Group Blog
All Blog
--- เ ข้ า คิ ว ร อ ถ ว า ย อ า ลั ย พ ร ะ บ ร ม ศ พ ใ น ห ล ว ง รัชกาลที่ 9 ---










เช้าวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน ขณะเข้าแถวรอไปถวาลอาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9 เราเจอคุณยายอายุ 95 (เป็นแม่พลอยห้าแผ่นดินเลยก็ว่าได้) มาเข้าแถวตั้งแต่ตีสามด้วยกัน เจ้าหน้าที่ถามคุณยายว่ามากับใคร คุณยายว่า มาคนเดียวจากขอนแก่น เขาถามว่าเดินไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวให้ยกมือขึ้น จะเอาวีลแชร์มาให้ คุณยายไม่ว่ายังไง

เพราะฉะนั้น อึดถึกอย่างฉันก็อย่าเพิ่งยกมือเลย ต่างคนก็ตั้งใจรอไปกราบสักการะพระบรมศพพระองค์ท่านด้วยหัวใจกันทั้งนั้น

แต่ใจเราก็อยากให้จัดคิวลัดคิวสำหรับคนสูงอายุเป็นพิเศษเลยนะ แม้พวกท่านจะยินดีเข้าคิวเหมือนคนอื่นก็เถอะ


วันเสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุด เป็นวันสะดวกของเราและของคนอื่นเช่นกัน มีประชาชนมากราบสักการะพระบรมศพเป็นจำนวนมากและต้องเข้าคิวแบบนี้ทุกคน

เราเตรียมตัวเตรียมใจจากบ้านมาแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากเกินไป เขาทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น

5 ชั่วโมงครึ่งในการเข้าคิวจนกระทั่งได้นั่งเต็นท์เข้าคิวรอถวายความอาลัยในหลวงในพระบรมมหาราชวังฯ


ระหว่างที่รอในเต็นท์ เราได้นั่งรอบนเก้าอี้สบาย ๆ มีอยู่ 20 แถว ๆ ละ 400 คน ซึ่งเพื่อนมาก่อนหน้านี้เล่าว่า ตอนที่เขามายังไม่มีเก้าอี้รอนั่งแบบนี้ ต้องนั่งกลางแดดร้อน แต่ก็เต็มใจอย่างยิ่งเช่นกัน




การรอคอยไม่น่าเบื่อเพราะเรารู้ว่ามาทำอะไรแต่แรก


ราว ๆ 4 โมงครึ่ง เราเข้าแถวมานั่งรอจุดสุดท้ายก่อนจะเข้าไปพระบรมมหาราชวัง

ถ้าใครจะมากราบสักการะพระบรมศพพระองค์ท่าน
ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า
ต้องแต่งกายสุภาพและดำล้วนนะคะ

ชุดของสุภาพสตรี ก็อย่าแขนกุดหรือกระโปรงสั้นจัด แต่จำเป็นต้องเป็นกระโปรงหรือผ้าถุง นุ่งซิ่นดำล้วนก็ได้แทนกางเกงค่ะ (จะแต่งชุดไทยจิตรลดา สวยสุดที่เรามี สมพระเกียรติแด่พระองค์ท่านได้ทั้งนั้น) หากใส่ชุดสีกรมท่าหรือไม่มีจริง ๆ จุดสุดท้ายนี้ เจ้าหน้าที่จะมีผ้าถุงสีดำให้ยืมใส่ให้เรียบร้อย คือพยายามช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะให้ประชาชนได้เข้าไปกราบสักการะถวายอาลัยแด่พระองค์ท่าน

