สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 

เพราะอะไร

ห่างจากบล็อกไปนานจนแปลกใจตัวเอง

จู่ๆ ก็อยากกลับมาเขียนอีกครั้ง

เพราะอะไร

เพราะตัวอักษรไม่กี่คำนั้นนั่นแหละที่ดึงฉันย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น

นึกถึงคำพูดของตัวเองที่บอกกับใครบางคนไปว่า "สักวัน...จะเข้าใจ"

มาวันนี้ ฉันเข้าใจตัวเองในวันนั้นจริงๆ ใช่ไหม ...ก็คงใช่...เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว

ไม่ได้คุยกันนาน กลับมาคุยกันอีก แม้ไม่กี่คำ ก็ดึงความรู้สึกและภาพจำระหว่างเรากลับมาได้

ยังจำความรู้สึกดีๆ นั้นได้ดี ขอโทษนะที่ดูเย็นชา เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร

เห็นไหมว่า วันนี้มันก็แค่เรื่องเล็กๆ ของวันนั้น

สำหรับฉันวันนี้ อีกหน่อยเรื่องวันนี้ก็จะเป็นเรื่องเล็กๆ ในวันข้างหน้าเหมือนกัน

ใช่ไหมเธอ

มาฟังเพลงนี้ด้วยกันนะ ก็แค่เพลงๆ หนึ่ง ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร

"คำถามซึ่งไร้คำตอบ"getsanova

ฉันรู้ดีทำไมท้องฟ้ายามเช้า กลับดูมืดมนกว่าทุกวันที่เลยผ่าน

ฉันเข้าใจทำไมแสงจันทร์คืนนี้ เหน็บหนาวกว่าที่ฉันรู้สึก

ไม่คิดสงสัย ทำไม พอฟังเพลงรักวันนี้ กลับเศร้ากว่าทุกที ที่ได้ยิน

ไม่แปลกใจกลับความรู้สึกที่ฉันเผชิญอยู่ตอนนี้

แต่ยังมีหนึ่งคำถาม ที่ฉันไม่เข้าใจ เป็นหนึ่งคำถามที่ฉันยังตอบไม่ได้

เพราะอะไร เหตุใดเธอต้องไป

รักของเราที่สวยงาม จางหายไปตอนไหน

เพราะอะไร คำถาทนั้นค้างในใจ

อยากขอสักครั้งได้ไหม

กลับมาตอบคำถามที่มีแต่เธอที่รู้

ยังเก็บไว้ ความจำที่เคยสดใส เมื่อตอนที่เธอยังเคยอยู่

เพิ่งเข้าใจว่าความเดียวดายมันเหงาเพียงใด เมื่อเธอหายไป

แต่ยังมีหนึ่งคำถาม ที่ฉันไม่เข้าใจ เป็นหนึ่งคำถามที่ฉันยังตอบไม่ได้

เพราะอะไรเหตุใดเธอต้องไป รักของเราที่สวยงามจางหายไปตอนไหน

เพราะอะไร คำถามยังค้างในใจ อยากขอสักครั้งได้ไหม กลับมาตอบคำถามที่มีแต่เธอที่รู้




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2556    
Last Update : 10 ธันวาคม 2556 16:54:03 น.
Counter : 956 Pageviews.  

ใครสักคน


"ดีใจนะที่ได้เจอกัน"
"ดีใจเหมือนกัน ตั้งหลายปีเนอะ"เธอพูดพลางยิ้มตาหยีเหมือนเดิม
"ใช่หลายปี...."ฉันได้แต่พึมพำเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า ภาพตรงหน้าพร่าเลือน แต่สมุดบันทึกในใจเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้วยังแจ่มชัด

สิบเอ็ดปี คนตรงหน้าดูแปลกตาไปบ้าง แต่รอยยิ้มไม่เคยเปลี่ยน

รอยยิ้มที่ทำให้อีกคนทำตัวไม่ถูก สิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้านี้นานหลายเดือนหายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

สิบเอ็ดปีที่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร เราไม่เคยเจอกันอีกเลย เหมือนเมื่อวานเป็นแค่ความทรงจำในความฝัน ฉันไม่เคยลืมแต่หลายหนในหลายปีมานี้นึกถึงทีไรก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมนะเราถึงไม่ได้เจอกันเลย

หลายปีที่ผ่านมาได้แต่คิดว่าถ้ามีโอกาสเจอกัน....

เอาเข้าจริง ก็พูดได้แค่นี้ มือเย็นเฉียบ ข้างในเย็นเยียบกว่า

เอาเข้าจริง ฉันก็ไม่กล้า

ระหว่างเรา ไม่ใช่ซิ สำหรับเธอ ฉันเป็นคนๆ หนึ่งที่เธอเคยรู้จัก ในช่วงเวลาหนึ่ง กับมิตรภาพนั้นคำว่า "เพื่อน"ยังอาจมากเกินไป แค่คนเคยรู้จัก...

