สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 

จุดเริ่มต้น "ฉันอยากเป็นนักข่าว"

ความทรงจำ

จำหลายเรื่องตอนยังเรียนอยู่ป.5 ได้แม่นมาก ก่อนหน้านั้นน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่จนวันนี้  เราจะสามารถเริ่มจดจำอดีตได้ตั้งแต่อายุเท่าไรกันนะ

ถ้าจุดบางจุดในชีวิตคนเรา ลากเส้นมาเจอกันได้ในที่สุด จากวันวานถึงวันนี้ สำหรับฉัน จุดแรกในอาชีพวันนี้เกิดขึ้นตอนอยู่ป.5

คุณครูให้พวกเราเขียนเรียงความหัวข้อ "ฉันอยากเป็นอะไร" พวกเราต้องไปยืนอ่านเรียงความของตนเองหน้าชั้นเรียน

ฉันอยากเป็น "นักข่าว"

"นักข่าว"ที่เป็นแรงบันดาลใจตอนเด็กๆ อยู่หน้าจอทีวี เป็นนักข่าวโทรทัศน์ ไม่ใช่นักข่าวหนังสือพิมพ์อย่างที่ฉันเป็น

ตอนเป็นเด็กฉันไม่รู้จักคำว่า "โรลโมเดล" role model แค่รู้สึกชื่นชอบชื่นชม พี่ๆ ทีมข่าวแปซิฟิค ชอบนั่งดูอ.สมเกียรติ อ่อนวิมล คุณอรุณโรจน์ เลี่ยมทอง คุณกรรณิกา ธรรมเกสร อ่านข่าว รู้สึกว่าการดูรายการข่าวเป็นเรื่องสนุก

แรงบันดาลใจในวันนั้นทำให้ฉันบอกกับตนเองและใครๆ เสมอมาตั้งแต่เป็นเด็กว่า อยากเป็นนักข่าว

ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับอาชีพนักข่าวมากกว่านั้น

พี่ๆ ทีมข่าวแปซิฟิคเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันชื่นชอบ ชื่นชมอาชีพนี้

แต่ความรักในการอ่านเริ่มต้นจากครอบครัว หนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและอังกฤษ พ็อกเก็ตบุ๊คสารพัด ดิกชั่นนารีอังกฤษบ้าง เยอรมันบ้างวางเปะปะไม่เป็นระเบียบอยู่ตามมุมโน้นมุมนี้ของบ้าน ป่าป๊านั่นเองที่เป็นนักอ่านตัวยง

ป่าป๊าสนับสนุนให้ลูกๆ อ่านหนังสือด้วยการพาไปร้านหนังสือบ่อยๆ ร้านที่สยามสแควร์เป็นร้านประจำ หนังสือที่ฉันซื้อเองสมัยโน้น หนีไม่พ้นนิทานอีสป นิยายไทยประมาณสังข์ทอง พลนิกรกิมหงวน และการ์ตูนโดเรมอน

จำไม่ได้ว่าเคยหยิบหนังสือของพ่อมาอ่านบ้างหรือเปล่า ไม่น่าจะเคย เพราะหนังสือภาษาไทยที่ป่าป๊าอ่านมักเป็นเรื่องแปลยาก ๆ "นักพนัน"ของดอสโคเยียพสกี ก็เป็นหนังสือของพ่อที่ฉันอ่านเมื่อโตมากแล้ว

ถึงจะรักการอ่านสักแค่ไหน แต่ความรู้สึกอยากเป็นนักเขียนกลับไม่แรงกล้าเท่า "นักข่าว"

เพราะอะไรกันนะ

 

 




 

Create Date : 08 เมษายน 2555    
Last Update : 8 เมษายน 2555 20:18:33 น.
Counter : 2051 Pageviews.  

