สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 

อยากให้คนเป็นลูกได้อ่าน

ได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์นี้มา
ไม่ได้สนใจมากไปกว่าฟอร์เวิร์ดเมล์อื่นๆ
แต่อ่านจบแล้ว แทบแย่กว่าจะกลั้นน้ำตาไว้ได้

.. เราย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายปี เพื่อนบ้านก็ดี มีน้ำใจ ข้างบ้านรั้วติดกัน
มีคุณลุงคนหนึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ เกษียณมาหลายปีแล้ว ภรรยาเสีย ตั้งแต่เรายังไม่ย้ายเข้ามา

ลูกๆทั้ง 3 คน ต่างก็แต่งงาน มีครอบครับ ไปอยู่ที่จังหวัดอื่นๆ กันหมด
.. ลุงแกก็อยู่บ้านคนเดียว มาเกือบ 10 ปี
เราได้รู้จักลุง ก็ได้เห็นในน้ำใจไมตรี เป็นคนใจดี อบอุ่น น่ารัก ..มีโรคประจำตัวตามประสาคนแก่

คือเบาหวาน ความดัน และเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ไปตามปกติ...
ด้วยความที่อยู่บ้านคนเดียว บางครั้งเจ็บป่วย ก็ลำบากหน่อย เพราะไม่มีลูกหลาน คอยช่วยเหลือ

หลายปีที่ผ่านมา เราก็ได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือ พาไปหาหมอ พาไปทำธุรต่างๆ และถ้าป่วยหนัก ถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล ก็จะช่วยโทรตามลูกๆ ของแกให้

ลูกๆ ก็จะมาเยี่ยมบ้าง ไม่มาบ้าง แล้วแต่โอกาส เรารู้ว่า คุณลุงเหงา ....
....... บ่อยครั้งที่คุณลุงจะบ่นถึงคุณป้า ซึ่งเราไม่เคยเจอตัวจริง ได้เห็นแต่ในรูป เพราะท่านเสียไป หลายปีแล้ว ก่อนที่เราจะได้ย้ายมาอยู่ที่นี่

ช่วงเทศกาล ปีใหม่ สงกรานต์ เมื่อบ้านอื่นๆ เขามีลูกๆ มาเยี่ยม
เราเห็นคุณลุงนั่งเหงาเพียงลำพัง
เราก็ซื้อของขวัญ ของกิน ของใช้ บางครั้งก็เป็นพวก ผลไม้บ้าง เครื่องดื่มบ้าง ไปไหว้

... ลุงก็ดีใจ ให้ศิลให้พร กันยกใหญ่ ...แล้วก็บ่น รำพึง รำพัน ถึงลูกๆ ......
น้ำตาไหล นั่งมองแต่ประตูหน้าบ้าน รอว่าเมื่อไร จะมีรถของลูกๆ กลับมาเยี่ยมบ้าง ...

หลายปีมานี้ คุณลุงก็ได้แต่รอ...เราก็ได้แค่ปลอบ ว่าลูกๆ เขาคงติดธุระ
วันไหนเขาว่าง ก็คงมาเยี่ยม ไม่ต้องคิดมาก เสียสุขภาพไปเปล่าๆ...
ที่หลังบ้านคุณลุง มีต้นมะม่วงพันธุ์ดีอยู่หลายต้น มีต้นหนึ่งที่ลูกโต หวานอร่อยเป็นพิเศษ

เราไปช่วยลุงเก็บเป็นประจำ และคุณลุงก็จะแบ่งมาให้ทุกครั้ง.......ลุงจะคัดลูกสวยๆ เก็บใส่กล่อง ดูแลเป็นพิเศษ... เก็บไว้รอลูกๆ อยากให้ลูกได้กินของดีๆ .....

หลายครั้งหลายหน เราเห็นคุณลุงรอลูกๆ จนมะม่วงเน่าเสียไป ไม่รู้กี่หน ต่อกี่หน ...

หลายปีมานี้ ก็ไม่เคยเห็นลูกๆ กลับมากินมะม่วงที่พ่อบ่มไว้ แม้แต่ครั้งเดียว
มีที่แปลงหนึ่ง ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ คุณลุงบอกว่าอยากขาย ให้เราช่วยดำเนินการให้หน่อย

เราก็เขียนป้ายไปติด แล้วลงประกาศให้ ... 5 เดือน เศษๆ หลังจากประกาศขาย ในที่สุดก็มีผู้สนใจ และก็ขายได้ในที่สุด ในราคา 1 ล้านบาท ...

เมื่อได้เงินมา สิ่งแรกที่คุณลุงพูดถึงคือ... คิดถึงลูกๆ ถ้ารู้ว่าพ่อขายที่ได้คงดีใจ ลุงบอกว่าจะแบ่งเงิน ให้ลูกทั้ง 3 คน เท่าๆ กัน ...

วันรุ่งขึ้น ลุงก็มาหาเราแต่เช้า บอกว่าวันนี้ ขอแรงหน่อย ช่วยพาลุงไปธนาคารที จะไปโอนเงินให้ลูก เราก็พาไป วันนั้นเป็นลูกค้ารายแรกของธนาคาร...คุณลุงโอนเงิน ให้ลูกคนละ 3 แสนบาท ...

