Group Blog
All Blog
--- อีกรอบกับ หั ว * ใ จ * เ ท้ า : คามิน คมนีย์ ---












ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับการวิ่งของคามิน คมนีย์ก่อนลงวิ่งจริงทุกปี ความคิดเปลี่ยนไปทุกครั้งเช่นกัน เหมือนได้อ่านหนังสือใหม่ ฉันอ่านเล่มนี้ตั้งแต่ไม่เคยวิ่ง จนเริ่มวิ่งสั้น ๆ ไปจนถึงวิ่งระยะยาว

ฉันเคยเขียนบันทึกการอ่านเรื่อง หัว*ใจ*เท้า ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่เหมือนครั้งนี้

เหมือนได้อ่านความคิดบางอย่างของคามินหรือฉันคิดไปเองก็ไม่ทราบว่า เขาคิดจะเขียนหนังสือวิ่งที่เป็นประสบการณ์แท้ ๆ ของเพื่อนนักวิ่งมาราธอน นักวิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของนักวิ่งเหล่านี้ทุกเพศทุกวัยทุกระดับความเร็วฝีเท้า รวมถึงเทคนิควิธีในการวิ่งนั่นเพราะเขารู้จริงและก็เป็นนักวิ่งระดับแนวหน้าคนหนึ่งเมื่อครั้งยังวิ่งอยู่

ฉันนึกตามคำที่อาวุโสพูดถึงนักวิ่งที่หายหน้าตาไปว่า

' พ ว ก นี้ วิ่ ง ไ ม่ เป็ น . . .'

แค่วลีเดียวก็คิดอะไรได้มากมายเหมือนกันนะ
วิ่งเป็นคืออะไร แล้ววิ่งไม่เป็นนั้นเป็นอย่างไร

รวมถึงที่ผู้เขียนเปรยออกมาว่า ลึก ๆ แล้ว เขาไม่แน่ใจว่าใครเก่งกว่า

ระหว่างคนวิ่งเร็วมากแต่ไปได้ไม่กี่น้ำกับคนวิ่งช้าแต่ต่อเนื่องไม่เคยขาดทั้งปี
หรือ
การเป็นเต่าที่วิ่งได้ช้า ๆ ดีกว่ากระต่ายที่วิ่งไม่ได้เพราะขาเป๋พิการ

สองประโยคที่ทำให้ฉันต้องคิดทบทวนเป้าหมายในการวิ่งของฉัน...

จนต้องย้อนมาถามตัวเองว่า เราอายหรือเปล่าที่เป็นนักวิ่งที่วิ่งช้ามาก เป็นแค่นักวิ่งครบระยะ สถิติก็งั้น ๆ จะหารางวี่รางวัลมาอวดใครก็ไม่ได้ เรื่องเหล่านี้ต้องตอบตัวเองให้ชัดว่าเราวิ่งเพื่ออะไร

แต่เรื่องที่ภูมิใจมากอย่างหนึ่งของฉันคือสามารถออกมาวิ่งได้ทุกวันและสนุกกับการลงวิ่งในงาน เฉลี่ยแล้วเดือนละครั้งเท่านั้น การได้ออกบ้านคือการพักผ่อน ได้ไปกิน เที่ยว เยี่ยมพ่อแม่ และวิ่งกลายเป็นกิจกรรมประกอบการเดินทางอย่างหนึ่งไปโดยปริยาย

วินัยคำเดียวคำนี้แปลว่าอะไรได้บ้าง แน่ล่ะ นักวิ่งที่ลงวิ่งได้ในวันงานนั้นต้องฝึกซ้อมมาอย่างดีเพื่อลดการบาดเจ็บและหวังผลจากการซ้อมด้วย แล้ววินัยมีความหมายในเชิงบวกอะไรอีกบ้างนอกจากการจัดสรรเวลาและโอกาสให้ตัวเองทำกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างสม่ำเสมอ ยาวนานและต่อเนื่องอย่างเอาจริงเอาจังไม่ใช่แค่เป็นการทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ
การทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ นั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อ หากเราไม่ชอบก็เป็นเรื่องยากที่คนเราจะทำอะไรต่อเนื่องแบบเดิม ๆ ได้ แม้แต่เรื่องที่ชอบก็ตาม เราต้องสร้างความอดทนและเอาชนะตัวเอง ความหมายแท้จริงของการสร้างวินัยคืออะไรถ้าไม่ใช่เพราะเรารักในสิ่งที่เราทำ

'.. มีแต่คนใจดำเท่านั้นที่วิ่งมาราธอนได้โดยยกตัวเองว่าเพราะใจสู้ล้วน ๆ ...'

ฉันเพิ่งเข้าใจมันมากขึ้นเมื่อฝึกซ้อมเพื่อวิ่งระยะไกลนี้ เพราะใจอย่างเดียวนั้นทำได้แต่อาจบาดเจ็บจนเลิกวิ่งและมองเรื่องวิ่งเป็นเรื่องไม่สนุก

การวิ่งมาราธอนนั้น นอกจากเรื่องใจแล้ว เรื่องสำคัญอย่างยิ่งคือการหาความรู้เพื่อฝึกซ้อมที่ถูกต้อง อย่างค่อยเป็นค่อยไปและสร้างรากฐานของร่างกายให้แข็งแรงเสียก่อน ฝึกซ้อมวิ่งระยะสั้นให้เข้าฝักและค่อย ๆ เพิ่มระยะจนแกร่ง การวิ่งที่ดีไม่มีทางลัด ทางลัดก็คือทางตรงนั่นเอง เพื่อจะได้ค้นหาเสน่ห์ของการวิ่ง สัมผัสความรื่นรมย์และความสุข ณ ปัจจุบันขณะเพราะนี่คือหัวใจของการวิ่งมาราธอนอย่างหนึ่ง

หัว*ใจ*เท้า เป็นประสบการณ์ของผู้เขียนที่กลับมาวิ่งมาราธอนอีกครั้งหลังจากเคยวิ่งไปเมื่อสิบปีก่อน มีเรื่องราวของการบาดเจ็บของเขา

สิ่งที่ต้องขอบคุณเสมอ ๆ จากหนังสือเล่มนี้คือการบันทึกความจริง ความรู้สึกจริง การบาดเจ็บของเขาที่ทำให้เราต้องระมัดระวัง อย่าหลงทางจนไม่สนใจใฝ่ฟังเสียงของร่างกายหรือไม่ทะนุถนอมมันทั้งที่มันพยายามสื่อสารกับเราตลอดเวลา
และบางเรื่องที่สะเทือนใจเหมือนครั้งแรกที่อ่านคือการทราบข่าวร้ายของแม่ของเขาราวกับเรื่องของเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา

'แม่จากไปเพื่อจะอยู่กับเราอย่างสมบูรณ์' เป็นคำที่ลึกซึ้ง กินใจและอบอุ่น

ได้แต่ขออวยพรให้เขาสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขกับสิ่งที่รักและเลือก


ขอบคุณที่เขียนประสบการณ์ดี ๆ ให้อ่านค่ะ

ภูพเยีย
24 ธันวาคม 2559












Create Date : 24 ธันวาคม 2559
Last Update : 24 ธันวาคม 2559 13:28:11 น.
Counter : 993 Pageviews.

0 comment
--- แ ม ว ม า ห า ห ม า ม า สู่ กั บ บั ต ร ส น เ ท่ ห์ . . . ---

















1.

แมวมาหา หมามาสู่บ้านไหน เขาว่าเจ้าของบ้านนั้นมีบุญและใจดี ที่ว่ามีบุญเพราะมีโอกาสได้ต่อยอดกรรมดีในเรื่องความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกด้วย เขามาหาที่พึ่ง ยิ่งถ้าเจ้าของบ้านไม่มีภาระอะไรแล้วด้วยก็ยิ่งดี ถือว่าได้เลี้ยงดูหมาจร แมวจรให้อิ่มท้องและรู้สึกว่าโลกนี้มีที่ทางที่ปลอดภัยและไว้วางใจได้


วันหยุดยาวที่ผ่านมา น้องสาวไปพักผ่อนที่บ้านแม่ บ้านที่มีฉายาว่าบ้านสิบสามลายกระเบื้อง แต่สิ่งหนึ่งที่เพื่อน ๆ หรือคนรอบข้างรับรู้มาโดยตลอดคือ แม่เลี้ยงแมวจร การเลี้ยงแมวจรของแม่นั้นมีมาตลอดเวลายาวนาน แมวไหนก็เอ่ยกันปากต่อปากให้รับรู้ว่าบ้านนี้มีอาหารไม่อั้นและคุณยายใจดีมาก นอนจากให้ข้าวให้น้ำแล้วยังช่วยดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างดีด้วย มีที่นอนอุ่น ๆ จัดเตรียมไว้ให้แมวทุกตัวมาพักพิง ให้อิสระทุกอย่าง

บ้านแม่มีต้นไม้บังแดดหน้าบ้านร่มรื่น หมู่บ้านนี้มีหลายซอย แต่ละซอยมีถนนหน้าบ้านค่อนข้างกว้าง หากสำรวจจริงจังในหมู่บ้าน แทบไม่มีบ้านไหนปลูกต้นไม้เหมือนบ้านแม่เลย ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ในกระถางจัดวางสักกระถางหรือจัดเรียงเป็นแถวแนวรั้ว เป็นไม้ดัดตกแต่งไม่ให้เติบโตหรือเลื้อยไปบ้านอื่น มีพอให้เห็นอู่บ้าง และมากไปกว่านั้น เขาไม่นิยมปลูกต้นไม้กันนอกจากใช้พื้นที่ 50 ตารางวากันจนเต็มพื้นที่ใช้สอย แต่ละบ้านไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกัน ส่วนใหญ่รับราชการ เช้ามาก็ไปทำงาน เย็นมาก็บ้านใครบ้านมัน

บ้านจัดสรรชั้นเดียว รั้วบ้านเดียวกันนั้น ต้องเห็นกันทุกวัน ใครทำกิจกรรมอะไรก็ต้องเห็นแม้จะไม่อยากเห็น เพื่อนดีก็เหมือนมีรั้วบ้านดี น้ำใจไมตรีเป็นสะพานมากกว่าก่อกำแพงกั้นกัน ตอนเลือกซื้อบ้านนั้น ต่างคนก็ดูทำเลบ้านมากกว่าจะเลือกเพื่อนบ้าน การจับจองวัตถุ รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นแบบนั้น แม้แต่เราเองก็เถอะ อาจจะเลือกบ้านตรงหัวมุม ไม่ติดกับใครสักด้าน ไม่ปรารถนาจะติดกับใครทั้งสามด้าน แล้วเราก็ไม่ได้เลือกอะไรเลยนอกจากเราถูกเลือกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าเราต้องอยู่ตรงนี้

แม่อยู่ที่นี่มากว่าสามสิบปี อยู่ตั้งแต่ก่อนแม่เกษียณราชการ มีสุขทุกข์กันไปตามประสา ที่อยู่อาศัยเคยให้แต่ข้าราชการมาจับจอง แต่คนอยู่นั้นอาจไม่ใช่ การอยู่ที่เดียวกันนาน ๆ ก็ทำให้รู้จักคนบ้านข้าง ๆ มากขึ้น ซึ่งเราคาดหวังอะไรไม่ได้ เพื่อนบ้านก็เหมือนญาติเพราะญาติตัวจริงเสียงจริงเช่นลูก ๆ นั้น ต่างก็ทำงานและไม่ได้อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ นอกจากไปมาหาสู่ตามเทศกาลหรือเจอะเจอกันวันหยุดและวันนักขัตฤกษ์

ใครก็ปรารถนาเรื่องการมีเพื่อนบ้านดีหลังจากได้เข้าอยู่บ้านที่ตัวเองจับจองแล้ว เราได้แต่คิดเพราะความเป็นจริงนั้น ต่างคนต่างสร้างอาณาจักรมิชิด เพื่อนบ้านที่พอมีเงินก็เริ่มต่อเติมพื้นที่บ้านให้เต็มจนชิดรั้ว ปิดผนังด้านข้างและด้านหลังจนไม่ต้องเห็นใคร ชีวิตมีคนอื่นไม่รื่นรมย์เท่าไหร่ หากคิดในทางดีก็ดี ใครชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น แต่ทิศทางลมบ้านย่อมเปลี่ยน เขากั้นกำแพงบ้านสูงจนกั้นทางระบายลมที่เคยหายใจสบาย

แม่เป็นคนมือเย็น ใจเย็นและเอาใจใส่กับต้นไม้ที่แม่ปลูก แม่ไม่ทำรั้วสูงตาม แต่ปลูกต้นไม้เป็นรั้วบ้านแทน แต่ก็มีปัญหาเรื่องมันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และหากลมแล้งมาอย่างพายุอาจโค่นได้เหมือนกัน เพื่อนบ้านขอร้องให้แม่ตัดเถอะ แม่ก็ยอม ปลูกเฉพาะหน้าบ้านของตัวเองเป็นซุ้ม มีดอกไม้หลายชนิด เราจะเห็นนกกินน้ำหวานมาส่งเสียงและดูดน้ำหวานกินอย่างคุ้นเคยทุกครั้ง เรารื่นรมย์และรู้สึกเย็นเมื่อเข้าบ้านแม่

นอกจากต้นไม้แล้ว แม่เลี้ยงปลาเล็ก ๆ ในอ่างบัว ดูต้นไม้ หรือไม้น้ำของแม่ช่างอยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแม่ ดอกบัวในอ่างโผล่พ้นน้ำมาให้ชื่นชมความงามพร้อมความสุขของปลาที่แหวกว่ายใต้ใบบัว พลิ้วหางทักทายแม่ทุกครั้ง

แต่สิ่งที่มาเหมือนเงาตามตัวแม่คือแมว ไม่ว่าแม่อยู่ที่ไหน แมวจากที่ไหนต่อที่ไหนจะมาหาแม่ บางตัวมาแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่แน่ใจในคำชวนของแมวอื่นที่บอกต่อ ๆ กัน แต่พอมาเห็นแมวที่ทำตัวเป็นเจ้าของแม่แล้ว ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ แมวแสนรู้นะ สบตาแม่ก็เห็นแววเชื้อเชิญ แม่เทอาหารใส่จานวางไว้ทุกมุมบ้านและคอยเดินดู เติมอาหารเติมน้ำไว้ไม่ขาด แมวแปลกหน้ามาเรื่อย ๆ แวะเวียนมากินแล้วก็จากไป

เมื่อมันแน่ใจกันแล้ว ก็ยกโขยงกันมาเป็นเวลา มาอยู่ มานอนพักท้อง นอนกอดกันในโรงเตี๊ยมที่แม่เตรียมไว้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ตัวไหนสมัครใจจะอยู่ถาวรแม่ก็เต็มใจ แถมมีชื่อน่ารัก ๆ ทุกตัว เขาก็รู้ว่าเขาชื่ออะไร เวลาแม่เรียกเขาก็มาหา บางตัวขี้ประจบ หอมแก้มซ้าย หอมแก้มขวา คลอเคลียกันไปมา ให้อุ้มให้กอด แม่ทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่แมว บ้านมีชีวิตชีวาขึ้น แม่มีเพื่อนเป็นแมว แม้ไม่ได้พึ่งพาอะไรกันได้ แต่แมวให้ความสุขใจแก่แม่อย่างนี้ทุกเช้าเย็นและทุกวัน อยู่กันนานจนผูกพัน