ส่วนคุณผู้ชายก็เช่นกัน ชุดดำล้วน กางเกงผ้าหรือแสล็กคือสุภาพที่สุด หากเป็นกางเกงยีนสีดำ ยังไม่ผ่านนะคะ แต่เจ้าหน้าที่มีกางเกงดำให้ยืมสวมเช่นกันค่ะ
รองเท้าสีดำ ให้เรียบร้อย เอาที่ใส่สบายเพราะเข้าคิวนาน แต่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดแต่งกายเรียบร้อย งามตา ก็มีคุณป้าบางคน(หลาย ๆ คน) แต่งกายเรียบร้อยแต่สวมรองเท้าแตะสีดำ(ไม่รัดส้นเท้า) เจ้าหน้าที่ที่ตรวจความเรียบร้อยที่จุดสุดท้ายก็ให้เข้าไปได้ ไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น เพราะตอนเข้าไปกราบสักการะพระบรมโกศนั้น ต้องถอดรองเท้าทุกคนค่ะ

สำหรับคนที่กลัวเรื่องห้องน้ำห้องท่า ไม่ต้องกลัวนะคะ มีห้องน้ำทุกจุด สะดวกมาก
เข้าแถวแต่เช้า พอเข้าเขตสนามหลวงก็จะมี น้ำชา กาแฟ ข้าวเหนียวไก่ย่าง ข้าวต้มอร่อยสุดในสามโลก ผัดหมี่โคราช ขนมเค้ก บราวนี่ ขนมปังอร่อย ๆ มีมาแจกให้กิน
ขอบคุณทุกเจ้าภาพที่กรุณา ขอให้มีความสุขความเจริญทุกท่าน

ขณะเข้าคิวรอในเต็นท์ มีข้าวกล่องเยอะมาก อาหารดี ๆ ทั้งนั้น ดีสำหรับใครที่เตรียมอาหารไม่ทัน แต่เราจบที่ขนมจีนน้ำยารองท้องเท่านั้น กาแฟหอม อร่อยมากแต่ก็แค่จิบทั้งคู่ ท้องไส้ไม่ค่อยดีจึงไม่อยากกินอะไรมากมาย มีกล้วยหอมมาไว้รองท้องอยู่แล้ว มีน้ำดื่มเย็นบ้าง ไม่เย็นบ้างมาแจกตลอด ยาดม ยาลม พิมเสนน้ำ แอมโมเนีย พาราเซตามอล พลาสเตอร์ยาสำหรับคนที่ใส่คัทชูใหม่กัด หน่วยแพทย์ พยาบาล พร้อมมากค่ะ เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกมาก ขอเพียงทุกคนมีสุขภาพดีพอควรและมีใจรอคอยด้วยความเย็นใจ

ส่วนใครมีปัญหาถามเรา เข้าประตูไหนเร็วกว่าหรือสะดวกกว่า เราไม่ทราบค่ะ ถึงจะศึกษาเส้นทางไปบ้างแต่ถึงเวลา เราก็มองหาแต่หางคิว หางคิวอยู่ที่ไหนเราก็วิ่งไปต่อและเดินไหลตามเขาไป จะได้กราบสักการะพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเมื่อไรก็เมื่อนั้น เราอาจจะจำกัดเวลาของเราเพียงหกโมงเย็นเพราะกลัวรถติดและตกเครื่อง ถ้าไม่ได้กราบสักการะในวันนี้ก็จะมาวันอื่น

ในที่สุดเราก็ได้เข้าไปกราบพระองค์ท่านสมดังความตั้งใจ
หลังจากกราบถวายความอาลัยในหลวงแล้ว
เราได้รับพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์ท่าน
และถุงข้าวพอเพียงเป็นที่ระลึกก่อนกลับบ้าน


ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่อำนวยความสะดวกด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ



::
ภูมิใจที่ได้เกิดภายใต้ร่มพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9
#น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า ภูพเยีย

















Create Date : 22 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2559 15:08:40 น.
Counter : 645 Pageviews.