"ทำใจ" สิ่งที่ได้จาก "น้ำ"(ท่วม)1

สิ่งที่ได้เรียนรู้1

จริงๆ การเลือกกรุ๊ปก่อนเขียนบล็อกก็ไม่ง่ายละ เพราะกรุ๊ปบล็อกนี้ ฉันตั้งเองว่า เรื่องเล็ก แต่ไม่คิดว่าเรื่องที่กำลังจะเขียนเป็นเรื่องเล็กสำหรับตัวเอง แต่ก็นะคงเล็กน้อยสำหรับคนอื่นๆ อีกเยอะแยะ โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่บางกรวย ไล่ไปตั้งแต่นายกเทศมนตรี สส.สท. สจ.บางกรวย ฯลฯ

เขียนเพื่อบันทึกความรู้สึกในช่วงที่ใครต่อใครเรียกสิ่งที่เรากำลังเผชิญนี้ว่า "มหาอุทกภัย2554"

อันที่จริง ฉันกับน้ำ (ท่วม)ไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคยกันสักเท่าไร เราเพิ่งมาทำความรู้จักกันจริงๆ จังๆ แบบไม่เต็มใจเมื่อปีที่แล้วนี่เอง

จริง ๆ ฉันและครอบครัวย้ายมาอยู่แถวนี้หลายปีแล้วเหมือนกันนะ 4-5ปี (มั้ง) แต่ก็อย่างที่บอกว่า ฉันกับ"น้ำ"เพิ่งทำความรู้จักกันเมื่อปีที่แล้ว

ซอยบ้านฉันเทียบกับซอยอื่นในหมู่บ้านจะค่อนข้างต่ำกว่า ทำให้เวลาฝนตกหนักๆ ทีไรน้ำจึงมักท่วมขัง แต่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยุบ ถือเป็นเรื่องปกติ

แต่ปีที่แล้วต่างออกไป บางครั้งกว่าน้ำจะยุบต้องใช้เวลาหลายวันทำให้ต้องขับรถมาจอดไว้แถบซอยที่น้ำไม่ท่วม แล้วใส่บูทเดินลุยน้ำออกมา บางวันต้องกะเวลาน้ำขึ้นน้ำลงดีๆ เพราะถ้าเข้าบ้านดึกเกินไปน้ำอาจขึ้นรมาใกล้เคียงระดับหัวเข่าทำให้บูทที่มีความยาวระดับเข่าอาจเอาไม่อยู่

แม้น้ำจะมีขึ้นลงตามการขึ้นการลงแต่น้ำบางส่วนท่วมขังมาเป็นอาทิตย์ ไม่ต้องพูดถึงความสกปรกจึงทุกลักทุเลไม่น้อยกับการเดินทาง

แต่ซอยอื่นๆ หรือหมู่บ้านใกล้เคียง โดยเฉพาะที่อยู่ริมถนนหลักเท่าที่สังเกตพื้นถนนที่แห้งผาก น้ำคงไม่ท่วม เรียกว่าพื้นที่ห่างกันนิดเดียวแต่เหมือนอยู่คนละโลก

ปีที่แล้วเราผจญกับน้ำท่วมอยู่นานนับเดือน แต่ส่วนใหญ่ระดับน้ำจะแค่เข่าหรือขึ้นกว่านั้นนิดหน่อย มีบางวันที่พนังกั้นน้ำแถวสวนใกล้บ้านพังน้ำทะลักไหลบ่าเข้ามาในซอยล้นเข้าบริเวณบ้านให้ตกใจเล่น แต่อย่างมากก็ปริ่มกระสอบทรายที่กันไว้ และสักพักก็เริ่มลดลง

มีบ้างเหมือนกันที่ระดับน้ำขึ้นสูงมากจนอยู่ในระดับที่อาจเรียกได้ว่า "ติดเกาะ"ในบ้าน แต่ก็ไม่กี่วัน

ปีนี้เห็นข่าวน้ำท่วมหลายจังหวัด ไล่มาตั้งแต่พิษณุโลก พิจิตร ลพบุรี อยุธยา...เห็นแล้วก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า เตรียมตัวไว้ได้เลยว่าแถวบ้านน้ำต้องท่วมมากกว่าปีที่แล้วแน่ๆ

"ท่วมก่อนแห้งที่หลัง"น่าจะเป็นสโลแกนที่เหมาะกับบางกรวยมากๆ (อยู่ หมู่บ้านธนากร4)