........ เมื่อกลับมา จอดรถส่งลุง หน้าบ้าน...ก่อนลงจากรถ คุณลุงหยิบเงิน ในกระเป๋า 1 แสนบาท ยื่นส่งให้ บอกว่า นี่ลุงให้

เรารีบปฏิเสธ บอกว่า ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ไม่ต้องให้ผม ลุงเก็บไว้ใช้เถอะ ให้ลูกๆ ไปเกือบหมดแล้ว ...

ลุงบอกว่า เอาไปเถอะ ลุงได้รับบำนาญทุกเดือน ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
ที่แปลงนี้ที่ขายได้ ก็เพราะเรา ต้องรับโทรศัพท์ และพาคนไปดูที่ หลายเดือนมานี้ ไม่รู้ขับรถไป-กลับกี่รอบแล้ว

อีกอย่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลุงก็ได้แต่รบกวน ไม่เคยได้ให้อะไร ตอบแทนบ้างเลย พ่อหนุ่ม ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่หลาน แต่ก็ยังอุตส่าห์ เสียเวลา เป็นธุระจัดการเรื่องราวให้ สารพัด รับไว้เถอะ ลุงอยากให้จริงๆ ถ้าไม่รับลุงจะเสียใจนะ......เราก็ไหว้ ขอบคุณครับลุง

กลับมานอนคิด ไตร่ตรอง รู้สึกไม่สบายใจ ดึกๆ จึงหยิบเงินไปหาลุงอีกรอบ...แต่ลุงไม่รับคืน และยืนยันว่า ตั้งใจจะให้เราจริงๆ....

อีก 2 วันถัดมา มีรถยนต์ มาจอดที่บ้านลุง ลูกสองคน คนเล็ก และคนกลางมาเยี่ยม และทวงถามเราถึงเงิน 1 แสนบาท พูดจาประมาณว่า...เราไปหลอกเอาเงินคนแก่ เรารีบเข้าไปในบ้าน หยิบเงิน 1 แสน เดินไปที่บ้านลุง แล้วคืนเงินให้ลุง

ลุงปฏิเสธ และพยายามอธิบายให้ลูกๆ ฟัง แต่ทั้งสองคนไม่ยอม เราจึงวางเงินไว้ แล้วเดินออกมา ก่อนตะวันตกดิน ได้ยินเสียงรถขับออกไป .....

สักพักลุงก็มาหา เล่าว่าสองคนนั้นแบ่งเงินกันคนละ 5 หมื่นแล้วก็ลากลับไปแล้ว

คุณลุงกล่าวคำขอโทษอย่างที่สุด ... ลุงน้ำตาไหล บอกว่าเสียใจ ไม่คิดว่าลูกๆ จะเป็นไปถึงขนาดนี้

ลุงบอกว่าจะเอาเงินบำนาญที่ได้รับทุกเดือน มาทยอยคืนให้ จนกว่าจะครบ 1 แสนบาท...

เราบอกว่าไม่เป็นไรหรอกครับลุง ไม่ต้องทำอย่างนั้น....

อีก 3 วัน เกือบๆ เที่ยงคืน ลุงมาที่บ้าน พร้อมกับลูกชายคนโต

"เมื่อ 3 วันที่แล้ว พ่อโทรฯไปเล่าเรื่องให้ฟัง พี่ก็ไม่สบายใจ.. พอดีที่ทำงานส่งไปสัมมนา หลายวันออกมาไม่ได้ พอเสร็จธุระ ก็รีบขับรถมาเลย มาถึงซะดึก..

"พี่ต้องขอโทษ แทนน้องๆ สองคนด้วย เสียมารยาทจริงๆ เดี๋ยวต้องคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักครั้ง อายุก็มากแล้ว แต่ก็ไม่รู้จักโต แย่จริงๆ "

เอาอย่างนี้ ขอเลขบัญชีธนาคารให้พี่ได้ไหม เดี๋ยวกลับไปพี่จะรีบโอนเงินมาคืนให้ "

"ไม่ต้องหรอกครับ ไม่เป็นไร"เราปฏิเสธไป...

วันถัดมาเมื่อลูกชายคนโตกลับไป ลุงเล่าให้ฟังด้วยความดีใจ
เจ้าใหญ่มันบอกว่า วางแผนไว้แล้ว อีก 5 ปี จะย้ายมาทำงานที่บ้าน จะพาลูกมาเมียมาอยู่ที่นี่ "

เราสังเกตุเห็นแววตาอันสดใส ของคุณลุง...บ่งบอกถึงความ ปิติ ยินดี อย่างที่สุด

"ดีใจด้วยครับลุง ต่อไปลุงจะได้ไม่เหงาแล้ว"

ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เกือบ 4 ปี แล้วซินะ ที่ลุงนับวันรอว่าจะมีลูกๆ กลับมาอยู่ด้วย

เราเห็นปฏิทินที่คุณลุงขีดฆ่า วันแล้ววันเล่า ...เดือนแล้วเดือนเล่า..ปีแล้วปีเล่า... และสุดท้าย ....