0 comment
--- คื อ ค ว า ม คิ ด ถึ ง .. ถึ ง บ น ฟ้ า ---











คือความคิดถึง..ถึงบนฟ้า
ความรู้สึกยิ่งกว่าความคิดถึง
ยิ่งรู้ก็ยิ่งรักตระหนักซึ้ง
เคยอยู่เย็นเป็นที่พึ่งลมหายใจ
ฟ้าส่งผ่านลมฟ้าและอากาศ
คงความหวังมุ่งมาดอย่าหวั่นไหว
โลกคงงามความร่มเย็นความเป็นไป
คือพลังยิ่งใหญ่ในทุกวัน
เติมความรักเต็มวิญญาณ์ในหน้าที่
มีสติในโลกแม้ผกผัน
บ้างเคว้างคว้างเย็นเยียบและเงียบงัน
บนสวรรค์ยังปลอบปลุกให้ลุกยืน
หายใจเข้าออกช้าช้าในเช้าตรู่
ฟังเพลงพ่อพรั่งพรูปีติตื้น
ยินเสียงพ่อคุ้นน้ำคำน้ำตารื้น
อกสะอื้นยังเหมือนฝันจนวันนี้
สงบเงียบยังระงมในลมหนาว
หวังเรื่องราวเรืองไรโลกไร้สี
มีความรัก เมตตา ปรารถนาดี
จักตื่นรู้ผ่านราตรีในตัวตน
ขอความรักความคิดถึงถึงบนฟ้า
จะศรัทธาฝ่าสายแดดพายุฝน
คงความฝันมิหวั่นไหวในวังวน
หวังให้ฟ้าเบื้องบนมีรอยยิ้ม


ภูเพยีย
16 พฤศจิกายน 2559













Create Date : 16 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2559 12:22:12 น.
Counter : 662 Pageviews.

0 comment
--- อ่ า น ---












การอ่านให้คำตอบกับชีวิตหรือเปล่า เราไม่รู้หรอก เราอ่านเพราะอยากอ่าน เราเล่าเพราะเราอยากเล่า วิจารณ์อะไรไม่เป็นเลยนอกจากชอบอะไรก็ว่ากันไป เอามาเป็นหลักชี้นำความคิดใครไม่ได้ รสนิยมในการอ่านแต่ละคนก็ต่างกันไป เราอ่านเพราะไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรได้ดีกว่านี้ แต่การอ่านทำให้เรามีทางเลือกกับชีวิตมากขึ้น เลือกที่จะอยู่ตรงไหน อย่างไร และรู้ว่าอะไรที่ทำให้เราสุขใจ พอใจ

บางคนถามเราว่า เราปลูกฝังลูกให้รักการอ่านอย่างไร

เป็นคำตอบที่ยากมาก...

คำว่าปลูกฝังดูยิ่งใหญ่ น่ากลัวและจริงจังสำหรับครอบครัวเราที่พูดกันน้อยแล้วสั่งสอนลูกด้วยคำพูด เราควรทำอย่างไรที่จะสอนให้ลูกเห็นคุณค่าการอ่าน ทั้งที่การอ่านนั้นให้อะไรกับฉันมากมายเหลือเกิน อย่าว่าแต่สอนลูกเรื่องการอ่านเลย เรื่องอื่น ๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าสอนลูกอย่างไร ฉันกับสามีคุยกันบ่อยครั้งในเรื่องนี้ เราไม่ค่อยได้สอนลูกแบบต้องนั่งอธิบาย บางเรื่องเราก็งงว่า ลูกรู้ได้ยังไงว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ แล้วแน่ใจหรือว่า สิ่งที่เราปฏิบัติให้ลูกเห็นนั้นเป็นสิ่งที่ลูกซึมซับได้จริง ๆ

ฉันชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กเพราะสมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีอะไรพอจะให้ติด อย่าว่าแต่เทคโนโลยีทันสมัยเลย ที่บ้านไม่มีทีวีให้ดูด้วยซ้ำ ต้องไปขอดูกับเพื่อนบ้าน การอ่านหนังสือสมัยก่อนก็ไม่จริงจังอะไร อ่านเอาเรื่อง อ่านเอาสนุก ความชอบเปลี่ยนไปตามวัย เดี๋ยวนี้การอ่านถือเป็นการพักผ่อนหลังการทำงาน ส่วนสามีชอบทำกับข้าว ลูก ๆ อ่านหนังสือตามวัย รักการเรียน ไม่เคยเลือกอ่านหนังสือวรรณกรรมอะไรนอกจากเราแนะนำบ้าง แต่ไม่มากนัก เธออาจจะอ่านอะไรจากเว็บไซต์ ยูทูป ฯลฯ เรื่องที่เธอสนใจก็มีแต่เรื่องอาหารที่อยากจะทำ แชร์เรื่องการทำอาหารมากที่สุด เราเองเคยแอบหวังในใจว่า จะมีสักคนที่อยากเรียนเชฟบ้าง หรือใครสักคนจะเรียนวาดภาพบ้าง แต่เปล่าเลย ต่างคนต่างมีแนวทางของตัวเอง ชอบกันไปคนละอย่าง เชื่อว่าพวกเธอชอบการอ่านแต่ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นนักอ่านจริงจัง สนใจเรื่องไหนก็จริงจังเรื่องนั้น ว่ากันไปเป็นเรื่อง ๆ แต่ไม่ใช่หนอนหนังสือ ส่วนเรื่องอยากเขียนนั้น คิดว่าห่างไกลจนเกินคิดถึง ไม่เห็นคุณสมบัติเด่นชัดเหล่านี้ออกมาเลยสักคน




เมื่อวันแม่ที่ผ่านมา ถามลูกสามคนว่า คำสอนไหนที่แม่สอนแล้วจำขึ้นใจมากที่สุด ลูกเงียบกันไปหมด เราก็ใจหาย...หรือความเชื่อที่เราไม่ค่อยได้สั่งสอนลูกเป็นคำพูดนั้นน่าจะจริง

แต่สักพัก ก็ตอบมาในไลน์ทีละคน เจ้าคนโตว่า เรื่องคำพูดคำจาและความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอเพราะเธออารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ครูดุก็หน้าง้ำและคงแผลงฤทธิ์อะไรไว้แน่ ครูประจำชั้นถึงเขียนว่า ผู้ปกครองไม่อบรมสั่งสอน

คราวนั้นฉันอ่านสมุดพกลูก จุกอกและร้องไห้ ไม่ต่อว่าครูสักคำและพุดกับเธอว่า สงสัยจะสร้างวีรกรรมไว้ล่ะสิท่า เธอพยักหน้า

ฉันกังวลใจเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าเธอจะอยู่กับคนอื่นในสังคมอย่างไร ชีวิตที่มีขาวกับดำ ชอบกับไม่ชอบ ไม่ค่อยมีตรงกลาง ไม่มีความพอดี คิดอะไรก็พูดตรง ๆ ขวานผ่าซาก บางคนชอบ แต่ส่วนใหญ่ไม่ชอบ สุดโต่งในทุกเรื่อง เราก็สอนเขาทุกวัน สนใจแต่เรื่องพฤติกรรมเหล่านี้ อยากให้เขามีเพื่อน แต่พอไปเรียนมหาวิทยาลัย ดูเหมือนเขาจะโตขึ้น รับผิดชอบตัวเองได้มากขึ้น อะไรดีขึ้นหลายอย่าง ดูสดใส ร่าเริงเหมือนปกติ เราคงสอนอะไรทุกอย่างไม่ได้หรอก ต้องเรียนรู้และรับผลนั้นเอง หากเขาไปไม่ไหวจึงจะโทรฯมาปรึกษา

