สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 

ระหว่างทางของเรา

อีกสามปีเจอกัน เรียบง่าย ชัดเจน ได้แต่คิดในใจว่าถ้ายังอยู่นะ....
ไม่ได้จะรีบไปไหนหรอก แต่อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน เคยได้ยินไหม การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การจากกันก็เหมือนกัน
ทั้งการพบและการพราก ไม่เราเอง ก็อะไรสักอย่างที่เหนือจากเรา กำหนดไว้...เชื่อไหม

ครั้งนี้กับครั้งที่แล้ว หกปีเลยเหรอ ไม่น่าเชื่อนะว่านานขนาดนั้น จำไม่ได้จริงๆ เพราะเป็นคนไม่จำวัน เดือน ปี แต่นึกดูก็คงนานแล้วจริงๆ มีอะไรเกิดขึ้นมากมายในระหว่างหลายปีนั้น
บางเรื่อง บางเหตุการณ์ เป็นรอยแผล เป็นภาพจำ เป็นความทรงจำ หรือเป็นอะไรสักอย่างที่มีผลจนวันนี้
มีทั้งเข้าใจ ยอมรับ และเปลี่ยนแปลง และบ้างก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่าปล่อยมันไป เจ็บปวด จดจำและลืมเลือน
ระยะทาง
ระหว่างนั้น
เราต่างเติบโต
ใช่ไหม
ระหว่างนั้น ระหว่างเรา
เคยไหมที่รู้สึกว่า ถ้ารู้อย่างนี้จะไม่...
มีกันทุกคนนั้นล่ะ
การยอมรับคือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ไม่ว่าเราจะอยากรู้ อยากเข้าใจเพิ่มขึ้นไหม
เคยอ่านนิยายของศรีบูรพาไหม
'ข้างหลังภาพ'อันโด่งดัง
'แม้ฉันจะตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน
แต่ฉันก็ยังอิ่มใจที่มีคนที่ฉันรัก'
...ไม่ได้จะรีบไปไหนหรอกนะ แค่บางประโยคในนิยายที่ชอบ...
ดีใจนะที่ได้เจอกันอีก
....
จุดจบของสิ่งหนึ่ง คือจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่เสมอ
.....ใช่ไหม




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2558    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2558 22:37:49 น.
Counter : 706 Pageviews.  

สู้ๆ นะญี่ปุน "เราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน"

"เราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน"

บ่ายวันศุกร์ หลังกลับจากทานข้าวกลางวัน เพื่อนพี่น้องในกองบก.มาชุมนุมอยู่หน้าจอทีวีเครื่องเดิม สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นกำลังรายงานข่าวแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

แผ่นดินไหวระดับ 8.9 ริกเตอร์ ว่ากันว่ารุนแรงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก รุนแรงกว่าไคร์ชเชิร์ช นิวซีแลนด์ ก่อนหน้านี้ถึง 8 พันเท่า

เรายืนมอง ภาพคลื่นยักษ์สึนามิที่ม้วนตัวเข้าใส่บ้าน สวนไร่นา เรือลำน้อยใหญ่แล่นลิ่ว รถยนต์ ท่อนไม้ สิ่งของระเกะระกะม้วนตัวเข้าหากันด้วยแรงของ "น้ำ"

ไม่มีใครอยากเชื่อว่าภาพหน้าจอทีวีเป็นเรื่องจริง เมืองเซนได จ.มิยากิ ที่ฉันไม่รู้จักโดนกวาดราบเป็นหน้ากอง

หลายนาทีในระหว่างนั้น เราภาวนาในใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่าขอให้สิ่งที่เราเห็นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง ไม่ใช่เรื่องจริง

น้ำตาไหลเปื้อนแก้มโดยไม่รู้ตัว

หลังแผ่นดินไหว มีเตือนภัยสึนามิแล้วว่าจะมาถึงในอีก 3 ชั่วโมง แต่ไม่ถึงชั่วโมงคลื่นยักษ์ก็ซัดเข้ามา

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก



พวกเราได้แต่คิดว่าสิ่งเลวร้ายตรงหน้าคงไม่นักหนานัก เพราะคนญี่ปุ่นเตรียมรับมือภัยธรรมชาติโดยเฉพาะแผ่นดินไหว และสึนามิมาเป็นอย่างดี

ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเกาะอยู่กับน้ำ และเคยประสบกับภัยธรรมชาติที่เลวร้ายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เราคิดอย่างนั้นเพื่อปลอบใจตัวเอง เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าเลวร้ายรุนแรงมากเหลือเกิน

เราอยากให้พวกเขาสูญเสียชีวิตน้อยที่สุด ขอเพียงมีชีวิตรอด บ้านเรือน ข้าวของเราสร้างขึ้นมาใหม่ได้...