ปีนี้บ้านฉันจึงเตรียมตัวเร็วกว่าปีที่แล้ว ไปขนกระสอบทรายที่เทศบาลน่าจะเป็นบ้านๆ แรกๆ ในหมู่บ้าน เพราะเข็ดกับปีที่แล้ว

ปีที่แล้วจำได้ว่าเราเตรียมตัวป้องกันบ้านตอนน้ำเริ่มมาแล้วทำให้ฉุกละหุกมาก ต้องไปกรอกทรายใส่กระสอบและขนมาเองที่เทศบาลทะลักทุเลและเหนื่อยสุดๆ ปีนี้จึงเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ และมากกว่า

ปีที่แล้วแค่หนุนของขึ้นที่สูงแต่ปีนี้เริ่มทยอยขนของที่อยู่ชั้น1 ขึ้นชั้น2 เพราะเห็นระดับน้ำที่ท่วมในจังหวัดอื่นแล้ว บ้านเราคงไม่ต่างกันแม้ในใจจะแอบคิดว่า คงไม่ขนาดนั้นก็เถอะ

บ้านแม่ขนของขึ้นชั้น 2 เกือบหมด เหลือตู้โต๊ะที่ไม่ไหวจะขนบ้างแต่ก็ไม่เยอะมาก

บ้านชั้นเองซึ่งอยู่ในซอยถัดไปไม่ไกลนัก ตู้ โต๊ะของชิ้นใหญ่ๆ แทบไม่ได้ขนเลย ไม่ใช่ประมาท แต่คิดแล้วว่าจะทิ้งหมดถ้าน้ำท่วม เพราะเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ แทบไม่มีของใหม่เลย ส่วนใหญ่จะประมาณว่าเจ้าของเดิมเสียดายเกินกว่าจะทิ้งจึงยกให้ฉันบ้าง ฝากไว้บ้าง

ตู้โต๊ะในบ้านจึงมาจากบ้านแม่มั่ง บ้านญาติมั่ง ฉันก็รับๆ มาไว้ เพราะคิดว่าจะหัดขัดและทาสีไปพลางในระหว่างที่ตัวเองยังตัดสินใจเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์แบบที่ชอบจริงๆ ไม่ได้

ตู้ โต๊ะส่วนใหญ่จึงเหมือนงานที่ยังไม่เสร็จดี หรือจะเรียกว่า พร้อมทิ้งก็พอได้ แต่สมบัติในตู้นี่ซิ ของมีค่าที่สุดที่มี ฉันพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า คือหนังสือ เพราะสะสมมาตั้งแต่เด็กๆ นับพันเล่ม

ฉันทยอยขนขึ้นชั้นสองที่ละกองสองกองมาเป็นเดือนยังไม่หมด จนไม่กี่วันก่อนน้ำมาก็ยังขนไม่หมด ที่เหลือก็อยู่ในกลุ่ม"ทำใจ"ไว้แล้ว

ของรักอีกอย่างที่คงพังไปกับสายน้ำก็คงเป็นบรรดาของสะสมจากการเดินทาง

ส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดา mug ถ้วย ชาม อุปกรณ์ชงกาแฟ ถาดลายเก๋ที่มักอดซื้อติดมือกลับมาไม่ได้เวลาได้เดินทางไกล แม้จะทำใจยากกว่าหนังสือก็ยังต้อง"ทำใจ"อยู่ดี

เสียดายแต่จะทำไงได้ล่ะ คิดไม่ถึงจริงๆ ตอนนั้นก็คิดแค่ว่า ของอยู่ในตู้สูงเกือบสองเมตรคงไม่เป็นไร ลืมคิดไปว่าตู้ที่แช่น้ำนานๆ จะพังล้มลงมาได้

ไหนจะกำแพงบ้านอีกล่ะ แต่นั่นก็ยังไม่เท่า สารพัดต้นไม้ในบ้าน จันกะพ้อ, จำปา,จำปี, กรรณิการ์, ราตรี, พุศน้ำบุศย์, เชอรี่ และอีกสารพัด

ทำไงได้ล่ะ นอกจาก "ทำใจ"






 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2554 10:39:20 น.
Counter : 552 Pageviews.  