เขาว่าแม่รักลูกก็อย่างหนึ่ง รักหลานก็อีกอย่างหนึ่ง รักลูกยังมีดุว่า ตักเตือนและสอน แต่รักหลานจะโอ๋ เอาใจ รักจนบางครั้งแปลกใจว่า นี่มันรักแบบพ่อแม่รังแกฉัน ตามใจและให้ท้ายจนเด็กเสียและร้องหายายได้ ความสงสัยนี้อยู่ในใจเพราะแม่รักแมวเหมือนรักหลาน ทุกอย่างดีไปหมด ถูกต้องไปทุกอย่าง ตามใจ เอาใจใส่ละเอียดถี่ถ้วน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไรแม่ใส่ใจทุกกระเบียดนิ้ว

แมวก็แสนรู้ รู้ว่าแม่รักหัวปักหัวปำ แล้วก็ทำให้แม่ช้ำใจ บางทีก็พากันหายไป ไปเที่ยวไกล ๆ หลายวัน ความผูกพันมากขึ้น ๆ จากที่คิดว่ามันเป็นแมวจร มาให้ชื่นใจแล้วก็จากไป ไม่คิดอะไรมาก แค่ให้อาหารเท่านั้น ไม่ได้เบียดเบียนใจเท่าไร มันไม่เบียดเบียนจริง ๆ แต่มันอัดแน่นอยู่กลางใจแม่จนเต็มพื้นที่ แม่รักและห่วงแมวของแม่ทุกตัว หายหน้าก็บ่นถึง รอแล้วรอเล่า กังวลว่ามันไปไหน จะอยู่จะกินอย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มันอยู่ที่ไหนบ้างแล้วไม่รู้

มาให้รักแล้วจากไปเฉย ๆ เนี่ยนะ มันใจหายรู้มั้ย แม่รำพึงรำพันผ่านไลน์ให้เราฟังเป็นประจำเมื่อแมวแม่หายไป

ครั้นพอจะทำใจได้ มันก็แห่ขบวนกลับมานอนหนุนตักยาย เนื้อตัวสะอาดเอี่ยมไม่มีร่องรอยการต่อสู้

แม่ก็เพียรถามไปไหนมา ยายคิดถึงรู้มั้ย อย่าไปไหนอีกนะ อยู่กับยายไปนาน ๆ ก็ได้ ไปเที่ยวไหนแล้วก็รู้จักกลับบ้านบ้าง ยายเป็นห่วงหนู ๆ นะลูก

แมวก็เหมือนรู้ รับปากกันพัลวัน เคล้าแข้งเลียขา นอนในที่ตักผงฝุ่น ช่วยยายกวาดบ้าน ถูบ้าน

แมวจรส่วนใหญ่ที่มา จะเป็นแมวตัวเมีย มาพร้อมลูกเล็ก ๆ ในท้องทีละสี่ห้าตัว บางชุดก็อยู่รอด บางชุดก็ป่วยตาย แต่ส่วนใหญ่จะรอด เติบโตและหายไป ฉันสงสัยเหมือนกันว่าแม่จำแมวได้อย่างไร และรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนเป็นพ่อของพวกมัน

แมวที่หล่อที่สุดจะมีสีดำลายเสือ ลำตัวใหญ่ แข็งแรง เป็นสาวก็หลงรักล่ะ มาดดี ท่วงท่าสง่างามมาก แม่จะบอกว่า ตัวนี้แหละที่จีบสาวเก่งและลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง สาว ๆ ของแม่ก็เสร็จเจ้าตัวนี้ทุกราย แม่พูดไปหัวเราะไป มีความสุขกับเจ้าตัวเล็กที่เกิดมาอีกครอกแล้วครอกเล่า

เราบอกแม่ว่า มันเยอะเกินไปแล้วนะ เราจะเลี้ยงแบบนี้ไม่ได้ เราต้องพามันไปทำหมัน ปล่อยแบบนี้เราก็ลำบาก ไปไหนไม่ได้เลย ไม่มีวันหยุด วันพัก วันพักร้อน แทนที่จะได้ไปไหนก็ต้องมาเฝ้าแมวชุดแล้วชุดเล่า ดูแลทุกยามแบบนี้ เราจะป่วยเอาได้ เฝ้าไข้มันทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หรอก

แม่ก็เห็นดีเห็นงามด้วยทุกอย่าง พวกเราจะช่วยออกค่าทำหมันให้ แต่ต้องไหว้วานใครมาช่วยพามันไปหาหมอ นัดหมอไว้ จับมันใส่กรง อดอาหารและน้ำหลังเที่ยงคืนและพาไป

จนแล้วจนรอด ก็ไม่เคยได้ทำหมันให้แมวตัวไหนสักตัว วีรกรรมของแม่แมวก็มากขึ้น บางทีสามแม่ออกลูกสามครอก นับได้เกินสิบตัว ดูอากัปรกิริยาของสัตว์โลกตัวเล็ก ๆ ช่างน่ารัก นอนดูดนมแม่กันเป็นแถว บางแม่ก็ใจดำ ไม่ยอมให้ลูกขี้เหร่ดูดนม เจ้าตัวขี้เหร่ ผอมแห้งแรงน้อยก็ต้องไปหาแม่อื่น มีการผลักไสไล่ส่ง บางแม่ก็คาบลูกไปซ่อนยายให้หากันจ้าละหวั่น ไม่รู้เขาอยากเล่นซ่อนหากับยายหรือไร ยายก็ต้องสังเกตว่ามันจะเลี้ยวไปทางไหนและเป็นเอมิลยอดนักสืบคอยตามดู บางทีมันก็เล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับยาย มันหลอกล่อให้ยายหลงกล ไม่ยอมให้ยายรู้ว่ามันซ่อนลูกไว้ที่ไหน

แม่เล่าให้ฟังว่า แม่ถึงขนาดอ้อนวอนนะว่าเดี๋ยวลูกแกจะตาย เอามาให้ยายเถอะ แม่อื่นก็มี จะพากันหนีไปไหน ไม่รักยายแล้วเหรอ สุดท้าย เพื่อนแม่ที่อยู่หลังบ้านแอบมาบอกว่า มันอยู่ในท่อระบายน้ำฝนบนหลังคาบ้านเขา ให้แม่ไปเอาที แม่ต้องปีนไปเก็บมา แต่ได้ไม่ครบเพราะบางตัวก็ตาย แม่มันใจดำไม่ให้ลูกกินนมอีกต่างหาก แม่ดุแม่แมวยกใหญ่ แต่มันทำหน้าเฉย ไม่รู้ไม่สนใจ กลับมานอนที่เดิม หน้ามึน ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

แมวบางตัวคลอดลูกเองไม่ได้ แม่ต้องเป็นหมอตำแยช่วยแม่แมวดึงลูกออกมาอีกต่างหาก เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อีก ทั้งที่เวลาแม่แมวเกิดนี่แทบไม่มีใครจะได้เห็น เธอจะหลบซ่อนและหาที่ที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อคลอดลูก แต่แมวจรบ้านแม่กลับมานอนในรั้วบ้านแม่และขอความเมตตาฝากตัวฝากลูกในท้องอีกต่างหาก

เรื่องราวเล็ก ๆ น้อยเหล่านี้ ฉันฟังมาเนิ่นนาน ฟังเป็นเรื่องปกติ จนกระทั่งแม่มีไอแพด แม่ก็ส่งรูปแมวให้ดูวันละสองเวลาคือเวลาก่อนอาหารและหลังอาหารของแม่ ส่งรูปแมววันละแปดร้อยห้าสิบเจ็ดภาพพร้อมเรื่องเล่าประกอบภาพ แม่ส่งตั้งแต่แม่ลืมตาจนเที่ยงคืน ฉันมักมาเห็นข้อความที่ไม่ได้อ่านตอนเช้าเสมอ

การมีแมวทำให้เราได้รู้กิจวัตรของแม่ทุกวัน นอกจากถ่ายรูปแมวแล้ว แม่ยังถ่ายกับข้าวกับปลาที่แม่กินอีกด้วย เราติดต่อผ่านไลน์เสมอมา ได้แต่ขอบคุณโลกออนไลน์และเทคโนโลยีปัจจุบันที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น






2.


การที่แม่ได้อยู่กับสิ่งที่แม่รักนั้น นอกจากแม่มีความสุขแล้ว ลูกทุกคนยิ่งมีความสุข ปรารถนาให้แม่ได้อยู่ในที่ที่แม่รักและผูกพัน แมวมาเติมเต็มชีวิตแม่ได้ดีมาตลอด แม่ไม่เคยบ่นเหงา แม่ไม่ร้องไห้กับอะไรง่าย ๆ เรื่องที่ทำให้แม่ร้องไห้ได้นั้นมีอะไรบ้าง ฉันไม่เคยถามเลย แต่เท่าที่ผ่านมา ฉันไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ไม่ว่าจะเจอเรื่องคอขาดบาดตายหรือเข้าตาจนแค่ไหนก็ตาม แม่สามารถผ่านมันไปได้เสมอโดยทิ้งผลเป็นรูปธรรมให้เราเห็นมากกว่าบอกให้เรารู้ ใครจะเอาเปรียบแม่ แม่รู้แต่ก็ไม่เอาคืน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพราะแม่ไม่เคยคิดว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ คิดแต่ว่าเขาคงจนตรอกเหมือนกันที่ทำกับแม่แบบนั้น แม่ให้อภัยได้โดยไม่ได้พูดว่าให้อภัย

วันนี้ น้องสาวพาแม่ไปเดินห้าง ซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นและพาแม่กินของอร่อย และที่แม่ไม่เคยลืมซื้อเลยคืออาหารแมว มันหมดเร็วมากเพราะแม่เทเต็มจานทั่วบ้านจนสงสัยว่าแม่เทวันละกระสอบเลยหรือไง แต่แม่ก็บอกว่า เล็กน้อยมาก แม่ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้เพราะแม่กินน้อย เงินบำนาญที่เหลือก็แบ่งให้แมวกินได้ตลอดชีวิตแม่นั่นแหละ

แม่กับน้องสาวเข้าบ้านแล้ว เห็นจดหมายนอนรอในกล่องไปรษณีย์สีแดง !!!

ร้อยวันพันปีไม่เคยมีจดหมายมาบ้านเพราะช่วงหลังมานี้ เราต่างเลิกเขียนจดหมายกันแล้วหรือไร ไม่เคยเขียนจ่าหน้าซองส่งจดหมายจนไม่รู้แล้วว่าเดี๋ยวนี้เขาติดแสตมป์จดหมายกี่บาท

น้องสาวเขียนมาในไลน์ว่า มีเรื่องจะปรึกษา..

ฉันงงนิดหน่อย ยังแซวไปว่า ทำเหมือนมีเรื่องไม่ดี น้ำเสียงซีเรียสเลย จากนั้นเธอก็ส่งจดหมายที่ว่านี้มาให้อ่าน เนื้อความมีใจความสำคัญว่า

'...แมวของท่านนำความเดือดร้อนมาให้คนในหมู่บ้าน ถ้าท่านไม่กำจัดมัน เราจะรวมหัวกันกำจัดมันหรือรวมหัวกันขับไล่ท่านออกจากหมู่บ้าน หรือแจ้งไปทางราชการให้ลูกของท่านพักราชการเพื่อมาเลี้ยงแมวของท่านที่บ้าน...'

จดหมายนี้ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2559 แต่มาถึงมือเราวันที่ 11 ธันวาคม 2559

ใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร เท่ากับว่า ผู้เขียนบัตรสนเท่ห์นี้ รู้จักบ้านเราเป็นอย่างดี รู้ว่าน้องชายฉันรับราชการ จึงไม่แสดงตัวหรือลงลายเซ็นให้รู้ว่าเป็นเจ้าทุกข์ จดหมายนี้ไม่ได้ผ่านเทศบาลจึงไม่ใช่จดหมายของทางราชการแน่แม้ว่าหัวกระดาษเป็นรูปครุฑก็ตาม

เราไม่ได้เพิกเฉย อ่านแล้วรับรู้ได้ถึงความเกลียดชังอย่างแสนสาหัสที่แผ่คลุมไปทั้งจดหมาย อยากให้เราเจ็บใจ ขู่และคุกคามอย่างโจ่งแจ้ง แสดงความเกลียดชังแม่มากเหลือเกิน

ใช่นะ...แม่เป็นผู้หญิงแก่ ๆ ที่อยู่บ้านตามลำพัง ลูก ๆ ไม่ได้อยู่ด้วย แม่อยู่กับแมวยิปซีเร่ร่อน จำเป็นไหมที่ใครต้องเกรงใจแม่หรือเกรงใจใคร จำเป็นไหมที่เขาต้องเกรงใจข้าราชการตำรวจอย่างน้องชายของฉัน เขาเห็นทุกคนเทียวไปเทียวมาเยี่ยมแม่ ย่อมรู้ว่า แม่ไม่ได้เป็นหญิงชราที่ลูกทิ้งหรือไม่ได้เหลียวแล แต่เขาเกลียดแมวของแม่


แม่รู้ทันทีว่าใคร แต่ไม่คิดว่าจะต้องรุนแรงขนาดนี้ แมวมาหาจะไม่ให้เมตตาหรือไร มันมาแล้วก็ไป จะให้จับมันไปไว้ที่ไหน

แล้วเราก็ย้อนคิดกลับไปว่า สองครั้งหลังที่แมวแม่ตายเป็นครอกนั้น เป็นเพราะโดนวางยาจริง ๆ ตายจนฝังแทบไม่ทัน ครั้งนั้น เราเพียงคุยกันว่า เขาไม่เห็นหัวแม่เลย กล้าทำกับแมวที่แม่รักขนาดนี้ เรารู้สึกตรงกันว่า เราไม่มีเพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้ เขาไม่ชอบแต่เขาไม่เลือกที่จะพูดกับเรา ทั้งที่เขาก็เคยเลี้ยงไก่ เหม็นขี้ไก่ สกปรกมากเช่นกัน

แต่แม่ไม่คิดว่าจะมีใครวางยาเพราะมันบาปและใจดำเกินไป

เราก็ได้แต่ปลอบใจแม่ว่า ไม่เป็นไร มันไปสบายกันแล้ว แม่ป้อนยามันจนตายคามือทุกตัว ป้อนทุกวัน ๆ ละหลายตัวจนแม่ไม่ได้กินและพักผ่อน เราเป็นห่วง กลัวแม่จะป่วย แต่แม่ก็ไม่เคยสนใจตัวเองเลย ออกบ้านไปหาซื้อยามาป้อนแมวตามที่ฉันจดชื่อยาไว้ให้ แม่เพียรช่วยชีวิตมันสุดความสามารถทุกตัวแต่ก็ยื้อไว้ไม่อยู่ จนเหลือแต่ตัวแม่ที่แข็งแรงอยู่ แม่ดูเฉาไปพักใหญ่ ๆ และอยู่กับแมวที่เหลืออยู่