ลุงน่าจะอดทนรออีกนิด .. อีกนิดเดียวเองครับลุง

ในห้อง ไอซียู เรากับพี่ใหญ่ นั่งอยู่คนละข้างเตียงคนไข้.......ช่วงเวลา สุดท้ายของชีวิต คุณลุงขยับนิ้วมือ เรากับพี่ใหญ่เอื้อมมือไปจับมือลุง

...ดวงตาค่อยๆ ปิดลงช้าๆ คุณลุงจากไปด้วยอาการสงบ ..

หลังงานศพ เสร็จสิ้นค่ำคืนนั้นพี่ใหญ่มาหาเราที่บ้าน ยื่นถุงกระดาษส่งให้ บอกว่า พ่อฝากไว้ให้ พ่อกำชับไว้ตั้งแต่ก่อนตาย ว่าต้องให้เรารับไว้ ไม่งั้นพ่อจะนอนตายตาไม่หลับ

เราแกะถุงเปิดดูข้างใน มีซองจดหมายทั้งหมด 10 ซอง

จ่าหน้าว่า...คืนเงินเดือนที่ 1-2-3... ไปจนถึง คืนเงินเดือนที่ 10 ในแต่ละซองข้างในมีธนบัตรใบละ 1,000 บาท สิบใบ....

ซองสุดท้าย มีข้อความว่า
ถึง...หลานที่ไม่ใช่สายเลือด แต่ก็เป็นหลานที่ดีกับลุงเหลือเกิน ลุงคืนเงินให้ตามที่เคยสัญญา ขอบคุณที่ช่วยเหลือ เป็นธุระให้ ในทุก ๆ เรื่อง และเป็นเพื่อนคนแก่มาตลอด ป้ามารอลุงแล้ว...ลุงต้องไปก่อน.

.....อีก 2 วันถัดมาที่บ้านคุณลุง มีคนเข้ามาทำความสะอาด...เราสังเกตุเห็นปฏิทิน ที่คุณลุงใช้ขีดฆ่าเพื่อนับวันรอลูกๆ ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะหน้าบ้าน
เดินไปที่ถังขยะหน้าบ้านลุง มองไปที่ประตู มีป้ายประกาศติดไว้ ขายบ้าน ด่วน !

เราไปเก็บปฏิทินมาทำความสะอาด นึกถึงภาพคนแก่ ที่หยิบดินสอขีดฆ่าตัวเลขบนปฏิทิน ด้วยอาการมือสั่นเทา ลูกๆ คงไม่รู้หรอกว่า ภายใต้ปฏิทินเก่าๆ ไร้ค่าใบนี้ มันซ่อนความห่วงหาอาลัยซ่อนความเงียบเหงา ว้าเหว่ ..ซ่อนความเจ็บปวด ร้าวลึก ของคนแก่คนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิต อยู่อย่างโดดเดียว เพียงลำพัง มานานกว่า 10 ปี ...

เราตั้งใจจะเก็บปฏิทินนี้ไว้ เพื่อเป็นที่ระลึก...ตลอดไป ขอให้บุญกุศล และคุณงามความดี ทั้งหลายทั้งปวง ที่คุณลุงได้สั่งสมมาตลอดชั่วชีวิตจงนำพาดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของคุณลุง ไปสู่สุคติในดินแดน อันสงบ ร่มเย็น ชั่วนิรันดร์ .....

....... รักคุณลุงครับ




 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 18:01:28 น.
Counter : 649 Pageviews.  

เส้นรอบวงของความสุข

เส้นรอบวงของความสุข


การเริ่มต้นยากเสมอ ไม่สำคัญหรอกว่าสิ่งนั้นจะดีแค่ไหน แม้แต่เรื่องง่าย ๆ อย่างการเริ่มต้นวิ่งออกกำลังกายยามเช้า

สำหรับบางคนแค่ตื่นเช้าขึ้นวันละชั่วโมงก็ยากแสนยากทั้งที่ไม่มีใครมองไม่เห็นประโยชน์ของการออกกำลังกาย

ความคิดเรื่องการแบ่งเวลาว่างเพื่อออกกำลังกายของฉันเองก็มีมาก่อนหน้านี้ไม่ต่ำกว่า 2 ปี

คิด คิด และคิด นักวิ่งสมัครเล่นหลายคนแนะนำว่าการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด แต่ฉันพบว่าหลายครั้งของการเริ่มต้นล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะทำแล้วไม่สนุก

วิ่ง ๆ ๆ วิ่งไปทำไมก็ไม่รู้ ถ้าตีแบตฯ เล่นบาสฯ ขี่จักรยานหรือทำอะไรที่เป็นกิจกรรมร่วมกับคนอื่นน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ เริ่มแล้วเลิก เริ่มแล้วเลิกจึงเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา

น่าแปลกที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เมื่อลืมคิดถึงความสนุกฉันกลับเริ่มต้นออกกำลังกายด้วยการวิ่งอย่างสนุกสนาน

จากวันแรกสู่วันที่สอง และวันถัดไป ผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า

การวิ่งกลับสนุกขึ้นเรื่อย ๆ แม้บางเช้าแดดจะแรงกว่าเช้าอื่น ๆ
จนรู้สึกเป็นห่วง (สวย) เพราะกลัวดำ แต่เมื่อคุณเริ่มต้นวิ่งมาระยะหนึ่ง
คุณจะรู้สึกสนุกจนไม่อยากหยุด

ในระหว่างที่วิ่งเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างผลักดันให้คุณวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ

พลังบางอย่างที่ว่าในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า อะดิเนอลีน หรือสารแห่งความสุข

3 รอบเล็กของสวนรถไฟใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แม้ไม่ใช่ขีดความสามารถขั้นสูงสุดที่ร่างกายทำได้ แต่เป็นเส้นรอบวงที่ฉันกำหนดขึ้นเองว่าเพียงพอแล้วสำหรับกิจกรรมเติมความสนุกในทุกเช้า

อีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือคือการยืดเส้นยืดสาย

นั่งมองสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า หยิบหนังสือเล่มโปรดมาอ่าน
มองดูผู้คนทำกิจกรรมยามเช้า

มองกระรอกวิ่งเล่นกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง
หรือนั่งจิบชาอุ่น ๆ

บางวันถ้านอนน้อย ในระหว่างวันขณะทำงานอาจรู้สึกล้าบ้าง
แต่ความล้าที่ว่ากลับไม่ได้ทำให้รู้สึกกะปกกะเปรี้ย

ต่างกันลิบลับกับความรู้สึกก่อนเริ่มต้นวิ่ง

และทุกเช้าในช่วงหลายเดือนมานี้ ฉันกลับพบว่าวิธีสร้างความสุขทำได้ง่ายนิดเดียวเป็นความสุขที่ใช้เงินน้อยมาก ถ้าคิดแค่ค่าจอดรถทุกเช้าที่สวนรถไฟก็แค่วันละ 10 บาท

การวิ่งทำให้ฉันมองเห็นโลกของความสุขกว้างขึ้น

สังคมในยุคปัจจุบันที่คนเราตีราคาความสุขเป็นตัวเงิน แม้เงินทองมากมายของใครบางคนจะไม่มีสามารถซื้อหาความสุขบางอย่างได้

แต่ถ้าเป็นความสะดวกสบาย ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต เงินยังเป็นสิ่งจำเป็น

คนเราจึงมักวิ่งหาความสำเร็จในอาชีพการงานจากตำแหน่งที่สูงขึ้น
เงินเดือนที่มากขึ้น

เมื่อทำงานมานาน เมื่ออายุมากขึ้น เรามักเข้มงวดกับตนเองมากขึ้นจนทำให้เกิดความเครียด เพราะคิดว่าเวลาแห่งการแสวงหาความสุขจากความสำเร็จเหลือน้อยลงทุกที

ยิ่งวางเป้าหมายไว้สูงก็ยิ่งเครียด

ลึก ๆ แล้วเราต่างมุ่งหวังที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่
แม้หลายครั้งของความทุ่มเท ไม่ได้มีเงินทอง

ไม่ได้มีตำแหน่งที่ใหญ่โตเป็นแรงผลักดัน แต่เมื่อคุณวิ่งไปเรื่อย ๆ
ในระหว่างทางต้องมีสักครั้งที่เราถามตนเองว่าสิ่งที่ลงแรงไปได้อะไรกลับมาบ้าง

บางคนแค่มีคำตอบให้ตนเองว่ามีโอกาส"ทำ" ในสิ่งที่รักก็พอแล้ว
เมื่อเราวิ่งผ่านหลักไมล์ชีวิตที่ไกลออกไป วันแล้ววันเล่า
บางครั้งกับคำถามเดิม คำตอบที่เคยพึงพอใจกลับไม่เหมือนเดิม

เส้นรอบวงของความสุขในชีวิตของคนเรามักใหญ่โตขึ้นหรือเล็กลง

เช้าวันหนึ่งในระหว่างวิ่งที่สวนรถไฟ ฉันตั้งคำถามกับตนเองเล่น ๆ
ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องกำหนดเส้นรอบ วงใหม่ ๆ บ้าง

ถ้าความสำเร็จเป็นเส้นชัยที่เราจะเห็นก็ต่อเมื่อไปถึงแล้วเท่านั้น
ใช่หรือไม่ว่ายังมีเส้นชัยที่มองไม่เห็นอีกมายกำลังรอเราอยู่
แต่คุณจะไม่มีโอกาสรู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่จนกว่าขึ้นคุณจะเริ่มต้นวิ่ง


จากชั้น5ประชาชาติ




 

Create Date : 24 มีนาคม 2553    
Last Update : 24 มีนาคม 2553 17:02:03 น.
Counter : 446 Pageviews.  