วันแรกมีการรายงานคนเสียชีวิตไม่ถึงร้อย ตกกลางคืนเข้าสู่หลักร้อย ผ่านไป 3 วัน พันกว่าคน และสูญหายอีกนับหมื่น

"สึนามิที่อาเจะคงเหมือนกับที่เราเห็นตอนนี้ เพียงแต่ไม่มีใครถ่ายภาพออกมาให้ดู"ญี่ปุ่นทันสมัยกว่าจึงบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ได้

โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์หลายแห่งในญี่ปุ่นเริ่มมีปัญหา เกิดระเบิดขึ้นเพราะระบบหล่อเย็นไม่ทำงาน แม้ยังไม่กระทบกับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่พวกเราก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า เพื่อนของเราที่โน่นจะต้องประสบเคราะห์กรรมซ้ำรอย ทั้งๆ ที่คราบน้ำตาจากสึนามิยังไม่ทันเหือดแห้ง

รายงานข่าวระบุว่าชาวญี่ปุ่นหลายแสนคนหรืออาจถึงล้านกำลังประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย อาหารการกิน และความหนาวเย็น

ความช่วยเหลือจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามา ทีมกู้ภัยจาก "ไคร์ชเชิร์ส"เดินทางถึงญี่ปุ่นแล้ว

เป็นการกลับมาช่วย "เพื่อน"ในเวลาที่เร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด

เดือนก่อนหน่วยกู้ภัยชาวญี่ปุ่นเพิ่งเข้าไปช่วยเหลือไคร์ชเชิร์สในเหตุการณ์แผ่นดินไหวอยู่เลย

ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เราก็ห้ามธรรมชาติไม่ได้ เราไม่เคยชนะ แต่เรารู้ดี แต่ฉันไม่แน่ใจว่า เราตระหนักกันแค่ไหนว่า ที่ผ่านมาเราได้ทำลายทำร้ายสิ่งที่ธรรมชาติให้มากันขนาดไหน

โลกอาจกำลังเอาคืน...

รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเหลือประชาชนของตนเอง

ในตอนหนึ่งของการแถลงข่าวรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น"ยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุกาณ์ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติ

แต่ "เราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน" ไม่ใช่มีแต่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่น้ำตาไหลอาบแก้ม

ชาวญี่ปุ่นเคยพิสูจน์ตัวเองมาแล้วจากหลายเหตุการณ์ในอดีตว่า พวกเขาทำได้ และทำได้ดีกว่าเก่าเสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้จะหนักหนารุนแรง และยังไม่มีใครรู้ว่าจะมีความสูญเสียร้ายแรงกว่านี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่ ยังมีปัญหาใหญ่ที่ต้องเยียวยาเร่งด่วนกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไม่นับข่าวคราวภูเขาไฟปะทุทางตอนใต้

ถึงอย่างไร ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะไม่ท้อถอย และสามารถกลับคืนมาอย่างยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งภายในเวลาไม่นาน

ไม่ว่าจะอย่างไร "เราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน"

สู้ๆ นะ japan




 

Create Date : 14 มีนาคม 2554    
Last Update : 14 มีนาคม 2554 9:54:50 น.
Counter : 761 Pageviews.  