มากกว่ารัก

มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ แค่เพลงๆ หนึ่ง แค่จดหมาย(อิเล็กทรอนิกส์)ฉบับหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไร

สวัสดีคนเกิดวันศุกร์ที่ชอบวันสุข

สบายดีป่าว ไม่ได้คุยกันตั้งนาน นานมาก เห็นแมสเสจที่หย่อนในเฟซบุ๊กหลาย

วีคแล้วนะ ไม่รู้ทำไมกว่าจะกล้าเปิดอ่าน

เปิดอ่านแล้วก็ยังไม่กล้าตอบ

คงรู้ซินะว่าเราไม่เคยลืม

...

...

อีเมล์ฉบับนั้นยืดยาว ฉันอ่านกลับไปกลับมาหลายรอบ เหมือนเข้าใจความหมายระหว่างบรรทัดในข้อความทั้งหมดนั้น แต่ไม่กล้าคิดว่าเข้าใจจริงๆ

ตัวหนังสือตรงหน้ากับความจริงในอดีต เหมือนไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

คนบางคน หลายคน ไม่ใช่แค่ผ่านมา กับบางคนเข้ามาและจากไป เหมือนความฝัน...

กับบางเรื่องฉันต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะเข้าใจตัวเอง

บางทีเธอก็คงไม่ต่างกัน

คุ้นหูกับเพลงที่เป็นไฟล์แนบมากับอีเมล์ ฟังซ้ำไปมาหลายรอบ เนื้อหาหวานเจี๊ยบ แต่ท่วงทำนองกลับให้ความรู้สึกตรงกันข้าม เจ็บแปลบยังไงชอบกล



มากกว่ารัก

...ก่อนเคยเหงา เคยรู้สึกเหว่ว้า เคยมองหาความรักนั้นมีอยู่ที่ใด
โลกใบใหญ่เหลือเกิน มีผู้คนอยู่มากมาย แต่หัวใจมันกลับเหงาขึ้นทุกที

แต่เมื่อฉันได้พบกับเธอ สิ่งที่เธอให้ฉันไม่รู้มันคืออะไร โลกใบใหญ่ใบเดิมกลับไม่เคยต้องเหงาใจ แค่ฉันนั้นยังมีเธออยู่ตรงนี้

เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต ฉันใช้เวลาทั้งชีวีตเพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน

และสุดท้ายกับเธอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ จากนี้จากลมหายใจฉันคือเธอ

หากว่าเธอคือความรัก ก็เป็นรักที่ดีจนไม่มีคำบรรยาย ช่างโชคดีเหลือเกินที่มีเธอเดินข้างกาย ชีวิตนั้นได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต

ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน และสุดท้ายก็เจอ ว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ จากนี้จวบลมหายใจฉันคือเธอ

เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ จากนี้จวบลมหายใจฉันคือเธอ

...


สวัสดีคนเกิดวันจันทร์ที่คนวันศุกร์ไม่ชอบเลย

รู้ซิว่าต้องจำได้ รู้ด้วยว่าคงอ่านอีเมล์ฉบับก่อนโน้นตั้งนานแล้ว แต่ไม่ยอมตอบ

....




 

Create Date : 11 ตุลาคม 2553    
Last Update : 11 ตุลาคม 2553 17:59:08 น.
Counter : 640 Pageviews.  

หัวใจและร่างกาย

หัวใจและร่างกาย

ก่อนเริ่มต้นวิ่ง เราต้องต่อสู้กับหัวใจตัวเอง กว่าจะก้าวข้ามความขี้เกียจ
และเหตุผลสารพัดที่ฉุดรั้งให้การลุกขึ้นจากเตียงแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปวิ่งก่อนมาทำงานตอนเช้าต้องทอดยาวออกไปนานหลายเดือน
ไม่สนุก ไม่มีเวลา ไม่อยากตื่นเช้า และอีกสารพัดข้ออ้างฉุดรั้งให้การเริ่มต้นไม่ง่าย

แต่เมื่อก้าวผ่านไปได้เราจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว อุปสรรคสำคัญคือ "ใจ"เราล้วนๆ