แต่ต่อมาไม่นาน แม่ก็ส่งไลน์มาอีกพร้อมแมวอีกครอกใหญ่ ดูแม่มีชีวิตชีวาขึ้นอีกรอบ แม่กำลังตั้งชื่อให้ลูกแมวอย่างสนุกสนานและมีความสุขตามประสาเขา แต่คืนนี้จำต้องอยู่กับพวกมันเป็นคืนสุดท้าย เพราะต้องหาวิธีเอาแมวไปไว้ที่ไหนสักที่ ขืนปล่อยมันไว้ต่อไป มันจะโดนวางยาเบื่อและตายทั้งหมด เราเหมือนทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

ข้อหนึ่งที่เราเคยกังวลมาตลอดคือ เราสร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนบ้านโดยที่เราไม่รู้ตัว เรารักแมวจร การที่มันอยู่กับเรานั่นคือแมวของเราไปโดยปริยาย เมื่อมันมีปัญหา เราคือเจ้าของแมวและต้องรับผิดชอบ ปัดภาระให้ใครไม่ได้ เราเลี้ยงมัน เราก็คือเจ้าของมัน

การที่เราละเลยเรื่องการทำหมันให้พวกมัน ทำให้มันแพร่พันธุ์ไม่หยุดหย่อน จะอยู่จะตาย มันก็ท้องได้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหอบมาให้แม่เลี้ยงครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะรู้ว่าบ้านนี้ไม่มีทางที่จะทำร้ายพวกมัน

แต่คืนนี้ แม่จำต้องจับพวกมันทุกตัวเข้ากรงและรอให้น้องชายพามันไปปล่อยวัด เพราะแมวแม่ที่น่ารักทั้งหลายนั้น ถึงเวลาจะฝากให้เพื่อนคนไหนที่ชอบพอกันไปเลี้ยงนั้น ไม่มีใครต้องการหรอก เลี้ยงแมวไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อน ๆ แม่เขาใช้ชีวิตบั้นปลายเกษียณไม่เหมือนแม่ ลูกเขามีครอบครัวกันหมดแล้ว ลูกหลานก็แค่แวะมาเยี่ยมเยียนไม่ได้เป็นภาระอะไร เขาไปไหนมาไหนสะดวกโดยไม่ต้องมีภาระกับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในบ้านไม่ว่าจะสองขาหรือสี่ขา

มันเป็นเรื่องที่บั่นทอนและเศร้าใจมาก มือที่เคยโอบอุ้มมันทุกตัว ตั้งชื่อให้มันรู้จักตัวเอง มือที่คอยให้ข้าวให้น้ำ ทะนุถนอมเวลามันเจ็บไข้ได้ป่วย มือแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจและโอบอ้อมอารีทุกเวลา วันนี้กลับตาลปัตรเพราะเป็นมือที่จะต้องนำมันไปปล่อยให้อยู่กันเองตามป่าตามเขา หลีกลี้หนีภัยจากแมวเจ้าถิ่นและหมาวัดที่ไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัว ทุกตัวก็หวังพึ่งข้าวก้นบาตรของหลวงตาทั้งนั้น แล้วแมวที่เคยกินอิ่มนอนอุ่นเหล่านี้จะเอาตัวรอดอย่างไร อากาศหนาวแสนหนาว ลังนอนของยายก็ไม่มีอีกแล้ว แค่หลับตานึกก็น้ำตาร่วง แล้วแม่จะรู้สึกขนาดไหน หลับตานึกก็รู้สึก เวทนาใจแม่มาก

น้องสาวไลน์บอกมาว่า แม่สะอึกสะอื้น ร้องไห้หนัก กอดแมวแต่ละตัว ร้องไห้คร่ำครวญกับแมว เป็นภาพที่น่าเวทนามาก ได้แต่ถามกันในใจว่า แค่ความสะใจเท่านั้นจริง ๆ ทีได้ทำอะไรแบบนี้กับเรา

พยายามหาข้อแก้ต่างให้เขา เราชอบแมว แต่เราไม่ชอบกลิ่นอึและฉี่ของมัน กลิ่นของมันไม่พึงประสงค์ ทำไมเขาต้องชอบแมวเหมือนแม่ด้วย ทำไมเขาต้องทนกลิ่นฉี่ของมัน ทำไมเขาต้องรับรู้การแสดงออกซึ่งรักใคร่ของคนกับสัตว์ ทำไมเขาต้องอยู่กับเพื่อนบ้านที่เมตตาสัตว์โลกอย่างแม่ ทำไมและทำไม ???

ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่มีเหตุผลมารับรองให้มันหนักแน่นมากไปกว่านี้ ไม่รู้ว่าเขาไม่ชอบคนหรือไม่ชอบแมวกว่ากัน การไม่ชอบหรือเกลียดใครนั้น มันสร้างความทุกข์ใจให้ตัวเขาเองไม่น้อย ยิ่งเกลียดคนอื่นมากเท่าไหร่ มันยิ่งเผาใจให้ร้อนรนมากขึ้นเท่านั้น เราทรมานใจเขามานาน เราเบียดเบียนใจเขามานาน เราเป็นคนสร้างความเกลียดชังขึ้นในใจเขา เราเป็นคนผิด...

ผิดที่พร่ำพูดและสอนลูกเสมอว่า อย่าเบียดเบียนใคร แต่ตอนนี้ บ้านเราไปเบียดเบียนเขาเพราะเลี้ยงแมวจร

สงสารใจแม่จริง ๆ ตอนนี้

แม่ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น และต้องตัดใจมากที่ต้องทำร้ายจิตใจตัวเอง โทษตัวเองที่เป็นคนใจร้าย มือที่อุ้มชูแมวทุกตัวมากลับกลายเป็นมืออำมหิต รู้ทั้งรู้ว่าจับมันครั้งนี้แล้วจะไม่ได้เจอมันอีกแล้วก็ตาม

เราก็ได้แต่ปลอบใจว่า ปล่อยพวกมันไว้ ก็ตายทั้งหมด เอาไปไว้วัดก็เหมือนให้มันวิ่งหนีกระสุนข้างหลัง อย่างน้อยก็ต้องมีตัวรอดและมันต้องใช้สัญขาติญาณการมีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติของมัน อย่างน้อยแมวก็คือเสือน้อยตัวหนึ่ง ภาวนาให้มันอยู่รอดปลอดภัยก่อนดีไหม เขาใจร้าย เขาเตือนเราหลายครั้งด้วยการวางยาเบื่อมันมาแล้ว

ตอนนี้ก็จะมาดูข้อกฎหมายว่า เขาสามารถทำอะไรกับเพื่อนบ้านได้แค่ไหน เราโทษเขาไม่ได้นอกจากสงสัยทั้งที่มันชัดเจนเพราะจดหมายไม่ได้ลงชื่อเป็นหลักฐาน แต่ก็วางไปก่อน จัดการปัญหาเฉพาะหน้าก่อน เพราะใจแม่จะขาดรอน ๆ อยู่แล้ว
















3.



ความโกลาหลเกิดขึ้นเมื่อลูกน้องของน้องชายมาช่วยจับแมวไปปล่อยวัด บุรุษนอกราชการห้าคนทำตัวราวหนาวยคอมมอนโดบุกจับแมวเข้ากรง เป็นภาพที่วุ่นวายที่สุดพร้อมทั้งเสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ของแม่ที่คอยเรียกแมวของแม่ ปละคอยปลอบใจทั้งน้ำตา อย่ากลัวนะลูก จะไปอยู่กับหลวงตาแล้วเดี๋ยวยายจะไปเยี่ยมหา แม่ร้องไห้ พร่ำรำพันไม่หยุด น้องสาวถ่ายรูปแม่ตอนปล่อยมือจากกรงแมวครั้งสุดท้าย ร้องไห้จนตัวโยน ตัวเธอเองก็ร้องไห้จนไม่รู้ว่าใครจะปลอบใครกันดี

เป็นเรื่องที่ต้องทำใจและต้องใช้เวลาพอสมควร คนอื่นก็ช่วยไม่ได้ เศร้าสุดใจ

เราอยากจะบรรเทาความเกลียดชังของเขาด้วยการหลบเลี่ยงไม่ให้เขาต้องเผชิญหรือต้องทำบาปมากขึ้น แต่เราก็ทำบาปมากเหมือนกัน เลี้ยงจนเป็นแมวบ้าน มีเจ้าของ มีที่นอนดี อบอุ่นใจไม่ต้องหวาดระแวงใคร มือนุ่ม ๆ อุ่น ๆ คอยระวังภัยและหาให้กินจนอิ่มท้องทุกมื้อทุกเมื่อเชื่อวัน

แต่วันนี้มือนี้กลับเป็นมือใจร้ายที่จับพวกเขาเข้ากรงและต้องไปปล่อยให้ต่อสู้กันเองตามยถากรรม เผชิญร้อน เผชิญหนาวและสัตว์ที่ใหญ่กว่า มันจะอยู่กันยังไง ขณะที่นึกถึงพวกมัน ฉันซุกร่างใต้เสื้ออุ่น ห่มผ้านวมนอนอุ่นบนเตียง กันลม กันสิ่งรบกวนจากภายนอก แต่ภายในใจร้อนรนเหมือนโดนไฟเผา บางคราวก็หนาวยะเยือกเพราะร่วมหัวกันเร่งแม่จัดการเก็บแมวให้ครบและไปปล่อยให้หมดทุกตัว

ฉันไม่ห่วงพวกมันเลยหรือ ฉันใจไม้ไส้ระกำเหมือนแม่บอกหรือที่เร่งแม่และคอยบอกแม่ว่า อย่าเอาไว้ บ้านเราไม่เหมาะจะเลี้ยงแมว มันรบกวนข้างบ้านมานาน ก่อนจะเกิดเหตุการส่งจดหมายแบบนี้ เขาคงคิดแล้วว่า พูดกับเราก็คงไม่จัดการจริงจัง ตอนนี้มันเกินการเจรจากันดี ๆ เขาต้องใช้ความรุนแรงเข้ามา มันสะเทือนใจมาก เขาเขียนก็ต้องการข่มขู่ คุกคาม ปรามาสและกดดันจนอยากจะขับไล่จริงจังทั้งที่ไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนั้น แต่หากใครมาดูสภาพหมู่บ้าน ก็จะเอนเอียงไปทางเกลียดแมวได้หมด เราเลี้ยงในที่ไม่เหมาะสมเพราะมันเกินกว่าจะรับไว้และไม่ดูแลเรื่องการทำหมัน ควบคุมประชากรพวกมัน

ฟังดูเหมือนดีนะที่เราไม่เก็บมันไว้ในบ้าน หิวมากิน นอนหลับได้และไปเที่ยวไหนก็ได้ ทุกตัวเป็นอิสระ มันก็คิดแบบนั้น นี่คือโรงเตี๊ยมที่ให้ที่พักที่กินโดยไม่ต้องจ่ายค่าที่พักและอาหาร มันถือเป็นที่อยู่ที่ตาย มันป้วนเปี้ยนไปมาจนเราหลงรักหลงลืมใครต่อใครในโลกและเป็นเจ้าของมันโดยไม่รู้ตัว เราหลงรักและรักมันแบบเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไปโดยปริยาย แต่เราต้องไม่ลืมว่า เราต้องรับผิดชอบหากมันรบกวนผู้อื่น เราจะบอกว่ามันเป็นแมวจรแบบเดิมไม่ได้ ชื่อเสียงเรียงนามที่เราเรียกมันอจานเอย ชามเอย กาละมังเอย และจานที่วางรอบบ้านข้างรั้ว เทอาหารสำหรับแมวจรทุกตัวนี่ เท่ากับเป็นการผูกมัดเราไปในตัวว่าเป็นแมวเรา เพียงแต่เราไม่กักมันไว้ในบ้านเท่านั้นเอง

มันผิดที่บ้านเราเล็ก ไม่มีบริเวณที่จะโอบอุ้มพวกมันทุกตัวได้ พอถึงวันนี้ ต้องจับไปปล่อยเป็นทุกขเวทนาเราซึ่งเป็นเจ้าของมันมานานนับสิบปี

เมื่อเกิดขึ้นแบบนี้แล้ว เราจะทำอย่างไร ปล่อยแมววันนั้น มันคงขวัญหนีดีฝ่อ กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง แม่ก็เศร้าโศก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ บางคืนก็หลับไปทั้งเสียงสะอื้น น้ำตาคลออยู่อย่างนั้น ตื่นเช้ามาก็ร้องไห้ หยิบจับข้าวของตรงไหนก็ร้องไห้ น้องสาวเล่าให้ฟังตลอดว่าแม่ดูเหงาหงอย กลัวจะล้มป่วยเพราะใจล้มละลายไปตั้งแต่เมื่อวาน แล้วที่เหลือให้ดูต่างหน้านั้นคือลูกแมวน้อยหนึ่งตัว และตัวที่เป็นแมวเด็กแต่ขี้ตาเขรอะอีกหนึ่งตัว เจ้าขี้ตาเขรอะก็หวาดระแวงแม่ ไม่เข้าใกล้แต่ไม่ไปไหน แม่ก็ตีอกชกตัวว่า แมวมันเกลียดแม่ กลัวจนไม่ให้เข้าใกล้ เรียกหามาก็ไม่มาเหมือนเดิม

ส่วนเจ้าตัวเล็กก็นั่งหงอย แล้วแม่ก็พร่ำรำพันซ้ำ ๆ ว่า ยายทำบาป พรากลูกพรากแม่หนู ยายทำบาป ยายรู้ มาให้ยายกอดหน่อย แล้วก็กอดแมวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ร้องไห้เหมือนฝนหลงฤดูที่รุดจู่โจมเป็นน้ำป่าบ่าไหลในเดือนธันวา วิปโยคโศกนาฏกรรมที่สะท้อนสะเทือนมายังลูกทุกคน

แต่ข้างบ้านเงียบ(บอใบไม้ห้าสิบสามตัว) เงียบเพราะสะใจหรือสบายใจที่จัดการสำเร็จอย่างง่ายดาย ฉันนึกในใจว่า เขาจะรู้สึกแตกต่างจากที่เราคิดได้บ้างไหมหรือคอยแอบดูว่า เราจะจัดการสองตัวที่หลุดรอดจากกรงกันอย่างไร

นี่เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่เราบอกให้แม่ต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ เราเลี้ยงสัตว์แบบบ้านเมตตาไม่ได้ บ้านเราไม่มีบริเวณ

แม่บอกว่า อย่ากลัวว่าใครจะมาขับไล่ การอยู่ข้างบ้านกับคนใจดำนั่น ใครก็สุดทนเหมือนกัน

แต่เราทำไม่ถูกนะ เราทำให้คนอื่นเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว บ้านเล็ก ๆ ไม่ใช่สถานที่รับเลี้ยงดูสัตว์ ไหนจะมาจับคู่ขู่ฟอด ๆ วิ่งไล่กันบนหลังคานั่นอีก หากมันไม่สิงสถิตบ้านเรา เราก็ไม่คิดมาก แต่หากเราจะเลี้ยงก็ต้องคุมกำเนิดตัวเมียซึ่งเราก็ควรเลี้ยงไม่เกินสามตัว

หากเราดื้อดึงจะเลี้ยงอีก แมวแม่ก็จะหอบลูกมาทิ้งไว้ที่บ้านอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น ความรุนแรงก็จะเกิดขึ้นตามลำดับ ชีวิตบั้นปลายที่ควรจะมีความสุขตามอัตภาพกลับกลายมาต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้าน มันสิ้นเปลืองพลังงานและทิ้งความสุขบั้นปลายไปอย่างน่าเสียดาย

เราชวนแม่มาอยู่บ้านเรานับครั้งไม่ถ้วน ขณะที่แม่เลือกได้ แม่ไม่เลือกเพราะชอบชีวิตที่อยู่คนเดียว อยากทำอะไรก็ได้ เขาคุ้นเคยกับที่อยู่และเพื่อนฝูงของเขา มาบ้านฉันเหมือนตัดจากท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูงยกเว้นท่องอินเทอร์เน็ตส่งไลน์เท่านั้น แม่จะเฉากว่าการผจญภัยกับเพื่อนบ้านแบบนี้

เหตุการณ์ยังดำเนินไปแบบอึมครึม หาทางออกไม่ได้
แม่จะไม่ไปไหนและยังมีแมวในครอบครองอีกสองตัว
ฉันรำพึงรำพันว่า ความเมตตาของแม่ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันแม่จากคนนอกเลย
แต่ฉันก็ทำใจไม่ได้หรอกถ้าแม่ฉันเป็นคนใจดำ ไม่ดูดำดูดีสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่หลงทาง











ภูพเยีย
12 ธันวาคม 2559












Create Date : 15 ธันวาคม 2559
Last Update : 15 ธันวาคม 2559 11:56:53 น.
Counter : 780 Pageviews.

