สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 

ตัวฤทธิ์ตัวน้อย

ยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้ง (คิดว่านะ แม้จะไม่เคยจับปู)
อีนุงตุงนัง วุ่นวาย ยุ่งเหยิงสุดอลหม่าน
เมื่อ 2 ตัวฤทธิ์มาเจอกันในที่กว้างๆๆ

เหตุเกิดเมื่อวึคเอ็นด์ก่อนโน้น แค่นึกถึงยังเหนื่อย...อะไรจะขนาดนั้น
วีคเอ็นด์โน้น หลังกลับจากเชียงใหม่คืนวันเสาร์

เจอะหน้า เจ้าตัวฤทธิ์หลานคนโต "บิ๊กไบร์ท"มาพร้อมเสียงเจื้อยแจ้วว่า
"พรุ่งนี้จะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เด็ก"
.."ต้องไปๆ ด้วย สัญญาแล้ว"บิ๊กไบร์ทพูดไม่ทันขาดคำ เจ้าตัวเล็ก (น้องเล็กแต่ตัวไม่เล็ก)"ซัน ซัน"ก็ประสานเสียงเซ็งแซ่ สนับสนุนเฮียไบร์ททันควัน
"ไปเที่ยวๆ ไปเที่ยว"พร้อมกระโดดหยองแหยง

"พรุ่งนี้เรอะ"ฉันหันไปถามน้องสาว ม่ามี๊ของซันซัน พลางคิดในใจว่า งานใหญ่เข้าอีกแล้วตู... โชคดีทริปเชียงใหม่ที่เพิ่งไปมาหมาดๆ ไม่เหนื่อยนัก...ไปก็ไป...

สถานที่เป้าหมาย...


วีคก่อนโน้นอีกที เราไปงานหนังสือเด็กที่ศูนย์สิริกิต์ ปะบูทของรักลูก (หวังว่าคงจำไม่ผิด) ขายบัตรเมืองเทพนิยาย ประมาณว่า มีเรื่องเจ้าชายเจ้าหญิงเทพนิยายของวอลท์ดิสนีย์ จัดที่พิพิธภัณฑ์เด็ก

ดูแล้วเหมือนจะน่าดูสำหรับเด็ก โดยเฉพาะเด็กน้อยซัน ซัน ที่กำลังเป็นโรคเจ้าหญิงฟีเวอร์มั่กๆ ก่อนหน้านี้ก็ พี่ก้านกล้วย (ช้างจากการ์ตูนดัง) มั่กๆ หลังๆ เริ่มซาไป แต่ she ก็ยังคงทำท่า และส่งเสียง..แปร๊นๆ แบบพี่ก้านกล้วย และบอกว่า คือตัวเธออยู่เลย (ฮา)


และถ้าซื้อตั๋วชุดในงานจะถูกกว่าไปซื้อบัตรหน้างาน ว่าแล้วเราก็เลยซื้อ (บัตรชุดถูกกว่า แต่ไม่ถูกเท่าไรนะยะ)

ยิ่งไปดูแล้ว ในสายตาฉัน...ราคาบัตรยิ่งแพง...นึกถึงปราสาทเจ้าหญิงเจ้าชายที่แดนเนรมิตสมัยเด็กๆ ตอนโน้นปราสาท ช่างใหญ่โต อลังการ ไปดูตอนโตตอนอำลา "แดนเนรมิต"

ปราสาทใหญ่โตเหลือเล็กนิดเดียว ไม่รู้ว่า ความทรงจำของเจ้า 2 ตัวฤทธิ์ในอนาคตกับฉากจำลองนิทานเรื่องต่างๆ ของวอลท์ดิสนีย์ ในพิพิธภัณฑ์เด็กจะเป็นยังไง



สองซนถ่ายในคืนวันเสาร์ กับตุ๊กตาสานรูปม้า กะนก และดอกไม้

ของฝากจากเชียงใหม่ ก่อนกลับไปเดินเล่นถ.วัวลาย (ไม่ค่อยมีไรอ่ะ เพราะไปเร็วด้วยมั้ง) เจอคุณยายอายุม๊ากมาก นั่งรถเข็นสานตุ๊กตาขาย

สงสารยายด้วย นึกถึงเจ้าตัวเล็กด้วยเลยซื้อมา...ชอบใจกันใหญ่ แต่พอหยิฐตุ๊กตาหมาน้อยตัวยาว ที่ซื้อมาจากนันทขว้างออกมา เจ้าสองตัวฤทธิ์กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่


น้องซัน ซัน
กับพี่ไบร์ท



...ตัดมาที่เช้าวันรุ่งขึ้น...
หลังตื่นนอน อาบน้ำแต่งตัว กินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งคู่กระโดดโลดเต้น ส่งเสียงดังปานฟ้าจะถล่มทลาย (ถือเป็นปกติเมื่ออยู่ด้วยกัน)

ก็จับใส่รถไปพิพิธภัณฑ์เด็ก เจ้าตัวเล็กซันๆ มีฤทธิ์ได้พักเดียวก็หลับซะงั้น ตั้งแต่ยังไม่ถึงที่หมาย คงเพราะตื่นมาซนกับพี่ไบร์ทแต่เช้า


ถึงที่หมายเรียบร้อย ก่อนเริ่มทัวร์พิพิธภัณฑ์เด็กๆ ก็ต้องรอให้เจ้าตัวเล็กตื่นอีกพักใหญ่ๆ

สายๆ นั้น คนไม่หนาตาเท่าไร คงเพราะเพิ่งสิบเอ็ดโมง สนามเด็กเล่นที่นี่น่าสนใจดี มีบูทสินค้าสำหรับเด็กมาตั้งให้เด็กเล่นเกม พร้อมสำรวจความเห็นพ่อแม่ด้วยประปราย



ตื่นแล้วก็ออกฤทธิ์ทันที วิ่งไม่หยุด จนจับแทบไม่ทัน ยิ่งเจอคู่หูด้วยแล้ว ไปกันใหญ่ งานนี้คุณยายเหนื่อย...อิอิ

หลังตื่น เราก็เข้าสู่ภารกิจทัวร์ดินแดนเทพนิยาย


สมาชิกทัวร์อีนุงตุงนังประกอบด้วย คุณยาย ม่ามี๊ ปะป๊า น้องซันซัน พี่ไบร์ท และช่างภาพ (อิอิ)