สำหรับฉัน...หลายปีมานี้ ไม่เคยลืม

ไม่ลืม แต่ก็ไม่เคยกล้า

เมื่อตะวันลับลา ฟ้าก็หมองมืดมน คงเงียบเหงาอ้างว้าง
เมื่อเธอลาลับไกล กลับอุ่นไอมิสร่าง ใจฉันค้างเคียงเธอ
รู้หรือไม่ว่าภายในดวงตาสองนั่น ฉันได้พบความอบอุ่นใจ
รู้หรือเปล่าว่าข้างในรอยยิ้มของเธอ ฉันอาจเพ้อละเมอคร่ำครวญ
คร่ำครวญ...
อยากจะบอกสักคำฉันได้ทำหัวใจอยู่ในความรัก
เมื่อตะวันนิทรา ฟ้าจะรอพบจันทร์
....ฉันจะฝันถึงเธอ...

(เพลงฉันจะฝันถึงเธอ) คำร้องทำนอง ดนู ฮันตระกูล
ขับร้องโดย สุภัทรา อินทรภักดี


https://www.youtube.com/watch?v=TYWsctWe8J8

...ฉันคงได้แต่ฝันถึงเธอ




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2553    
Last Update : 25 ตุลาคม 2553 20:14:18 น.
Counter : 508 Pageviews.  

ธนา เธียรอัจฉริยะ

ภาคต่อ "คนพลิกแบรนด์"(ดีแทค)
"การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่จุดเริ่มต้นและจุดจบ"

เด้งฟ้าฝ่า ! กรณี "มิสเตอร์แฮปปี้- ธนา เธียรอัจฉริยะ" โยกจากตำแหน่งแม่ทัพการตลาดไปคุม กลุ่มงานตั้งใหม่ Corporate Affairs and Strategy Group ในสายตาของคนนอกยากที่ใครจะคิดเป็นอื่น แม้ดูเหมือนว่าตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธ์องค์กร หรือ Chief Corporate Affairs and Strategy Officer กับความ รับผิดชอบใหม่ที่ว่าจะใหญ่โตและกินขอบเขตกว้างขวางไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตำแหน่งเดิม

ยิ่งภายในองค์กร ว่ากันว่าสั่นสะเทือนยิ่งกว่า เพราะตลอด 7 ปีที่ผ่านมา "ธนา" นับได้ว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงองค์กรในหลายด้าน สลัดภาพลักษณ์ หญิงแก่ที่ดูป่วยไข้ มาเป็นคู่แข่งตัวกลั่นที่ทำให้เบอร์ 1 ก้นร้อนมานักต่อนัก

ขวัญกำลังใจก็ด้วยการถอยออกจากตำแหน่งโคซีอีโอของตระกูลเบญจรงคกุลหลังขายหุ้นให้ "เทเลนอร์" แล้ว ภาพลักษณ์องค์กร "ฝรั่งหัวใจไทย" ในอดีตดูจะเลือนหายไปจนหมดสิ้น เพราะตำแหน่งสำคัญ ๆ ในแต่ละด้านล้วนเป็นฝรั่ง การมี ผู้บริหารคนไทยนั่งในตำแหน่งแม่ทัพการตลาด ซึ่งเปรียบได้กับผู้คุมกองกำลังหลักขององค์กร ย่อมทำให้พนักงานอุ่นใจกว่า

การแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าวยังมีคนพูดกันไปถึงขั้นว่า กระแสข่าวลาออกของ "ธนา" ที่ดังเป็นระยะ ๆ มาก่อนหน้านี้ อาจกลายเป็นจริงในอนาคตอันใกล้ก็เป็นไปได้

"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสพูดคุยกับ "ธนา เธียรอัจฉริยะ" ในหลายแง่มุมกับช่วงวันท้าย ๆ ในฐานะแม่ทัพการตลาด ก่อนขยับไปนั่งในตำแหน่งใหม่ในเดือน พ.ค.มีรายละเอียดดังนี้

- การเปลี่ยนแปลงมีผลกับตัวเองและ ทีมงานอย่างไร

ไม่คิดว่าจะมีอะไร น่าจะดีขึ้น เพราะส่วนที่ผมมาดู เป็นสิ่งที่ดีแทคขาดอยู่ ภายนอกมองว่าเราขาดการทำ Corporate branding การวางกลยุทธ์ระยะยาว ผมเองไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่นะ (หัวเราะ) ก็ตื่นเต้นกับมัน ทำให้เลือดในกายสูบฉีดอีกครั้ง คุณเพ็ตเตอร์ เฟอร์เบอร์ก (CMO : Chief Marketing Officer) คนใหม่กับผมก็ คุ้นเคยกันดี เขาเคยอยู่ที่ดีแทคในช่วงที่เรายังแย่ ๆ ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร มาทำงานต่อจากผมได้ทันที เขารู้จักคน ดีแทค รู้จักคนไทยพอสมควร