ความภักดี

วีกที่ผ่านมามีโอกาสคุยกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ระดับโลก ซึ่งถือเป็นองค์กรธุรกิจแถวหน้าที่นักศึกษาจบใหม่อยากเริ่มงานแรกในชีวิตเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ

สิ่งที่ผู้บริหารท่านนี้เป็นกังวลต่ออนาคตขององค์กร ไม่ใช่สถานะทางธุรกิจเพราะมาร์เก็ตแชร์ใหญ่โตและมั่นคงแข็งแรงเหนือคู่แข่งไกลลิบ แต่เป็นการสร้างความภักดีต่อองค์กรให้กับคนรุ่นใหม่

ความภักดีในที่นี้ หมายถึงการที่คนในองค์กรมีความรับผิดชอบ ให้ความร่วมมือในทุกด้าน ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม จริยธรรม พร้อมพัฒนาตนเองและองค์กร มุ่งมั่นเพื่อเป้าหมาย คิดบวก รักองค์กร เสียสละ มีทัศนคติที่ดี ภาคภูมิใจ และผูกพันกับองค์กร คิดว่าองค์กรคือครอบครัว และตั้งใจอยู่กับองค์กรตลอดไป

"ผู้บริหาร" จึงให้ความสำคัญกับ ความภักดี และความพึงพอใจให้ทีมงาน ประสิทธิภาพในการทำงานถือเป็นผลพลอยได้ที่ทำให้องค์กรบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

การแข่งขันที่เชี่ยวกรากในสมรภูมิธุรกิจไอทีในวันนี้ สิ่งที่มากกว่าการแข่งตัดราคาสินค้าเพื่อแย่งลูกค้า คือการแย่งชิงบุคลากรที่มีฝีมือด้วยค่าตอบแทนสูงลิ่ว

แม้บริษัทจะวางระบบการเลื่อนขั้น ขึ้นเงินเดือน และการเปิดโอกาสให้คนดีมีฝีมือแสดงความสามารถอย่างเต็มที่เท่าที่จะเป็นไปได้แล้วก็ยังไม่สามารถต้านทานแรงดูดในธุรกิจได้

ใช่หรือไม่ว่าคนในยุคปัจจุบันมีความภักดีต่อองค์กรต่ำ สนใจแต่เป้าหมายและอนาคตของตนเอง ให้คุณค่าต่อความสำเร็จของตนเองมากกว่าองค์กร ทำให้ผลผลิต ลดลง การลาออกเพิ่มขึ้น

การบริหารจัดการบุคลากรจึงนับเป็นความท้าทายสำหรับผู้นำองค์กร

การบริหารจัดการความคาดหวังของ ทีมงาน ทั้งเรื่องผลตอบแทนและการสร้างความท้าทายในการทำงาน ดูเหมือนจะยากขึ้นกว่าในอดีตมาก

นึกย้อนถึงตนเองหลายปีมานี้เทียบกับอาชีพอื่น แม้การเปลี่ยนงานย้ายงานของ คนข่าวรุ่นใหม่จะไม่ถึงขั้นประสบภาวะ สมองไหล เพราะครึ่งต่อครึ่งการ เปลี่ยนสายอาชีพใกล้เคียงกับการย้ายค่าย แต่กลับมีเหตุและปัจจัยร่วมกันคือ ค่าตอบแทน

ความรักอาจทำให้ใจอิ่ม แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น ความต้องการในชีวิตทั้งของตนเองและคนที่ต้องดูแล ทำให้ความรักไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ เราจึงจำเป็นต้องตัดสินใจเปลี่ยนแปลง เลือกเก็บความรักความผูกพันไว้เป็นความทรงจำดี ๆ

อะไรประมาณนั้น...

ผู้รู้วิชาบริหารจัดการบุคลากร อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "แรงดึง (pull) ชนะแรงผลัก (push)"

แต่แรงผลัก (push) ที่สำคัญที่สุดที่ ผลักดันให้คนไม่อยากอยู่กับองค์กร คือ เพื่อนร่วมงาน ความไม่พอใจในสภาพแวดล้อม นายจ้างหรือหัวหน้างาน

ขณะที่แรงดึง (pull) เกิดจากองค์กรอื่น เช่น ค่าตอบแทนสูงกว่า สวัสดิการดีกว่า ลักษณะงานตรงความต้องการ ความก้าวหน้า และอีกมากมาย

การป้องกันไม่ให้เกิดแรงผลักและแรงดึงต้องทำให้แรงผลักเป็น "0"

นับจากเรียนจบและได้ทำงานในอาชีพที่เลือกแล้ว ตั้งแต่เลือกเรียนวิชาหนังสือพิมพ์ ความสนุกและความท้าทายใหม่ ๆ การได้พบปะผู้คนหลากหลายได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวความรู้ใหม่ในโลกธุรกิจในฐานะ "ประภาคารและสะพานเชื่อม"

ท่ามกลางบรรยากาศในวิชาชีพนักหนังสือพิมพ์ที่ยังเต็มไปด้วยการแข่งขันในการสืบค้นแสวงหาข้อมูลใหม่ที่แตกต่าง ทำให้เวลาหมุนเร็วราวกับติดปีกบิน

บินไปไหน...