หนูอยากเป็นเจ้าหญิง



กัปตันไบร์ท




คุณยายขอแจม คุณยายนำทีมคุณหลานๆ เล่นไรดีอ่ะ พื้นดนตรี...คือว่า ที่พื้นจะมีไฟขึ้นพร้อมเสียงดนตรี เมื่อไฟขึ้นต้องรีบเหยียบให้ทัน เหยียบปั๊ปจะมีเสียงดนตรีขึ้น...เหมือนเกมเต้นอ่ะนะ

ปะป๊ากับน้องหนู และพี่สโนไวท์


พี่ไบร์ทรักหนังสือ



ทั้งหลายทั้งมวลที่เราไปล้วนอยู่ในโลกของนิยาย "วอลท์ดิสนีย์"



หนุ่มน้อยในกองฟาง



ซัน ซัน โฟโต้ อัลบั้ม
หนูรักเจ้าหญิง



ใครสวยกว่ากัน


กับปะป๊า


คุณยาย พี่ไบร์ท และปะป๋า


พรมวิเศษ


หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวหนุกหนานกันใหญ่ ที่ซีนพรมวิเศษนี้ มีอัดดีวีดีไว้ด้วย นั่งอยู่บนพรมโยกเยกไปมา ตอนหลังเอาไปตัดต่อใหม่ ใส่ท้องฟ้า และทำให้พรมวิ่งเหมือนในการ์ตูน

จิ้มๆ ลูกแก้ววิเศษ



ที่พิพิธภัณฑ์เด็ก มีห้องสมุดด้วย ถือเป็นที่พักเหนื่อยได้อย่างดี แอร์เย็น คนไม่เยอะ มีเบาะให้นั่งนุ่มๆ

หน้าห้องสมุด มีรถเมล์ กะรถดับเพลิง




รถดับเพลิงสีแดงๆ อยู่ข้างหลังโน้นเลย



ปิดท้ายด้วยรูปนี้ซะงั้น
ทริปหน้าจะไปไหนกันต่อดี ยังไม่รู้ เจ้าสองตัวฤทธิ์แรงดีไม่มีตก วิ่งวุ่นตลอดทริป จนย่ำค่ำ ก็ยังแรงเหลือ

ผ่านมาวีคนึงแล้วยังเหนื่อยไม่หาย (เวอร์มะ) อิอิ




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2551    
Last Update : 25 สิงหาคม 2551 11:47:23 น.
Counter : 1442 Pageviews.  

ดาบนั้นเมื่อไรจะคืนสนอง?

กรรมใดใครก่อ?

ทุกวันนี้เราเชื่อเรื่อง กฎแห่งกรรมกันสักแค่ไหนกัน
กรรม คือผลของการกระทำ ฉันเชื่อนะ และคิดว่าหลายคนเชื่อเหมือนกัน
เชื่อด้วยว่า ดาบนั้นคืนสนองแน่ ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

ไม่รู้ทำไม นึกถึงเรื่องนี้ เมื่ออ่านข่าวเรื่องในเว็บข่าวประชาชาติธุรกิจ //www.prachachat.net

ไปตามอ่านเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกทีใน "มติชนออนไลน์" //www.matichon.co.th

เรื่องนี้เงียบหายไปนานและจะไม่เป็นประเด็นขึ้นมาอีกเลย ถ้า คำพิพากษาของศาลฏีกา ยกฟ้องคดีที่นายโภคิน พลกุล อดีตรมต.สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายเทพเทือก-สุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์

โภคินฟ้องเทพเทือกเรื่องอะไร??
ทำไมศาลถึงยกฟ้อง???

ฉันคงไม่สนใจเลย ถ้าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท เมื่อ 11 ปีที่แล้ว (2ก.ค.2540 รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)

ไม่กี่วันก่อน กลับไปรื้อพ็อกเก็ตบุ๊กที่เขียนเล่มแรก เมื่อหลายปีก่อน

เป็นเรื่องของคุณบุญชัย เบญจรงคกุล อดีตเจ้าของดีแทค (3 ปีก่อนเบญจรงกุลตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดของตนเองให้เทเลนอร์ ก่อนหน้ากลุ่มชินคอร์ปไม่กี่เดือน)

พ็อกเก็ตบุ๊กเล่มนั้นชื่อ "ด้วยบุญดั่งนี้จึงมีชัย"

ยังจำบรรทัดแรกๆ ของบทแรกได้ดี

"คุณบุญชัยครับ รัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาทแล้ว" ผมจำได้ว่าเมื่อเสียงจากปลายสายเงียบลง

ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่ง

..."วันนั้น ผมยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เหม่อมองไปยังถนนเบื้องหน้า มองฟ้า มองนก มองไปไกล ใครมาเห็นผมตอนนี้ ถ้าไม่รู้จักผมดีพอ คงคิดว่าผมจะกระโดดตึก"

....การลอยตัวของค่าเงินบาท เกี่ยวอะไรกับการฆ่าตัวตาย ด้วยการ "กระโดดตึก"

...เพราะการลอยตัวค่าเงินทำให้บริษัทใหญ่น้อยของไทยที่กู้เงินต่างประเทศมาลงทุน จากเป็นหนี้ธรรมดาๆ กลายเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว

ไม่ล้นพ้นตัวได้อย่างไรกัน ก็ค่าเงินกระโดดจาก 25 บาทต่อดอลล่าร์ เป็น 50 กว่าบาท

ยูคอมและแทคของคุณบุญชัย จากเป็นหนี้ 3-4 หมื่นล.กระโดดเป็น 7 หมื่นกว่าล้าน

กลุ่มทีเอ หรือทรูวันนี้ก็หนักหนาเช่นกัน หนี้กระโดดพรวดไปเป็น 9 หมื่นกว่าล้าน

แทค หรือดีแทควันนี้ต้องยอมขายหุ้นให้"เทเลนอร์"ก็เพราะเหตุนี้

การลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อ 11 ปีก่อน เป็นมรสุมร้ายระดับสึนามิ หรือไม่ก็น้องๆ สึนามิสำหรับบริษัทน้อยใหญ่ในบ้านเราขณะนั้น

ค่ายสื่อสารในบ้านเรา โดนกันถ้วนหน้า เพราะกู้เงินต่างชาติมาลงทุนทั้งนั้น

มีรายเดียวที่รอดมากได้ คือกลุ่มชินวัตร หรือชินคอร์ปทุกวันนี้

"เพราะการบริหารจัดการทางการเงินอย่างคอนเซอร์เวทีฟของเรา ทำให้รอดมาได้" ผู้บริหารกลุ่มชินมักเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยความภูมิใจ เมื่อมีใครถามถึงวิกฤตค่าเงินบาทในสมัยโน้น

....ฉันได้แต่คิดว่า..."ช่างโชคดีจริงๆ"

จนมาอ่านคำพิพากษาศาลฏีกา....