- รู้ล่วงหน้านานไหม

10 วัน แต่ใช้เวลาคุยกับคุณทอเร่ (ซีอีโอดีแทค) แค่ 5 นาที ผมว่าคุณทอเร่ก็คงงง ๆ ที่ผ่านมา ผมเองพูดกับน้อง ๆ ในทีมเป็นประจำว่า ผมคงไม่ได้อยู่ตรงนี้ตลอดไปนะ ทุกคนต้องปรับตัว บริษัทเราเป็น อินเตอร์เนชั่นแนล มีระบบ มีอะไรต่าง ๆ เหมือนที่ผมคุยกับดิสทริบิวเตอร์ ก็พูดกับเขาว่า ที่ต้องมีกระดาษ มีแฟ้ม มีไฟล์ เพราะถ้าผมไม่อยู่แล้ว เขาก็จะทำต่อได้เหมือนเดิม

พอถึงเวลาต้องเปลี่ยน ผมก็ลุกออกจากเก้าอี้ได้ง่าย ผมซ้อมไว้ในหัวบ่อยมาก ถ้าเราลุก น้อง ๆ จะทำยังไงต่อ

- มีทีมงานในความดูแลเท่าไร

เกือบ 2 พันคน จาก 5 คนในยุคแรก แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลง น้อง ๆ ก็มีอารมณ์ มีความรู้สึก เพราะเราอยู่ด้วยกัน ก็ผูกพันกัน ผมชอบพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาตัวเราเปลี่ยน ก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดี

การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่จุดเริ่มต้นหรือจุดจบ แต่เป็นจุดปกติที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

- ดูแลการตลาดมากี่ปี

7-8 ปี เปลี่ยนมา 7-8 ครั้ง ผมมาดูพรีเพดในปี 2002 เดือน พ.ย. ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราพ่ายแพ้สงคราม บาดเจ็บมาก คุณวิชัยคุณซิคเว่ให้ผมมาทำพรีเพด ก็สร้างแบรนด์แฮปปี้ขึ้นมา ถึงวันนี้ 7 ปีกว่า จากพรีเพดมาดึงโพสต์เพดดึงคอร์ปอเรต แบรนดิ้งมาดู

ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาที่ได้ประสบการณ์มาก ได้เรียนผิดเรียนถูกมาเยอะ ได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลง ทั้งจากหัวหน้า จากลูกน้อง จากตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้เข้าใจดีว่า เราเองก็ต้องปรับตัวตลอดเวลา


- สร้างแบรนด์แฮปปี้มากับมือ

ก็มีส่วนในช่วงแรก ในช่วงหลังก็ไม่เท่าไรแล้ว ส่งต่อให้น้อง ๆ ให้ทีมงานดูแล ซึ่งเขาก็ทำได้ดี สิ่งที่คิดว่าตัวเองได้สร้างจริง ๆ ในช่วง 7 ปีกว่า

ที่ผ่านมา น่าจะเป็นเรื่องทัศนคติของทีมงาน ให้เขามองเห็นปัญหา 2 แบบ แก้ได้กับแก้ไม่ได้ สร้างแรงผลักดันในการทำงาน เราทำงานกันเป็นทีม เพราะรักดีแทค ไม่มีอะไรเล็กไป สำหรับผู้บริหารทำได้หมด งานเปิดตัวไอโฟน หลังเลิกงาน เราก็ช่วยกันเดินเก็บขยะ ทำให้พนักงานและผู้บริหารรู้สึกเป็นทีมเดียวกัน

- มองตลาดมือถือปัจจุบันอย่างไร

ค่อย ๆ พัฒนาจากตลาดที่หาลูกค้าใหม่ คือเมื่อก่อนตลาดยังไม่เต็ม ต้องมีกลยุทธ์ในการหาลูกค้าใหม่ออกมาตลอดเวลา แต่ตอนนี้คือการโฟกัสที่ลูกค้า เนื่องจากลูกค้าใหม่ หามาไม่ได้ในเชิงปริมาณ การทำงานการตลาด จึงต้องโฟกัสไปที่ความชอบ ลูกค้าเป็นคนอย่างไร อยู่ที่ไหน กินอะไร หรือกลุ่มที่ชอบเทคโนโลยี เป็นต้น

โอเปอเรเตอร์วันนี้เข้าสู่ยุคลูกค้า เป็นศูนย์กลางที่แท้จริง แต่จะตีโจทย์อย่างไร

อีกหน่อยจะมีเรื่อง number portability (เบอร์เดียวทุกระบบ) เข้ามาด้วย

สำหรับดีแทคในอนาคต เราก็ต้องคิดถึงเรื่องการมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะมีไวไฟ เหมือนทรูไหม ต่อไปมีไวแม็กซ์ มือถือจะเป็นอะไรที่มากกว่า voice เป็นเรื่องการทำธุรกรรมทางการเงิน เราจะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอื่นเยอะ ดีแทคจะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นเรื่องที่ต้องคิด

หรือเราอาจจะเป็นเหมือนเดิมแบบนี้ก็ได้ แต่ต้องคิดต้องเตรียมตัว เรื่องธุรกิจใหม่ ๆ ก็อยู่ในความรับผิดชอบใหม่ ที่ผมต้องดูด้วย

- เตรียมตัวสำหรับงานใหม่อย่างไร

เอาความรู้สึกเป็นเด็กเมื่อ 7 ปีที่แล้วกลับมาใหม่ สมัยก่อนเราเริ่มกันยังไง เราไม่ได้วางแผน เราเริ่มจากการเดิน เดินไปหาลูกค้า ไปหาร้านค้า เพื่อรับรู้ปัญหา เราได้อะไรเยอะมากจากการเดิน