0 comment
--- ภู ก ร ะ ดึ ง ซ้ำ แ ล้ ว ซ้ำ เ ล่ า ---































































































































































ฉันเดินขึ้นภูกระดึง 4 ครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ระยะเวลาห่างจากครั้งแรกตอนเป็นเฟรชชี่ 28 ปี

สมัยนั้น เราจ่ายค่าเดินทางจากเชียงใหม่ไปเลยคนละ 199 บาท นั่งรสบัสธรรมดา เบาะละ 3 คนแต่ค่ากินค่าอยู่นั้นเราจัดการตัวเอง

ปี 2529 ค่าครองชีพยังไม่สูงมาก เรายังกินข้าวที่โรงอาหารอมช. (องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ข้าวและกับข้าวหนึ่งอย่างจานละ 5 บาท แต่ถ้ากับข้าวสองอย่างจะ 7 บาท แตงโมที่ฝายหินชิ้นละ 5 บาทนี่ถือว่าแพงมาก ค่าหอพักในมอชอ เทอมละ 500 บาท รวมค่าประกันความเสียหายอีก 100 ได้ทิชชู่มาสองม้วน หากไม่มีอะไรเสียหายเราก็ได้เงินค่าประกันคืนไว้เดินทางกลับบ้านตอนปิดเทอม

ค่าลงทะเบียนเทอมละ 800 บาท หน่วยกิตละไม่มากมายนัก พ่อให้เงินเดือน ๆ ละ 2,500 บาท ซึ่งจบออกมาเงินเดือนปริญญาตรีตอนนั้น 2,700 บาท นับว่าพ่อให้เงินใช้มากโข และให้จัดการตัวเองได้ในเงินจำนวนนี้ รูมเมทได้ใช้เดือนละสามพันบาท และที่ตกใจสุดคือเพื่อนสาวร่วมคณะและมาสนิทกันภายหลังนั้น ใช้เงินเดือนละ 800 บาทเท่านั้น แต่เธอกินน้อยและเที่ยวไม่ระห่ำอย่างฉัน


ต่างกับค่าหน่วยกิตของนักศึกษาในปัจจุบันนี้ นึกถึงลูก ๆ ของเรา ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาไม่น้อยสักคน เจ้าคนโต เทอมละ 4 หมื่น ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แต่มาคิดภายหลังก็ถือว่าไม่แพงมากเพราะเขาเรียนภาควิชาภาษาอังกฤษกับอาจารย์ชาวต่างชาติ จบออกมาก็ประกอบอาชีพได้ พูด ฟังและอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ แต่ความลึกซึ้งในการอ่านน้อยมากเพราะอ่านน้อย ได้แต่หวังว่าเธอจะมีโอกาสต่อยอกเรื่องการอ่านไปพร้อม ๆ กับการงานที่เธอรัก ส่วนเจ้าแฝดนั้น ค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อย ทุกอย่างจ่ายเป็นสองเท่าเสมอ เราไม่มีสมบัติอะไรให้ลูกนอกจากการศึกษา ให้เขาได้เลือกเรียนและอยู่กับสิ่งที่เขาชอบ อดทนได้กับทุกสถานการณ์ที่ไม่พึงใจได้ด้วย พ่อแม่ได้แต่คอยสนับสนุนและอยู่เบื้องหลังเขาเท่านั้น ทุกอย่างคือการสร้างพื้นฐานให้เขาเท่านั้น

กลับมาเล่าเรื่องภูกระดึงต่อ การขึ้นภูกระดึงครั้งนั้นมีอาจารย์อุดมหัวหน้าทัวร์เป็นไกด์นำทางไปดูตามผาต่าง ๆ อาจารย์ท่านร่างเล็ก ผอม บางแต่แข็งแรง เราตื่นตามเวลาที่อาจารย์นัดและตามอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ก็ได้เห็นทะเลหมอก เด็กบ้านนอกมาขึ้นภูกระดึงได้แต่เก็บภาพความงามเหล่านั้นไว้ในความทรงจำ ไม่มีกล้องถ่ายรูปส่วนตัว เพื่อนร่วมทางเรียนแมสคอมม์ ก็ไม่มีอีกเช่นกัน เราได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น น้ำตาเพ็ญพบใหม่ ใบเมเปิ้ลสีแดง พระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักและเดินกลับที่พักยามค่ำคืน

ครั้งนั้นเราฝากกระเป๋ากับลูกหาบเหมือนกัน แต่จำไม่ได้ว่ากิโลละเท่าไร เรามารอรับกระเป๋าเราจนค่ำ เรามีเงินติดตัวกันไม่มากจึงไม่สามารถนั่งกินตามร้านอาหาร เราเอาอาหารขึ้นไปกินด้วย จะมีขนมปังแถวยาว ๆ ที่สลับกันถือกับปลากระป๋องที่แบกไปพอกินกันสามวันสี่คนเรา เพื่อนร่วมทางคือรูมเมท เราอยู่คณะเดียวกันหมดแต่คนละเมเจอร์ ตุ๊ก(รูมเมท)อยู่เมเจอร์ไซโคและเพื่อนอีกสองคนคือปอกับกุ้งนั้น เด็กเมเจอร์แมสคอมฯหรือสื่อสารมวลชน ฉันกับตุุ๊กค่อนข้างสบายเพราะเราเล่นกีฬาอยู่เสมอ แต่กุ้งกับปอนี่ กำลังน้อยกว่าเรา ต้องเดินรอ ๆ กันไปตลอดทาง แล้วเราก็ถึงที่หมายพร้อมกัน

ครั้งนั้นเรานอนเต็นท์ที่ยกพื้นด้วยไม้ซี่ เราไม่มีเงินเช่าผ้าห่มหรือเบาะนอนแล้ว ถุงนอนก็ไม่มี ผ้าถุงที่เราใช้อาบน้ำนั้นเอามาห่มเหมือนถุงนอนและนอนกอดกับรูมเมท น้ำค้างเกาะเต็มกระโจมเต็นท์ เหมือนเข็มแสนเล่มทิ่มลงมาตามเนื้อตัว หนาวแทบบ้าทั้งที่เป็นเด็กหนังหนา ภาวนาว่าอย่าเจอทากมาดูดเลือดอีกเลยเพราะรูมเมทโดนทากชิมเลือดหวานไปแล้ว นอนรอว่าเมื่อไหร่จะสว่าง เห็นดาวเกลื่อนฟ้าแทบจะโกยลงมาใส่ในจานข้าวได้ แต่ก็ไม่มีกล้องถ่ายรูปสักคน มีรูปถ่ายที่เป็นความทรงจำหนึ่งใบแต่ป่านนี้ยังหาภาพนั้นไม่เจอ อาจารย์ถ่ายให้และอัดมาขายเราสี่คนเป็นที่ระลึกการเดินทางครั้งนั้น ฉันขาดการติดต่อกับตุ๊กมานานมาก รู้ข่าวแต่เพื่อนกลับไปทำธุรกิจกับครอบครัวที่สวี บ้านเกิดของเธอ ไม่รู้ว่าเธอมีความทรงจำตรงนี้อย่างไร สำหรับฉันตอนนั้นคิดว่าคงไม่ขึ้นไปอีกแล้ว ทรมานมาก ๆ





เดินขึ้นภูกระดึงครั้งที่สอง ปี 2533 เราไปกันสองคน ตอนนั้นสุขภาพฉันไม่ค่อยแข็งแรง ทำแต่งาน อยู่ที่ทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ ไม่เคยออกกำลังกายเลย จำได้ว่าอยากกลับตั้งแต่ซำแรก หน้าซีด ใจสั่นและไม่ยอมเดินต่อ แต่เขาบอกว่า ไม่ได้รีบอะไร เดินไปเรื่อย ๆ พอผ่านซำแฮก เราก็ไปสบาย
ครั้งนั้นค่อนข้างจะไม่ระวังตัว เราไม่มีกลุ่มแต่เดินกางแผนที่บนดอย บางเส้นทางเหมือนมีเราเพียงสองคน มีรอยเท้าสัตว์แต่เราไม่ทราบว่าจะเป็นอะไร หมูป่าหรือเปล่าไม่แน่ใจแต่ไม่เคยคิดถึงเสือหรืออะไรที่น่ากลัวกว่านั้น เราเดินทั่วภูแบบไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เป้คนละใบและอาหารกลางวัน เป็นการเดินภูกระดึงที่มีความสุขมากครั้งหนึ่ง











เดินขึ้นภูกระดึงครั้งที่สามนั้น เรากับเพื่อน ๆ รวมหกชีวิต ในปี 2535 ...

ยี่สิบกว่าปีที่แล้วนั้น เรายังเดินทางโดยรถทัวร์และไปต่อรถเข้ามาที่อุทยานอีกรอบ ยังไม่มีรถส่วนตัวหรือเช่ารถไป สองครั้งนั้น สามีฉันเป็นหัวหน้าทัวร์พาเที่ยว ฉันจำความลำบากได้ขึ้นใจทั้งสองครั้งตรงซำแฮกหรือซำแรกที่เหนื่อยแสนสาหัสและฉันไม่อยากเดินต่อ เดินไม่ไหว หน้าซีดจะเป็นลมและอยากกลับบ้านแล้ว ไม่คิดว่าสามีจะนั่งรอและบอกว่าค่อย ๆ ไป เดี๋ยวก็ถึง ฉันแข็งใจลุกและพยายามก้าวเท้าขึ้นไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมงกว่าจะถึงหลังแปและนั่งกินก๋วยเตี๋ยวและกาแฟ ไข่ลวกตรงปากทางก่อนเดินไปที่พักอีกสามกิโลข้างหน้า หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง อาจจะเป็นการเดินทางเพื่อนฝูงที่เรารักก็เป็นได้ มีแต่เรื่องสนุกที่คุยกันไม่รู้เบื่อ ร้องเพลงติดต่อกันสองชั่วโมงที่เดินเท้ากลับจากผาหล่มสักมาที่พัก ฝากท้องที่ร้านพี่ดวงเดือน ข้าวจานเดียวจานละ 30 บาท ชงกาแฟได้เองตามใจชอบ กาแฟแก้วละสิบบาทเท่านั้น จำข้าวกระเพราหมูยอที่ห่อไปกินระหว่างทาง น้ำเปล่าที่ถือไปของใครของมัน เรามีกล้องก๊อกแก๊กเพียงตัวเดียว ซื้อฟิล์มไปสองม้วน ระมัดระวังการถ่ายพอสมควร เราถ่ายรูปกันไม่มากนัก เน้นหนักแต่เรื่องกิน กินกันจนแทบไม่เหลือเงินกลับบ้าน ก่อนกลับเชียงใหม่ยังแวะบ้านเพื่อนที่ขอนแก่น ไปขอข้าวบ้านแม่เพื่อนกิน กินฟรีหลายมื้อก่อนกลับมาทำงานกัน ครั้งนั้นเรายังสัญญากันว่า เราจะกลับมาเที่ยวอีก ถ้ารวมตัวกันได้เมื่อไร เราน่าจะไปกันอีกครั้ง แต่โอกาสนั้นยังมาไม่ถึง


ครั้งนี้ ฉันวางแผนจะพาลูกสาวไปด้วย จะไปเพียงสี่คน แต่ลูก ๆ ใกล้สอบ เธอกังวลว่าจะกลับมาอ่านหนังสือไม่ทัน เราเกือบจะล้มเลิกแผนนี้ไปต้นปีหน้าแล้ว แต่น้อง ๆ ที่ทำงานของสามีรู้ข่าวว่าเราจะไปและอยากไปด้วย เราก็ไม่ขัดข้อง แผนการนี้ยังคงอยู่แม้จะเลื่อนมาเป็นปี เพราะปลายปีที่แล้วเราไปเที่ยวพม่าเสียก่อน

ทริปนี้มีกัน 8 คน คู่สามีภรรยาสองคู่ และคู่แม่ลูกอีกสองคู่ ดูเหมือนจะต่างวัยกันมาก แต่ฉันไม่คิดอะไรมากเพราะเราคุ้นเคยกัน หลาน ๆ ก็โตเป็นหนุ่มกันแล้ว อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของเราแต่ดูเป็นเด็กกว่ามากนั่นเพราะยังไม่เคยใช้ชีวิตแบบเด็กหอที่ต้องดูแลตัวเองจริง ๆ

ฉันสนุกตั้งแต่ขึ้นรถตู้ไปแล้วล่ะ คนขับรถตู้ก็เป็นพี่ชายของน้องที่ทำงานของสามี เขาเคยเหมาไปเที่ยวกันบ่อยจึงคุ้นเคยและเป็นกันเอง เขาเล่าเรื่องตลกที่มีความฮาหลายระดับ ฉันนั่งหัวเราะไปตลอดทาง เหนื่อยเพราะหัวเราะเสียมากกว่า ทำไมพวกนี้ไม่ไปเล่นตลกกันนะ มีคนชงมุก ตบมุก ใครก็ไม่ตลกเท่าสามีฉัน อารมณ์ขันเหลือเฟือมีเรื่องเล่าสนุก ๆ อยู่ตลอดทาง แต่ละคนก็ถามฉันว่าสามีฉันพูดตลกแบบนี้หรือเปล่าเวลาอยู่ที่บ้าน เขารีบตอบทันทีว่า ไม่มีเวลาพูดหรอก เข้าบ้านก็ต้องก้มหน้าก้มตาซักผ้า ทำกับข้าว อยู่เป็นคนรับใช้ทั้งลูกและเมีย ฟังดูน่าสงสารมากเลยนะคะนั่น

ครั้งนี้ ฉันเขียนบันทึกการเดินทางน้อยมาก สุขภาพฉันก็ดีมากกว่าสมัยก่อนเยอะ ไม่กังวลเรื่องเดินไม่ไหว ไม่กังวลเรื่องใด ๆ เพราะการขึ้นภูกระดึงสมัยนี้ไม่ลำบากมากเหมือนก่อน มีลูกหาบเหมือนเดิม มีอาหารให้กินตลอดทุกซำที่ผ่าน รวมถึงห้องน้ำทุกระยะ ที่เปลี่ยนมากกว่านั้นคือ มีเคือข่ายไวไฟสำหรับคนติดมือถือ สามารถโพสต์บอกเพื่อนฝูงผ่านเฟซบุ๊กได้ทุกระยะอีกด้วย

ฉันเก็บภาพมาบ้าง ไม่มากนัก มาแบบพักผ่อนไม่คิดกังวลใจอะไร มีบ้างนิดหน่อยคือ จะวิ่งมินิมาราธอนในอาทิตย์หน้าเท่านั้น ไม่ทราบว่าจะลงภูกระดึงในสภาพไหน ขออย่าข้อพลิกก็แล้วกัน มันหมายถึงทุกอย่างในอนาคตการวิ่งเลยทีเดียว

การไม่เขียนบันทึกสด ๆ ไว้หลังจากเที่ยวนั้น มีข้อเสียคือเราเก็บรายละเอียดไม่ได้หมด เหลือความทรงจำที่เด่นชัดเท่านั้นที่นำมาเล่า เหมือนครั้งนี้ที่ฉันนั่งดูภาพเก่า ๆ แล้วคิดถึง...