ย้อนหลังกลับไปไม่เกิน 10 ปี โลกของเมื่อวานหมุนช้ากว่าโลกในวันนี้มาก

เราขับเคลื่อนตนเองด้วยความสนุก และความท้าทาย เราหิวกระหาย "โอกาส" มากกว่าผลตอบแทนที่ตีราคาได้

วัฒนธรรมในการทำงานเกิดจากการได้เห็นแบบอย่างของคนรุ่นก่อนหน้าเราที่ยึดหน้าที่ความรับผิดชอบ มากกว่าวันหยุด ตามปฏิทิน

"ทำมากได้มาก" เป็น "มาก" ที่ไม่สามารถใช้มาตรวัดใดตีราคาได้

มากกว่าคำสอน คือการกระทำ

ยุคสมัยเปลี่ยน คนเปลี่ยน ? หรือคนเปลี่ยนเพราะยุคสมัยเปลี่ยน ?

แต่ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปไกลถึงไหนองค์กรใด ๆ ก็ยังไม่สามารถขับเคลื่อนตนเองได้โดยปราศจาก "คน"


ชั้น5ประชาชาติ
วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4263 ประชาชาติธุรกิจ




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2553 11:55:37 น.
Counter : 3324 Pageviews.  

เราเลิกรักกัน หรือไม่เคยรักกันจริงๆ

เจ็บช้ำและอับอาย

ฉันเคยคิดว่าในยุคสมัยของฉันห่างไกลจากคำว่า"สงคราม"มากนัก มนุษย์ผู้เจริญแล้วย่อมใช้เหตุผล ไม่ใช้กำลัง ย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าของใคร

ฉันรู้จักสงครามจากตำราเรียนจากหนังสารคดี และคำบอกเล่าของปู่ย่าตายาย

แม้สงครามจริงในวันนี้ก็เกิดขึ้นห่างไกลจากจุดที่ฉันยืนอยู่มากนัก

หลายครั้งหลายหนที่ร้องไห้ ฉันร้องให้กับโศกนาฎกรรมของคนอื่น เพื่อนร่วมโลกที่อยู่ไกลโพ้น

ฉันเคยคิดว่าช่างโชคดีนักที่เกิดอยู่บนผืนแผ่นดินที่มีแต่ความสงบ ร่มเย็น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และถ้อยทีถ้อยอาศัย

สมกับที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ

คนไทยใจดี ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสจนฝรั่งมังค่ายกย่องให้เราเป็น "land of smile"

ฉันภาคภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย ภาคภูมิใจที่ได้อยู่ใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ซึ่งปฏิบัติภารกิจเพื่อประชาชนอันเป็นที่รักของพระองค์ท่าน สมดังพระราชดำรัสที่ตรัสไว้ตอนเสด็จขึ้นครองราชย์ว่า

"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมหาชนชาวสยาม"

...“เมื่อข้าพเจ้าเป็น นักเรียนอยู่ในยุโรป ข้าพเจ้าไม่เคยตระหนักว่าประเทศของข้าพเจ้า คืออะไร และเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าแค่ไหน ไม่ทราบตราบจนกระทั่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะรักประชาชนของข้าพเจ้า เมื่อได้ติดต่อกับเขาเหล่านั้น ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสำนึกในความรักอันมีค่ายิ่ง ข้าพเจ้าไม่เป็นโรคคิดถึงบ้านที่จริงจังอะไรนัก แต่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้โดยการทำงานที่นี่ว่าที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือ การที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้านั่นคือคนไทยทั้งปวง”

แม้วันนี้หลายสิ่งหลายอย่างจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้ ความรักเคารพและเทอดทูนต่อพ่อ ต่อสถาบันกษัตริย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

รูปของพ่อในบ้านยังตั้งอยู่ที่เดิม ฉันมั่นใจว่าพ่อของเราก็ยังรักเราเหมือนเดิม

สำหรับคนอื่น ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนไป อะไรทำให้ในบางเราเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้