ปารีส เช็คสเปียร์ และเส้นรอบวงของความสุขภาค2

กำลังบ้ามากถึงมากที่สุดกับปารีส และหนังสือเล่มล่า "ปารีส พำนัก คน/รัก หนังสือ"ของสำนักพิมพ์กำมะหยี่ แปลโดย ศรรวริศศา จาก Time was soft there: A paris sojourn at Shakespeare & co ของ Jeremy Mercer

ยังอ่านไม่จบเพราะไม่อยากให้จบ...



เป็นความลงตัวของ 2 สิ่ง ระหว่างความบ้าเกี่ยวกับปารีสที่มีอยู่เดิม กับบ้าใหม่หมาดๆ ในร้านหนังสือ shakespeare and company

ปารีสเป็นเมืองเป้าหมายอันดับหนึ่ง ก่อนเบอร์ลิน อัมสเตอร์ดัม และโคเปน
เฮนเก้น (เมืองหลังนี่ต้องกลับไปอีกรอบให้จบใจ...โอมเพี้ยง) ยังไม่รู้ว่าจะไปเมื่อถึงเมื่อไร วันไหน ปีนี้เดือนนี้ และกับใคร

แต่ในใจตะโกนว่าต้องไปๆ

ว่าแล้วช่วงนี้ก็เลยตะลุยอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับปารีสตุนข้อมูลไว้...นะ

ยังไม่ทันหายดื่มด่ำกับไวน์รสชาดดี ปราสาทเก่า ทุ่งลาเวนเดอร์ และวิวเทือกเขาแอลป์ที่พี่จอบ-วันชัย ตันแห่งสารคดี บันทึกไว้ในพ็อกเกตบุ๊กเล่มล่า ก็กระโดดมาบ้ากับเช็คสเปียร์แอนด์โคอีกแล้ว

เป็นอีกหมุดหมายที่ต้องไป ถ้าถึงปารีส ต่อจาก 3 วัน 3 คืนที่ลุฟท์ และภารกิจสบตาโมนาลิซา

ไปเยี่ยมบ้านโมเน่ แวนโก๊ะ และลั้ลลาในทุ่งลาเวนเดอร์

ยังไงซะก็ยังไม่หลุดธีม "ปารีส"ปารีส แหม นึกถึงหนังเรื่องนี้ Paris Je T'aime ขึ้นมาในบัดดล

หยิบรูปหนังสือมาแปะให้ดูก่อนดีกว่า



(เซ็งขอบ่นหน่อย เขียนจวนจะเสร็จอัพรูปที่ไร ข้อความหายทุกที..เฮง..มาก)

ทำไมใครๆ ก็หลงรักเช็คสเปียร์แอนด์โค ร้านหนังสือเก่าออกจะซอมซ่อด้วยซ้ำไปถ้าจินตนาการตามตัวหนังสือของเจเรมี่ เมอร์เซอร์

เช็คสเปียร์แอนด์โคเป็นมากกว่าร้านหนังสือและห้องสมุด

ร้านอัดแน่นไปด้วยหนังสือๆ และหนังสือ ฝุ่น และคราบดำเป็นปื้ด

เสน่ห์ความเก่าความขลัง และร่องรอยแห่งอดีตดึงดูดให้ใครต่อใครหลั่งไหลมาที่นี่ โดยเฉพาะนักฝันปีกหักที่โดนโชคชะตา(และความจริง)พัดพาให้ตัวเองมาค้นหาอะไรบางอย่างที่ปารีส

นักฝันมืออาชีพ นักเขียนมือสมัครเล่น??...หลั่งไหลมาปารีส และแวะพักที่เช็คสเปียร์แอนด์โคจากทุกทิศทุกทาง

นับตั้งแต่ปี 1951เป็นต้นมา จอร์จ วิทช์แมนแบ่งปันซอกอุ่นๆ ในร้าน (บ้างก็มีเตียง บ้างก็ไม่มี)ให้เป็นที่พักพิงสำหรับคนไม่มีที่ไป

ขอแค่ทำตามข้อแม้ 3 ข้อ 1.อ่านหนังสือวันละเล่ม 2.ช่วยจัดร้านก่อนเปิดและปิด3.เขียนประวัติชีวิตตนเองให้ด้วย (อย่างหลังเจเรมี่บรรยายว่าเป็นหนึ่งในขนบยิ่งใหญ่ของร้านแห่งนี้)

...ชีวประวัตินับหมื่นฉบับที่เขียนขึ้นระหว่างทศวรรษ 1960 ถึงปัจจุบัน เป็นแบบสำรวจที่กว้างขวางของคนจรหมอนหมิ่นในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา...