ฉันคงเขียนตามภาพที่มีมากกว่าเล่าเรื่องระหว่างทางของพวกเรา ทั้งที่มีเรื่องสนุกมิใช่น้อย นึกเสียดายที่ทำไมไม่เขีนบันทึกแต่แรก จะได้ไม่เป็นเรื่องเล่ากับภาพเก็บตกเหล่านี้










เช้านี้...เรามาถึงแต่เช้ามืดแต่เราไม่ทราบว่า การจัดการของที่นี่เปลี่ยนไป
แต่ก่อนเราต้องรอจนสาย เจ้าหน้าที่มาเปิดทางขึ้นให้ เราจะได้ขึ้น
แต่ครั้งนี้ คนที่รู้ก่อนแล้วก็ไปเข้าคิวฝากของกับลูกหาบ

เรายังโชคดีที่ไหวตัวทันและได้คิวเพราะลูกหาบไม่พอค่ะ ใครมาช้าถ้ามีใจจะขึ้นก็ต้องแบกของขึ้นเอง เพราะ 9 โมงเช้าลูกหาบก็หมดแล้ว พวกเราไปถึงตีสี่ มัวเอ้อระเหยกินข้าว จิบกาแฟอิ่มหนำสำราญใจไม่ทันเฉลียวใจสักนิดเพราะไม่รู้ข่าวคืบหน้าว่าอะไรต่ออะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก เป็นระเบียบ มีกฎที่ทุกคนเต็มใจจะทำไม่งั้นภูกระดึงช้ำน่าดู

เราเจอคนหลายแบบระหว่างทาง กลุ่มพวกเราอายุมากกว่าใครจนนึกขำ ๆ เพราะเดินผ่านเด็ก ๆ เขาเปิดเพลงวัยรุ่นที่เราไม่คุ้นหู บางกลุ่มแต่งตัวสวยจัดและเซลฟี่ส่งภาพกันตลอดทางเช่นกัน บางคนขาสั้นมากจนไม่กล้ายกกล้องเก็บภาพได้แต่มองผ่าน ๆ

แต่ฉันชอบลูกหาบ พวกเขาเปิดเพลงลูกทุ่ง ไพเราะมาก มันเข้ากับบรรยากาศดิบ ๆ แบบนี้ เราไม่เคยได้ยิน

ยิ่งไปกว่านั้น เราเจอคนสูงวัยกว่าเราอย่างป้า ๆ วัยเกษียณ เราทึ่งว่าป้ามาได้ยังไง แข็งแรงจริง

จากนั้นเราก็เจอกลุ่มคุณป้าถอดใจตอนผ่านซำแฮกไปได้สักหน่อยและตัดสินใจพาพรรคพวกเดินลง

พอพวกเราลงมา คนขับรถของเราเล่าให้ฟังว่า คนที่เหมารถมาเที่ยวทะเลาะกับคนขับที่ไม่พาไปภูทอก ต่อว่าคนขับขับช้ามาไม่ทันลูกหาบ เขาว่ารถติดมากตอนออกจากกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์สารพัด แต่ส่วนใหญ่น่ารัก แต่งตัวเป็นทีม บางครอบครัวใส่เสื้อสีเหลืองมีเลขเก้าไทยที่หน้าอก เราเสียดายนิดนึงที่ไม่ทันคิดเรื่องนี้ แต่ถึงกระนั้นก็มีคนใจเดียวกันขึ้นไปบนภูกระดึงสามพันกว่าคนในวันนี้









































วันแรกที่ผาหมากดูก เราไม่เห็นดวงอาทิตย์ลับฟ้า
แต่แสงสนธยาก็สวยงามไม่น้อย
ก่อนที่ฉันจะหันไปเห็นพระจันทร์ดวงโตออกมาปลอบโยน

สำหรับฉัน เป็นการดีที่คนเราควรจะได้รักและผูกพันกับบางสิ่งบางอย่าง
บางคนรักดอกไม้ บางคนรักผีเสื้อ รักเด็ก
รักสายฝน รักแสงแดด รักสัตว์เลี้ยง ฯลฯ

เพราะความรักเช่นนี้ทำให้ดวงใจของมนุษย์งดงาม
ความละเอียดอ่อนเป็นอาภรณ์ประดับใจ
เหนือสิ่งอื่นใด ความรักนี้ช่วยจุดความหมายของการมีชีวิตอยู่


















คืนวันที่ ๕ ธันวามหามงคลนั้น เราเลือกจะกินหมูกะทะกันแก้หนาว ดูลานหมูกะทะแล้วใจเหี่ยวเพราะคนเยอะมาก ไม่รู้ว่าจะแทรกตัวลงตรงไหน ไปเดินวนอยู่รอบนึง ปรากฎว่าเขากำลังเคลียร์ที่ให้ว่างรอรับลูกค้าใหม่ โชคดีของเราที่ได้กิน ไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก เราเหมาชุดละ 800 บาท มีหมูมาหนึ่งกาละมัง เดาจากสายตาน่าจะสักหนึ่งกิโลกรัม ตอกใข่ไก่มาสองฟองและผักสดอีกหนึ่งถาดใหญ่ เราซื้อหมูเพิ่มทีละ 200 บาท กินไป คุยกันไป ซื้อขนมมานั่งกิน สักพัก เจ้าของร้านก็แจกเทียน เราจะจุดเทียนถวายพระพรชัยพร้อม ๆ กันตอนสองทุ่ม อยู่ตรงไหน ที่ไหน เราก็มีใจจะทำสิ่งดี ๆ เหล่านี้ คืนนี้ ราว ๆ สี่ทุ่ม ฉันแหงนมองฟ้าหน้าเต็นท์ที่พัก พระจันทร์ทรงกลดสวยมาก ฉันเก็บภาพวงแหวนนั้นไม่ได้เท่าตาเห็น แต่มันยังคงงดงามอยู่ในใจ













อายุปูนนี้แล้ว ไปเที่ยวที่ไหน เห็นอะไรก็ดีไปหมด สวยไปหมด พอใจอะไรง่ายขึ้น บางคนบ่นผิดหวัง เตรียมตัวเดินกลับที่พัก และบอกว่าจะมารอพระอาทิตย์ตกอีกครั้งวันพรุ่งนี้ ฉันอยากจะบอกว่า วันพรุ่งนี้ไม่เหมือนวันนี้หรอก แต่ก็ไม่ได้พูดมันออกไป ...


คืนนี้ ฉันเขียนบันทึกสั้น ๆ ว่า เราเดินค่อนข้างเร็วจากผาหล่มสักมาที่พัก
เย็นนี้เราพลาดการเห็นพระอาทิตย์ดวงโตเหมือนครั้งอื่น ๆ ฉันไม่คิดอะไรมากหรอก ไม่ว่าจะเห็นอะไรหรือไม่เห็นอะไร แต่การพาเพื่อน ๆ ที่เพิ่งมาครั้งแรกนั้น ก็อดภาวนาไม่ได้ อยากให้เขาเห็นความงามของพระอาทิตย์ตกดินเหมือนที่เราเคยเห็นเมื่อสามครั้งที่แล้วที่นี่

แต่ปีนี้ไม่หนาว ฟ้าเปิดก็จริงแต่เมฆมาก บังดวงอาทิตย์เสียมิดเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวใจเดียวกันมาออกันที่นี่มากมายมหาศาล

ที่ผาหล่มสักเปลี่ยนไปมาก รอบ ๆ นั้นมีเต็นท์ให้เช่านอนได้เลยสำหรับคนที่ไม่พักกับทางการตรงที่พักที่เขาจัดให้ แต่คาดว่าน่าจะราคาสูงเหมือนกันนะ

มีร้านกาแฟสด กาแฟร้อน กาแฟเย็นเหมือนกินตามร้านหรูข้างล่าง ราคาก็ไม่ต่างกัน แถมชาเขียวกับชาเย็นอร่อยมากด้วย ห้องน้ำก็มีมากพอสำหรับนักเดินทาง น้ำดี ห้องน้ำสะอาด รู้สึกว่าจะเป็นการเดินภูที่สะดวกสบายมากกว่าแต่ก่อนอย่างเทียบไม่ได้

เมื่อสามสิบกว่าปี เรายังต้องวิ่งเข้าทุ่งข้างทาง เพื่อนคอยดูต้นทางให้ ผลัดกันแวะหลังต้นไม้ ระหว่างทางมีร้านก๋วยเตี๋ยว แม้จะเห็นคนเข้าคิวรอ และน้ำล้างชามไม่สะอาด รวมถึงตะเกียบเปียก ๆ ที่เดี๋ยวเราก็ต้องได้ใช้สักคู่หนึ่งสำหรับคีบเส้นเข้าปาก เราก็อยากกินเหลือเกิน เราเจียดเงินได้คนละชาม กินอะไรร้อน ๆ รับลมหนาวที่ปะทะเรารอบด้านนี่ สุดประทับใจ จำไม่ลืมเลย


ปีนี้เราเที่ยวกันแบบคนมีกะตังค์พอจะกินอะไรก็ได้ กินทุกที่ที่เราผ่าน นับเป็เรื่องดีที่เราได้อุดหนุนเขาด้วย ที่สำคัญเราไม่ต่อราคากันโดยเฉพาะน้ำกิน ราคาของน้ำจะแพงกว่าอย่างอื่นเพราะเขาแบกแกลลอนขึ้นเขามา ไม่ใช่เรื่องง่าย หนักกว่าแบกสัมภาระก็ว่าได้ ต้องขอบคุณที่เขามีน้ำดื่มมาบริการเรา ดีใจที่เงินมีค่าพอจะซื้ออะไรกินที่นี่ได้

ฉันชอบร้านอาหารทุกที่บนนี้เลย ไม่ว่าจะกินร้านไหน เขาไม่เอาเปรียบเรา ราคาสมเหตุสมผล อย่างข้าวผัดจานละ 60 บาทนี่ มีเครื่องเคราพร้อมมาก ไม่ขี้เหนียวหมูและเครื่องปรุง เลิศรสมาก เราจ่ายแบบไม่คิดมากจริง ๆ อย่างน้อยก็ถูกกว่าไปเที่ยวต่างประเทศมากมาย ได้รอยยิ้มจากชาวบ้านอีกต่างหาก

นึกไม่ออกว่า ต่อไปจะมี 7/11 บนนี้ มันคงจะสบายมาก ๆ รวมถึงรถกินน้ำมันเล็ก ๆ ที่คอรับ-ส่งคนสูงวัยตั้งแต่กระเช้าไฟฟ้าเทียบท่าที่ลานแป รับคนไปส่งที่พัก และอคยรับคนไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รถหรูสวนกับคนเดินกินลมชมวิวต้องคอยหลบรถเหล่านี้ มันต้องมีอภิสิทธิ์อีกแน่ ๆ มันมีทุกที่ไม่ว่าที่ไหนในโลก นี่ขนาดมีจักรยานมากขึ้นเรายังรู้สึกเลยว่า จักรยานเป็นสิ่งแปลกปลอมบนภูกระดึง นับประสาอะไรที่กระเช้าลอยฟ้าขึ้นภูกระดึง


นี่ฉันบ่นอะไรกันนี่ !!!































































เมื่อก่อนบนภูกระดึงไม่มีบริการเช่าจักรยาน ฉันได้ยินมาก่อนแล้วว่ามีจักรยานขี่ทุ่นแรงสำหรับคนไม่ชอบเดินไกล ๆ ฉันถามพวกเราแล้วว่าจะขี่จักรยานหรือเปล่า จักรยานพวกนี้ไม่มีเกียร์ ยังไงก็ต้องใช้แรงปั่นของเราอยู่ดี ค่าเช่าจักรยานวันละ 460 บาท ฉันถามหลายคนบนนั้นแล้วว่า จักรยานขี่สนุกหรือเปล่า เกือบเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่เดินเถอะครับสนุกกว่า แต่ถ้าพี่มีเวลาน้อยขี่เลาะขอบภูไปผาหล่มสักและขี่กลับไม่ย้อนเข้าไปดูอะไรเลยก็คุ้ม แต่ผมว่า จักรยานเป็นภาระ เช่ามาแล้วต้องจูงด้วยเหมือนนรกเลยครับ ที่เห็นเขาเก๊กยิ้มน่ะ เจอนรกมาแล้วทั้งนั้น...อ่อ..พี่ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้นะครับ

คำตอบฉันมีในใจแล้ว แต่ก็ห่วงพรรคพวกเท่านั้น เมื่อตกลงกันแล้ว พวกเราเดินดีกว่า ไม่รีบร้อนแม้จะกลางแดดร้อนบ้าง ลมบ้าง หมอกหนาวบ้างแต่เราก็แวะเติมพลังกันทุกจุดชมวิว



















เห็ดแดง

เช้าวันแรกที่เราจะออกเดิน...