ฉันไม่เคยคิดเลยว่าในช่วงชีวิตของตัวเองจะได้เจอะเจอหรือแม้แต่เฉียดใกล้สภาพการณ์ที่เรียกได้ว่า "สงคราม"ที่ผู้คนมองเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูที่ประหัตประหารเข่นฆ่ากันได้อย่างไร้ความปรานี

"พฤษภาคม 2553"สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นที่นี่ กรุงเทพ ประเทศไทย

ตัวเลขผู้เสียชีวิต ณ วันนี้ 17 พ.ค.2553 เวลา 14.57 น. อยู่ที่ 35 ราย
ทั้งหมดเป็นคนไทย

เผาโลตัส เอ็กซเพรส ทุบตู้เอทีเอ็ม ยิงระเบิดเอ็ม 79 ที่แยกศาลาแดง ถล่มรร.ดุสิตธานี ตึกอื้อจื่อเหลียง แบงก์กรุงเทพ อนุสาวรีย์ร.6 ข้างรั้วรพ.จุฬา...

ทหารใช้ปืนจริง กระสุนจริงจัดการกับผู้ชุมนุม ในฐานะ"ผู้ก่อการร้าย"

มีมือลึกลับยิงปืนเข้าใส่ประชาชน นักข่าว ช่างภาพ มีคนบาดเจ็บเกินร้อย

ไม่มีใครรู้ว่าตัวเลขผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจะสิ้นสุดที่ใด

กรุงเทพ ประเทศไทย ไม่ใช่บ้านเมืองที่ฉันเคยรู้จัก

คล้ายกับว่าควันไฟสีดำทะมึนจากการเผายางรถยนต์บริเวณถนนราชปรารภ สามเหลี่ยมดินแดง บ่อนไก่ คลองเตย ...และที่อื่นๆ ไม่ได้แค่ล่องลอยปกคลุมท้องฟ้าหรือบดบังทัศนียภาพ

เหมือนกับว่าเมฆหมอกและควันไฟปกคลุมในหัวใจ ไม่เฉพาะแค่ฉัน เพื่อนพี่น้อง คนไทยที่รักผืนแผ่นดินเกิด รักในหลวงคงรู้สึกไม่ต่างกัน

ควันดำทะมึนที่ปกคลุมในใจทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด หดหู่ และเศร้าหมอง

ใครจะคิดว่าจะมีวันที่ต้องนอนน้ำตาซึมเพราะหดหู่ใจกับความย่อยยับของประเทศอันเป็นที่รัก ด้วยน้ำมือของคนไทยด้วยกันเอง

"เก่งแต่ชั่ว ดีแต่โง่"สร้างความย่อยยับให้บ้านเมือง

ไม่มีอีกแล้ว land of smile

ไม่เกี่ยวกับจำนวนพระสงฆ์ ไม่เกี่ยวกับการตักบาตรทำบุญ หรือการสร้าง
สถานปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

เมืองไทยไม่ใช่เมืองพุทธในความหมายของ พุทธศาสนิกชน ซึ่งหมายถึง
ผู้ปฏิบัติตนให้เป็นผู้รู้ ผู้ฉลาด และตื่นตัวอยู่เสมอ อีกต่อไปแล้ว

"อำมหิต แบ่งพรรคแบ่งพวก มืดบอด ไร้ความปรานี อกตัญญูต่อแผ่นดินถิ่นเกิด"คือนิยามของคนไทยวันนี้

"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"
พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11 ธันวาคม 2512

"ชาติบ้านเมืองประกอบด้วยนานาสถาบัน อันเปรียบได้กับอวัยวะทั้งปวง ที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิตร่างกาย ชีวิตร่างกายดำรงอยู่ได้ เพราะอวัยวะใหญ่น้อยทำงานเป็นปรกติพร้อมกันอย่างไร ชาติบ้านเมืองก็ดำรงอยู่ได้ เพราะสถาบันต่างๆตั้งมั่นและปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยพร้อมมูลอย่างนั้น"
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และ อาสาสมัครพลเรือนในพิธีตรวจพลสวนสนาม
เนื่องในโอกาสงานพระราชพิธีรัชดาภิเษก 8 มิ.ย.2514

...ใช่หรือไม่ว่า เราทำได้เพียงแค่พร่ำบ่นคำสอนของพ่อดังเช่นนกแก้วนกขุนทอง...