ว่ากันว่าเช็คสเปียร์แอนด์โคยังเป็นฉากในนวนิยายดังของนักเขียนดังหลายต่อหลายคน ..เฮนรี่ มิลเลอร์ อนาอิส นิน...เฮมมิงเวย์...(สำหรับอนาอิสนิน มีเสียงซุบซิบว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณปู่จอร์จ....ใครเคยดูเฮนรี่แอนด์จูน...มั่งนะ)

ไม่รู้ว่าถ้าได้ไปปารีส ฉันจะมีโอกาสเจอคุณปู่รึเปล่าก็ไม่แน่ใจ ก็หนังสือเล่มนี้เป็นบทบันทึกของเจเรมี่ที่มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่เช็คสเปียร์ในช่วงปี 2000

ตอนนั้นคุณปู่จอร์จก็อายุปาเข้าไป 86 แล้วนะ

ระหว่างที่ละเลียดอ่านทีละเล็กละน้อยอดไม่ได้ที่จะค้นๆ ข้อมูลจากเน็ต

เจอะเข้ากับบทสัมภาษณ์คุณปู่กับลูกสาวซิลเวีย วิทช์แมนในปี 2008 ตอนนั้นคุณปู่อายุปาเข้าไปกว่า 90แล้วอ่ะ

อยู่ไม่อยู่ ยังอยู่ไม่อยู่....อารมณ์ระหว่างท่องมิสเตอร์กูตามล่าหาข่าวปู่จอร์จ
เมื่อค้นๆ ต่อไปอีกจึงเจอข้อมูลเพิ่มเติมประมาณว่า

ปัจจุบัน "ซิลเวีย"ลูกสาววัย 28 ของคุณปู่จอร์จรับช่วงดูแลร้านเช็คสเปียร์ หลังจากคุณปู่รีไทร์ตัวเองไปนั่งๆ นอนๆ อยู่บนชั้น3ของร้าน

"George Whitman is now 95 years oldand while he continues to livein an apartment above his beloved shop, his 28 years old daughter, Sylvia has taken over the management duties."

ค้นๆ ต่อไปอีกหน่อย กลางปีนี้ ย้ำปีนี้ (18-20มิ.ย.2010) "ซิลเวีย"และพลพรรค เตรียมจัดงานที่เรียกว่า Literary festival ในหัวข้อ storytelling & politics...น่าสนใจมาก...

ว่าแล้วแปะรูปซิลเวียกับร้านหนังสือที่(หลง)รักให้ดูไปพลาง



"เช็คสเปียร์แอนด์โค"...

"ถ้าความสำเร็จคือสิ่งที่เราจะมองเห็นได้ก็ต่อเมื่อไปถึง ใช่หรือไม่ว่ามีเส้นชัยใหม่ๆ อีกมากมายรอเราอยู่ข้างหน้า แต่คุณจะรู้ได้ว่ามีจริงหรือไม่ก็ต่อเมื่อเริ่มต้นวิ่ง..."???

จุดๆ แรกบนเส้นรอบวงแห่งความสุขเกิดขึ้นแล้ว...




 

Create Date : 24 มีนาคม 2553    
Last Update : 25 มีนาคม 2553 13:36:58 น.
Counter : 824 Pageviews.  

ของปลอม ความกล้า และthe 4 sisters

the 4 sisters 4 ดรุณีภาคพิสดาร "ความกลัว ความกล้า ความจริง และของปลอม"
ในห้วงเวลาที่คนจำนวนหนึ่งวิ่งตามหาความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับชีวิตตนเอง และครอบครัว คนบางจำพวกบอกกับคนอื่น ๆ ว่าผมพอแล้ว ผมรวยแล้วถึงเวลาที่จะต้องทำเพื่อชาติบ้านเมืองเสียทีด้วยการลงเล่นการเมือง

ในท้ายที่สุดแล้วยิ่งกว่าน้อย คำตอบบรรทัดท้าย ๆ ของชีวิตนักการเมืองเหล่านั้นกลับเดินห่างออกจากความตั้งใจเริ่มต้นของตนเองในสายตาของคนอื่นมากนัก

เรามักมองเห็นสิ่งที่ตนเองทำได้ไม่ชัดเท่ากับที่คนอื่นมองเห็น ไม่ว่าจะดีหรือเลว

เจตนาดีไม่ได้นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป เหมือนที่บางคนชอบพูดประชดประชันว่าทำชั่วได้ดีมีถมไป

ว่ากันว่าอำนาจ และลาภยศสรรเสริญเป็นกับดัก และหลุมพรางที่น้อยคนนักจะสามารถต้านทานได้

วิธีที่ดีกว่าสำหรับบางคน คือ การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง หนีห่างจากเส้นทางที่สุ่มเสี่ยง แค่ไม่เบียดเบียน ไม่เอาเปรียบใคร สังคม และโลกก็ร้อนน้อยลงได้แล้ว

คนบางจำพวกให้ความหมายของความมั่งคั่งร่ำรวยว่า คือ“ความสุข” แต่มีความสุขอีกมากไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อหา



แค่มีเวลาเดินสูดอากาศในสวนสาธารณะ นั่ง เดิน วิ่ง ท่ามกลางสีเขียวระบัดของต้นไม้ใบหญ้า ได้สัมผัสแสงแดดอุ่นยามเช้า เพียงแค่นี้สำหรับบางคนพอแล้ว

ความดี ความงาม ความสุข ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่เกี่ยวกับมูลค่า ไม่เกี่ยวกับจำนวน