หนนี้ ผมก็จะเดินอีกครั้ง เดินไปใน หน่วยงานราชการ ฟังสื่อ หรือแม้แต่เทเลนอร์ เดินให้เยอะไว้ก่อน

- เดินวันนี้ คิดว่าง่าย หรือยาก

ตอนเป็นเด็ก ๆ เราจะมุทะลุกว่านี้ ตอนนี้มีความระมัดระวังมากขึ้น ผมไม่มีแคเรียร์พาท ไม่ได้อยากเป็นซีอีโอ หรืออยากใหญ่อยากโต

หลักในการทำงาน คือเดินให้เยอะ และทำให้สนุก ถ้าไม่สนุก จะทำยังไงให้สนุก พยายามสอนตัวเองเหมือนที่สอนน้อง ๆ

- กลุ่มงานใหม่จะมีคนเยอะไหม

พยายามจะให้เล็ก ๆ ก่อน หลายอย่างยังไม่ชัดเจน คุณทอเร่ก็มีไอเดียระดับหนึ่ง ผมก็มีระดับหนึ่ง ตอนนี้ขอเดินเยอะ ๆ เก็บข้อมูลไปก่อน

งานใหม่ที่ต้องทำเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนข้างนอกเยอะ เป็นเรื่องกฎหมาย หน่วยงานกำกับดูแลงาน พี.อาร์. ซีเอสอาร์ ภาพลักษณ์องค์กร เรียกว่าเป็นส่วนของ stakeholder ก็น่าจะได้ สมัยก่อนจะยุ่งกับส่วน customer

- การเปลี่ยนแปลงมีผลกับทีมงานมากไหม

ผมต้องอธิบายให้น้อย ๆ เข้าใจอย่างชัดเจน ซึ่งเท่าที่พูดกับพวกเขา เขียนอีเมล์ถึงพวกเขา ผมคิดว่าเขาน่าจะโอเคแล้วนะ ในระหว่างนี้ ผมก็ยังดูแลการตลาดอยู่ ยังวางแผนงาน 3-6 เดือนให้ เมื่อวานเจอคุณเพ็ตเตอร์ ก็คุยกัน เขาก็ยังบอกว่าอยากให้ช่วย เพราะผมถนัดเรื่องแบรนด์ ส่วนเขาถนัดเรื่องอินเทอร์เน็ต เรื่องดาต้า เขามี แบ็กกราวนด์ด้านการเงินเหมือนผม แต่ ตอนหลังไปดูเรื่องเดต้าเยอะ ซึ่งก็น่าจะเหมาะกับดีแทคในช่วงนี้มาก

- คนในองค์กรรู้สึกว่าฝรั่งคุมบริษัทไหม

ความรู้สึกมีเป็นธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับผมทำตัวยังไง ถ้าผมไปเป็นหัวหน้าม็อบ ก็พังเท่านั้น ผมว่าฝรั่ง หรือไทยทำงานได้หมด ไม่เกี่ยว อีกหน่อย CMO อาจเป็นคนไทยก็ได้ ถ้าเก่งพอ ถ้าเราเก่งพอ และพรีเซนต์ได้ ในระดับอินเตอร์เนชั่นแนลผมคิดว่าเทเลนอร์ เป็นบริษัทที่ยอมรับความสามารถคน

เรื่องไทยเรื่องฝรั่งเราต่างมีส่วนที่ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่เรียนรู้ได้ คุณทอเร่กับคุณซิคเว่ก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะเรียน เปิดใจแล้วเรียนสิ่งใหม่ ๆ หรือเปล่า

ผมว่าวันนี้ดีแทคมาไกลมากจาก 7 ปีที่แล้ว หลายคนสามารถเติบโตได้ดีในบริษัทอื่นในองค์กรอินเตอร์ได้

ทุกอย่างกลับมาที่เรื่องทัศนคติของคนอยู่ดี

- ที่บอกว่าไม่เคยอยากเป็นซีอีโอทำไม ชอบเป็นเบอร์ 2

เงินเดือนก็โอเคแล้ว ชีวิตจะเอาอะไรอีกล่ะ เอาเงินมากกว่านี้มา ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ผมชอบอยู่บ้าน ชอบเลี้ยงลูก ไม่ได้อยากให้คนรู้จัก ชีวิตก็ดีอยู่แล้ว แล้วจะเอาอะไรอีก ชีวิตแฮปปี้แล้ว ไม่รู้จะเป็นเบอร์ 1 ไปทำไม เป็นเบอร์ 1 ต้องรับแรงกดดันจากผู้ถือหุ้น ผมตอบไม่ได้ว่าจะเป็นเบอร์ 1 เพื่ออะไร ก็คงแล้วแต่คน

ถ้าเป็นแล้วไม่มีเวลากลับบ้านเร็ว เสาร์อาทิตย์ไม่ได้อยู่บ้าน ไม่เอา ผมว่าชีวิต ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว (หัวเราะ)

- จะลาออกไหม

ยังไม่คิด ผมคงไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดไป แต่ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ที่ผ่านมามีคนมาชวนนะ วันนี้ก็มี แต่ผมไม่คิดจะไปไหน อย่างที่บอกว่าทุกอย่างก็โอเคดีอยู่แล้ว





 

Create Date : 12 เมษายน 2553    
Last Update : 12 เมษายน 2553 13:14:29 น.
Counter : 761 Pageviews.  