สงครามการเมือง การต่อสู้ของผู้คนที่เห็นแตกต่าง รังแต่จะทำให้บ้านเมืองย่อยยับ ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ

เราต่างบาดเจ็บด้วยกันทั้งหมด

ชัยชนะบนความพ่ายแพ้ของชาติบ้านเมืองน่าภาคภูมิใจที่ไหนกัน

-ขอไว้อาลัยเพื่อนพี่น้องคนไทยที่ต้องล้มตาย ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสีย

-ขอสาปแช่งเดรัจฉานใจอำมหิตผู้อยู่เบื้องหลังกระสุนทุกนัด ระเบิดทุกลูกที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์




















 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 15:57:54 น.
Counter : 435 Pageviews.  

เวลาแห่งการเริ่มต้น (อีกครั้ง)

ปีเก่าไปปีใหม่มา “เวลาแห่งการเริ่มต้น”

ช่วงนี้ไปทางไหนมีแต่กลิ่นอายของเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พร้อมกับลมหนาวที่โชยความเย็นมาให้คนเมืองกรุงได้สัมผัสบ้าง แม้สถานการณ์บ้านเมืองสถานการณ์เศรษฐกิจจะไม่ได้แตกต่างไปจากที่ผ่านมาสักเท่าไร แต่บรรยากาศของเทศกาลปีใหม่ก็ทำให้เรารู้สึกแช่มชื่นขึ้นมาได้บ้าง สมกับเป็นเทศกาลส่งความสุข
บรรยากาศช่วยได้มากแม้ความรู้สึกสุข หรือทุกข์จะมีใจของเราเองเป็นตัวกำหนด
ปีเก่าไปปีใหม่มาเป็นช่วงเวลาที่เราอยากเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ ถึงที่สุดจะทำได้หรือไม่ ก็ยังดีกว่าไม่แม้แต่จะคิดเริ่มต้น การทำความดี ทำสิ่งดีๆ ให้ตนเอง และคนรอบข้าง ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เริ่มจากเรื่องเล็กๆ

ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง อาทิตย์ละ 2 วัน งดเว้นการกินเนื้อสัตว์อาทิตย์ละ 1 วัน เคร่งครัดกับบริจาคโลหิต 3 เดือนครั้งอย่างสม่ำเสมอตลอดปี (หมายถึงต้องดูแลตนเองให้พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้เลือดมีคุณภาพ) ดูหนังโดยไม่เปิดบทบรรยายไทยอาทิตย์ละ 1 เรื่อง

เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง บางเรื่องทำได้สบายๆ อยู่แล้ว ขาดก็แต่ความสม่ำเสมอ

อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ปีใหม่ 2553 ลองถามตัวเองเล่นๆ กันดีไหมว่า เราอยากตั้งต้นใหม่กับอะไรบ้าง

ปลายปีนี้ต่างกับปีก่อนๆ ตรงที่ต้องแวะเวียนเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ทั้งเพื่อน ญาติเพื่อน คนในครอบครัวทำให้รู้สึกมากกับคำว่า “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”

ไม่มีใครปฎิเสธว่าไม่จริง ยอมรับ และรู้ทั้งรู้ แต่ไม่เจอไม่เห็นจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรนัก

1-2 เดือนมานี้มีโอกาสไปโรงพยาบาลของรัฐบาลหลายครั้ง

สิ่งหนึ่งที่ได้สัมผัส และรู้สึกแปลกใจคือความยิ้มแย้มแจ่มใส ยินดีให้บริการคนไข้ ตั้งแต่เช้าตรู่จนเย็นย่ำ ไม่ว่าจะยากดีมีจน โดยส่วนตัวไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง ทั้งที่ต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน เพราะมีคนไข้รอคิวเป็นจำนวนมาก

สำหรับรพ.ของรัฐ การรอคิวเป็นเวลานานๆ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะมีคนรอรับการรักษาเป็นจำนวนมาก คุณหมอให้เวลากับคนไข้อย่างเต็มที่ แต่ละเคสจึงใช้เวลาค่อนข้างมาก ทั้งคนไข้ และญาติจึงต้องใช้ความอดทนมาก แต่คงไม่มากเท่าเจ้าหน้าที่ของรพ.

