สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 
อย่ากลัว the bucket list

ป้ายน้ำตาตัวเองป้อยๆ อีกแล้ว ระหว่างดู the bucket list
พล็อตของ the bucket list ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ได้ยินได้ฟังเรื่องประมาณนี้บ่อยๆ

เป็นเรื่องของคน 2 คนที่บังเอิญรู้ตัวว่า จะเหลือเวลาอยู่ในโลกใบนี้อีกไม่นาน ทั้งคู่ไม่พิรี้พิไร ว่าแล้วก็จัดการช่วยกันทำรายการสิ่งที่ตนเองอยากทำในช่วงเวลาที่เหลือ อาทิ

-ดิ่งพสุธา
-ปีนเอเวอร์เรสต์
-จูบผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก
-"สัก"
-ขับรถแข่ง
-ทำบุญกับคนแปลกหน้า
-หัวเราะจนน้ำตาเล็ด




นี่เท่าที่จำได้อ่ะนะ

พล็อตง่ายๆ แต่กินใจ และดูสนุก ต้องยกความดีความชอบให้กับ 2 นักแสดงนำผู้เยี่ยมยุทธตลอดกาล มอร์แกน ฟรีแมน และแจ๊ค นิโคลสัน

บุคคลิกของแจ๊ค นิโคลสัน ในเรื่องไม่ต่างไปจากบุคคลิกในหนังเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ของเขาเท่าไร ที่จำได้ที่สุดเป็น as good as it get ประมาณ บ้าๆ ขวางโลก แต่ขี้เหงา

เช่นเดียวกับฟรีแมนที่มาในแนวนิ่งๆ สุขุมนุ่มลึก

หนังเดินอย่างลื่นไหล และไม่พิรี้พิไร ชอบหลายๆ เวิร์ดดิ้งของฟรีแมน

"หัวเราะจนน้ำตาเล็ด"เป็นลิสต์รายการอันดับต้นๆ ที่ฟรีแมนเขียนไว้ แต่ทำสำเร็จเป็นท้ายสุด ก่อนวาระสุดท้ายของตัวเอง

เขาเล่าถึงที่มาของกาแฟสุดแพงที่แจ็คชอบหนักหนา ชอบถึงขั้น ขนาดไม่สบายยังหอบหิ้วเครื่องชงกาแฟ พร้อมเมล็ดกาแฟสุดโปรดมาตั้งไว้ในห้องที่รพ.ด้วย

"นั่นเครื่องอะไร"ฟรีแมนถามแจ็ค

"เครื่องชงกาแฟไง"พร้อมกับหยิบเมล็ดกาแฟยี่ห้อโปรดให้แจ็คดู และว่า "เคยลองมะ"

ฟรีแมนมองลอดแว่นดู และว่า "ไม่เคยอ่ะ แต่ฉันชอบกาแฟสำเร็จรูปมากกว่า"

เหตุการณ์ข้างต้นเกิดตอนต้นเรื่อง ช่วงที่ทั้งคู่เจอกันใหม่ๆ

แต่"หัวเราะจนน้ำตาเล็ดนี่"เกิดขึ้นก่อนจบเรื่องไม่นาน

ฟรีแมนเล่าที่มาของเมล็ดกาแฟสุดโปรดของแจ็คว่า รสอร่อยล้ำ และแพงแสนแพงนั้น เพราะเป็นเมล็ดกาแฟที่เก็บออกมาจากขี้ชะมด (มั้ง)

ทั้งกลิ่นและรสจึงลึกล้ำ ไม่เหมือนใคร

มุขนี้ (เรื่องจริงอ่ะนะ) ของฟรีแมนทำให้ทั้งคู่หัวเราะจนน้ำตาเล็ด

...
the bucket list ที่เหลือ ฟรีแมน ฟาก"แจ็ค"ช่วยสานต่อ เพราะรู้ตัวว่าไม่ไหวแล้ว ช้อตนี้กินใจเรียกน้ำตาอีกเช่นเคย

ทั้งคู่เจอกันอย่างคนแปลกหน้า ในรพ. (ที่แจ็คเป็นเจ้าของ)

ห้องพิเศษในรพ.มี 2 เตียง ฟรีแมนอยู่ก่อน มีแจ็คเป็นเพื่อนร่วมห้องคนใหม่

ทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายด้วยกันจึงจากกันอย่างเพื่อน ไม่ใช่คนแปลกหน้า

หนังเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งคำถามให้คนดูคิดต่อว่า เราอยากให้คนอื่นจดจำเราแบบไหน แต่ทำให้เราหันกลับมาให้เวลากับตัวเอง ถามเองตอบเองว่า มีอะไรมั่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำมั่ง

อย่ากลัว และอย่าช้านะเว้ย

นั่นซินะ



ไม่รู้ว่า ต้องดูหนังอีกกี่เรื่อง อ่านหนังสืออีกกี่เล่ม

ถึงจะเลิก "ว่าจะ... ว่าจะ เลิกคิด...แล้วลงมือ"ทำ"สักที นะ

ในหนังเรื่องเดียวกัน มีการสอดแทรกสถิติว่าด้วยเรื่องของการรู้ และไม่อยากรู้ว่า

90 กว่า% ของคนในโลกใบนี้ ไม่อยากรู้วันตายของตัวเอง

นึกย้อนถึงตัวเอง แน่ใจว่า ไม่กลัวตาย

กลัวก่อนตายมากกว่า เพราะกลัวเจ็บ...