จากวันแรก วันที่ 2 3 4 ครบหนึ่งอาทิตย์เข้าสู่อาทิตย์ที่ 2 3 4 จนครบเดือน 2 3 4 เดือน เมื่อหัวใจเปิดรับการ"วิ่ง"ให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรยามเช้าได้แล้ว

วันไหนไม่ได้"วิ่ง"รู้สึกคล้ายกับพ่ายแพ้อะไรบางอย่าง

เมื่อวิ่งมานานพอ เราจะเริ่มต้นต่อสู้กับร่างกายและหัวใจอีกครั้ง
ความรู้สึกอยากวิ่งให้ไกลขึ้น เร็วขึ้น

สำหรับฉันบางครั้งความต้องการทำให้ไม่คิดถึงข้อจำกัดของตนเองจนอาจเรียกได้ว่าเป็นการฝืนสังขารโดยไม่จำเป็น

2-3 เดือนก่อน ตื่นเช้าและเตรียมตัวไปวิ่งเหมือนเคย ระหว่างวิ่งลงบันได
อารามรีบร้อนพลัดตกบันไดไม่กี่ขั้นทำให้ขาพลิกรู้สึกเจ็บน่าดู

แต่เมื่อลุกขึ้นได้ แผนการวิ่งยังเหมือนเดิม รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าซ้ายตลอดเวลาที่วิ่ง แต่ไม่ยอมหยุด

บางจังหวะเจ็บมากก็เปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดินเร็ว คิดว่าทนไหว
คิดว่าแค่นี้ไม่เป็นอะไรเดี๋ยวก็หาย

ตกบ่ายเริ่มเห็นผลของความดันทุรัง เพราะข้อเท้าบวมเป่ง
เปลี่ยนจากสีแดงในตอนเช้าเป็นเริ่มม่วงช้ำเป็นหย่อมๆ เลิกงานตอนเย็นจึงรีบบึ่งไปโรงพยาบาล เพราะกลัวว่าจะไม่ได้วิ่งไปอีกหลายวัน

เพิ่งรู้สึกว่าอานุภาพของการเสพติดอะไรบางอย่างช่างรุนแรงนัก

"ไปโดนอะไรมาครับ"คุณหมอถามหลังจากเห็นข้อเท้าบวมแดงปนม่วงที่บวมเป่ง

"เมื่อเช้าตกบันไดคะ"ฉันตอบ
"ตั้งแต่เช้าทำไมเพิ่งมา คุณนี่มีความอดทนจริงๆ"ไม่รู้คุณหมอชมหรือตำหนิ

แต่หลังสอบถามสาเหตุอาการบาดเจ็บสักพักก็ส่งตัวไปเอ็กซเรย์
เพราะไม่แน่ใจว่ากระดูกแตกหรือร้าวไหม "กระดูกไม่หัก ไม่ร้าว แต่กล้ามเนื้อคงฉีกขาด ถึงมีเลือดออกบริเวณนี้"คุณหมอชี้ให้ดูรอยช้ำแดงที่ข้อเท้า และพูดต่อว่า

"แต่ต้องใส่เฝือกอ่อน และพยายามอย่าเดินมากนะครับ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 อาทิตย์"คุณหมออธิบายในขณะที่ฉันนั่งฟังตาปริบๆ ในใจก็คิดว่าเอาไงดีล่ะพรุ่งนี้มีสัมมนาสำคัญที่ต่างจังหวัดด้วย

"พรุ่งนี้ต้องไปต่างจังหวัดน่ะคะ ไปได้ไม๊คะ"
"ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ ไม่อยากให้เดินมาก ถ้าไปสัมมนานั่งในห้องไม่ต้องเดินได้ไหม"คุณหมอบอก

ค่ำนั้นเลยกลับบ้านพร้อมเฝือกอ่อนดามขาอันเป้ง

วันรุ่งขึ้นแผนการไปต่างจังหวัดยังเหมือนเดิม
และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใส่เฝือกอ่อนกระเตงไปด้วยอย่างนี้