ระหว่างนั่งรอ เห็นคนป่วยอื่นๆ บ้างแสดงอาการว่าเจ็บป่วยมาก บ้างไม่แสดงอาการอะไร คิวที่ยาวแสนยาวทำให้นึกคิดไปไกลขนาดว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้


“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร”คำถามในวัยเด็กที่เด็กทุกคนเคยเจอ

“อยากเป็นหมอคะ”น่าจะมีสักครั้งที่ฉันเจื้อยแจ้วตอบคำถามผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะจำมาจากคนอื่นหรือคิดเอง ถ้าย้อนเวลากลับได้ฉันอยากทำให้มันเป็นจริง

โรงพยาบาลของรัฐในเมืองไทยมีน้อยเกินไป บุคคลากรทางการแพทย์น้อยเกินไป ถ้ามีมากพอคงไม่ต้องบุกบั่นเดินทางมาจากจังหวัดไกลโพ้นบ้างถึงกับต้องมานอนรอตั้งแต่ตีสี่ตีห้า

“คุณหมอต้องขอตรวจเลือดใหม่พรุ่งนี้แปดโมงเช้า”คุณพยาบาลที่นั่งไม่ไกลจากฉันพูดกับ 2สามีภรรยาวัยกลางคน

ไม่มีเสียงตอบจากทั้งคู่ “มีที่พักที่กรุงเทพฯไหมค่ะ”คุณพยาบาลถามต่อโดยไม่รอคำตอบแรกคงเพราะเจอกับเคสแบบนี้บ่อยๆ ที่คนไข้มาจากต่างจังหวัด และไม่มีที่พักที่ไหนในกรุงเทพฯ

“ต้องไปถามป้าก่อน”คนสามีตอบไม่เต็มเสียง ก่อนลุกเดินหายไปพักใหญ่แล้วกลับมาพร้อมกับคุณป้าคนหนึ่ง และพูดกับคุณพยาบาลอีกว่า “จะไปพักกับป้าคนนี้”

“เป็นญาติกันหรือคะ”คุณพยาบาลถาม

“เปล่าครับ เจอกันตอนเช้ามืด แกขายพวงมาลัยหน้ารพ. เป็นคนบ้านเดียวกัน แกให้ไปพักกับแกได้”

บทสนทนาระหว่างคุณพยาบาลกับสองสามีภรรยา ฉันได้ยินไม่ถนัดนัก

“เราให้เงินช่วยเขาสักพันสองพันดีไหม”คุณแม่กระซิบข้างๆ “เขามาจากยโสธร กะว่าตรวจเสร็จจะกลับบ้านต่างจังหวัดเลย ไม่คิดว่าจะต้องอยู่ต่ออีกวัน”

“แฟนเขาเป็นเนื้องอกในสมอง เห็นว่าปวดหัวมาเดือนกว่า ตอนนี้ตามองไม่เห็นแล้ว”

ฉันเริ่มรู้สึกว่าตาพร่ามัว พร้อมกับมีก้อนสะอึกมาจุกอยู่ที่คอ

ผู้หญิงแต่งตัวดี หิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม ฉันดูไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือปลอม แต่ภาพลักษณ์โดยรวมเชื่อว่าเป็นของจริง “เธอ”ยื่นบัตรทองให้คุณพยาบาลเพื่อใช้สิทธิในการตรวจรักษา

คล้ายกับว่าทุกคนที่นี่เท่าเทียมกัน แม้ในใจลึกๆ แล้วฉันจะไม่เชื่อว่าความเท่าเทียมมีอยู่จริง

ไม่มีใครหมุนเวลาให้ย้อนกลับไปได้

ปีใหม่นี้มาทำบุญบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาลกันเถอะ

ร่วมบริจาคสมทบทุน สร้างอาคารรักษาพยาบาลรวม และศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สอบถามรายละเอียดที่ สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย โทร.02-256-4440-3

หรือฝ่ายพิธีการ ตึกวชิรญาณวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โทร.02-256-4382








 

Create Date : 05 มกราคม 2553    
Last Update : 5 มกราคม 2553 10:23:57 น.
Counter : 445 Pageviews.  

1  2  3  

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.