ผจญภัยทะเลทราย"ดูไบ"
นั่งเรือข้ามแม่น้ำดูไบครีก"ดูไบ" เมืองสำคัญแห่งอาหรับเอมิเรตส์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองอันน่าอัศจรรย์ที่มนุษย์เนรมิตขึ้น ดูมีความทันสมัยไฮโซ แต่กระนั้นดูไบก็ยังมีย่านเมืองเก่า (Dubai Old Town) ให้เที่ยวชมกัน เมืองเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ "ดูไบ ครีก" (Dubai Creek) แม่น้ำสายสำคัญ ที่แต่เดิมเป็นเส้นทางการค้าขายสินค้าของยูเออีไปยังเอเชียตะวันออก โดยสินค้าจะมาขนถ่ายกันที่ท่าเรือเพื่อนำไปยังเรือสินค้าใหญ่อีกที แม่น้ำดูไบครีกนี้เองทำให้ดูไบแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ได้แก่ฝั่งเดรา (Deira) และฝั่งเบอร์ ดูไบ (Bur Dubai)ซึ่งเป็นฝั่งเมืองเก่าที่มีวิถีชีวิตอีกแบบแตกต่างจากในเมืองลิบลับเครื่องเทศนานาชนิดในตลาดเครื่องเทศ ความมีชีวิตชีวาของเมืองเก่าแห่งนี้ ดูได้ง่าย ๆ ในบริเวณท่าเรือที่ผู้คนยังสัญจรไปมาด้วย Abra เรือข้ามฟากที่ทำจากไม้ หรือดูที่ตลาดหรือ Souk โดยจากท่าเรือเดินไปไม่ไกลก็จะเจอ "ตลาดเครื่องเทศ" (Spice Souk) ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปภายในย่านตลาดก็แทบไม่ต้องบอกกันเลยว่าขายอะไร เพราะกลิ่นของเครื่องเทศและเครื่องปรุงของชาวอาหรับนานาชนิด ตลบอบอวนเป็นที่ยิ่ง แบบที่เราคุ้นเคยกันดีก็เช่น กานพลู กระวาน อบเชย ส่วนที่ไม่คุ้นทั้งรูปร่างและกลิ่นก็มีเยอะ รวมไปถึงพวกกำยาน ผลไม้แห้งและถั่วชนิดต่าง ๆ รวมถึงของที่ระลึกและระทึกอาทิ ที่สูบชิชาหลากหลายขนาดก็มีวางขายให้เห็นมากมาย เพลิดเพลินกับข้าวของในซุกเครื่องเทศแล้ว เดินเข้าซอยเลาะ ๆ ไปไม่ไกล พวกเราก็มาเจอะกับ "ตลาดทอง" (Gold Souk) ฉันเห็นแล้วลมแทบจับ เพราะนอกจากจะต้องทนกับอากาศร้อนอบจนหายใจไม่ค่อยสะดวกแล้ว ยังมาเจอกับความยิบยับวับวาวของทองรูปพรรณมากมายที่สะท้อนแสงเข้าตาเหมือนจะเชื้อเชิญให้พวกเราแวะเวียนเข้าไปชมทองอร่ามในตู้โชว์หน้าร้านในตลาดทองที่ใหญ่ที่สุดหน้าร้านแต่ละร้านมีทองอร่ามสวยแสบตาอยู่ในตู้โชว์ ทั้งทองรูปพรรณในรูปแบบของสร้อยคอ กำไล ต่างหู แหวน มีมากมายลวดลายดูแล้วออกแขกๆ ละเอียดสวยงาม นอกจากทองแล้วที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายเพชร และอัญมณีมีค่าอื่น ๆ อีกด้วย ส่วนราคาทองที่นี่ก็ไม่เหมือนบ้านเราตรงที่คิดกันตามน้ำหนัก แต่ของเราจะคิดตามน้ำหนักบวกค่ากำเหน็จตามความยากง่ายของงานจึงทำให้ดูเหมือนว่าทองที่นี่จะถูกกว่าบ้านเรา ใครที่มาดูไบต้องไม่พลาด เพราะเขาว่าตลาดทองที่นี่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกกลางเลยทีเดียว ดูของสวยๆ งามๆ จนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว สถานที่ต่อไปจะทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงความเป็นมาเป็นไป ตั้งแต่อดีตของเมืองดูไบกันก็คือ "พิพิธภัณฑ์ดูไบ" (Dubai Museum) ซึ่งจัดแสดงอยู่ในป้อมปราการอัลฟาฮิดิ (Al Fahidi)ป้อมปราการอัลฟาฮิดิกลายเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ดูไบเมื่อปี 2514 ป้อมอัลฟาฮิดินี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี 1787 