The 4 sisters เป็นละครเวทีเรื่องเล็ก ๆ ของกลุ่มคนรักศิลปะการแสดงในรูปแบบของละครเวที เพิ่งแสดงรอบสุดท้ายไปเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ละครโรงเล็ก มีที่นั่งแค่ 30 ที่ ราคาบัตร 350 และ 500 บาท

“แค่นี้จะคุ้มเหรอ?” ใครมีโอกาสได้ไปดูจะถามแบบเดียวกัน

ถ้ามีคนดูเต็มทุกรอบเหมือนรอบสุดท้าย คงไม่ถึงกับขาดทุน เพราะนอกจากรายได้จากการขายบัตร น่าดีใจที่ the 4 sisters มีสปอนเซอร์ใจดีช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้วย

กำไรสำหรับคนบางกลุ่ม ไม่ใช่ “เงิน” หากคือความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก และสุขยิ่งกว่าเมื่อสิ่งที่ตนเองรักได้แบ่งปันรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และจุดประกายแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ

การแสดงที่ทรงพลังของนักแสดงใน the 4 sisters สามารถถ่ายทอดสิ่งที่คนเขียนบท และผู้กำกับต้องการสื่อสารกับคนดูได้อย่างลงตัว แม้โดยคาแรกเตอร์ของนางโชว์สาวประเภท 2 ในเรื่องจะเต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาดเกินจริง

หัวเราะจนน้ำตาไหลกับหลายช่วงหลายตอน น้ำตาซึมในบางฉาก และครุ่นคิดกับ “สาร”ที่บทละครตั้งคำถามผ่านการแสดง

ทำไมนางโชว์สาวประเภท 2 ถึงไม่ร้อง เล่น เต้น แสดงด้วยบทเพลงที่ตนเองเป็นคนแต่ง ทำไมต้องลิปซิงค์ ทำไมต้องร้องแต่เพลงของคนอื่น

เป็นผู้หญิงปลอม ๆ (เทียม) ในชีวิตจริงยังไม่พออีกหรือ? เจ้าของ “มูนไลท์คาบาเร่ต์”ตั้งคำถามกับเหล่านางโชว์ โดยอธิบายถึงเหตุผลที่เธอบังคับให้นางโชว์แต่งเพลงเอง

“ฉันไม่ใช่นักแต่งเพลงมืออาชีพ ฉันทำไม่ได้หรอก ใช่ฉันร้อง ฉันเต้นเพลงที่คนอื่นแต่ง ใช่ฉันเป็นกะเทย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงจริง ๆ แต่ฉันเป็นฉันจริง ๆ ฉันเป็นกะเทย”

ฉันใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่ฉันเป็น และมีความสุขกับมัน

ฉันใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่ฉันเป็น และมีความสุขกับมัน
วันนี้จะเป็นโชว์สุดท้ายของร้าน เพราะเจ้าของมูนไลท์ตั้งใจจะปิดร้าน ทำไปก็ขาดทุน ไม่มีคนดู แม้จะรัก ผูกพันกับคาบาเร่ต์แห่งนี้มาตั้งแต่จำความได้

“ดี ดีกลัวพรุ่งนี้ไหม”เจ้าของคาบาเร่ต์ถามเด็กต่างด้าวในร้านเมื่อตนเองตัดสินใจปิดคาบาเร่ต์

“ไม่กลัว วันนี้ยังมีชีวิตอยู่”ดีตอบ คำไม่กี่คำ แม้สำเนียงจะฟังยากค่อนไปทางทำให้รู้สึกขบขันด้วยซ้ำ แต่ซีนนี้ไม่ขำ

อะไรแท้ อะไรเทียม อะไรปลอม อะไรจริง “คุณค่า” และความหมายสำหรับแต่ละคนไม่เท่ากัน และไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

การยอมรับความจริงบางครั้งต้องใช้ความกล้าเกินปกติ

จะกลัววันพรุ่งนี้ ซึ่งยังมาไม่ถึงไปทำไม ในเมื่อวันนี้ก็ยังอยู่ได้?

“ฉันไม่ค่อยเข้าใจความรักหรอกนะ แต่ฉันรู้ดีว่าความกลัวบางครั้งทำให้เรามีความสุขได้ไม่เต็มที่”ตัวละครในซีรี่ส์สเปนเรื่องหนึ่งพูด








 

Create Date : 08 มีนาคม 2553    
Last Update : 8 มีนาคม 2553 11:08:49 น.
Counter : 663 Pageviews.  