มากกว่าจังหวะและโอกาส

งานยังวุ่นๆ เหมือนที่เคยวุ่น อาจวุ่นมากกว่า เพราะถึงคิวสัญจรที่ภูเก็ต (อีแล้ว)

ถัดจากภูเก็ตมีวันว่างๆ วีคเอ็นด์เดียว ถัดไปอีกวีคก็ต้องเดินทาง เดือนที่ผ่านต่อถึงเดือนนี้ และคาบไปเดือนหน้าอีกนิดหน่อยมีคิวไปโน่นมานี่ไม่ได้หยุด

เป็นสาเหตุให้ไม่มีเวลาหยุดคิดถึงอะไร แม้จะมีเรื่องที่อยากเขียน...

ไม่นิ่งพอไม่รู้เป็นไง

แปะงานในหน้าที่คั่นให้อ่านไปก่อนดีที่สุด (ทำเหมือนมีคนตามอ่าน) 555



รูปนี้ไม่เกี่ยวกับความเรียงข้างล่างที่เอามาแปะ

เป็นงานเขียนของอ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต อีกศิลปินคนโปรด นอกเหนือ
จากอ.ชลูด นิ่มเสมอ อ.ทวี นันทขว้าง อ.อวบ สาณะเสน และอ.สุเชาว์ ศิษย์คเณศ (เป็นต้น)

ก่อนหน้านี้ได้รูปใหม่จากคนรักภาพเขียนของอ.จักรพันธ์เหมือนกัน

เป็นรูปหญิงไทยอิริยาบทต่างๆ คนใจดีใส่กรอบยกมาให้นานแล้ว แต่คนได้มาเพิ่งหาที่แขวนที่คิดว่าลงตัวได้...ผลงานของอ.จักรพันธุ์เลยยังวนเวียนอยู่ใกล้ตัวยามนี้ นึกถึงก็คลิกเว็บชื่นชมไปพลาง รูปไหนที่ชอบมากหน่อยก็เซฟเก็บไว้หน้าจอ เช่น รูปนี้

..............
มากกว่าจังหวะ และโอกาส สิงห์สาวภูธร“ศิริญา เทพเจริญ”

อ่านบทสัมภาษณ์ “ศิริญา เทพเจริญ”ในนิตยสารดิฉันแล้วได้แต่อึ้ง ถามตัวเองว่าทำไมไม่เคยอ่านเรื่องของผู้หญิงคนนี้เลยจากสื่อไหนๆ มาก่อน
คอลัมส์เปิดอกในนิตยสารดิฉันให้คำจำกัดความสั้นๆ แนะนำ “ศิริญา เทพเจริญ”ว่า สิงห์สาวภูธรในยุทธจักรอสังหาริมทรัพย์
ยิ่งเห็นรูปที่เธอโพสต์ท่าประกอบเรื่องด้วยแล้วยิ่งแปลกใจ

ลองได้รับการยอมรับในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถึงขนาดนี้ ไม่เก่งคงเป็นไปไม่ได้

แต่นี่ทั้งสวย และเก่ง

ไม่รู้ว่าเธอหรือเราที่ไปอยู่ที่ไหนมา (ฮา)

เก่ง และสวยยังไม่พอ อายุยังน้อยมากด้วย (38ปี)

เริ่มคุ้นหูขึ้นบ้างเมื่อรู้ว่า คุณศิริญาเป็นเจ้าของโครงการ“ณุศาศิริ”

โครงการล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว คือ“บางกอก เมดิเพล็กซ์”ศูนย์รวมแพทย์เฉพาะทางใกล้แยกเอกมัย

สวย รวย เก่ง และประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ครบสูตรความน่าสนใจ แต่ยังไม่อึ้งเท่ากับที่รู้ต่อมาว่า คุณหมวย ศิริญาเรียนจบแค่ม.2

ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนโตมีพี่น้อง 6 คนในครอบครัวคนจีนทำให้ต้องเลิกเรียนเพื่อมาช่วยงานที่บ้าน ซึ่งทำธุรกิจรับซื้อพืชไร่ที่จ.หนองคาย ก่อนผันตัวเองมาทำบ้านจัดสรรในจ.อุดรธานี

เธอบอกว่า เข้ามาทำโครงการบ้านจัดสรรในเมืองกรุงจนได้รับสมญาว่า สิงห์สาวภูธรได้เพราะความบังเอิญ

ผู้ใหญ่ที่นับถือกันให้ช่วยซื้อที่ในหมู่บ้านปัฐวิกรณ์แถวนวมินทร์ เนื้อที่สิบกว่าไร่ ราคาสี่ห้าสิบล้าน ซึ่งตอนนั้นใครๆ ก็บอกว่าแพง แต่เธอซื้อเพราะเป็นผู้มีพระคุณ