"กรรมใดใครก่อ"

...หลายปีก่อน พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์หลายครั้งยืนยันว่า คนที่รู้เรื่องการลดค่าเงินมีแค่ 3 คน ตัวเขา ผู้ว่าแบงก์ชาติและรมต.คลังในขณะนั้น

แต่จากคำพิพากษาฉบับนี้ ซึ่งนายโภคินฟ้องสุเทพ เพราะสุเทพอภิปรายกล่าวหาว่านายโภคินรู้เรื่องนี้ เพราะอยู่ในห้องประชุมในการหารือเรื่องลดค่าบาทด้วย

ศาลยกฟ้อง เพราะสืบข้อมูลเป็นที่ยอมรับได้ว่า นายโภคินอยู่ในห้องประชุมด้วยจริง

ศาลฏีกาจึง ยกฟ้องคดีที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเทพเทือก

ถ้าผู้ที่อยู่ในห้องประชุมในวันที่รัฐบาลตัดสินใจลดค่าเงินบาท ไม่ใช่แค่ 3 คน ตามที่บิ๊กจิ๋วยืนยัน

ถ้านายโภคิน เป็นบุคคลที่4

จะมีมากกว่า 4 หรือไม่ และใครกันบ้างที่รู้เรื่องนี้
รู้ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศลอยตัวค่าเงินบาท

และเมื่ออ่านต่อไป

อึ้งมากๆ จะไม่ให้อึ้งได้อย่างไรกัน

ไม่เชื่อ ลองอ่านดูดิ

สำนักข่าวอิศรารายงานถึงกรณีที่ศาลฎียกยกฟ้องคดีที่นายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก นายสุเทพ เทือสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กับหนังสือพิมพ์อีก 8 ฉบับเป็นเงินกว่า 2,500 ล้านบาท

กรณีที่นายสุเทพอภิปรายในญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 26 กันายน 2540 โจมตีเรื่องการลดค่าเงินบาทว่า สงสัยนายโภคินจะนำความลับเรื่องการลดค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ของรัฐบาลไปบอก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ทำให้บริษัทของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ประโยชน์จากการลดค่าเงินว่า จากการตรวจสอบรายงานการประชุมสภาครั้งดังกล่าวพบข้อมูลที่น่าสนคือ

พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีได้ลุกขึ้นตอบนายสุเทพซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่ารู้เรื่องการประชุมเรื่องการลดค่าเงินบาทที่ทำเนียบรัฐบาลเพราะมีคนแจ้งไป ดังรายละเอียดต่อไปนี้

"เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม ( 2540 ) กลางคืนวันนั้น บังเอิญผมทานข้าวกับผู้ใหญ่ที่ผมนับถือร่วมกับนักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนหนึ่ง ประมาณ 4 ทุ่ม มีคนโทรมาบอกผมว่า ได้มีการพบปะกันอย่างซีเรียสมากที่ทำเนียบ มีคน 4 คนคือ นายกฯ ( พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ), นายเริงชัย มะระกานนท์ ( ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยขณะนั้น ), นายทนง พิทยะ และ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ( รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ) เพราะผมรู้ว่า นายชัยวัฒน์ เป็นผู้จัดการกองทุนรักษาระดับ

ผมเลยเดาแล้วยังบอกกับผู้ใหญ่คนนั้นกับนัก นสพ. อาวุโส ว่า สงสัยจะมีการลดค่าเงินบาทแน่ เพราะถ้ามีผู้จัดการทุนรักษาระดับเข้าไปร่วมด้วยในการพิจารณาซีเรียสอย่างนั้น ผมเดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือคือ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ครับ ผมอยู่กับท่านวันที่ 1 กรกฏาคม ตอน 4 ทุ่ม"


รายงานการประชุมสภาผู้แทนฯชุดที่ 20 ปีที่ 1 ครั้งที่ 25-26 ( สมัยสามัญครั้งที่ 2 เล่ม 21 พ.ศ. 2540 ) หน้า 179 -181--


กรรมใดใครก่อ....

ดาบนั้นคืนสนอง

หรือว่า ได้คืนสนองไปบ้างแล้วกันนะ

...แนะนำให้อ่านฉบับเต็มๆ ได้ที่

//www.matichon.co.th/news_scoop.php?id=159






 

Create Date : 08 เมษายน 2551    
Last Update : 9 เมษายน 2551 18:40:07 น.
Counter : 507 Pageviews.  

แสงหนึ่งคือรุ้งงาม

แสงหนึ่งคือรุ้งงาม



ข่าวในพระราชสำนัก รายงาน สำนักพระราชวัง มีประกาศเรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ เมื่อเวลา 02.54 น. วันที่ 2 ม.ค.2551

วันนี้ (2 ม.ค.) สำนักพระราชวัง มีประกาศเรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ ความว่า

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2550 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และได้สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 02.54 น. วันที่ 2 ม.ค.2551 รวมพระชันษา 84 ปี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพถวาย พระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในบรมมหาราชวัง

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนัก ไว้ทุกข์ถวายมีกำหนด 100 วัน ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์เป็นต้นไป

อนึ่งทรงพระกุรณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระศพ หน้าพระฉายาลักษณ์ ซึ่งประดิษฐาน ณ ศาลาสหไทยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 13.00 น. -16.00 น. วันพุธที่ 2 ม.ค.2551

ขณะที่ สำนักนายกรัฐมนตรี มีประกาศ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ ว่า

ตามที่ได้มีประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ ลงวันที่ 2 มกราคม 2551 รัฐบาลได้รับทราบด้วยความโทมนัสอย่างยิ่ง และได้พิจารณาเห็นว่า โดยที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงต่อพสกนิกรชาวไทยตลอดมา จึงเห็นสมควรประกาศดังต่อไปนี้

1.ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษา ทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสามีกำหนด 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2551 เป็นต้นไป

2. ให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจไว้ทุกข์ มีกำหนด 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2551 เป็นต้นไป












'เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ' พระเจ้าพี่นางเธอฯกษัตริย์ 2 พระองค์ รัชกาลที่ 8- รัชกาลที่ 9

ข้อมูลจากมติชน

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2550

ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์ เมื่อเวลา 2 นาฬิกา 54 นาที วันที่ 2 มกราคม 2551 รวมพระชันษา 84 ปี