ทหารเรือกับโจรสลัด

"ทหารเรือกับโจรสลัด"

"ระหว่างหัวหมากับหางราชสีห์" ฉันได้ยินประโยคนี้บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยใส่ใจคิดถึงนึกถึง อาจเพราะไม่คิดว่าจะมีความหมายอะไรกับตัวเอง
แต่ไหนแต่ไรมา คิดแค่ว่าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักก็นับว่าโชคดีมากแล้ว แม้อาจจะไม่อาจพูดได้ว่ามาไกลกว่าที่คาดไว้
ปีเก่าไปปีใหม่มาถึงช่วงนี้ของปีทีไร เรามักถามตัวเองว่าวันคืนที่ผ่านไป เราใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง คุ้มค่า ดีไม่ดี และมีอะไรที่ไม่ควรทำ
เป็นคำถามที่หาคำตอบได้ง่ายนิดเดียว แต่รู้แล้ว ไม่ทำก็แค่นั้น
ปีนี้ต่างจากปีก่อน ๆ ตรงไหน "แก่ขึ้นอีกปี" เพื่อนร่วมวงไวน์ค่ำคืนวันศุกร์ (สุข) พูดขึ้นทันควัน
"เบื่อ ๆ บอกไม่ถูก ปีใหม่ปีเก่า ทำไมรู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนเดิมมาก" อีกคนพูดต่อ
"เหมือนเดิมนี่ ดีหรือไม่ดี" ฉันพูดขึ้นลอย ๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบ
"เออ รู้ยัง เจ้าส้มได้โปรโมตคุมทั้งแผนกเลยนะ" เพื่อนอีกคนเล่าถึงความก้าวหน้าของเพื่อนในกลุ่ม ผู้ซึ่งถนัดส่งเสียงตามสายมาทักทายเพื่อนฝูงมากกว่ามาให้เห็นตัวเป็น ๆ
"จริงดิ มันเก่งเนอะ" พวกเราที่ฟังอยู่ พูดขึ้นเกือบพร้อมกัน
"เออ แก้มก็เพิ่งย้ายงาน ได้ยินว่าเงินเดือนดีขึ้น ตำแหน่งใหญ่ขึ้น" เพื่อนคนเดิมพูดถึงเพื่อนอีกคน
"เหรอ ๆ ดีนะ บางทีบริษัทใหญ่ บริษัทเล็ก คิดไปก็แค่นั้น" อีกคนพูด และว่า "เหมือนที่เขาพูดกันไง ระหว่างหัวหมาหรือหางราชสีห์"
นั่นซิ "ถ้าเป็นแกล่ะ" เพื่อนคนเดิมหันมาถามฉัน
"ไม่รู้สิ ยังไม่เคยคิด" ฉันตอบ แต่ในใจคิดถึงคำพูดคล้ายกันของ "สตีฟ จ็อบส์" เจ้าของและผู้ก่อตั้ง "แอปเปิล" ยักษ์คอมพิวเตอร์ชื่อก้องโลก



"จ็อบส์" บอกว่า จะเป็นทหารเรือไปทำไม ถ้าคุณสามารถเป็นโจรสลัด ?
ระหว่างลูกจ้างกับเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ ระหว่างทหารเรือกับโจรสลัด ?
"ทหารเรือ และโจรสลัด" ต่างต้องใช้ชีวิตอยู่กับฟ้า อยู่กับน้ำ ต้องเผชิญคลื่นลมกลางทะเลกว้างเหมือน ๆ กัน แต่คนหนึ่งต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เคร่งครัด คอยทำตามคำสั่ง แต่อีกคนทำตามหัวใจ มีเกียรติน้อยกว่า แต่มีอิสระมากกว่า
เป็นลูกจ้างไม่ต้องกลัวเจ๊ง ไม่เสี่ยง แต่เงินน้อย ทำธุรกิจเอง เครียดกว่า เสี่ยงกว่า แต่ได้เงินมาก
จะเป็นอะไร จะไปทางไหน ทางเลือกมีมากกว่าหนึ่งเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะกล้าก้าวข้ามไปหรือเปล่า ไม่ว่าทหารเรือหรือโจรสลัด ไม่ว่าหัวหมาหรือหางราชสีห์ ในดีมีเสียในเสียมีดี
วงสนทนาในค่ำคืนนั้นไม่มีบทสรุปเหมือนทุก ๆ ครั้ง แต่ไม่มีใครคิดเห็นเป็นอื่น เมื่อเพื่อนคนเดิมพูดขึ้นว่า "ความสุขของคนทำงานอยู่ที่ความสบายใจ"
ก่อนนอนคืนนั้น ฉันหยิบสมุดเล่มเล็กพลิกหาคำคมประโยคยาวของ "จ็อบส์" ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
"จ็อบส์" บอกว่า ...คุณมีเวลาจำกัด เพราะฉะนั้นอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าติดอยู่กับคำสอน ซึ่งก็คือการใช้ชีวิตจากผลของความคิดของผู้อื่น อย่าให้เสียงความคิดเห็นของคนอื่น ดังกลบเสียงภายในของคุณเอง และที่สำคัญที่สุดคือ จงกล้าที่จะทำตามหัวใจเรียกร้องหรือสัญชาตญาณ เพราะบางครั้งมันบอกให้คุณรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงว่าคุณอยากเป็นอะไร ทุกอย่างนอกเหนือจากนี้ล้วนสำคัญรองลงมา...














 

Create Date : 27 มกราคม 2553    
Last Update : 27 มกราคม 2553 18:34:51 น.
Counter : 879 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.