เพื่อป้องกันเมืองจากภัยคุกคาม และในปี 1971 ป้อมปราการแห่งนี้ก็ได้รับการบูรณะและจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ เมื่อเข้ามาในเขตป้อมแล้วฉันนึกกระหยิ่มในใจ นี่หรือพิพิธภัณฑ์ของเมืองดูไบ เล็กนิดเดียวมีเรือ มีปืนใหญ่จัดโชว์อยู่ไม่กี่ชิ้น หน้ากระทรวงกลาโหมบ้านเรายังมีปืนใหญ่มากกว่าตั้งแยะ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พาพวกเราเดินชมพร้อมทั้งอธิบายว่า การจัดแสดงตรงส่วนนี้ แสดงเกี่ยวกับชีวิตในสมัยก่อนของชาวเอมิเรตส์สมัยที่ยังไม่พบน้ำมัน ชาวพื้นเมืองมีอาชีพประมง อย่าเพิ่งสงสัยว่าประเทศเขาเป็นทะเลทรายจะประมงอย่างไร เพราะแม้จะเป็นทะเลทรายแต่ก็มีภูมิประเทศติดทะเลด้วย โดยเรือที่จัดแสดงไว้เป็นเรือในสมัยก่อนที่ใช้ออกทะเลหาปลา งมหอยมุก ซึ่งในสมัยก่อนใช่ว่าจะงมหอยมุกกันได้ง่ายๆ เขาต้องใช้เชือกผูกขาบีบจมูกกลั้นหายใจแล้วดำลงไปงมหอยมุกให้ เพื่อที่อยู่บนเรือนับ 1-10 แล้วดึงเชือกขึ้นมา ฟังดูแล้วยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะได้มา นอกจากนี้ยังมีการจำลองบ้านของชาวอาหรับโบราณที่บนหลังคาจะมีลักษณะแบบเปิด รับลมเข้าในตัวบ้านชั้นใต้ดินในพิพิธภัณฑ์ดูไบจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาวดูไบ ทางด้านปีกขวาภายในกำแพงป้อมที่จัดแสดงอาวุธ และเครื่องแต่งกายนักรบในสมัยก่อน ด้านปีกซ้ายก็จัดแสดงอาวุธและอุปกรณ์ในสมัยก่อน ส่วนชั้นใต้ดินมีวีดิทัศน์เล่าเรื่องราวตั้งแต่ครั้งอดีตจนปัจจุบันมีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ โดยใช้หุ่นขี้ผึ้งจำลองเป็นเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นชนเผ่าเบดูอินร่อนเร่พเนจรกลางทะเลทราย สมัยยังไม่เจอบ่อน้ำมัน จนมาสมัยขุดเจอน้ำมันถึงปัจจุบัน หลังชมความเป็นดูไบกันอย่างลึกซึ่งในพิพิธภัณฑ์กันไปแล้ว ต่อมาฉันมาแวะที่ "สุเหร่าจูไมร่า" (Jumeirah Mosque) สุเหร่าคู่บ้านคู่เมืองของชาวดูไบกันบ้าง สุเหร่านี้มองจากภายนอกดูสวยสง่าด้วยการสร้างที่ใช้หินอ่อนทั้งหลังและยังได้ชื่อว่าเป็นสุเหร่าที่สวยงามที่สุดในแถบนี้อีกด้วยสุเหร่าจูไมร่าที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในละแวกนี้ เที่ยวกันมาหลายที่แล้ว ทีนี้ก็มาถึงไฮไลท์แห่งดูไบด้วยการตะลุยทะเลทราย โดยรถ 4WD ขับเคลื่อน 4 ล้อ พาเราหันหลังให้เมืองมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายของแท้ เพื่อไปร่วมเล่นกิจกรรม "ผจญภัยในทะเลทราย" (Dessert Safari and Dune Dinner) จากตัวเมืองดูไบประมาณ 1.30 ชม.ฉันมาถึงยังทะเลทรายที่มองไปทางไหนก็ดูเวิ้งว้างรถ 4WD จอดกลางทะเลทรายให้เราลงไปชมฟาร์มอูฐ พอเปิดประตูรถเท่านั้น โอ๊ว..แม่เจ้า โค-ตะ-ระ อภิมหาร้อนเลยทีเดียว ฉันว่าในเมืองยามอยู่นอกอาคารร้อนแล้วแต่นี่แบบว่าสุด ๆ ไปเลย แต่เอ๊า..