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์แรกในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี โดยทรงมีพระอนุชา 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ 9

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ เมื่อยังทรงพระเยาว์



สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงย้ายครอบครัวไปพำนัก ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อการศึกษาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงสำเร็จการศึกษา วิทยาศาสตร์ด้านวิชาเคมี ควบคู่กับวิชาการศึกษา วรรณคดี ปรัชญา และจิตวิทยา แล้วเสด็จนิวัตประเทศไทย ระหว่างพุทธศักราช 2493-2501 ทรงเป็นพระอาจารย์ในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงสอนวิชาสนทนาภาษาฝรั่งเศสและวรรณคดีฝรั่งเศส

ขณะที่สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จไปทรงเรียนวิชาแพทย์อยู่ที่เอดินเบอระ ในประเทศสก๊อตแลนด์ โดยทรงมีพระนามในสูติบัตรอังกฤษว่า 'เมย์' (MAY) ตามที่สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จไปทรงจดทะเบียนเกิด ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า 'หม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนา'

ต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2470 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงสถาปนาเป็น 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา' และในรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อพ.ศ. 2478 ทรงเฉลิมพระเกียรติยศเป็น 'สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา'

ครั้นเมื่อ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 72 พรรษา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2538 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า เฉลิมพระเกียรติยศเป็น 'สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์'

เนื่องจากทรงมีพระราชดำริว่าสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ซึ่งเป็นพระโสทรเชษฐภคินีเธอพระองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2 พระองค์ด้วยทรงรับราชการพระองค์ทรงสนองพระเดชพระคุณพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นคุณประโยชน์ แก่ประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์มาโดยลำดับทรงเป็นที่รักเทิดทูนของปวงประชาชนชาวไทยทั่วไป

ชีวิตการศึกษา

ทรงเริ่มการศึกษาระดับประถมศึกษา เมื่อพระชนมายุได้ 6 - 10 พรรษาที่โรงเรียนราชินี กรุงเทพมหานคร

หลังจากนั้น เมื่อสมเด็จพระราชบิดาเสด็จทิวงคตใน พ.ศ.2474 พระองค์ได้เสด็จไปประทับยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระราชมารดาและพระเจ้าน้องยาเธอทั้ง ๒ พระองค์

ได้ทรงเข้ารับการศึกษาต่อจนจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ที่เมืองโลซาน โดยพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการศึกษา ในการสอบเลื่อนชั้นแต่ละปี ทรงทำคะแนนได้ผลดีมาก

โดยในปี 2485 ทรงสอบผ่านชั้นสุดท้ายเทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลายได้ดีเยี่ยมเป็นที่ 1 ของโรงเรียน และที่ 3 ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
พระองค์ทรงศึกษาจนจบชั้นมัธยมศึกษา เมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ก็ทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซาน จนได้รับปริญญาตรีในวิชาเคมี เมื่อ พ.ศ. 2491 หลังจากนั้นทรงศึกษาต่อในวิชาการศึกษาวรรณคดี ปรัชญา จิตวิทยาและภาษา จนทรงมีความรู้ในภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และอักษรศาสตร์เป็นอย่างดี

พระราชกรณียกิจ

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติ เพื่อแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มาโดยตลอด ซึ่งทรงมีโครงการในพระอุปถัมภ์หลายร้อยโครงการ ทั้งด้านการแพทย์ ประวัติศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ สัตว์เลี้ยง ฯลฯ

นอกจากนี้ยังทรงพระอัจริยภาพในด้านการประพันธ์ พระนิพนธ์ที่มีชื่อเสียง เช่น เวลาเป็นของมีค่า, แม่เล่าให้ฟัง ,เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์ จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์ มหามงกุฎราชสันตติวงศ์ และพระนิพนธ์เกี่ยวกับประเทศต่างๆ ที่เสด็จประพาส

ปีพุทธศักราช 2512 ทรงรับเป็นอาจารย์ประจำที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทรงสอนและทรงงานด้านการบริหารในหน้าที่หัวหน้าสาขาวิชาการภาษาต่างประเทศ

ประกอบด้วย ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น จีนและรัสเซีย ทรงเป็นผู้ดูแลและจัดทำหลักสูตร ดูแลการสอนของอาจารย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

ปีพุทธศักราช 2516 ทรงจัดทำหลักสูตรปริญญาตรีสาขาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสสำเร็จด้วยการผสมผสานความรู้ด้านภาษาและวรรณคดีให้เข้ากันอย่างเหมาะสม

ทรงเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 8 ปี จากนั้น จึงทรงขอเป็นอาจารย์พิเศษอย่างเดียวด้วย ต้องทรงติดตามพระราชภารกิจในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้านหน่วยแพทย์เคลื่อนที่

น้ำพระหฤทัยในความเป็นครูนั้นเปี่ยมล้นมิเหือดหาย ทรงรับเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ขอมาตลอด ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เชียงใหม่ สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หลายรุ่น

และด้วยประสบการณ์และพระปรีชาญาณในการสอนภาษาฝรั่งเศสเป็นเวลาอันยาวนาน พุทธศักราช 2520 จึงทรงก่อตั้ง สมาคมครูสอนภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนความรู้ในการแก้ไขการสอนให้กับบรรดาครู
ทั้งหลายทรงได้รับการถวายพระเกียรติจากรัฐบาลฝรั่งเศส ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญตราชั้นสูงสุด ด้านศิลปะและอักษรศาสตร์ เมื่อพุทธศักราช 2522

ทรงสนพระทัยการศึกษาของเยาวชน ได้อุปถัมภ์โครงการ โอลิมปิควิชาการ เพื่อการแข่งขันและพัฒนาวิชาการวิทยาศาสตร์ในประเทศให้ก้าวทันสากล ทรงสร้างสื่อการเรียนให้แก่เด็กเล็กในโรงเรียนชายแดน ที่มิได้มีโอกาสเรียนชั้นอนุบาล

เพื่อสามารถอ่านเขียนทันเด็กที่เรียนล่วงหน้าไปก่อนเกณฑ์ และร่วมสร้างโรงเรียนในความดูแลของตำรวจตระเวนชายแดน ส่วนเด็กในกรุงเทพมหานครนั้น ทรงให้ความอนุเคราะห์เด็กเล็กในสลัมต่างๆ

เมื่อทรงหยุดการสอน พระกรณียกิจส่วนใหญ่ จึงเป็นงานสังคมสงเคราะห์ ทั้งด้านการแพทย์ สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม นอกจากช่วยโครงการแพทย์อาสาในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ พอ.สว.แล้ว