ซื้อที่มาแล้วก็ต้องทำ ปรากฎว่าบ้านขายดีมาก เพราะในเวลานั้นเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงวิกฤต (ปี2542) จึงไม่มีใครเปิดโครงการใหม่มาแข่งเลย

บ้านเดี่ยว 50 ตรว. ราคา 1.99 ล้านขายหมดภายใน 2 อาทิตย์

จากนั้นเป็นต้นมาเธอก็เริ่มขยับขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2544 ซื้อหมู่บ้านร้างที่กรุงเทพฯกรีฑามูลค่า 300 กว่าล้านบาทมาทำต่อ หลังกดเครื่องคิดเลขคำนวณดูแล้วว่าคุ้ม

ตัดสินใจเร็วขนาดเจ้าของโครงการยังต้องถามว่าไม่กลับไปถามใครเลยหรือ

เธอบอกว่า ราคานี้คำนวณดูแล้วเหมือนได้มรดกฟรี เพราะเป็นโครงการที่สร้างไปแล้วกว่า 200 อาคารจึงเหมือนได้ที่ดินเปล่าแถมอีก 50 ไร่จึงตัดสินใจซื้อโดยไม่ลังเล

คุณหมวยใช้เวลาเพียงปีเศษก็ปิดโครงการได้ ได้กำไร 300-400 ล้านบาท
ตอนซื้อที่มีเงินสดในมือแค่เกือบร้อยล้านบาท ซึ่งต้องแบ่งสำหรับการวางเงินมัดจำ 50 ล้านบาททำให้ต้องรวบเงิน และทรัพย์สินทั้งหมดที่มีมาใช้เป็นเงินหมุนเวียน

ทำทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยว่าจะกู้เงินได้ไหม

แต่ด้วยความที่มีประสบการณ์พอตัวในธุรกิจบ้านจัดสรรทั้งที่จังหวัดอุดรธานี และโครงการก่อนหน้านี้ในกรุงเทพฯมาบ้างจึงมั่นใจว่า ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
ความรู้จริงในเรื่องที่ทำ และกล้าได้กล้าเสียเป็นคุณสมบัติของนักธุรกิจส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ

ไม่ใช่ใบปริญญาหรือคุณวุฒิการศึกษาใดๆ

ถัดจากโครงการนี้ก็ทำต่ออีกหลายโครงการ ทั้งเทคโอเวอร์คอนโดมิเนียมแถวรัชดามาปรับปรุงใหม่แล้วขาย ต่อมาถึงโครงการณุศาศิริอีกหลายแห่ง

“แฟนหมวยบอกว่าธุรกิจอสังหาฯเวลามา มาเหมือนฝนตกน้ำท่วม แต่เวลาไม่มา เหมือนทุ่งกุลาร้องไห้ คนทำอสังหาฯเวลาแห้งแล้งก็แห้งแล้งเลย”
หลักคิดในการทำธุรกิจของเธอว่ายึดถือเรื่องความซื่อสัตย์เป็นสำคัญ
“เราต้องซื่อสัตย์กับคนที่เราค้าขายด้วย”

ในการทำธุรกิจคำพูดสำคัญกว่าสัญญา คือสิ่งที่พ่อพร่ำสอนเธอมาตลอดตั้งแต่เด็ก

8-9 ปีตั้งแต่หันเหเข้าสู่เมืองกรุงทำไปแล้วกว่า 40 โครงการ
โครงการล่าสุดเป็นคอนโดมิเนียมหรูมูลค่าเกือบ 4 พันล้านบาทย่านเอกมัย ซึ่งใช้พื้นที่ด้านล่างของโครงการทำ “บางกอก เมดิเพล็กซ์” ศูนย์รวมแพทย์เฉพาะทาง

เข้าตำรา “อโรคยาปรมาลาภา”ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ (กว่าเงิน)
รวยแล้วไม่มีโอกาสอยู่ใช้เงินจะมีประโยชน์อะไร เหนื่อยฟรีเปล่าๆ (คุณหมวยไม่ได้พูดแต่คนอ่านคิดต่อเอง)

ของขวัญวันเกิดตัวเองในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้สำหรับคุณหมวย ไม่ใช่อยากรวยขึ้นหรืออยากได้เครื่องเพชรราคาแพง แต่อยากทำมูลนิธิด้านแพทย์ทางเลือกเพื่อช่วยคนจนให้มารักษาฟรี

“คนเรามาถึงจุดหนึ่ง บางครั้งเงินไม่ใช่ทั้งหมด”คือบทสรุปชีวิตในช่วงวัยที่เดินทางมาถึงปีที่ 38

คุณหมวยเป็นคุณแม่ลูก 5 จากการแต่งงาน 2 ครั้ง มีลูกติดของตนเอง 2 กับอีก 3 ของสามี

วิธีเลี้ยงลูกทั้ง5 คนของเธอน่าสนใจ และเรียบง่ายไม่ต่างอะไรกับสไตล์การทำธุรกิจของเธอ