เห็ดสีแดงต้นเดียวที่ฉันพบระหว่างทางเดินเพื่อไปน้ำตกเพ็ญพบใหม่เพื่อจะไปดูใบเมเปิ้ลสีแดง ทางเดินไปเป็นทางเล็ก ๆ ต้องเดินเรียงแถวกันไป ครั้นมีคนหยุดถ่ายภาพเห็ดแดงข้างหน้า ขบวนที่ตามมาจำต้องชะงักและรอ ขณะที่รอ น้องในทริปนี้ที่เดินนำหน้าฉันเห็นทากเกาะรองเท้า เธอกลัวทากมาก ร้องกรี๊ดลั่นภูเพราะเธอเห็นมันกำลังมุดเชือกผูกรองเท้าเธออยู่หนึ่งตัว อีกสองตัวสปริงตัวเกาะรองเท้า เธอยิ่งกรี๊ดดังกว่าเดิม พร้อมร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากเรา พี่ช่วยด้วย ๆ ๆ ๆ หยิบมันออกที๊ ตูดมันติดรองเท้า หัวมันส่ายไปมาเหมือนจะเลือกที่เหมาะ ๆ เพื่อเจาะดูด แต่ยังไม่ดูด คืบตัวไปอีกหน่อย ส่ายหัวไปมาอีกยก ฉันมองรอบตัวหาไม้จะช่วยเขี่ยออก ฉันไม่กลัวทากแต่ไม่กล้าจับตัวมัน เพื่อนก็ร้องไม่หยุดจนแฟนเธอวิ่งย้อนกลับมาพร้อมกับดึงทากออก และดีดมันไปไกล ๆ เธอังว่า ทำไมไม่บี้มัน จะได้ไม่ไปเกาะคนอื่น

หลังจากนี้ กลายเป็นว่า ทากทำให้เธอเดินเร็วกว่าเดิม พวกเราก็เหมือนจะเดินด้วยพลังทากต่อเนื่องได้ทั้งวันเช่นกัน เธอเรียกเห็ดแดงของฉันว่าเห็ดทาก

ทำให้ฉันนึกถึงนักเขียนเรื่องป่าท่านหนึ่งคือคุณอำนวย อินทรักษ์ ที่ทำให้ฉันทราบว่าทากที่นี่มีชื่อเฉพาะ นามสกุลหรูว่า Haemadipsa zeylanica ช่างไม่เหมือนนามสกุลสั้น ๆ แบบลูกหลานชาวนาที่น่าภูมิใจของฉันเลยล่ะ






























แดงภูกระดึง

ไม่เฉพาะแต่เมเปิ้ลสีแดงซึ่งเป็นไฮไลต์บนภูกระดึง แต่หมาเพศผู้ชื่อแดงตัวนี้เป็นเซเล็บบนภูกระดึงเช่นกัน เขาเดินขึ้นภูพร้อม ๆ กับหมู่ลูกหาบ เราเจอเขาเป็นระยะ ๆ ระหว่างทางและบนภูกระดึง ใคร ๆ ก็เอ็นดูแดง เอาอาหารอร่อย ๆ มาป้อน แต่แดงก็เลือกกิน ท้องของแดงไม่สามารถบรรจุอาหารได้มากไปกว่านั้น ฉันแอบเห็นไข่เจียวฟู ๆ ใส่จานวางให้แดงแต่แดงก็เมิน คงกินจนจุกแล้วสิ แต่เขารับความรักจากนักท่องเที่ยวได้ไม่จำกัด แดงปฎิบัติหน้าที่เจ้าบ้านอย่างดี (เช้าวันที่เราลงจากภูกระดึง แดงเดินลงมาด้วย เขามาส่งพวกเราจนถึงรถตู้เลยนะ)



















ดวงอาทิตย์ไม่เคยมองเห็นตัวเองขึ้นและตก
มีคุณค่าในตัวเองโดยไม่ต้องรอใครให้ค่า
เป็นผู้ให้โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักผู้รับ






















การได้นั่งเฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้นนั้นเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์
แม้จะเห็นมานับร้อย ๆ ครั้งแล้วก็ตาม
แต่มันยังคงให้ความรู้สึกถึงชีวิตใหม่ การเริ่มต้นใหม่
มนุษย์เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
ถ้าไม่ขังตัวเองไว้ในความมืด


















































ใจเดียวกัน
มารอดูพระอาทิตย์ตก
ที่ผาหมากดูกด้วยกัน














































มองอาทิตย์กำลังจะลา
ขอบฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสี
ความมืดมิดมาแทนที่
วันนี้กำลังจะหมดไป

นั่นเป็นสัญญา
เราต้องกลับมา


เย็นนี้เราอยากแก้ตัวอีกครั้ง กลับมาที่ผาหมากดูกเพื่อดูพระอาทิตย์ตกดิน
แต่ก็ก็แห้วเหมือนวันแรกที่มาถึง พระอาทิตย์หลบใต้เมฆ ไม่มาต้อนรับชาวดอยซะนี่




















































ทั้งขาขึ้น-ขาลง เราเจอลูกหาบเป็นระยะ ๆ ตลอดทาง 5 กิโลเมตร

ลูกหาบที่เป็นผู้ชายจะแบกสัมภาระคนละ 60-70 กิโลกรัม ผู้หญิงจะประมาณ 50-60 กิโลกรัม ๆ ละ 30 บาท แค่กระบอกไม้สำหรับหามก็หนักมาก ขาขึ้นว่ายากแล้วที่ค่อย ๆ ไต่ ค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปเรื่อย ๆ ขาลงยิ่งยากเข้าไปอีก นึกว่าลงเขาจะสบายแต่เปล่าเลย เร็วมากไม่ได้ หน้าคะมำ ทางดิ่งยิ่งต้องระวัง ลำพังตัวเองที่ไม่มีสัมภาระยังยาก เห็นลูกหาบแล้วพูดไม่ออก กว่าจะได้เงินจากเรา ไม่ง่าย ไม่มีพวกเขาเราก็เอาเสื้อห่มกันหนาวขึ้นไปไม่ได้ ต้องทำตัวให้เบาที่สุด เลือกสิ่งจำเป็นที่สุดในการไปชมธรรมชาติบนภูสูงที่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรให้เรามากมาย

ขอบคุณบรรดาลูกหาบที่หอบอาหารขึ้นไปขาย แต่ละร้านทำอาหารอร่อย ๆ ให้เรากิน ส้มตำถึงพริกถึงเครื่อง บริการดีทุกร้าน ไม่มีหน้าหงิกหน้างอทั้งที่ลูกค้าเยอะมาก ๆ เราเคยเข้าร้านที่ไม่ง้อคนกินก็มี อาหารแพงกว่าปกติอยู่แล้วเพราะเขาแบกขึ้นไปลำบากโดยเฉพาะน้ำดื่ม แต่น้ำใจของพวกเขาทำให้เรามีความสุขมากขึ้นและกินข้าวอร่อยทุกมื้อ






































Bye for Now

พระจันทร์ค้างฟ้ายามเช้า...
ไม่รู้ว่ามีคนสนใจพระจันทร์เหมือนฉันหรือเปล่าเพราะต่างรีบเร่งเก็บข้าวของเครื่องใช้เพื่อมาเข้าคิวชั่งกิโลฝากลูกหาบลงไปข้างล่างให้เรียบร้อย พวกเราตื่นแต่เช้าแต่นอนฟังเสียงว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่พานักท่องเที่ยวนำทางออกเดินไปผานกแอ่นเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นเสียที จนต้องมุดเต็นท์ออกมาดูเหตุการณ์จริงจึงทราบว่า เขาเตรียมตัวลงกันหมด มีแต่พวกเราที่ยังไม่พร้อม ถ้าไม่รีบก็คงต้องแบกของลงกันเองเนื่องจากลูกหาบไม่พอ เพราะตอนเรามานั้น ลูกหาบหมดตั้งแต่ 9 โมงเช้าแล้ว ถ้าตั้งใจจะขึ้นภูกระดึงอยู่ต้องแบกสัมภาระเอาเอง

เจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้แจ้งให้เราทราบว่า มีนักท่องเที่ยวทั้งหมดบนภูกระดึงวันนี้ถึง 3,125 คน คนเยอะขนาดนี้ เขาจัดระเบียบได้ดี เราเก็บข้าวของอย่างมืออาชีพ ไม่ทันไรเราก็มาต่อคิวและได้ลูกหาบและพร้อมที่จะลงจากภูสูงแห่งนี้

อากาศไม่หนาวเท่าที่เคยเจอ ไม่ทรมานมาก ทุกคนยังแจ่มใสและพร้อมจะเดินลงแล้ว ไปหาอะไรกินตามจุดต่าง ๆ ข้างหน้า

เดินผ่านเจ้าหน้าที่ เขามายืนรอส่งพวกเรากลับบ้านพร้อมคำอวยพรดี ๆ ให้กลับถึงบ้านโดยปลอดภัย และไม่ลืมชวนพวกเรามาเที่ยวอีก คำเชิญชวนสุดท้ายไม่มีใครขานรับ เงียบกริบกันหมด อาจเพราะเดินทรหดกันทั้งวันเมื่อวานตั้งแต่เช้าสุดเย็น รวมระยะทาง 29 กิโล และวัดกำลังและใจกับทางข้างหน้าบนหลังแป 3 กิโลก่อนลงจากภูอีก 5 กิโลนั่นเอง

สำหรับเราสองคน ยังสบาย ๆ คิดว่าคงมีโอกาสกลับมาอีก แต่คงไม่รอถึงยี่สิบปีข้างหน้าหรอกนะ




















ฉันลงจากภูกระดึงมานั่งรอสัมภาระพักใหญ่ ๆ เพราะเราได้คิวลูกหาบช้ากว่าเขาจะแบกของเราลงมาต้องรอ เลยได้นั่งคุยกับลูกหาบหญิงคนนี้ ตอนเธอหาบของมาวาง ลูก ๆ หลาน ๆ มารอรับกัน น่ารักมาก ฉันนั่งคิดอะไรไปเรื่อยว่า กว่าจะได้เงินแต่ละบาทนี่ยากจริง ๆ ผู้ชายที่หาบของหนัก ๆ ส่วนใหญ่อายุรุ่นพ่อเลย คนแก่ขนาดนี้เอาแรงที่ไหนมาหาบกันนะ ก่อนหน้านี้เห็นคนแก่ที่ญี่ปุ่นขับแท็กซี่ ฉันก็ว่าแข็งแรงมากแล้ว แต่นี่แก่มากจนรู้สึกว่าบั้นปลายร่างกายของเขาจะเป็นยังไง

ฉันถามเธอว่า เป็นลูกหาบมากี่ปีแล้ว เธอบอกว่า 25 ปีแล้ว ตั้งแต่แต่งงานใหม่ ๆ วันหนึ่ง ๆ จะหาบคนละรอบกับสามี ก่อนหน้านี้ตอนลูก ๆ เรียนแถวนี้ วันเสาร์อาทิตย์เขาจะมาช่วยพ่อแม่หาบด้วยแต่จะหาบเฉพาะเป้ ลงมาพร้อม ๆ กันก่อนที่เจ้าหน้าที่จะแจ้งว่าต้องการลูกหาบจำนวนเท่าไร ก็จะมาลงคิวกันไว้ ปีหนึ่ง ๆ จะหาบเพียงห้าเดือนเท่านั้น ช่วงที่ว่างก็ไปปลูกข้าวทำนากัน ตอนนี้ส่งลูกเรียนจนจบปริญญาตรีสองคนแล้ว สบายแล้ว หาบแค่ได้เงินไว้ใช้กันสองคน เธอเล่าอีกว่า พวกลูกหาบพวกนี้มีลูกจบปริญญาตรีตั้งหลายคน แต่ก็ไม่มีใครอยากมาหาบของขึ้นภูลงภูแบบพ่อแม่หรอก

ฉันรู้ว่าเสียมารยาทนะที่จะถามเรื่องอายุกัน แต่ฉันก็ถาม 'ขอโทษนะ ชื่ออะไรคะ อายุเท่าไหร่แล้วปีนี้' และบอกอายุตัวเองไป เธอบอกว่าอายุ 45 แล้ว ชื่ออรุณี ฉันบอกเธอว่าดีใจนะที่ได้ยินเรื่องดี ๆ ของครอบครัวเธอและลูกหาบอื่น ๆ อยากบอกว่าคนที่นี่ใจดี ไม่เอาเปรียบใคร ขอให้อรุณีโชคดี สุขภาพดี มีความสุขมาก ๆ นะ เธอบอกว่า มาเที่ยวอีกนะ ไม่นานคงมีกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง พี่มาลองขึ้นกระเช้ากันนะ ...

ฉันพยักหน้ายิ้ม ๆ ไม่รู้จะตอบยังไง ถ้ามีกระเช้าขึ้นภูกระดึงจริง ๆ ...





ยังไม่สิ้นมนต์จากภูกระดึง

ยังนึกถึงหน้ายิ้มแย้มซื่อใสของอรุณีขณะที่เรากำลังคุยกันอยู่ ฉันดูลูกหาบแต่ละคนจิ้มเครื่องคิดเลขซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนที่จะรับเงินจากนักท่องเที่ยวผู้ว่าจ้าง ค่าหาบกิโลกรัมละ 30 บาท คุูณเท่าไรก็เท่านั้น ไม่มีการจ่ายค่าทิป ไม่เรียกค่าทิปหรือโอดครวญ เขารับแล้วต่างคนก็ต่างไป แต่สำหรับฉันนั้นพิธีกรรมมมากหน่อย ยังขอถ่ายรูปกับเธอ ยังอยากอวยพร อยากให้เธอแข็งแรงและมีสุขภาพดีจริง ๆ ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปได้ยากหากเธอยังแบกของหนักมากอย่างนี้ คิดกี่ทีก็เศร้า ลูกหาบน่าสงสารที่สุด สังคมไทยไม่เคยเหลียวแลพวกเขาต้องทำเที่ยวให้มาก เพื่อจะได้เงินมาก ๆ ทำเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จนไม่ได้คิดค่าเสื่อมของหัวเข่า หลัง ข้อต่อทุกส่วนของร่างกายซึ่งราคาแพงกว่าที่เขาได้รับมาเสียอีก บางคนก็ห่วงแต่กระเป๋าตัวเองว่าจะขีดข่วนหรือพังตอนเขาหาบ ไปแบบนี้ก็ต้องทำใจ เวลาโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องนั่นร้ายกว่านัก ต่อให้กระเป๋าดีที่สุด เจ๋งที่สุด เจอถีบลงมาก็แตกได้ ไม่รู้จะเรียกร้องกับใครด้วยซ้ำ ไม่มีใครรับผิดชอบ เจอมาแล้วที่กระเป๋าเดินทางเปิดอ้า ไส้ไหลออกมา อายก็แค่นั้นแต่ต้องจัดการเอามันกลับบ้านทั้งหมดนี่คือภารกิจตรงหน้า

คุยกับอรุณีแล้วก็นึกถึงเมื่อปลายธันวาที่แล้วที่พม่า เราไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวน เราไม่รู้มาก่อนเลยว่า เขาทำทางรถยนต์จนถึงตีนพระธาตุแล้ว นึกว่าลงครึ่งทางและขึ้นเสลี่ยงไป ขาไปก็งงเพราะคุยกับไกด์ไม่รู้เรื่อง เราไม่เห็นลูกหาบมารอเต็มลานเหมือนเมื่อหลายปีก่อนนี้ เพื่อน ๆ อยากนั่งเสลี่ยงแต่เราสองคนเคยนั่งแล้วและตอนนั้นก็ถามไกด์ว่า ไม่นั่งเสลี่ยงได้หรือเปล่า ตอนนั้นเป็นภาคบังคับสำหรับนักท่องเที่ยว ช่วงหลัง ๆ มาไม่ต้องก็ได้ แม้แต่ไกด์บ้านเขาก็ยังไม่สนับสนุนให้นักท่องเที่ยวขึ้นเสลี่ยงเลย

ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่คนแบกเสลี่ยงเหล่านี้ต่างหากที่ตกงานไปโดยปริยาย แทบไม่มีใครขึ้น-ลงด้วยเสลี่ยงอีกแล้ว ไม่มีข้อต่อรองแม้แรงยังเหลือเฟือพอที่หาเงินได้ ค่ากินแพงมาก ๆ และกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงถูกทบทวนอีกครั้ง หาข้อดีของมัน ไม่ว่าจะย่นเวลาจาก 5-6 ชั่วโมงในการเดินขึ้น เหลือเพียง 15 นาทีเท่านั้น และจะไม่ให้มีการพักค้างคืนบนภูกระดึงอีกต่อไป ถามต่อว่า 15 นาทีที่ขึ้นไปถึงแล้วนั้น นักท่องเที่ยวจะเดินไปดูพระอาทิตย์ยามเช้า หมอกหนาวที่ผาเหยียบเมฆหรือพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักอย่างไร มีวิธีเดียวที่ไม่เดินคือการใช้รถพลังงานแสงอาทิตย์ขับกันให้เกลื่อนภู เหมาเป็นรอบให้ครบวันเพื่อดูทุกสิ่งทุกอย่างก่อนลงมา ฉันไม่ใช่คนโลกสวยจนมองไม่เห็นความเป็นจริงที่จะเปลี่ยนไป

มีกระเช้าไฟฟ้ามันก็ดีนะที่ลูกหาบไม่ต้องมีร่างกายเสื่อมสภาพ แต่หางานอะไรมารองรับคนระดับรากหญ้าเหล่านี้ พูดไปก็ไม่จบ ปล่อยให้เงินเข้ากระเป๋านายทุน คนเราเกิดมาก็ไม่เท่ากัน อยู่ก็ไม่เท่ากัน ตายก็ไม่เท่ากัน พวกเขาก็ไม่ได้เรียกร้องความเท่าเทียวกันอะไรหรอกแค่มีกินมีใช้ในครอบครัวก็พอแล้ว


มีสภานที่มากมายในโลกนี้ที่มันไม่ใช่ที่ของเรา บางที่ที่ใครต่อใครไปได้และเก็บภาพสวยมาให้เราฝันและมีจินตนาการร่วมด้วยได้ เท่านี้ก็ดีมากแล้ว เหมือนอยากปีนเขาเอเวอร์เรสต์นั้น ชาตินี้ก็ทำไมไ่ได้ แต่จะเรียกร้องให้มีกระเช้าเพื่อขึ้นไปดูวิวมุมสูงอย่างนั้น มนุษย์จะเอาชนะธรรมชาติทุกอย่างเลยหรือ โลกไม่ใช่ของเรา เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเท่านั้น


อรุณีบอกว่า แต่ก่อนนี้ที่กรมป่าไม้ไม่เข้ามาดุแลปล่อยให้นักท่องเที่ยวก่อกองไฟได้นั้น ทำให้คนที่อยู่บนดอยแสบตา แสบจมูกไปนานทีเดียวกว่าจะหมดฤดูท่องเที่ยว
เดี๋ยวนี้ไม่มีแบบนั้นแล้ว เรานอนเต็นท์ก็จริงแต่สะอาด สงบ ไม่มีใครเล่นกีตาร์หรือเมาร้องเพลงทั้งคืนเหมือนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เราเจอบรรยากาศแบบนั้นมาแล้ว ถึงวันนี้เราดีใจที่เป็นแบบนี้ ขออย่าให้มีกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงเลย ...
























ชีวิตที่ดี
คือชีวิตที่คิดบวก

...
จำมาจาก 'หวานใจนายกระจอก' ละครตอนเย็น


เราไม่รู้ตัวเองหรอกว่า ตนเองเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงไร
หากไม่ได้ทบทวนตรวจสอบตัวเองอย่างแท้จริง
บางทีตัวเองจริง ๆ ก็ไม่ได้ดีงามมีอุดมคติอย่างที่คิด
ในวัยหนุ่มสาว ความคิดอ่านเคยงดงาม กล้าหาญ ท้าทาย
แต่เมื่ออายุมากขึ้น ความฝันมัวซัว ความกลัวเข้ามาแทนที่
จิตใจ อารมณ์ ทัศนคติเปลี่ยนแปลง
ในขณะที่อะไรต่อมิอะไรเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้สึกตัว
เรายังหลงว่าเราเหมือนเดิม














สบแสงทอใสใจฟื้น-ตื่น
คือความชุ่มชื่นกลางฟ้าหนาว
แม้ปีกเดียวจะเกี่ยวฝันตะวันวาว
ลืมรอยร้าวยาวนานของชีวิต
รอเพียงวันพรุ่งจะเพริศพราย
ลบร้อนร้ายลุกไหม้ในดวงจิต
ด้วยความเชื่อมิเรื้อทางมิร้างทิศ
ขอเพียงเป็นมิตรกับตัวเอง

















Friend redoubleth joys
and cutteth griefs in half.
.
.

มิตรภาพทำให้มีความสุขเป็นสองเท่า
และตัดความเศร้าให้เหลือแค่ครึ่ง

ฟรานซิส เบคอน












ถามตัวเองว่า
ที่ที่เคยไปแล้ว เราจะไปอีกไหม
เราควรใช้เวลาและพลังงานที่มีจำกัด
ไปที่ที่ยังไม่เคยไปดีไหม
ตอบตัวเองว่า
ที่ที่เคยไป
มันเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ๆ
จนเป็นที่ใหม่ไปแล้ว













ตั้งแต่ลงจากภูกระดึงเพิ่งได้เดินยืดแข้งยืดขาบนเทรดมิลล์วันนี้
แม้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หัวใจแข็งแรงดี
แต่กล้ามเนื้อขาและน่องต้องการการพักฟื้นมากกว่านี้
(อายุจะเข้าเลขห้าแล้วนี่นะ แงแงแง ไม่เจียมสังขาร )
แต่เพราะนึกถึงภารกิจมินิมาราธอนที่จะถึงเร็ว ๆ นี้
ไม่รู้ว่าร่างกายจะไหวหรือเปล่านะ ชักสงสารแข้งขาแล้วสิ






































คือเธอ
เสมอค่า
อยู่เคียงคู่


ทุกฤดู
ดวงแดด
แผดสีสัน


ผ่านเวลา
งดงาม
ไปตามวัน


คือความรัก
ผูกพัน
จนวันนี้





ขอให้มีความสุขทุกท่านค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย























Create Date : 09 ธันวาคม 2559
Last Update : 9 ธันวาคม 2559 13:13:50 น.
Counter : 1826 Pageviews.

0 comment
--- บั น ทึ ก ก า ร อ่ า น ---











บั น ทึ ก ก า ร อ่ า น
ค ว า ม ลั บ ข อ ง แ ม่
My Mother's Secret
::
::
หนังสือเล่มนี้มีผู้เล่ามากกว่าหนึ่งคน และถูกแบ่งเป็น 5 ภาค แต่ละภาคบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละคน ปูพื้นนิสัยใจคอของแต่ละคนในแต่ละครอบครัว

ภาคแรกคือครอบครัวของฟรานซิสซฺกา ดาเมียน เฮเลนาและพ่อของเธอ
พ่อของเฮเลนาเป็นคนเด็ดขาด เกรี้ยวกราด แข็งกระด้างต่างกับฟรานซิสซฺกาอย่างสิ้นเชิง
แม่ของเฮเลนาช่างจินตนาการ อบอุ่น อ่อนโยน เข้มแข็งอย่างเหลือเชื่อและหัวใจเปี่ยมไปด้วยความรัก
ดาเมียนและเฮเลนาได้นิสัยใจคอจากแม่

ภาคที่สองคือครอบครัวของบรอเน็คคฺ เป็นครอบครัวชาวโปแลนด์ พ่อเขาเป็นช่างก่อสร้าง เขาเรียนรู้เรื่องการก่อสร้างจากพ่อจนกระทั่งพ่อตาย เขาจึงเป็นเสาหลักให้ครอบครัว และก่อนแม่จากไป เขาแต่งงานกับแม่ม่ายลูกติด ส่วนน้องชาย(ดาวิท)ก็แต่งงานกับน้องสาวของแม่ม่ายคนนี้และมีลูกคนหนึ่ง จนวันหนึ่งเริ่มมีการฆ่ายิว และทหารเยอรมันทยอยคนไปฆ่าจนต้องหาทางหนี

ภาคสามเป็นครอบครัวของคุณหมอโวเลนสกี ภรรยาและลูกชาย

ภาคสี่เป็นครอบครัวของวิลไฮม ทหารเยอรมันที่กินมังสวิรัต เขาเติบโตมาด้วยความรักของโอมาหรือคุณยายของเขา ฉันประทับใจเรื่องราวของคุณยายและวิลไฮมมากที่สุด ทำให้ย้อนกลับไปคิดตามเฮเลนาเมื่อเธอถามแม่ว่า ทำไมถึงช่วยเขา แม่เธอตอบว่า เขาเป็นทหารผู้อ่อนโยน

แต่พออ่านชีวิตความเป็นอยู่ของเขากับคุณยาย ประทับใจมาก ตลอดเวลาสองปีที่เขาต้องมารบและเอาตัวรอดจากการหลบซ่อนนั้น มีสิ่งเดียวที่คนเหลือไว้ให้คิดฝันนั่นคือความหวัง ที่จะกลับไปหาโอมาและดูแลฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของเขา

ภาคสุดท้ายคือการคลี่คลายเรื่องราวของทุกคนที่มาอยู่รวมกันในบ้านของฟรานซิสซฺกา หลังจากที่ฮิตเลอร์ถอยทัพกลับไป เยอรมันแพ้สงคราม ทั้งสามครอบครัวออกมาจากที่ซ่อนและเจอกัน คุณหมอเคยทำคลอดให้ภรรยาของบรอเน็คคฺ แต่บรอเน็คคฺชิงชังวิลไฮมเพราะรู้ว่าเขาเป็นเยอรมัน แต่มีเหตุให้ต้องสำนึกในบุญคุณของวิลไฮม

ฟรานซิสซฺกายังช่วยเหลือวิลไฮมจนได้กลับเยอรมันในครั้งนี้อีกด้วย ครอบครัวของบรอเน็คคฺลี้ภัยในอเมริกา ส่วนคุณหมอไปปาเลสไตน์ช่วยเหลือผู้คน

เรื่องราวเหล่านี้อัศจรรย์มาก ทุกคนต่างมีที่หมายของตัวเอง แต่เราทุกคนเชื่อมโยงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแม้จะต่างเชื้อชาติ ศาสนา ต่างศรัทธาและต่างเกลียดสงคราม
ในสงครามมีการสูญเสียมากมาย แต่ผู้หญิงคนหนึ่งยังเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เลือกที่จะทำความดี มีคุณธรรมต่อคนรอบข้างด้วยความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์ของเธอ อ่านแล้วมีกำลังใจ เราจะค้นพบคุณธรรมอันสูงส่งในตัวเราได้ อดทนกับสิ่งที่ยากจะอดทนได้ด้วยการกระทำสิ่งดีงาม

ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จบลงอย่างอบอุ่นและเต็มอิ่ม เป็นตัวหนังสือที่เรียบง่าย ลึกซึ้งเปี่ยมไปด้วยน้ำใจที่นึกไม่ถึงในช่วงเวลาสงครามโดยเฉพาะสงครามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ น้ำตาเปียกชื้นและสะอื้นอยู่หลายช่วงแต่ต้องเก็บกลืนราวกับเรากำลังร่วมชะตากรรมไปกับพวกเขาเหล่านั้นด้วย บางช่วงก็เพลิดเพลินด้วยรสสุนทรียะ ประปรายไปด้วยคำสอนในการใช้ชีวิตอันแยบยล อ่อนโยนของผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นหนังสือที่ให้แรงบันดาลใจได้อย่างอัศจรรย์

อะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้มีความมุ่งมั่นและกล้าหาญกระทำในสิ่งที่เธอต้องทำ เธอเป็นแม่ผู้เห็นอกเห็นใจผู้อื่นขณะที่ตัวเองสูญเสียลูกชายท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างชาวยิวและชาวเยอรมัน แต่เธอไม่เคยเก็บความเคียดแค้นต่อใครแม้แต่ฝ่ายเดียว
มีหลายต่อหลายคำสอนที่งดงาม เคลื่อนไหวไปกับโลกและเป็นจริงอยู่เสมอ เป็นถ้อยคำแห่งสันติภาพและความเข้าใจอันดี เห็นคุณค่าของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่มุ่งมั่นอย่างที่สุดที่จะดำรงชีวิต(ทั้งที่เป็นทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกับการเป็นทหารและนาซี)/ เคล็ดลับในการมีชีวิตอยู่รอดท่ามกลางสงครามคือ การทำตัวให้ไม่เป็นทีสังเกตของใคร หรือ การกระทำของลูกในแต่ละวันจะกลายเป็นนิสัยของลูก ฯลฯ ส่วนถ้อยคำที่หล่อเลี้ยงหัวใจฉันขณะที่อ่านมากที่สุดคือประโยคนี้ ความรักคือสิ่งเดียวที่เราจะได้รับกลับคืนมามากกว่าที่เราได้มอบออกไป

ยิ่งพอทราบว่าเป็นเค้าโครงจากเรื่องจริงแล้วยิ่งซาบซึ้งใจมากขึ้นค่ะ
อยากชวนเพื่อน ๆ อ่านด้วยกันนะคะ (ฉันเขียนไม่ได้อย่างใจที่จะบอกเลย)


ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
7 ธันวาคม 2559




หมายเหตุ : หนังสือเล่มนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของฟรานซิสซฺกา ฮาลามาโจวา เธอกับลูกสาวได้ช่วยชีวิตชาวยิวสิบห้าคนในโปแลนด์ไว้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เธอได้รับการยกย่องและถูกจารึกชื่อไว้ในกรุงเยรูซาเล็มตราบจนวันนี้






'เฮเลนา หากคุณเลือกครอบครองเป็นเจ้าของได้สิ่งหนึ่ง คุณจะเลือกอะไร ระหว่าง ความงามอย่างน่าดึงดูด ความรู้มากมายกว้างไกลหรือความร่ำรวย'
คำถามนี้เป็นคำถามที่เขาพยายามจะวิเคราะห์ว่าฉันเป็นคนประเภทใด มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องตอบให้ถูก แต่ฉันตอบในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลสำหรับฉันมากที่สุด
'ฉันเลือกเงินค่ะ'
...