มีมูลนิธิ กองทุน สมาคม ศูนย์สงเคราะห์ อีกจำนวนมากกว่า 30 รายการ ที่พระองค์ทรงมีภาระในการบริหาร เช่น มูลนิธิโรคไต มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ มูลนิธิขาเทียม มูลนิธิสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม มูลนิธิโลกสีเขียว กองทุนหมอเจ้าฟ้า กองทุนการกุศล กว. กองทุนการกุศล สมเด็จย่า สมาคมปราบวัณโรคเชียงใหม่ สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทย ศูนย์เด็กอ่อนวัยก่อนเรียน ณ ศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์เนื้อเยื่อชีวภาพกรุงเทพ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เป็นต้น

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงได้รับการอภิบาลให้ทรงมีพระจริยวัตรโปรดการอ่าน การศึกษามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ สั่งสมประสบการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี สิ่งแวดล้อม และทรงนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองตลอดเวลา

ด้วยความสนพระทัยในศาสตร์ทั้งหลาย จึงทรงเป็นทั้งเจ้าฟ้านักประพันธ์ และเจ้าฟ้านักวิชาการ มีหนังสือพระนิพนธ์จำนวนมาก ที่จัดพิมพ์ขึ้นให้ได้ศึกษาหาความรู้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่อง แม่เล่าให้ฟัง หรือ ยุวกษัตริย์

มิใช่เป็นเรื่องประวัติบุคคลด้านเดียว หากแต่ให้ความเข้าใจทั้งประวัติศาสตร์ ประเพณี การเมือง อันเป็นวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งมีความสนุกสนานสอดแทรกไว้อย่างกลมกลืน หรือสารคดีข่าวเกี่ยวกับการเสด็จไปทัศนศึกษาในต่างถิ่น เป็นสิ่งที่ชาวไทยโชคดีได้มีโอกาสเห็น เสมือนร่วมเดินทางไปกับพระองค์ด้วย

โดยจะทรงพิถีพิถันให้จัดทำเป็นสารคดีท่องเที่ยวสั้นๆ ที่มากด้วยความรู้ นำเผยแพร่เกือบทุกครั้ง ทำให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสไปถึง ได้รับทราบและรับความรู้อย่างกว้างขวางไปด้วย


โดยใน พ.ศ. ๒๕๒๕ รัฐบาลฝรั่งเศสได้ทูลเกล้า ฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสูงคือ Commandeur de L Ordre des Arts et Lettres (Insignia of Commander in theOrder of Arts and Letters) แด่พระองค์พระเกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน ก็คือ ทรงได้รับเหรียญ วิคเตอร์ ฮิวโก จากผู้อำนวยการยูเนสโก แห่งสหประชาชาติ


ในงานจัดนิทรรศการขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ(ยูเนสโก) ที่กรุงปารีส เพราะด้วยการที่พระองค์ได้ทรงส่งเสริมศิลปวิทยาการและทรงบำเพ็ญประโยชน์เป็นอเนกประการในด้านสังคมสงเคราะห์ต่าง ๆ

ด้านการศึกษา

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงมีรับสั่งว่า

'ฉันชอบการสอนหนังสือตั้งแต่เด็กๆ ...และตอนนั้นคิดจะเรียนเรื่องการเป็นครูเหมือนกัน...' (หนังสือพลอยแกมเพชร)

ดังนั้น เมื่อทรงจบการศึกษาแล้ว ก็ได้เสด็จกลับมาเป็นอาจารย์สมดังพระทัยที่ตั้งไว้ โดยทรงเริ่มปฏิบัติงานเป็นอาจารย์พิเศษในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ.2495

โดยทรงสอนวิชาวรรณคดีฝรั่งเศส และการสนทนาภาษาฝรั่งเศส แก่นิสิตปีที่ 2, 3 และ 4 จนถึงปี พ.ศ. 2501 และในปี พ.ศ.2512 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กราบทูลขอพระราชทานพระกรุณา จึงทรงรับเป็นหัวหน้าสาขาภาษาต่างประเทศ ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน และรัสเซีย รวมถึงยังทรงสอนภาษาฝรั่งเสสให้กับนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอีกหลายๆ แห่ง ทั้ง จุฬาลงกรณ์หมาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่



และโดยที่ทรงตระหนักถึงความต่อเนื่องในการศึกษาภาษาฝรั่งเศสในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา จึงทรงก่อตั้งสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2520 และในฐานะที่พระองค์ทรงปฏิบัติงานด้านการสอนมาจนถึงเดือน มกราคม 2521

จึงทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่ง 'ศาสตราจารย์' ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงรัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ตระหนักถึงพระปรีชาสมารถอันเป็นเลิศ

และที่ทรงได้บำเพ็ญพระองค์เป็นแบบอย่างอันดีงาม จึงได้ถวายเหรียญตราชั้นสูงสุดทางด้านศิลปะและอักษรศาสตร์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2522

นอกจากจะทรงอุทิศพระองค์ให้แก่งานทางวิชาการแล้ว สมเด็จพระพี่นางเธอ ยังทรงประทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเป็นทุนสำหรับจัดซื้อหนังสือและอุปกรณ์การเรียนการสอน และประทานทุนการศึกษาระดับต่างๆ แก่ศิษย์และเยาวชนที่ด้อยโอกาสอีกด้วย

สำหรับพระปรีชาสามารถที่มีนอกเหนือไปกว่าเรื่องทั่วไปนั้น คือ ทรงมีพระปรีชาสามารถในการขับเครื่องบินปีก 2 ชั้น และทรงขับเฮลิคอปเตอร์ได้อีกด้วย

ชีวิตสมรส

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงอภิเษกสมรสกับ พันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ (ถึงแก่กรรม) โดยมีพระธิดาคนเดียว คือท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (สมรสกับนายสินธู ศรสงคราม มีบุตร คือคุณจิทัศ ศรสงคราม)

ต่อมา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสอีกครั้งกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช (พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย และหม่อมระวี ไกยานนท์)

ในฐานะพระมารดาทรงเลี้ยงดูพระธิดาด้วยพระองค์เองโดยให้ความรักและดูแลเอาพระทัยใส่อย่างใกล้ชิด และเมื่อท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม ได้สมรสกับนายสินธู ศรสงครามมีบุตร คือร้อยเอก จิทัศ ศรสงคราม ในฐานะ 'สมเด็จยาย' ของพระนัดดา พระองค์ก็ทรงให้ความรักและห่วงใยเสมอมา