แต่เจ้าแฝดตอบมาเหมือนกันว่า เยอะะะะะะะ

เราก็ยังอยากรู้และถามต่อว่า ยกตัวอย่างสักคำซิ

สติ แม่ชอบสอนให้มีสติ เพราะเราทะเลาะกันบ่อยมาาาาาาาก

เจ้าแฝดเล็กก็ตอบมาว่า แม่สอนให้อดทนและมีน้ำใจ

อืม..จำได้ก็ดี ทำได้ยิ่งดี


เท่านี้แหละมั้งที่พอจะได้คำตอบจากการสอนปากเปล่า แต่แฝดไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเรียนและเพื่อน เราอาจรู้สึกดีเป็นพิเศษที่ลูกมีเพื่อนดีหรือเล่าเรื่องครูที่เขารักให้ฟังบ่อย ๆ เวลาเจอกัน เช่น ครูน้อยใจดีเหมือนยายเลยแม่ ทำกับข้าวให้กินวันละสองอย่าง มีขนมหวานให้กินด้วยนะ ใครไม่เรียนกับครูก็มาแวะกินข้าวบ้านครูได้ ครูทำเผื่อไว้ให้กินทั้งวัน บางวันหนูกลับไม่ได้ ครูก็มาส่งที่หอ /ครูอู๋ เจอหน้าทีไรก็จะติวหนังสือให้อยู่เรื่อย ครูเก่งมาก ๆ เลยแม่ แถมใจดีเปิดแอร์ที่ห้องเรียนให้อ่านหนังสือด้วย / แม่ของฉิมซื้อขนมมาให้เยอะมากเพราะฉิมมาอ่านหนังสือที่หอเราประจำ / พ่อป๊อบ อนุญาตให้ป๊อบมานอนกับเราได้ เพราะถ้าไม่ใช่บ้านเรา พ่อป๊อบไม่ให้ออกบ้าน / เกื้อหนุน เรียนเก่งมากเลยแม่ สอบอะไรก็ติดไปทุกอย่าง / กวาง(เด็กที่เก่งสุดของชั้นปี) ไม่สอบโควต้า เพราะชัวร์มากว่าจะเรียนนิเทศน์และมั่นใจมากว่าสอบได้แน่ ๆ / ครูแนะแนวคนนี้ใจดีที่สุดในโลกล่ะแม่ พูดจาไพเราะมาก ๆ ฯลฯ

เรื่องที่ดีใจอีกเรื่องคือ เธอรู้จักชื่นชมเพื่อนคนเก่ง นิสัยดีมีน้ำใจให้ฟังบ่อย ๆ การพูดถึงคนอื่นดี คนฟังมีความสุขไปด้วยไม่ว่าเธอจะรู้ตัวเองหรือไม่ก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราไม่ได้สอน เป็นไปได้ไหมที่คนเราจะรู้สึกได้เองโดยไม่ต้องมีคนสอน หรือเห็นประโยชน์จากการอ่านชีวิตจริงและสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ว่าดีอย่างไรโดยไม่ต้องมีคนบอก

มีเรื่องหนึ่งที่พอนึกออกและสอนลูกบ่อยคือ การมีสุขภาพดีนั้นดีอย่างไร ยามเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น จิตใจต่างกับตอนปกติอย่างไร เรื่องนี้สำคัญพอ ๆ กับอยากให้ลูกเป็นคนใจดีมากกว่าเรียนหนังสือหรือทำอะไรทุกอย่างต้องเป็นที่หนึ่งเสียอีก คนจิตใจดีมักมีความสุข เราสนใจเรื่องการรักษาจิตใจให้ดีมากกว่าเรื่องอื่น

ขณะที่เรากำลังหาวิธีสอนลูกเรื่องการอ่าน
ครอบครัวเราคงถูกอ่านไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน


การอ่าน การใฝ่รู้ สอนกันไม่ได้ การเขียนก็น่าจะคล้าย ๆ กัน
บางคนรู้วิธีการเขียนที่ดี ให้น่าอ่านและจับจุดจับใจคนอ่าน
แต่อาจจะเขียนหนังสือให้อ่านเป็นเล่มไม่ได้นอกจากชี้แนะหรือแนะนำ

บางคนอ่านมาก แต่ไม่มีความคิดที่จะเขียนหนังสือเลยก็มีเยอะแยะไปหมด

บางคนไม่รู้วิธีการเขียน แต่เขียนอะไรก็น่าอ่าน
แต่เราก็เชื่อว่า เขาต้องรักการอ่านมาเป็นพื้นฐาน
แล้วพื้นฐานที่ว่านี้มาจากไหน ??