ในเมื่อมาแล้วฉันก็พร้อมที่จะสู้กับแดดและความร้อนเยี่ยงตู้อบ 50 องศานี้ ระหว่างที่พวกเราถ่ายรูปกะน้องอูฐด้วยความตื่นเต้น พี่คนขับซึ่งหน้าตาละม้ายคล้าย วิลล์ สมิทธ์ ก็ปล่อยยางรถทั้ง 4 ล้อเพื่อเตรียมพร้อมจะพาพวกเราตะลุยทะเลทรายกัน ก่อนที่จะเข้าสู่การผจญภัยพ่อวิลล์ สมิทธ์ หันมาถามพวกเราว่า "Are you ready?"Yes!! พวกเราตอบกันอย่างพร้อมเพียงเต็มปากเต็มคำด้วยท่าทีคึกคักเต็มกำลังรถ 4WD ขับผจญภัยในทะเลทราย แต่พวกเราไม่ได้รู้เลยว่ากำลังจะเจอกับอะไร ทะเลทรายที่ดูราบเรียบสุดลูกหูลูกตานั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เรียบอย่างที่คิด มันเต็มไปด้วยลูกคลื่น สันทราย เนินทราย ภูเขาทราย สูงต่ำลาดชันสันเหลี่ยมแตกต่างกันมากมายหลายร้อยลูก พ่อวิลล์ สมิทธ์ ของเราขับนำขบวนรถอีกหลายคันแบบห่าง ๆ เริ่มต้นด้วยสันทรายแบบเบบี๋ ๆ พวกเราก็อึกอักส่ายสะบัดหัวกันเล็กน้อย ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันเป็นพิธี พ่อวิลล์ สมิทธ์เห็นเราสนุกกันก็เริ่มขับรถแบบฉวัดเฉวียงสวิงสวายมากขึ้น ปีนแนวสันทรายที่ลาดชัดสูงต่ำเยอะขึ้นเรื่อย ๆ คราวนี้เสียงกรี๊ดของเราไม่ใช่เสียงหวีดร้องให้เข้าบรรยากาศแล้ว แต่เป็นเสียงกรี๊ดจากความหวาดเสียว เสียวท้องกระเด้งกระดอนกันจนแทบอ้วก ยิ่งกว่าเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกซะอีกอูฐทั้งเด็กและแก่มากมายที่ฟาร์มอูฐกลางทะเลทรายแต่เพื่อไม่ให้พวกเราคายอาหารใส่รถให้เลอะเทอะ จึงมีการจอดพักเป็นระยะ ๆ เพื่อให้พวกเราออกไปเดินเล่นถ่ายรูปในทะเลทราย จนลืมความร้อนกันไปเลย และก่อนที่การตะลุยทะเลทรายจะจบลงด้วยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ที่สุดท้ายที่พ่อวิลล์ สมิทธ์หยุดแวะพักก็เป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เอ๊ย!! ตกทะเลทรายพอดี ขอบอกว่าสวยโรแมนติกอย่าบอกใครเลยเชียวหละ หลังจากที่เรียงไส้เรียงตับม้ามกันใหม่แล้ว รถก็พาฉันไปถึงยังแคมป์กระโจมแบบอาหรับโบราณกลางทะเลทราย เพื่อกินอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์บาร์บีคิวปิ้งย่างกัน อาทิ สเต็กเนื้อแกะ เนื้อไก่ ข้าวเหลือง แผ่นแป้งอะไรซักอย่างแต่เคี้ยวแล้วก็เพลิน ๆ ดี แล้วก็เครื่องดื่มนานาชนิดพระอาทิตย์ตกดินที่ทะเลทราย ระหว่างรออาหารพร้อมภายในกระโจมซึ่งมีการเพ้นเฮนน่า แต่งกายชุดอาหรับถ่ายรูป แล้วก็มีชิชาบาลากู รสผลไม้เช่น รสแอปเปิ้ล รสเชอร์รี่ให้สูบกันเพลินๆ ด้วย ถือเป็นการต้อนรับของชาวอาหรับ และเมื่อพวกเรากินอาหารกันอย่างอิ่มท้องก็มีการแสดงระบำหน้าท้อง (Belly Dance) โดยสาวที่ไม่ใช่คนพื้นเมือง (เพราะข้อบังคับทางศาสนา) มีพุงพุ้ยๆ เล็กน้อย มาโชว์เต้นระบำหน้าท้องอย่างคึกคัก เรียกเสียงเฮฮาจากทั้งพวกเราชาวไทยและชาวต่างชาติได้ตลอดการแสดง เป็นการเที่ยวปิดทริปตะลุยดูไบ เมืองมหัศจรรย์ที่มีความหลากหลายอยู่ในตัวผ่อนคลายสบายๆ ที่แคมป์ ก่อนได้เวลา Dune Dinner * * * * * * * * * เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญของภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East) ภูมิอากาศมีลักษณะกึ่งเขตร้อนและแห้งแล้ง อุณหภูมิต่ำสุดคือเกือบ 10 องศาเซลเซียส ไปจนถึงที่ระดับ 50 องศาเซลเซียส เวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 3 ชั่วโมง ใช้เงินสกุล Dirham (dh) อัตราแลกเปลี่ยน 1dh ประมาณ 9 บาทกว่า มีสายการบินเอมิเรตส์บินตรงกรุงเทพฯ-ดูไบ โดย : จุชดานิน ที่มา : //www.manager.co.th