เพลง "แสงหนึ่งคือรุ้งงาม"

รู้ไหมว่าเราซาบซึ้งใจแค่ไหน
และรู้ไหมว่าเรานั้น ปลาบปลื้มเท่าไหร่
ที่ได้มีเธอ เป็นพลังอันสำคัญ
เพราะว่าเรานั้นรู้เธอทำเพื่อใคร
เหน็ดเหนื่อยแค่ไหน เธอไม่ไหวหวั่น
เพื่อที่จะให้เรานั้นได้เดินต่อไป
แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอ

แต่ว่าสำหรับเรานั้น...
เธอเหมือนดังกับแสง ที่มองไม่เห็น
แต่เมื่อส่องมาสะท้อน สิ่งที่ซ่อนเร้น
ก็เด่นชัดขึ้นทันที
เปรียบเธอกับแสง แม้ไม่มีสี
แต่เธอก็สะท้อน ความจริงให้โลกนี้
ได้พบเห็นสิ่งดี ๆ ว่างดงามเพียงใด
ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ จะเป็นเช่นไร
วันและคืนจะหมุนเปลี่ยนสักเท่าไหร่
เรานั้นก็แน่ใจ ว่าจะมีเธอยืนอยู่ข้างหลัง
แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอ

แต่สำหรับเรานั้น...
เธอเหมือนดังกับแสง ที่มองไม่เห็น
แต่เมื่อส่องมาสะท้อน สิ่งที่ซ่อนเร้น
ก็เด่นชัดขึ้นทันที

เปรียบเธอกับแสง แม้ไม่มีสี
แต่เธอก็สะท้อน ความจริงให้โลกนี้
ได้พบเห็นสิ่งดี ๆ ว่างดงามเพียงใด
จึงอยากขอมอบเพลง เพลงนี้ให้
ให้เธอรับรู้ว่าสำหรับเรา เธอสำคัญเพียงไหน
เธอเป็นดั่งแสง ที่มองไม่เห็น
แต่เมื่อส่องมาสะท้อน สิ่งที่ซ่อนเร้น
ก็เด่นชัดขึ้นทันที

เปรียบเธอกับแสง แม้ไม่มีสี
แต่เธอก็สะท้อน ความจริงให้โลกนี้
ได้พบเห็นสิ่งดี ๆ ว่างดงามเพียงใด
แต่เธอก็สะท้อน ความจริงให้โลกนี้
ได้พบเห็นสิ่งดี ๆ ว่างดงามเพียงใด

...ขอพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย



ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


https://www.youtube.com/watch?v=p1NMRrpk0gU




 

Create Date : 02 มกราคม 2551    
Last Update : 2 มกราคม 2551 17:10:30 น.
Counter : 7211 Pageviews.  

เรื่องบ้านๆ ไม่เสร็จสักที

เรื่องบ้านๆ ภาคต่อ

แวะมาแปะรูปอัพเดท เรื่องบ้านๆ ต่อ

หลังจากทุบโน่น ต่อนี่ โป้กเป้กไปตามเรื่องตามราว ก็เบรกพรืดไม่ได้ทำอะไรไปอีกหลายเดือน เพราะทนรับสภาพฝีมือของช่างให้ไม่ไหว

ในที่สุด ก็สำเร็จเสร็จสิ้นสักที


แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีรูปครัวให้ดูนะจ๊ะ เพราะเพิ่งเสร็จหมาดๆ ยังไม่เรียบร้อยดี และถ้าถ่ายรูปมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะมองเห็นอะไรไม๊ คงขาวจ๋องไปโม้ด ก็กระเบื้องขาว ลายดันขาวอีกนี่นะ

จะมีก็แค่บางมุม ที่หยิบโมเสกเหลือๆ มาเติม สีขาวๆ เลยมีอื่น (ฟ้านั่นเอง) มา
แจมด้วยนิดๆ หน่อย

เริ่มด้วยหน้าบ้าน



ขอโชว์จันทร์กะพ้อต้นกะเปี๊ยกหน่อยนึง กว่าจะโตมีดอกส่งกลิ่นหอม (ไปบ้านอื่น)555 ต้องมีอย่างน้อยอีกสิบปี


ขึ้นไปดูข้างบนดีกว่า ห้องเล็กติดระเบียง ติดกระจกทั้งแทบแทนผนัง (ร้อนโคตรๆ )




ห้องน้ำชั้น2 เสร็จล่ะ




อันนี้ห้องน้ำชั้นล่าง


หมดละ มีแค่นี้ก่อนน้า

จบด้วยนี่เลย ต้นมะลิ ได้แถมมาจากร้านต้นไม้ หลังขนต้นโมกใส่รถมาเต็มคัน
(ดูดิแถมแค่เนี้ยะ) ข้างๆ เห็นปะ ดูดีๆ ลูกแดงๆ เห็นมะ

เชอรี่นั่นเอง ต้นยังมะมี เพราะเก็บมาจากบ้านข้างๆ





 

Create Date : 11 ธันวาคม 2550    
Last Update : 11 ธันวาคม 2550 13:39:39 น.
Counter : 585 Pageviews.  

บ้านๆ before&after

ได้ฤกษ์ลงรูปบ้านๆ ให้ดูกันมั่ง หลังจากทุลักทุเลข้ามปีกว่าจะเสร็จเรียบร้อย โดยเฉพาะครัวน้อยๆ ที่ค้างเติ่งอยู่หลายเดือน

กว่าจะหาช่างใหม่ได้ แต่เป็นอันว่าปิดจ๊อบเสร็จสมอารมณ์หมายก่อนสิ้นปีได้ในที่สุด

ตามเสียงเรียกร้องของบรรดาเพื่อนทะโมนทั้งหลาย ที่ทั้งด่า ทั้งบ่นว่าเมื่อไรหนอจะได้ไปนั่งดริ๊งๆๆๆ ที่บ้านใหม่

"เออๆ ขอทำครัวให้เรียบร้อยก่อน นะมาได้เลย แต่ไม่มีไรเลยนะเฟ้ย บ้านเปล่าๆ "

"ป่านนี้ยังไม่เสร็จอีกเรอะ จะเป็นปีแล้วนะเว้ยย"ไอ้สายบ่นผ่านมาทางเอ็ม..