การสอนให้คน ๆ หนึ่งรักการอ่าน อาจจะยากสักหน่อยเพราะคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ เขาก็มีความสุขกับการงานหรือสิ่งที่เขารักได้เหมือนกัน คนรอบข้างที่ฉันรัก ๆ ไม่ได้เป็นหนอนหนังสือสักคนแต่เขามีความสุขกับชีวิตกันดี

ฉันอาจจะเสียดาย(ไปคนเดียวก็ได้)หากฉันพอจะชวนคนใกล้ให้อ่านได้แล้วไม่ชวน เขียนบอกเล่าเรื่องที่อ่านได้แล้วไม่บอก ส่วนเขาจะชอบด้วยไหมนั่นไม่รู้ได้

ถึงตอนนี้...ฉันอาจจะหาคำตอบดี ๆ ไม่ได้
และบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ





ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย












Create Date : 10 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2559 14:32:29 น.
Counter : 632 Pageviews.

0 comment
--- เ ร า เ ห ลื อ เ ว ล า ทำ ใ น สิ่ ง ที่ ค ว ร ทำ อี ก เ ท่ า ไ ร ---













เสาร์อาทิตย์นี้ เจ้าคนโตกับน้องสาวของฉันไปเยี่ยมพ่อ

จำได้แม่นยำว่า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว พ่อฉันเกิดอาการ Stroke และต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน ตอนนั้นวุ่นวายใจ คิดแต่เรื่องร้าย ๆ สารพัด ความคิดส่งผลต่อความรู้สึกจริง ๆ คิดถึงแต่เรื่องที่ทำไม่ดี พูดจาไม่ลงรอยกันในเรื่องการเมือง นึกถึงเรื่องที่พ่อส่งคลิปนกสวย ๆ มาให้ดูในแต่ละวันเพราะรู้ว่าลูกชอบ คลิปเรื่องราวแม่ลูกที่พ่อชอบ ดอกไม้สวย ๆ เพลงเพราะ ๆ เท่าที่พ่อจะเฟ้นหามาได้ ทั้งเอาใจและอยากให้ดู บางทีฉันก็ดู บางทีก็ไม่ดูเพราะไม่ค่อยเล่นไลน์ บอกพ่อตามตรงว่า ไม่ค่อยได้ดูเพราะมันต้องใช้เวลา บางคลิปก็ยาวมากจริง ๆ ยิ่งวันเกิดฉัน พ่อส่งมาให้ดู 137 คลิป มีแต่ภาพอันซีนและบรรดาสิงมหัศจรรย์ทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่หาดูยากทั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นภาพวิวและคำพรดี ๆ

ฉันสลดใจ เสียใจ ใจหาย เศร้าจนพูดอะไรไม่ออก โลกหม่นมัว เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ต่อแต่นี้จะไม่มีพ่อทำอะไรให้เห็นอีกแล้วหรือนี่ ใช่...(วันนั้น ตอนนั้น )ฉันยังทำใจไม่ได้ แม้รู้ว่าวันหนึ่งพ่อก็ต้องจากเราไป แต่มันกะทันหันเกินไป ฉันรับไม่ได้ ปรับใจไม่ทัน แต่ถึงกระนั้น น้ำตาไหลไม่หยุด นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่ฟูมฟาย ไม่อยากพูดคุยหรือสบตาใคร ขณะเดินทางโดยรถทัวร์ ระหว่างเดินทางก็พยายามมองสิ่งรอบข้าง บรรเทาทุกข์ในใจ อดคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ คิดไป น้ำตาก็ไหลจนขอบตาช้ำ ปวดหัวหนึบ พยายามเรียกสติตัวเองตลอด ภาวนาให้พ่อไม่เป็นอะไรมาก เดาทางไม่ได้ว่าจะได้พ่อกลับคืนมาในสภาพไหนแต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังอยากให้พ่ออยู่กับเรานานกว่านี้อีกได้ไหม

