Group Blog
All Blog
--- พุ ท ธ ศั ก ร า ช อั ส ด ง กั บ ค ว า ม ท ร ง จำ ข อ ง ท ร ง จำ ของแมวกุหลาบดำ : วีรพร นิติประภา










ฉันเพิ่งอ่าน ' พุทธศักราชอัสดงกับความทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ' ของ วีรพร นิติประภา จบ

แค่อยากบอกว่า ฉันชอบนิยายเรื่องนี้มาก ฉันชอบมากในสำนวน สำเนียงแบบนี้หรือเพราะไม่ค่อยได้อ่านแบบนี้มากนัก

หนังสือเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง มีหนังสือดีที่เรียงร้อยการประพันธ์ได้งดงามมากมายแตกต่างกันไป เราชอบศิลปะเพราะมันกลั่นกรองมาจากความรู้สึกนึกคิดอันลึกซึ้งของมนุษย์ เราหลงใหลในจินตนาการสร้างสรรค์ไม่รู้จบ งานเขียนมีความแตกต่างกันเนื่องด้วยผู้เขียนแต่ละคนมีความชำนาญในการเลือกใช้คำต่างกัน รสชาติทางวรรณศิลป์จึงมีหลากหลาย ความงามของศิลปะเปรียบเทียบกันไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่าอันไหนเพราะต่างมีลายเซ็นเฉพาะตัว

การอ่านอะไรแล้วชอบถือเป็นรสนิยมส่วนตัวอีกเช่นกันและอาจจะเป็นบุญของคนอ่านก็ไม่ทราบได้ เล่มนี้นอกจากชอบเนื้อหา น้ำเนื้อในจิตใจของมนุษย์ที่ยากจะหยั่งถึงของแต่ละคนแล้ว ยังชอบภาษาสละสลวย เหมือนอ่านบทกวีในนิยายคลุกเคล้าครบรสไปตลอดเรื่อง
ภาษาของผู้เขียนมีเสน่ห์มาก เธอสามารถร้อยคำกริยาซ้อนกริยาซ้อนกริยา คำวิเศษณ์ที่ไม่ได้ขยายแค่คำนาม คำกริยาแต่ยังขยายคำวิเศษณ์ด้วยกันอีก ภาษาจึงมีมิติ มีชีวิตชีวา พลิ้วไหว เคลื่อนไหว ไหลเลื่อนเหมือนน้ำไหลนิ่งบ้าง บางครั้งก็กระเพื่อมเหมือนโยกคลื่นก่อนดิ่งจมหายไปต่อหน้าต่อตาแบบไม่ทันตั้งตัว ปรับใจ ให้ยอมรับการกระทำเหล่านั้นได้ ทำให้รู้สึกรู้สาลึกซึ้งดื่มด่ำซึมซับอารมณ์ของมนุษย์ที่มีมิติมายาซับซ้อน ลวงตา

คำบรรยายให้เห็นภาพแทนการบอกเล่า ด้วยอุปมาอุปไมยและย้อนความทรงจำของความทรงจำผ่านสายตาของแมวกุหลาบดำหรือผ่านการเล่าของคุณยายศรีแสนดีของหนูดาวกันแน่นะ