คือการให้ความรักกับลูกทุกคนเท่ากัน ไม่ว่าลูกเธอหรือลูกเขา
เธอมองว่า ถ้ารักเขาจริงๆ ยิ่งเป็นลูกเลี้ยงยิ่งดี เขาจะรู้สึกดีกว่าลูกตัวเอง เพราะลูกเราเองคือหน้าที่

แม้คุณหมวยจะพูดถึงความสำเร็จของตนเองว่า เป็นเรื่องของจังหวะ และโอกาส หรือเก่งบวกเฮง เพราะไม่ได้มีพ่อแม่รวย ไม่ได้มีสามีรวย และไม่ได้ฟลุค แต่ถ้าเธอไม่คว้าไว้ และลงมือทำคงไม่รู้ว่าปลายทางของความกล้าที่จะลงมือทำ ทำ และทำ คือความสำเร็จ

ความจำเป็นทางบ้านอาจทำให้เธอไม่ได้เรียนต่อเหมือนเพื่อนคนอื่น แต่ได้เปิดทางให้เธอได้เรียนรู้ และเคี่ยวกรำในสังเวียนธุรกิจ และชีวิต(ครอบครัว) จนประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

สำหรับผู้เขียน เดดไลน์ในการส่งต้นฉบับกะทันหันก่อนเวลาปิดปกติ 1 วัน คือจังหวะ และโอกาส เมื่อลงมือทำ (เขียน)โดยไม่(มีเวลา)อิดออด ก็พบว่า ในที่สุดก็สำเร็จ (แปลว่า เสร็จ) ทันเวลา (เย้)











 

Create Date : 11 สิงหาคม 2552    
Last Update : 11 สิงหาคม 2552 12:59:31 น.
Counter : 9274 Pageviews.  

บิ๊กไอบีเอ็ม กับ work life integration กุญแจความสำเร็จ

work hard play hard ไม่ได้ตั้งใจยึดถือ แต่คิดๆ ดูบวกลบคูณหารเวลาในแต่ละวันกับสารพัดเรื่องที่ทำ หนีไปไหนไม่พ้นจริงๆ

work hard play hard ดีไม่ดีไม่แน่ใจนัก รู้แค่ว่าหนักไปกับเรื่องไหนมากเกินไป ไม่น่าจะดี

ฉันมักจะพูดกับคนใกล้ตัวบ่อยๆ เมื่อโดนค่อนขอดว่า ชีวิตนี้คงไม่มีอะไรสำคัญกับฉันเท่ากับงาน งาน และงาน

"เชื่อซิว่าเป็นช่วงวัย วัยอย่างเรามีแรง มีพลัง และโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่รักด้วย เวลาในชีวิตส่วนใหญ่ย่อมหมดไปกับงาน"

เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ หยุดคิดอีกที น่าตกใจเหมือนกันว่า เรามองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวไปไม่น้อย

เคยได้ยินคนพูดถึงการสร้างสมดุลย์ระหว่างชีวิตส่วนตัวกับงานบ่อยๆ ไม่น่าจะมีครั้งไหนที่ไม่เห็นด้วยทั้งๆ ที่รู้ว่า ยาก และไม่แน่ใจนักว่า คนพูดน่ะทำได้จริงๆ หรือเปล่า

จนไม่กี่วันก่อนโน่น เหมือนดวงตาเห็นธรรม (เวอร์ซะ) เมื่อได้คุยกับคุณแต๋ม ศุภจี สุธรรมพันธ์ ผู้บริหารหญิงคนเก่งของไอบีเอ็ม

มีโอกาสได้นั่งทานข้าวกับคุณแต๋ม ถ้าจะบอกว่า เป็นการเลี้ยงส่งก็น่าจะได้ เพราะคุณแต๋มกำลังจะบินไปทำงานที่นิวยอร์ค

หนึ่งปีนับจากนี้ คุณแต๋มจะไปประจำอยู่ที่โน่น ในฐานะผู้ช่วย "Sam Pamisano"ซีอีโอไอบีเอ็ม

ชื่อตำแหน่งเป็นทางการของคุณแต๋มยาวเหยียดว่า "Client Advocacy Executive, Supporting IBM Chairman, President and CEO Sam Palmisano"

นับเป็นคนไทยคนแรก แต่เป็นผู้หญิงคนแรกหรือเปล่าไม่แน่ใจที่ได้รับเลือกให้เข้าไปนั่งในตำแหน่งนี้

นับเป็นประสบการณ์ที่มีค่า และน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคต เพราะการได้โอกาสไปอยู่ที่โน่น ในช่วงที่อเมริกา และโลกกำลังเผชิญหน้ากับ"แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส"อย่างนี้ด้วยแล้ว

ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

นอกเรื่องไปตั้งไกล สิ่งที่ได้จากคุณแต๋มวันนั้นมีเยอะทีเดียว ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสคุยกัน พลัง และความกระตือรือล้นในการทำงานของคุณแต๋ม ไม่ได้ทำให้เรารู้สึก "ทึ่ง"เท่านั้น