ตั้งแต่เกิดมาจนโตป่านนี้ ที่ถึงกับเลือดตกยางออกหนักๆ ถึงขั้นนอนโรงพยาบาลมีหนเดียว

จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า สักป.4-ป.5

วีรกรรมในครั้งนั้นยังถูกนำมาพูดถึงอยู่บ้าง นานๆ ครั้ง เวลาม่ามี๊อยากรื้อฟื้นความทะโมนของลูกตัวเอง

จำเหตุการณ์นั้นได้ไม่ปะติดปะต่อ

ที่จำได้แม่นเป็นเสียงร้องกระจองงองแงที่แยกไม่ออกว่า เป็นของตัวเองหรือน้องหรือพี่

ช่วงปิดเทอมกลางฤดูร้อนปีนั้น ปะป๊าตั้งใจพาลูกๆ ไปว่ายน้ำ เพราะสระน้ำยังไม่เปิดหรือเพราะอะไรจำไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่ได้ว่าย

พี่ชายคนโตเลยเป็นตัวตั้งตัวตีชวนพวกเราเล่นวิ่งไล่จับ หรือซ่อนหาไม่แน่ใจ
ทันทีที่เสียงนับถอยหลังดังขึ้น บรรดาทะโมนทั้งหลายก็วิ่งกันจู๊ดจากที่ตั้งอุตลุด

ฉันเองวิ่งตื๋อไปที่ระเบียงเร็วจี๋ ได้ยินเสียงพี่ชายตะโกนไล่หลังมาแต่ไม่ทันซะแล้ว...

เปรี้ยงง เพล้งๆ ตามมาด้วยเสียงร้องวี้ดว้าย ..ฮือๆ

กระจกกั้นระหว่างห้องกับระเบียงดาดฟ้าชั้นเท่าไรไม่รู้ แตกทั้งบาน

โชคยังดีที่ชนเปรี้ยงแล้วหยุดอยู่กับที่ ถ้าทะลุเลยดาดฟ้าลงมาคงไม่เหลือถึงวันนี้อ่ะนะ

เลือดอาบเต็มตัว โชคดีที่หน้าไม่เป็นไร มีแต่ขากับแขน

อ่อจำเหตุการณ์ระหว่างเดินทาง และในห้องผ่าตัดได้อีกนิดหน่อย เพราะปีนั้นน้ำท่วมแถว.ถ.สุขุมวิท (ที่ตั้งคอนโด) รถจึงติดวินาศสันตะโร ระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมงในวันนั้นจึงนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ สำหรับพวกเราทุกคน

ปะป๋ากับหม่ามี๊คงขวัญกระเจิงไม่แพ้พวกเราพี่น้อง

คิดดูละกันว่า มีเด็ก 3-4 คน แข่งกันร้องไห้เสียงดังสนั่นหวั่นไหวแบบนันสต็อปไปตลอดทาง

แถมขับรถไปถึงคลินิคที่ใกล้ที่สุด หมอดันไม่รับซะอีก ไม่รู้ทำไมอ่ะนะ

ที่สุดไปจบที่สมิติเวช

ในห้องผ่าตัด จำได้ว่า คุณหมอชวนเราคุยเจื้อยแจ๊วตลอดเวลาที่เย็บแผล
คงอยากให้เราหยุดร้องไห้ และหายกลัว

นั่นล่ะ เป็นความรู้สึกเฉียดที่สุดแล้ว

จิ๊บๆ อย่างนี้เอง ถึงมัวแต่ ว่าจะว่าจะ คิด คิด คิด อยู่นั่นล่ะ
ไม่ลงมือทำอะไรสักกะที






Create Date : 20 เมษายน 2552
Last Update : 20 เมษายน 2552 16:29:41 น. 6 comments
Counter : 857 Pageviews.

 
เพิ่งได้ดูไปเหมือนกันค่ะ ชอบๆๆ


โดย: mma_mmi วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:11:48:06 น.  

 
เราขอเลือกปีนเขาเอฟเวอร์เรส นะ


โดย: kung IP: 202.142.193.21 วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:12:18:03 น.  

 
อยากหลายอย่างเลยอ่ะ แต่จะมีเงินทำไหมนี่ดิ


โดย: uan IP: 202.60.199.116 วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:13:30:28 น.  

 
โอว...ขอเลือกจูบผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก แต่เธอต้องแปรงฟันก่อนด้วยนะ แล้วก้อช่วยออกค่าตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก และค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางมาให้ด้วย


โดย: ผักบุ้งลวก IP: 124.122.213.15 วันที่: 21 เมษายน 2552 เวลา:18:55:46 น.  

 
ตามมาหาเรื่องใหม่ๆอ่าน...แล้วก็เจอจริงๆด้วยล่ะ :)
มีอะไรหลายอย่างที่อยากทำ... แต่ด้วยความจำกัดของเวลาอ่ะนะ ทำให้ มันทำไม่ได้สักที
ต้องโทษความไม่รู้มั้ง ว่าจะหมดเวลาเมื่อไหร่
ผลัดๆไปก่อน และได้แต่หวังว่า สักวัน คงจะได้ทำ
มันคงไม่สายไปหรอกมั้ง


โดย: :) IP: 75.22.31.200 วันที่: 22 เมษายน 2552 เวลา:2:38:18 น.  

 
wonderful post, very informative. I wonder why the opposite experts of this sector do not understand this. You must continue your writing. I am confident, you've a huge readers' base already!
Oakley oil rig Sale //www.alteollc.com/development.html


โดย: Oakley oil rig Sale IP: 94.23.252.21 วันที่: 2 สิงหาคม 2557 เวลา:9:19:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.