ความทรงจำที่กึ่งหลับกึ่งตื่น กระท่อนกระแท่นเหมือนฝัน บางทีติดตา บางคำความยังติดตรึงใจอยู่ในห้วงชีวิตของเรา ผ่านคำบอกเล่าเท่าที่จะนึกออก ไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี บางทีก็เป็นเรื่องเล่าที่เล่าสู่กันฟังจากใครต่อใครที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแต่ดึงผู้อ่านให้ย้อนความทรงจำให้ติดอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น ไม่ว่าจะค่านิยม เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ได้ยินเพลงนกขมิ้นในอดีต การปฏิวัติวัฒนธรรม จักรวรรดิญี่ปุ่นครองอำนาจ สงครามนานกิง รัฐนิยมมาลานำไทย น้ำท่วมน้อยใหญ่ โรคระบาด การอพยพ กบฏ รัฐประหาร การลอบปลงพระชนม์ล้นเกล้า ร.8 ที่อนธกาลไปชั่วกาล กิจการที่ชะงักงันที่พลิกคว่ำพลิกหงายอีกหลายตลบ อำนาจอันธพาล อั้งยี่ การเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยจอมพล ป. ฯลฯ และแอบยิ้มเมื่อได้ยินเพลงบางท่อนของ กปปส. ซึ่งบางทีในคำบอกเล่าเหล่านี้มีทั้งแต่งเติม ตัดต่อ บอกเล่าเท่าที่นึกออก บอกไม่ได้ว่าความจริงมีอยู่แค่ไหน

ก่อนที่จะเข้ามิติซับซ้อนกับอารมณ์ของมนุษย์ในครอบครัวจีนที่อพยพมาตั้งรกรากในแผ่นดินไทยครอบครัวหนึ่งของตาทวดตงซึ่งมีมเมียสองคน คนหนึ่งอยู่เมืองจีนและอีกคนคือยายทวดเสงี่ยม ยายเสงี่ยมเป็นตัวละครที่มีสีสันมากที่สุดก็ว่าได้ มีฝีมือในการทำอาหาร มีลางสังหรณ์ มีเมตตาแต่ก็เกลียดอีกาเข้ากระดูกดำเพราะเชื่อว่ามันคือลางร้าย ตอนแต่งงานกับทวดตงใหม่ ๆ ไม่มีลูกก็ขอลูกเขามาเลี้ยงจนมีลูกอิจฉาตามมาอีกสี่คน เกิดความลำเอียงและทำร้ายความรู้สึกของลูกโดยไม่รู้ตัว

ส่วนตาทวดตงแกทิ้งบ้านจากเมืองจีนมาช่วยลุงค้าขายตั้งแต่อายุ 15 โหยหาจะกลับบ้านที่แผ่นดินเกิดมาตลอด กลับไปไม่เท่าไหร ได้เมียเด็ก มีลูกชายแต่ไม่เคยเห็นหน้า พอมีปฏิวัติวัฒนธรรมเข้ามา เมียเมืองจีนโดนข้อหาคบหาคนต่างชาติ ต้องทำงานหนักจนตายตอนลูกชายอายุแค่แปดขวบ เธอมีความสุขและความทรงจำพร้อมภาพถ่ายของสามีกับอีกครอบครัวใหญ่ในจดหมายที่ยายายเสงี่ยมส่งมาหาพร้อมของรับขวัญลูกชาย กว่าเธอจะเข้าใจเนื้อความจดหมายก็ตอนที่ลูกชายโตและอ่านให้ฟัง

ฮง ลูกชายของเธอและตาทวดตง เติบโต เพราะเคยอ่านจดหมายที่เขียนโดยกวีให้แม่ฟัง เขาหลงใหลภาษาในจดหมายจนได้ร่ำเรียน เติมเต็มความว่างเปล่าด้วยวรรณกรรมและบทกวีของหลู่ซิ่น พอฮงตั้งตัวได้ มาตามหาพ่อที่เมืองไทย พบกับความว่างเปล่า ผิดหวัง กลับไปก็เขียนนิยายได้ตีพิมพ์ เป็นเรื่องราวของคนไร้ราก พกหยกรับขวัญจากแม่เมืองไทยแต่กลับพบครอบครัวที่ไม่มีอยู่ในโลก

เขากลับเป็นคนที่สร้างชื่อเสียงให้ตาทวดตง พ่อของเขาในแผ่นดินเกิดที่ตาทวดไม่ได้กลับไปแล้ว และยังแต่งงานกับกวีสาว ตายก่อนที่จะเห็นหน้าลูกและตั้งชื่อลูกว่า ตง เหมือนพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้า เติมเต็มความหมายของคำว่าบ้านให้ใครอีกคนที่ไม่ได้กลับแผ่นดินเกิดอีกแล้ว