"ไม่ถึงเฟ้ย แค่5-6 เดือนเอง พวกแกมาได้ แต่มีบ้านโล่งๆ เลยนะ"ฉันว่า

"ไม่เป็นไร ห้องน้ำเสร็จ ครัวเสร็จ ก็พอ เด๋วชั้นหอบที่นอนปิ๊กนิกกะพัดลมไปเอง เผื่อติดลมจะได้ค้างที่นั่นได่"นาง(ไม่สาว)นิรินทร์ช. (อ่านว่านิริน-ชอ แต่เพื่อนๆ เรียกชอ.เฉยๆ) ว่า

"เอองั้นตามนี้ ก่อนสิ้นปีมาเลย บาร์บีคิวปาร์ตี้"...ฉันเอง

หลังรับปากเป็นหมั่นเป็นเหมาะแล้ว ฉันเองก็เริ่มวิจริต (ไม่ถึงกับวิตก) ก็ช่างชุดใหม่ที่แนะนำต่อๆ กันมาชักออกการยื้อ นัดแล้วเลื่อน โยกโย้ชะมัด (จะทันไม๊เนี่ยตู)

แล้วสวรรค์ก็ส่ง(อ้าย) "หรั่ง" (ไม่มีฝา) เพื่อนซี้ตั้งกะตีนเท่าฝาหอย (ห้ามกลับ) ที่มักจะผลุบๆ โผล่ผ่านเสียงตาม(ไร้)สายมั่ง มาปรากฎกายให้เห็นมั่ง

"เป็นไงมั่ง บ้านเสร็จรึยัง"หรั่งว่า
"เหลือครัว"ฉันว่า
"เฮ้ยๆๆ ทำไมนานยังงี้ฟะ"

..."เออนานแล้ว ก็ช่างชุดก่อน แม่มม ไม่ได้ใช้มือทำเว้ย ชั้นก็เลยสั่งหยุดไว้แค่นั้น"

"โมส่งโมเสกตู เสียหายหมด"นี่ยังทำใจไม่ค่อยได้ ฉันบ่น

"เด๋วชั้นแนะนำช่างให้มะ ฝีมือใช้ได้เลย"ไอ้หรั่งว่า

"มาเลยเพื่อน ถ้าแกว่าดีเด๋วชั้นโทร.แคนเซิลช่างที่ตกลงกันไว้เลย อยากโยกโย้นัก"

ถัดจากนั้นไม่กี่วันช่างวัลลภ ช่างที่หรั่งแนะนำก็มาดูพื้นที่ และตีราคา (แพงเหมือนกัน แต่เอาว่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว)

ดูรูปเก่าๆ ก่อนเด้อ

อันนี้ข้างบ้านน
เยินซะ


อันนี้ก็ข้างบ้าน ผนังว่างๆ ที่เห็นเจาะออกเพื่อติดกระจกบานเลื่อน



ห้องชั้นหนึ่ง


ต่อไปเป็นส่วนต่อเติมชั้น 2 จากห้องนอนเล็ก (กระจิดริด-กะว่านี่ล่ะห้องนอนเรา เอง) ต่อเป็นระเบียงยืดยาวออกไปปู้นเลย (ใหญ่กว่าห้องอีก) ติดกระจกทั้งแผง
อีกเช่นกัน (ปรากฎว่ารับแดดเต็มๆ ประมาณว่าไม่ต้องห่วงตื่นสาย เพราะจะมีคุณพี่แสงแดดปลุกทุกวัน)


ชะแว้บบ ลงไปดูข้างล่างอีกที (ทุบๆ ให้กว้างๆ แล้วติดกระจกบานเลื่อนจะได้มองเห็นสวนๆ ถนัดๆ ตา)


สวนครัวที่ต่อเติมหลังบ้าน มุมนี้มองจากครัวมาหน้าบ้าน


มองจากหน้าบ้าน (เกิดความผิดพลาดทางเทคกะนิคยังไงไม่ทราบ รูปจึงกลายเป็นเช่นนี้) อืม ก็สวยไปอีกแบบเนอะ


ดูแต่บ้านตัวเอง หันไปดูเพื่อนบ้านกันมั่ง
จากชั้น 3


ดูบ้านๆ ไปแล้ว มาดูส่วนสำคัญที่สุดของบ้าน (ตำแหน่งสำคัญสูสีกับครัว เลือกไม่ได้ว่าอันไหนสำคัญกว่า)555

ห้องน้ำชั้น2
เน้นๆ เลย ส่วนที่ใช้สมองมากที่สุดในบ้าน คือ ห้องน้ำ และห้องครัว ใช้สมองที่ว่าก็ไม่มีอะไรมากไปว่า การเลือกระเบื้อง

ใครไม่เคยทำบ้านเอง จะนึกไม่ออกเลยว่าสุดแสนเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน โดยเฉพาะการเลือกซื้อกระเบื้อง เห็นห้องกระจิดริดแค่นี้ ใช้เวลาเลือกหลายวัน

ตัดสินใจว่าจะเอาลายโน้นต่อกับลายนี้ได้แล้ว ก็เดินจดรหัส

"น้องๆ พี่จะสั่งกระเบื้องรหัสนี้..."
"ลายนี้หมดค่ะ ..."พนักงานขายบอก
"อ้าว"

ต้องเลือกกันใหม่อีกหลายวัน เพราะแต่ละด้านของห้องน้ำมีลายเป็นของตัวเอง (บ้ามะ) ทำให้ต้องเลือกใหม่ ไม่งั้นที่หลุดโลกอยู่แล้วจะยิ่งหลุดโลกไปกันใหญ่555

นี่เป็นห้องน้ำชั้น 2 เบสิคสุด เน้นสวยสบายตา



ห้องน้ำชั้น 1 ชอบโมเสกสีฟ้าลายนี้ชะมัด...ตอนโน้นไอเดียบรรเจิดเกินเหตุ ถ้าเปลี่ยนได้รู้งี้เล่นสีฟ้าทั้งห้อง ตัดเฉพาะพื้นสีส้มลายเถาวัลย์ไปเลยก็หมดเรื่อง อ่ะนะ เลยตามเลย

แต่ยังงี้ก็ชอบนะ
นี่ไง


อีกรูป


ตอนเลือกกระเบื้องเสร็จเรียบร้อย เริ่มปูไปได้หน่อย คุณนายแม่มาดูบ้าน โว้ยวายใหญ่ หูยทำไมมืดยังงี้ (ดูกระเบื้องสีส้มลายไม้เลื้อยที่ผนังและพื้น)