แต่ยังส่งผ่านมาถึงพวกเรา อย่างน้อยก็ฉันให้รู้สึกกระฉับกระเฉงไปด้วย

ไม่ใช่การคุยกันในครั้งนี้ แต่มีครั้งหนึ่งจำได้ว่า คุณแต๋มพูดถึงการทำงานของตัวเองว่า ทุ่มเทแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่า มีคนตั้งฉายาว่า ศุภจี 24 ชั่วโมง อะไรประมาณนั้น

กลับมาเรื่องที่ตรงใจอีกรอบ

จากที่คุยกันล่าสุด ฉันถามเธอว่า

-มีหลักในการบริหารเวลาการทำงานกับชีวิตครอบครัวอย่างไร

คุณแต๋มตอบได้น่าคิดว่า "คนส่วนใหญ่ใช้หลัก "work life balance" เพื่อสร้างสมดุลชีวิตกับการทำงาน งาน 8 โมง-5 โมงเย็น หลังจากนั้นเป็นเวลาครอบครัว"

แต่ตัวเองบัญญัติศัพท์ใหม่ work life integration

เป็นการผสมผสานกันระหว่างชีวิตกับการทำงาน อยู่ในที่ทำงานก็ทำเรื่องส่วนตัวได้ เช่น เมื่อลูกมีปัญหาสามารถโทร.คุย ส่งแฟกซ์ ส่งอีเมล์มาถามการบ้านได้

เวลาอยู่ที่บ้านก็ทำงานได้ ยิ่งตอนนี้เป็นโมบายออฟฟิศด้วยแล้ว ทำงานที่ไหนก็ทำได้ ไปส่งลูกที่โรงเรียนก็ตัดสินใจเรื่องงานได้

ต้องทำอย่างนี้ชีวิตถึงจะไปได้ เพราะชีวิตการทำงานของเราเป็นแบบอินเตอร์เนชั่นแนลโซน ไม่สามารถทำงาน 8 โมง-5 โมงเย็นได้ จึงต้องผสมผสาน และต้องไม่เครียดกับมัน

และหลักสำคัญคือ ไม่เคยคิดว่า สิ่งที่ทำคือการทำงาน แต่เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิต

บางครั้งเราเป็นพนักงานอยู่ในบริษัท บางครั้งเป็นเจ้านาย เป็นเพื่อน เป็นแม่ เป็นภรรยา เป็นลูกสาว เราต้องรู้บทบาทหน้าที่

แต่ไม่ได้กำหนดว่าชั่วโมงนี้ทำหน้าที่เป็นภรรยา ชั่วโมงนี้เป็นอะไร เพราะบางทีเราทำไม่ได้ แต่การผสมผสานโดยที่รู้ว่าทำอะไรอยู่ และทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก็จะไม่มีปัญหา"

ฟังแล้วไม่แปลกใจว่าทำไม ผู้หญิงคนหนึ่งถึงก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งที่ความรับผิดชอบสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้

สมัยที่นั่งเป็นเอ็มดีไอบีเอ็มประเทศไทย คุณแต๋มไม่ได้เป็นผู้หญิงคนแรกที่ขึ้นมานั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งของยักษ์สีฟ้าในบ้านเราเท่านั้น แต่ขึ้นมานั่งเก้าอี้นี้ตอนอายุน้อยมากด้วย แค่ 38 ปีเท่านั้นเอง

(ถ้าเราอายุ 38 คงเหมือนเดิมอยู่เล้ย )


จำไว้นะ "work life integration"

ที่น่าสนใจมีอีกเรื่อง เป็นเรื่องการบริหารคน เมื่อเราถามว่า บริหารคนประเทศไทยยากที่สุด

คำตอบคือ "คนไทย"...

จริงๆ ต้องบอกว่า ไม่อึ้ง โดยมีคุณแต๋มช่วยอธิบายให้ว่า

"เพราะคนไทยไม่บอกความรู้สึกจริงๆ นั่งเข้าประชุมบอกโอเค แต่ในใจไม่ใช่ บอกโอเค เห็นด้วยเพื่อที่จะให้เลิกประชุมจึงต้องมีวิธีกระตุ้น ประกบ คอยเช็ก คอยถาม

แต่ไม่ใช่คนไทยทุกคนที่เป็น แต่ส่วนมาก คนไทยเวลาชอบก็บอกโอเค ไม่ชอบก็โอเค

วัฒนธรรมไทยสอนให้เกรงใจและไม่กล้าบอกแม้ไม่เห็นด้วย ซึ่งควรบอกมาเลยว่าไม่เห็นด้วย จะได้มาแก้ปัญหากัน

วิธีการคือต้องสร้างบรรยากาศให้มีความไว้วางใจซึ่งกันและกันสักพักหนึ่งจะออกมาเอง ถ้าไม่ไว้วางใจ ทำอย่างไรก็ไม่เวิร์ก

ประเทศอื่นยากตรงที่จะทำอย่างไรให้เขายอมรับเรา การเริ่มต้นทำงานกับเขาต้องทำให้เห็นว่าเราเข้าไปช่วยอะไรเขาได้บ้าง มีความจริงใจช่วยเขาจริงๆ ก็จบ

...




 

Create Date : 11 มกราคม 2552    
Last Update : 11 มกราคม 2552 23:01:17 น.
Counter : 881 Pageviews.  

1  2  3  4  

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.