จงสว่างหรืออาหวัง ลูกเลี้ยงนั้นเจ็บจมอยู่ในโลกที่อ้างว้าง น้อยเนื้อต่ำใจกับความรู้สึกที่แม่ไม่รัก เจ็บช้ำน้ำใจ '... มันไม่เคยมีใครสักคน สักหนครั้งที่ตั้งใจจะไม่ทำร้ายเขา ไม่เคยมีใครสนใจ ไม่เคยไม่ใครนึกถึง ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ...ทุกคนเอาแต่ทำร้ายเขาซ้ำซากโดยไม่ได้ตั้งใจ...' จงสว่างผู้น่าสงสารค้อมรับชะตากรรมราวกับรู้ว่าทุกอย่างในชีวิตได้ถูกกำหนดไว้หมดแล้ว

ส่วนลูกแท้ ๆ ของตาทวดตงและยายเสงี่ยมอีก 4 คนคือ จรุงสิน (อาสิ่ง) เจริดศรี(อาซี) จิตไสว (อาไหว่)และจรัสแสง(อาเส็ง) ก็เช่นกัน ความรักของสองพี่น้องต่างแม่อย่างหวังกับไหว่ที่เคยเป็นเหมือนเพื่อนก็มามีอันบาดหมางใจกันในที่สุด โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับชีวิตของแต่ละคน ความรักที่ไม่ราบรื่น ความหวังรางเลือน ด้านในที่ว่างโหวง ต่างแสวงหาบ้านในใจ ถมที่ว่างเปล่าภายในให้เต็ม ความรู้สึกที่กะพร่องกะแพร่ง แปลกแยก เจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านคำบอกเล่าในความทรงจำของยายศรี ยายผู้รักการอ่านนิยาย ชีวิตเธอยิ่งกว่านิยาย เรื่องเล่าก็ปะติดปะต่อ พร่าเลือน เหมือนจริง เหนือจริง ใครจะเอาตัวตนรอดพ้นความอลหม่านของชีวิตนี้ได้บ้าง

คุณยายศรีกำลังเล่าเรื่องให้หนูดาวฟังด้วยความทรงจำที่เลือกสรร เลือกจำและเลือกลืม แต่มันเป็นฝุ่นผงของความทรงจำของชีวิตที่อยากจะตื่นลืมตาเพื่อม่านตาปรับตัวและเห็นแสงรำไรแทนความตื่นกลัวและไม่อยากให้มันเป็นจริง มนุษย์มีชีวิตที่แสนจะเปราะบางท่ามกลางความหวังทั้งมวล

อยากเขียนบันทึกเรื่องนี้แบบละเอียด ๆ อีกครั้ง จึงต้องมานั่งอ่านรอบที่สอง เพราะชอบภาษา อยากทบทวนประวัติศาสตร์ความทรงจำบางอย่าง อยากดื่มด่ำอารมณ์แบบนี้อีกสักหน่อย

ฉันชอบสำนวนภาษามากกว่าพล็อตนิยายรักที่เต็มไปด้วยลำนำหวานขมอมเศร้าเจือหม่นอยู่ทุกตัวละครที่เหมือนจะหาทางออกไม่ได้ ไม่ว่าอกหักรักคุดหรือรักซ่อนเร้น ฉันสงสัยว่า หนูดาวเป็นลูกหลานของใครในตระกูลนี้จนคลี่คลายกระจ่างใจ ถึงแม้จะรู้แล้วก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เกิดคำถามในใจว่า ทำไมมนุษย์จึงได้เข้มแข็งและอดทนได้ถึงเพียงนี้




ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
2 พฤศจิกายน 2559













Create Date : 04 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 20 มิถุนายน 2561 10:48:37 น.
Counter : 694 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com