แต่พอเสร็จแล้วก็ไม่เห็นว่าไร แอบได้ยินว่า...อืมก็สวยดี..อิอิ

ถัดมากระโดดไปห้องน้ำชั้น 3 โน่นเลย เลือกสีขาวทั้งห้อง แน่นอนว่าผนังทั้ง 3 ด้านไม่เหมือนกันอีกเช่นเคย 555
ชอบๆ ทั้งโมเสกกระดุม และลายนี้


อีกรูปเนอะ


รูปที่ถ่ายไว้ระหว่างทำบ้านก็มีเพียงเท่านั้น เหตุการณ์จริงๆ เสร็จหมดแล้ว เด๋วว่างๆ จะหยิบกล้องไปเก็บภาพมาโชว์กันอีกรอบ

ตอนนี้ครัวที่ค้างเติ่งอยู่ครึ่งค่อนปี ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย ช่างที่หรั่งแนะนำมาฝีมือใช้ได้ (ถ้าอยู่คุมตลอดจะดีกว่านี้อีก)

เสียดายอยู่จิ๊ดที่ใจไม่กล้า เลือกกระเบื้องขาวนวลเขียนลายสีเท่า เหลืองหรือดำ เพราะกลัวลายตา เลยเลือกขาวนวลเขียนลายขาว (ปูเสร็จปั๊บต้องส่องใกล้ๆ ถึงเห็นลาย)

ลายสวยแต่มองไม่ค่อยเห็น 555

คาดว่าตอนถ่ายรูปมาโชว์ก็คงไม่เห็นแน่ๆ

ใครมีประสบการณ์ซื้อบ้านทำบ้านคงรู้ซึ้งถึงความเหน็ดเหนื่อยอย่างมีความสุขได้เป็นอย่างดี

ฉันเองจะว่าไปซื้อบ้านหลังนี้ ก็เพราะอารมณ์ชั่ววูบ (555) ท่ามกลางเสียงบ่นของครอบครัว ตั้งกะม่ามี๊ น้องๆ

"จะซื้อทำไม ซื้อแล้วจะไปอยู่เรอะ หาหนี้ทำไมกัน"ม่ามี๊ว่า
"ก็ไปอยู่เฉพาะศุกร์-เสาร์ไง บ้านใกล้ๆ กันด้วย"ฉันว่า

"เป็นภาระเปล่าๆ" น้องสาวตัวดีช่วยสำทับ

"เอาน่าถือเป็นการลงทุนไง"ฉันว่า

ตัดสินใจซื้อแบบไม่ต้องคิดไรมาก เพราะทำเลใกล้ๆ บ้านแม่มากถัดไปแค่สองซอยเดินไปมาสะดวก (ฉันคิดตอนนั้น)

ตั้งกะทำสัญญาเป็นต้นมา ความเครียดก็เริ่มจู่โจม แบบไม่รู้สาเหตุ ใจคิดว่าคิดถูกป่าวฟะเนี่ย

พี่ๆ ชมรมวันศุกร์ (ชมรมตั้งเอง) ให้กำลังใจกันใหญ่

"ซื้อนะดีแล้ว พอมีหนี้ก็จะขยัน พี่ซื้อมา 7 หลังแล้ว เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มีกำลังเท่าไรก็ซื้อเท่านั้น พอมีมากก็ขายแล้วซื้อใหม่" พี่แหม่มว่า

"คอนโดพี่ก็ใกล้หมดแล้วเหลืออีกปีเดียว เห็นมะผ่อนแป๊ปเดียวเอง"พี่สวนให้กำลังใจอีกฮึด

"แต่ของเราตั้งยี่สิบกว่าปีนะพี่"ฉันว่า

"เอาน่าขยันๆ เขียนหนังสือเข้า ผ่อนๆ ไปไม่นานก็หมด"พี่แหม่มสำทับอีก

กำลังใจฮึดกลับขึ้นมาอีกครั้ง แต่พอถึงคิวต้องส่งค่างวดบ้านขึ้นมาเมื่อไร บางทีใจก็อดคิดแว๊บไปไม่ได้ว่า "ไม่น่าหาเรื่องเลยตู"

ที่ว่าใกล้ๆ กับบ้านแม่ แค่สองซอย จริงๆ ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค เวลาที่มีต่างหากเป้นอุปสรรค บางเดือนไม่ได้ไปยลโฉมบ้านเลยด้วยซ้ำ

ก็กว่าจะกลับก็ดึกดื่น บางวึคเอ็นด์ก็ต้องเดินทาง ...คิดดู...

บ้านที่ทำท่าว่าจะเสร็จพอต่อเติมครัว เจอช่างฝีมือแย่ เข้าไปอีก ก็เลบค้างเติ่งหลายเดือน จนเดือนที่แล้วนี่ล่ะ ฮึดใหม่อีกรอบ ก็โดนคนรอบข้างถามเรื่องบ้านบ่อยเหลือเกิน

"ยังไม่เสร็จอีกเรอะ โหนานจัง"ประโยคนี้เป็นของทุกคนที่ถามความคืบหน้าบ้านของฉัน 555


เดือนนี้เลยแวะไปดูครัวบ่อยหน่อย แม้จะดึกดื่น มองไรไม่เห็น

เห็นแว๊บๆ ก็ยังดี

9 ธันวาคม 2550 การต่อเติมครัวก็เสร็จเรียบโร้ยย

เหลือทาสีภายนอกอีกจิ๊ดเดียว เพราะปูโมเสกด้วย กะว่าจะทาเอง ซื้อสีมาแล้นน
(อยากได้เหลืองมัสตาด-แต่ไหงไม่ค่อยมัสตาดเลยอ่ะ)

"แน่ใจรึว่าจะทาสีนี้ ไม่แปลกเหรอ บ้านสีส้มอ่อนนะ"น้องชั้นว่า

ฉันแหงนมองตัวบ้านอีกรอบ พลางจินตนาการเห็นสีเหลืองเกือบแจ๋นทาบทับอยู่ท้ายบ้าน เฉพาะบริเวณครัวเล็กๆ หลังบ้าน

(อืม-ใจเริ่มประหวั่นเล็กน้อยเมื่อโดนทัก) "ก็ชอบอ่ะ"ฉันว่า



"บ้านเสร็จแล้ว กะไปอยู่คนเดียว...หรือสองคน"ท้ายประโยคเบากว่าต้นประโยค
เจ้าของคำถามข้างบน คือพี่แหม่มเจ้าเก่า

- - - -

คำตอบยังไม่ได้คิด...ฉันเอง.





 

Create Date : 10 ธันวาคม 2550    
Last Update : 10 ธันวาคม 2550 13:56:06 น.
Counter : 2340 Pageviews.  

1  2  3  

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.