป็นไรแล้วจริงๆ เดี๋ยวเค้าตื่นมาเห็นเข้าจะนึกว่าฉันรังแกเธอหรอก”

“เวส....ขอบใจนะ”

“ยิ้มหน่อยสิ...มีผู้หญิงที่ไหนถูกผู้ชายบอกรักแล้วร้องไห้อยู่นั่นแหละ หือ?”

“ก็....ก็....แล้วมีผู้หญิงที่ไหนเอาของปาผู้ชายที่บอกรักตัวเองจนสลบอย่างฉันบ้างล่ะ โฮ....แพทตื่นขึ้นมาต้องโกรธแหงๆ เปลี่ยนใจไม่รักแล้วด้วยแน่ๆ เลย”

“โธ่...เอ้ย นี่เธอกังวลเรื่องนี้อยู่เองหรอกเหรอ? แล้วตกลงรักแพทบ้างหรือเปล่าเนี่ย?” ผีสาวชะงักไปก่อนจะช้อนดวงตาปริ่มน้ำขึ้นมองคนตรงหน้า

“ทำไมฉันต้องบอกนายด้วยล่ะ?”

“อ้าว? คนอุตส่าห์ช่วย...”

“ช่วยก็ส่วนช่วยสิ...ไม่เห็นเกี่ยวกัน รอแพทถามเองอีกทีแล้วฉันจะตอบเค้า เรื่องอะไรฉันต้องบอกคนอื่นก่อนเค้าล่ะ.....อีกอย่างถ้าหมอนั่นฟื้นขึ้นมาแล้วลืมไปว่าพูดอะไรบ้าง...ก็กลายเป็นฉันโมเมข้างเดียวสิ” ผีสาวปาดน้ำตาลวกๆ ภาพของสาวน้อยเจ้าน้ำตาเมื่อสักครู่มลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือแต่สไบนางผีสาวก๋ากั่นคนเดิม ทำเอาหยางเล่ยที่อุตส่าห์รอลุ้นบ่นอุบ

“ว้า.....”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


อ่านต่อตอนหน้าค่ะ




 

Create Date : 27 มกราคม 2549
1 comments
Last Update : 3 มิถุนายน 2552 0:30:29 น.
Counter : 569 Pageviews.

 

สนุกมากๆค่ะ

 

โดย: Rin IP: 61.91.78.87 3 กุมภาพันธ์ 2549 2:10:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.