ฉันจึงตัดสินใจถอดออกแล้วพันผ้าไว้
คิดแค่ว่าจะพยายามไม่เดินหรือลงน้ำหนักที่ขาข้างที่เจ็บและกินยาอย่างเคร่งครัดทุกมื้อน่าจะดีขึ้น

3 วันผ่านไปอาการบวมที่ข้อเท้าลดลงมาก ยังบวมและเจ็บทุกครั้งที่เดิน
แต่ไม่ได้กลับไปใส่เฝือกอ่อนอีกเลย ยอมหักห้ามใจหยุดวิ่ง 1 อาทิตย์เต็มๆ
เพราะขายังไม่ยอมหายบวม

อาทิตย์ที่ 2 เริ่มกลับไปวิ่งอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ยังรู้สึกเจ็บอยู่ แต่ความรู้สึกอยากวิ่งมีมากกว่า



1 เดือน 2 เดือนผ่านไป อาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้ายังไม่หายขาด
อาการบาดเจ็บที่น่าจะหายขาดได้ภายใน 2 อาทิตย์กลายเป็นเรื้อรังจนทุกวันนี้ ยังรู้สึกมีความสุขกับการวิ่งเหมือนเดิม แต่ความมั่นใจในการวิ่งนานขึ้นเร็วขึ้นลดลง

การต่อสู้กับหัวใจ และร่างกายไม่ว่าเราจะคิดว่าเราแน่และแข็งแรงแค่ไหนล้วนแล้วแต่มีข้อจำกัด

อย่าฝืนเมื่อรู้สึกว่าไม่ไหว

อย่าปล่อยให้ถึงจุดที่ต้องทน ไม่ว่ากับอะไร ไม่ดีทั้งนั้น
การรักษาบาดแผลเรื้อรังเป็นเรื่องยาก(มาก)

"ไม่อยากอยู่อย่างนี้จนเกษียณ มีอะไรที่อยากทำอีกตั้งเยอะ"เสียงบ่นประโยคเดิมๆ ของคนใกล้ตัวเปรยให้ได้ยินครั้งที่ร้อย

"อยากทำอะไรก็ไปทำซิ แล้วจะทำอะไรล่ะ"

"ยังไม่รู้ แต่แค่รู้สึกว่าอยู่ไปอย่างนี้ อีกสิบปีก็เหมือนเดิม"เจ้าของเสียงบ่นต่อ

"เหมือนเดิมไม่ดีเหรอ ถ้าคิดว่าไม่ดี ก็ไปทำอย่างที่อยากทำเถอะ"ฉันตอบโดยไม่ลังเล แม้ในใจจะรู้ดีว่าเกิดขึ้นกับตัวเองคงไม่ง่ายอย่างนั้น

อะไรฉุดรั้งคนเราไม่ให้ก้าวเดิน แม้จะรู้ความต้องการในใจตนเอง
ความกลัว ความลังเล

ความกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงและเหตุผลอีกสารพัดที่ประเดประดังเข้ามาทำให้ทุกครั้งของการเริ่มต้นยากเสมอ

ในคอลัมน์ "ชั้น5ประชาชาติ"
โดย เชอรี่ประชาชาติ Cheryd@gmail.com




 

Create Date : 14 กันยายน 2553    
Last Update : 14 กันยายน 2553 12:33:07 น.
Counter : 614 Pageviews.  

ความพอใจ

ความพอใจ

ไม่ได้อัพบล็อกตั้งนาน

หลายปีจนเดี๋ยวนี้ ถ้าต้องเลือกว่าจะไปใช้ชีวิตที่เหลือที่ไหนดี คำตอบยังเป็น"เชียงใหม่"เพราะมีครบ ทั้งธรรมชาติ ศิลปะ อาหารการกิน ร้านหนังสือสถานที่อโคจร อื่นๆ อีกมากมาย...แม้หลังๆ จะเริ่มปลายตามอง"ศรีราชา"บ้าง ก็ยังไม่คุ้นเคยเท่าเชียงใหม่

อีกสิบปี...จะทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใคร...