คุณเลือกเงินอย่างนั้นหรือ ทำไมล่ะ

ค่ะ ความงามนั้นเป็นสิ่งไม่คงทน การมีความรู้มากมายกว้างไกลเป็นสิ่งที่ดี แต่เงินสามารถให้อาหารแก่ท้องที่หิวโหย นอกจากนั้นหากฉันมีเงิน ฉันก็สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ฉันต้องการจะรู้ได้ทุกอย่าง ฉันสามารถซื้อหนังสือและจ้างครูมาสอน เงินให้ทางเลือกเราได้มากมาย ให้เสรีภาพเรา และทำให้เราสามารถดูแลคนอื่นได้ด้วย ใช่ค่ะ ฉันเลือกเงิน



ความลับของแม่
เจ.แอล.วิทเทอริค : เขียน
สรวงอัปสร กสิกรานันท์ : แปล










::
::

::
::
บันทึกการอ่าน
ตลิ่งสูง ซุงหนัก
นิคม รายยวา



อ่าน Eat Pray Love รอบสองยังไม่จบ
ค้นตู้หาหนังสือ ลูกอีสาน ก็หาไม่เจอ
แต่เจอเล่มนี้ ตลิ่งสูง ซุงหนัก ของนิคม รายยวา หนังสือดีในดวงใจ เล่มโปรดอีกเล่มหนึ่ง

เล่มนี้เคยเป็นหนังสือนอกเวลาสมัยเรียนปีหนึ่ง อาจารย์ให้เลือกจากสามเล่มซึ่งมี แม่เบี้ยและพันธุ์หมาบ้า

ตอนนั้นเลือกพันธุ์หมาบ้าเพื่อทำข้อสอบเอาคะแนน และเป็นหนังสือที่ซื้อซ้ำ อ่านซ้ำสักสามรอบในเวลาต่างกัน

ฉันเพิ่งอ่านตลิ่งสูง ซุงหนัก จบอีกรอบ
ยิ่งอ่านก็ยิ่งเศร้าและรักหนังสือเล่มนี้มากขึ้น ได้เห็นชีวิตตัวละครอย่างคำงาย เขาเริ่มเข้าใจอาชีพที่ตัวเองทำ เข้าใจสิ่งที่พลายสุด ช้างที่เขารักทำ รวมถึงการสตัฟฟ์สัตว์หรือการลากซุงของช้าง

การสตัฟฟ์สัตว์นั้นมีเรื่องให้ขบคิดมากมาย ว่าไปคนเรานี่ก็แปลก ควักไส้พุงสัตว์ออกมา ปลิดชีวิตมันทิ้ง แล้วมองหาชีวิตจากซากของมัน ถ้าอยากเก็บชีวิตไว้ ก็ต้องรักชีวิต ถนอมมัน แบบนี้ดูจะง่ายกว่าการสตัฟฟ์เสียอีก เรามัวรักษาซากที่ไม่มีชีวิตแต่ไม่เคยรักษาชีวิตที่อยู่ในซากเลย

แล้วถ้าหากคนเราต้องการแค่ซากเอาไว้ให้ดูนานสักหน่อย หยุดความเน่าเปื่อยให้ช้าลง โชคดีนะที่ชีวิตสตัฟฟ์ไว้ไม่ได้ ไม่งั้นคงมีคนทำอะไรหลายอย่างให้หยุดนิ่ง อยากสตัฟฟ์แม้แต่หมอกและสายรุ้งรวมถึงวันเวลาดี ๆ

แล้วทำไมพลายสุดต้องลากซุงที่หนัก มันกลัวอะไร ใครบังคับมัน หรือมันกลัวตาขอในมือคน พอมันกลัว มันก็ยอมจนชิน ???

'เราก็ลากซุง ทุกคนก็ลากซุงอยู่ทั้งนั้น แต่เป็นซุงที่มองไม่เห็น '

เราเองก็เหมือนพลายสุด กลัวตาขอที่มองไม่เห็น ไม่กล้าทำอะไรที่แปลกไปจากเดิม
เศร้ามาก ๆ ตอนที่พลายสุดกำลังลากซุงที่หนัก มันกำลังถูกเอาไปสลักเป็นช้าง .... ' เขาจะเอาซุงไปสลักเป็นตัวแก แกกำลังลากตัวแกนะพลายสุด ทนเอาหน่อย แกไม่ใช่ทำอย่างอื่น แต่แกกำลังลากซากของแกเอง'

เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของช้าง
และช้างเป็นส่วนหนึ่งของเขา
ซากของแก ซากของเรา
เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
ไม่มีใครสุขหรือทุกข์เพียงลำพัง
มันจะกระเทือนถึงกัน
แต่ละคนต่างก็มีส่วนอยู่ในตัวของกันและกัน


อ่านรอบนี้ ชอบหนังสือเล่มนี้มากขึ้นกว่าเดิม

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
6 ธันวาคม 2559








::
::

::
::



หลังจากอ่านเรื่อง 'งู' ของคุณวิมล ไทรนิ่มนวล ก็อ่าน ' อ ม ต ะ ' ซ้ำอีกรอบ
เมื่อวานเพิ่งอ่านเรื่อง ' วิ ญ ญ า ณ แ ห่ ง ส า ย ล ม พั ด พ า ' จบ

หนังสือเล่มนี้เป็นภูมิหลังของผู้เขียน ทำให้เห็นภาพและเข้าใจในงานเขียนมากขึ้น และรู้ที่มาที่ไปของตัวละคร บางทีนะ บางที อ่านหนังสือของผู้เขียนอย่างเดียวก็ได้เพราะหนังสือก็บอกทรรศนะของผู้เขียนได้พอสมควร แต่หากจะเขียนถึงหรือวิพากษ์วิจารณ์งานใครสักคน คงต้องอ่านที่มาที่ไปให้ลึกซึ้งนิดนึง แต่ฉันไม่ได้อ่านเพราะจะนำมาเขียนวิจารณ์หรอก เขียนแบบนั้นเขียนไม่เป็น เพียงแต่ชอบเล่มหนึ่งก็อยากอ่านงานที่เขาเขียนเล่มอื่น ๆ ด้วยเท่านั้น

แต่เล่มนี้ อ่านแล้วนึกถึงแม่ซึ่งเคยเป็นครู อยากคุยกับคนใกล้ชิดที่สุดเพราะผู้เขียนแสดงทรรศนะต่อการศึกษาได้...จุด จุด จุด ...พูดไม่ออก บอกไม่ถูกจริง ๆ

ตั้งใจว่าจะอ่านเรื่อง ' อิ ส ร ภ า พ แ ล ะ ก า ร จ อ ง จำ ' ของคุณวิมลต่อ แต่นึกถึงหนังสือเรื่อง ' เ จ้ า ฟ้ า' ของพิริยะ พนาสุวรรณ เล่มที่ซื้อให้เป็นของขวัญแม่ตอนเรียนปี 1 จำได้แต่ว่าชอบมาก เป็นหนังสือดีมาก นึกถึง เน่ง ลี ตู -- แต่จำเนื้อหาไม่ได้เลย

ช่วงนี้ อ่านแต่หนังสือที่เคยอ่าน ความคิดความอ่านน่าจะเปลี่ยนไปจากตอนเรียนปี 1 หรอกนะ ก็นั่นมันสามสิบปีมาแล้วนี่นา :)




ช่วงนี้ห่างหายจากหน้าจอ
อ่านแต่หนังสือ

อากาศหนาวแล้ว
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ






ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย











Create Date : 08 ธันวาคม 2559
Last Update : 8 ธันวาคม 2559 9:46:42 น.
Counter : 561 Pageviews.

1 comment
--- ฉ า ย เ พื่ อ น ฉั น ---











8 ปีที่แล้ว ฉายจะมาเที่ยวบ้านฉันในช่วงสงกรานต์
เรานัดกันล่วงหน้าเพื่อจะได้เคลียร์งานต้อนรับเพื่อน
แต่แม่ของสามีเสียกะทันหัน
งานนั้น เราก็ไม่ได้เจอกันในงานเสียศพแม่ของโตอีกด้วย



โต ฉายและฉันเป็นเพื่อนที่รักกันมายาวนานตั้งแต่สมัยเรียน เราเล่นซอฟต์บอลด้วยกันแต่สองคนนั้นไม่จริงจังอะไร ว่ากันตามจริง ซอฟต์บอลทำให้เรารู้จักกันเพราะเราต่างเรียนกันคนละคณะ ยากที่จะมาเจอกันได้ ต่อให้เรียนสถาบันเดียวกันก็ใช่จะมีปฏิสัมพันธ์กันได้ง่าย ๆ นอกจากมีความรู้สึกร่วมเมื่อนึกถึงบรรยากาศของสถานที่เรารักและเรียนด้วยกันมา

ฉายยังเป็นตัวละครหลักทั้งในชีวิตจริงและในการเขียนหนังสือเสมอ มีเรื่องราวระหว่างเรามากมายในสมัยเรียน ไม่ว่าจะ กิน เที่ยว ซ้อมกีฬา เฮฮา สุข สนุกสนานมากกว่ามีเรื่องทุกข์ใจ โตกับฉายเป็นแบบนั้น ไม่มีเรื่องให้ทุกข์มีแต่สุขมากกับสุขน้อย มีแต่ฉันที่ชอบนำความทุกข์มาให้เพื่อน เรื่องนี้ฉันเพิ่งรู้ในวันที่เราเจอกันครั้งล่าสุด

'...แต่ก่อน เวลามัน(ฉัน)เงียบนี่ กูเดือดร้อนแล้ว มันเงียบจนกูปวดหัว มันต้องมีเรื่องอะไรมาอีกแล้วแน่ ๆ กูต้องคอยเอาอกเอาใจ ปลอบใจมัน พามันหัวเราะจะได้อารมณ์ดี...เวลามันอารมณ์ไม่ดี กูก็ไม่สบายใจ กูก็สงสัยว่าทำไมต้องเอาใมันด้วยวะ' ฉายพูดกลางวงแต่หันหน้าไปทางโต

' แกพูดถึงใคร' ฉันถามฉายแบบงง ๆ

' จะมีใคร๊ ขี้วีน ขี้เหวี่ยง มีหมด ทะเลาะกัน ก็ต้องยอมลงให้ เถียงหัวชนฝาทุกเรื่อง โคตรดื้อเลย เอาแต่ใจตัวเอง'

'ชั้นเนี่ยนะ เป็นแบบนั้น ( เสียงสูง) '

'เอออออ ... ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร '

โตพยักหน้าช้า ๆ 'แต่พวกเราก็ต้องยอมเค้า เอ้าาาาาา ...ชนแก้ว ๆ '



ฉันจำไม่ได้ว่าเคยเป็นแบบมนุษย์ไร้สาระขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วทำไมเพื่อนยังไม่ทิ้งฉันสักคน ฉันสงสัย แต่ไม่ถาม ไม่รู้จะถามไปทำไม

เรื่องเก่าหลายต่อหลายเรื่องขุดขึ้นมาเล่าพร้อมกับเสียงหลง ' อย่าเล่า ๆ ๆ พอแล้ว ๆ ๆ ' พร้อมเสียงหัวเราะครึกครื้น โบกไม้โบกมือ พอ ๆ ๆ เรื่องบางเรื่องเล่าแล้วเล่าอีกก็ยังอยากฟัง ในวงเพื่อนเล็ก ๆ วันนี้ ไม่ได้มีแต่เรื่องวันวาน เรามีเรื่องตรงหน้าและอนาคต ต่างจากวงปีเมื่อก่อน...

ลูกชายของฉายวัย 16 ปี ไม่สนุกกับการเรียนเท่าไรนักแต่มีความสุขกับการเล่นดนตรีและเป็นดีเจ เขาสามารถจัดรายการและพูดคนเดียวได้เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง บางวันถึงห้าชั่วโมงอย่างเพลิดเพลิน ฉลาดเฉลียวเหมือนพ่อเขา

ฉันกับฉายไม่เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊ก แต่ฉายเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกับโตและเม เขาเห็นเรื่องราวของฉันผ่านเฟซบุ๊กของโต เขาไม่เคยคอมเม้นต์และไม่โพสต์อะไรเลยแต่รู้เรื่องราวของฉันทุกอย่าง บางวันเขาโทรฯหาเรากลางดึกซึ่งฉันจะหลับไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว เขาจะสงสัยว่า ทำไมเรานอนกันหัวค่ำอย่างนี้ แต่คืนนี้ก็หายสงสัยเพราะฉันบอกว่า ชีวิตฉันเปลี่ยนพอควรตั้งแต่เริ่มวิ่ง

'สงสัยทุกทีว่า วิ่งไปทำไม เหนื่อยก็เหนื่อย แล้วแกวิ่งได้ไง แรงก็น้อย เอาแรงที่ไหนไปวิ่ง ' ฉายถามฉันจริงจัง

'ก็ซ้อมไง วิ่งไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เร็ว มาวิ่งด้วยกันสิ จะได้เจอกันบ่อย ๆ '

ฉายพยักหน้า 'เออ..ดีเหมือนกัน ใครจะวิ่งก็วิ่งไป เราวิ่งไม่ไหวก็จะขึ้นรถไปรอที่เส้นชัย '

ฉันเลยถามฉายว่า จำได้มั้ยที่เราวิ่งมินิมาราธอนด้วยกันตอนอยู่ชมรมฯน่ะ แกกับโตกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางแล้วก็พากันนั่งรถพยาบาลเพราะขี้เกียจวิ่ง พวกแกหัวเราะเยาะฉัน ฉันโคตรจะโกรธเลย ปล่อยให้ฉันวิ่งคนเดียว

'จำได้ ๆ ก็ไปเป็นเพื่อนแล้วไง เผื่อแกเป็นอะไรจะได้ดูแล ไม่ดีเหรอ '


อืมนะ.. เพื่อนฉันก็มีแบบนี้ด้วย


ฉายเป็นคนอารมณ์ดี มีความสุขอยู่เสมอ แต่สิ่งพิเศษของฉายที่ฉันเห็นคือ เขาสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีเยี่ยม มีหลักการและเหตุผลพร้อมอารมณ์ที่มั่นคง เหมือนใครจะทุบคำถามและคำตอบของเขาไม่ลง คำพูดของเขาน่าฟังและต้องนิ่งคิด ฉันอ่านหนังสืออีกหมดห้องสมุด เรียนอีกเจ็ดใบปริญญา ฉันก็ไม่สามารถคิดหรือมองโลกบวก ๆ ได้เหมือนเขา แต่ไหงตอนเรียน เราทะเลาะกันทุกวัน หรือเพราะฉันอยากเอาชนะเขามาตลอดก็ได้จึงได้แต่เถียงข้าง ๆ คู ๆ

'มึงก็ยอม ๆ เขาหน่อย จะเป็นอะไรนักหนา' โตจะพูดกับฉายแบบนี้เสมอ เวลาเราทะเลาะกันเพราะฉายไม่ยอมลงให้



ผ่านมาสามสิบปีแล้วสินะ ไม่มีโอกาสมานั่งคุยกันเลย ต่างคนต่างมีครอบครัวและหน้าที่การงาน เวลาปกติเราก็ไม่โทรฯหากัน แต่วันนี้ฉันเริ่มบอกฉายแล้วว่า เอาไลน์แกมา ฉันจะไลน์หาแก ปกติฉันไม่ชอบเล่นไลน์นะ(ดูเป็นบุญคุณยังไงไม่รู้นะ) ฉันจะได้ส่งรูปอะไรต่อมิอะไรให้แกดู โอเคมั้ย

ฉายยื่นมือถือของเขาให้ฉัน เอาไปเลย จะทำอะไรก็ทำ มีไลน์แล้วก็กรุณาทำแบบที่พูดด้วย


ก่อนจากกันวันนั้น ฉันรู้ว่าฉายยังไม่อยากกลับ แต่เขาทวงไส้อั่วและมาการองที่ฉันเอามาฝากด้วย กลัวฉันลืมเอาให้ ฉันยิ้ม ๆ 'นึกว่าแกลืม'

'ไม่ลืม ๆ อยากกินมาก' แล้วเขาก็หัวเราะ


::

เพื่อน
คือคนที่รู้จักข้อเสียของฉันทุกอย่าง
แต่ก็ยังรักฉันอยู่

ขอบคุณนะแก










ภูพเยีย
19 พฤศจิกายน 2559














Create Date : 24 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2559 10:04:52 น.
Counter : 645 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com