ความพอใจ
คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ
โดย เชอรี่ประชาชาติ cheryd@gmail.com

บทสนทนากลางดึกในค่ำคืนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ ที่โรงแรมเล็ก ๆ ในจังหวัดไกลโพ้น ที่ซึ่งใครต่อใครบอกว่าวันที่น้ำท่วมประเทศไทยอยู่ที่นี่จะปลอดภัย ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ เราในฐานะผู้ที่เหลืออยู่จะยังมีความสุขได้ไหม

คืนนั้นคอบอลทั้งหลายคงนั่งอยู่หน้าจอทีวี แต่เราเปิดทีวีไว้อย่างนั้นเอง แค่ไม่อยากให้ห้องเงียบเกินไปนัก

"เยอรมนีน่าจะได้เข้าชิงรอบตัดเชือกเนอะ"

"แต่ถ้าเข้าชิงแล้วแพ้ก็น่าเสียดาย"

นั่นซินะ...ระหว่างที่ 1 กับที่ 2 ต่างกันลิบลับ

ใครเหยียบดวงจันทร์ต่อจาก "นีล อาร์มสตรอง ?" น่าจะน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ใครจะจดจำได้

บนสนามแข่งขันระหว่างที่ 1 กับที่ 2 อาจก้าวเท้าเข้าสู่เส้นชัยห่างกันเพียงเสี้ยววินาที แต่สิ่งที่ตามมาต่อจากนั้นมีความหมายแตกต่างกันมาก

ในทุกสนามแข่งขันใครต่อใครจึงปรารถนาที่จะยืนอยู่ในฐานะผู้ถูกจดจำ

แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน

"อยู่อย่างนี้สบายกว่าเยอะ ไม่ต้องรับแรงกดดัน ไม่ต้องปะทะตรง ๆ" พี่ที่คุ้นเคยกันพูดขึ้นมาเมื่อฉันบอกว่าเขาน่าจะเป็น แคนดิเดตซีอีโอคนต่อไป

เท่าที่รู้จักกันมาเขาจัดได้ว่าเป็นคนที่ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง และทำงานหนัก โดยศักยภาพแล้วมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นเบอร์ 1 แต่เป้าหมายส่วนตัวกลับวางไว้แค่ที่ 2

"อยู่ตรงนี้กำลังอุ่น ๆ สบายดี"

"พี่ไม่คิดว่าน่าจะลองเป็นเบอร์ 1 ดูบ้างเหรอ ไม่เคยคิดเหรอว่ามาถึงขนาดนี้แล้ว อีกนิดเดียวเองนะ" ฉันไม่ละความพยายาม

"ไม่เลย ไม่คิดจริง ๆ" แม้ฉันเองจะคิดไม่ต่างกันนัก แต่ยังอดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี

"ตรงนี้ก็มีความสุขดี ไม่รู้จะขึ้นไปสูงกว่านี้ให้กดดันมากกว่านี้ทำไม ตำแหน่ง เงินเดือนเวลาที่มี ตอนนี้ทุกอย่างก็โอเคแล้ว ไม่รู้จะเอาเงินมาก ๆ กว่านี้ไปทำอะไร"

เรื่องมีเงินมากไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ฉันยังนึกไม่ออกว่าเป็นยังไง แต่เข้าใจ ความหมายระหว่าง "เงินมาก เงินน้อย หัวโขน และความพอใจ"

นั่นซินะ ถ้าเราพอใจ ณ จุดที่ยืนอยู่ ทำไมจะต้องเหนื่อยป่ายปีนให้สูงขึ้น ๆ จะต้องตะเกียกตะกายขึ้นไปในจุดที่ไม่แน่ใจนักว่าจะมีความสุขทำไมกัน

"แค่หยุดอยู่กับที่ ก็เท่ากับว่าคุณกำลังเดินถอยหลัง" วลีชวนคิดของเครื่องดื่มยี่ห้อดังที่โดนขึ้นป้ายให้โฆษณาได้หลัง 4 ทุ่ม ไปแล้ว กลับเข้ามาในความคิด

ความพอใจทำให้เราหยุดก้าวไปข้างหน้า ? ไม่น่าจะใช่...

วันนี้พอใจ แต่พรุ่งนี้จะยังพอใจ และมีความสุขเหมือนเดิมไหม ?

อะไรคือแรงขับเคลื่อนให้คนเราออก เดินทาง ตัวเอง ผู้คน หนทางท้าทายข้างหน้าหรือทั้งหมดนั่น

"ถ้าผมไม่อยู่ที่นี่แล้ว ผมก็ไม่ไปเป็น นักข่าวที่ไหนอีก คงเปิดร้านดอกไม้ร้านหนังสือ" น้องคนหนึ่งเปรยให้ฟังในยามที่เจ้าตัวเริ่มรู้สึกอ่อนล้ากับหนทางที่ย่ำเดิน

ปีสองปีมานี้ถามตัวเองหลายครั้งถึงจังหวะก้าวต่อไปของตัวเอง คำถามเกี่ยวกับความเชื่อ ความรัก ความสุข และความพอใจหมุนวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า

ใช่หรือไม่ว่าเพราะเริ่ม "ไม่พอใจ" หรือความรักจืดจางลง แม้ความเชื่อจะยังไม่เปลี่ยนแปลง ?

"ทำงานถึงอายุสัก 45 แล้วออกเดินทางท่องเที่ยว" หลายคนที่ฉันรู้จักพูดคล้าย ๆ กัน แต่ดูเหมือนว่ายิ่งกว่าน้อยที่ทำได้ ฉันพบว่าไม่ว่าเป้าหมายจะใหญ่หรือเล็ก สาเหตุที่เราส่วนใหญ่ไปไม่ถึง ถ้าไม่เพราะขาดการวางแผนที่ดี ก็เพราะไม่มีความมุ่งมั่นมากพอ

โชคชะตาอยู่ในกำมือเราเองไม่ใช่หล่นมาจากบนฟ้า นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่คิดแบบนี้ โดยมีเป้าหมายเบื้องหน้าเป็นแรงขับเคลื่อน แต่เขาจะไม่มีวันไปถึงเส้นชัยหากปราศจากความมุ่งมั่นตั้งใจ

การหยุดคิดใคร่ครวญ หาคำตอบให้ตัวเองในแต่ละช่วงจังหวะของชีวิตเป็นสิ่งจำเป็น

ตั้งคำถาม หาคำตอบ และลงมือทำ

เวลาผ่านแล้วผ่านเลย หาคำตอบให้เจอแล้วลงมือทำ ความผิดพลาดล้มเหลวไม่ใช่สิ่งน่ากลัว เพราะถ้าไม่เคยล้ม เราก็จะไม่รู้วิธีลุก คงเหมือนที่มีคนบอกว่า ความทุกข์ทำให้เรามองเห็นคุณค่าของความสุข

นึกถึงคำพูดของนักธุรกิจทายาทเจ้าสัวระดับประเทศ "ถ้าใครเห็นวิธีดำเนินชีวิตของคุณพ่อผมจะไม่มีใครอิจฉา ผมคิดจะทำให้ได้อย่างนั้นก็ไม่ไหว ท่านไม่เคยเที่ยวเลย ไม่เคยใช้อะไรฟุ่มเฟือย ตื่นเช้า นอนดึก เสาร์-อาทิตย์ถ้าไม่ได้ไปทำงานจะ กลุ้มใจ"

"ความจนความรวยเป็นเรื่องสมมติ เป็นเครื่องวัดความสำเร็จ แต่ลองคิดดูนะว่า ถ้าคุณมีบ้าน 3 หลัง มีรถ 5 คัน มีเงิน 100 ล้าน คุณก็อยู่บ้านได้ทีละหลังนั่งรถได้ทีละคัน อาหารแต่ละมื้อจะทานได้มากแค่ไหนกัน"

ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ความพอใจ ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีถูกไม่มีผิด ในระหว่างทางของการตั้งคำถาม และการหาคำตอบที่น่าพอใจ

กว่าจะเข้าใจบางครั้งเราคงต้องผ่านการเคี่ยวกรำ เปียกปอน และเจ็บปวดบ้างจึงจะรู้และยอมรับได้ด้วยตนเองว่าแท้ที่จริง คำถามแสนยากมีคำตอบที่แสนเรียบง่าย




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2553    
Last Update : 12 สิงหาคม 2553 11:52:30 น.
Counter : 576 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.