วันนี้ ปีที่แล้ว เรายังอยู่ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช อาการพ่อยังโกลาหล เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา พ่อสับสน ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ทำ MRI ไม่ได้ ยากไปหมด จะวางยาสลบก็ไม่ได้ เดี๋ยวพ่อไปเลยว่าไง เป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้าที่ตัดสินชะตาชีวิตพ่อได้ ยากเหลือเกิน

ญาติทางพ่อผลัดเปลี่ยนมาเยี่ยมเยียนกันไม่ขาดสาย ตอนนั้น อาการของพ่อก็ประมาณนี้

'เนมมิ่งเสีย
บวกเลขไม่ได้
ถามชื่อ
ทำงานอะไร
มีลูกกี่คน
สื่อสารเสีย
การประมวลการสื่อสารเสีย
ตั้งคำถามได้ พยักหน้า แต่ตอบแบบไปไหนมาสามวาสองศอก
พูดไม่ชัด
อยากพูด
ไม่เข้าใจคำถามใดๆ
สมองซีกซ้ายบวม
ละลายลิ่มเลือดไม่ได้ เสี่ยง
เห็นหน้าเรา ยิ้ม จำได้แต่เรียกชื่อไม่ได้
สมองส่วนแปรผลเสีย. สมองตาย
อัลไซเมอร์หรือยังนะ
เราเจอพ่อในภาพที่พีอจำได้บ้างไม่ได้บ้าง
นี่หรือคือความป่วยไข้ที่เราต้องยอมรับและทำใจให้เร็ว
อย่าว่าแต่จำเราเลย พ่อจำอาไม่ได้

คนที่ต้องดูแลพ่อจากนี้ไป อาขาดคู่คิด คู่ถกเถียงแต่ต้องแรนนิบัติดูแลด้วยความหวังว่าพ่อจะจำได้ ป่วยไม่ได้ พักไม่ได้ ทิ้งพ่อไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องหาคนมาอยู่สลับเป็นเพื่อน

เราจะมาเยี่ยมพ่อยังไงหลังจากนี้ คิดมากเหมือนกัน
ค่ารักษาแต่ละครั้งอาก็จ่ายหมด
เราจะเอ่ยปากยังไงนะ

กลับมานั่งโซฟาที่พ่อเคยนั่งและรอเรามาจากเชียงใหม่ คอยย้ำว่าอย่าลืมของฝาก นั่งคุยกันสักพักก่อนไปกินกาแฟตอนเช้าด้วยกัน พาพ่อไปเที่ยววัดที่พ่ออยากไป ไปดูดอกทานตะวัน ถ่ายรูปกับหลานด้วยหน้าตาสดชื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีอีกแล้ว เราจะพาพ่อไปเที่ยวแบบที่พ่อจำอะไรไม่ได้ คุยกับพ่อที่สื่อสารไปคนละทาง ได้แต่ภาวนาว่าอย่าถึงกัยเดินไม่ได้ หากสมองซีกขวเกี่ยวกับกล้ามเนื้อเป็นอัมพาตจะลำบากมากกว่านี้ ...'

พ่อจำใครไม่ค่อยได้ ยิ่งกว่านั้น สื่อสารไม่ได้ด้วย ทำให้เขาหงุดหงิดและยิ่งปวดหัว ความทรงจำเหมือนสัญญะ ผ่านมา ผ่านไป บางครั้งสายตาพ่อเลื่อนลอยจนเราใจหาย แต่บางครั้งที่พ่อมองเราและจำได้ ดูเหมือนพ่อจะถ่ายเทความรัก บอกรักเราด้วยสายตาว่า พ่อรักพวกเราเสมอนะ รักและคิดถึงพวกเรามาโดยตลอด รู้กันบ้างมั้ย พ่อเคยน้อยใจว่าลูกไม่รักนั่นเพราะเราไม่ค่อยจะแสดงออกกัน เราไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวกัน อย่าว่าแต่จะกอดกันเหมือนคนในครอบครัวเราที่ปฏิบัติต่อกันเป็นเรื่องปกติเลย เราหวังแต่ว่า ความรักจะนำพ่อกลับมา

ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น ต้องขอบคุณอาเป็นพิเศษที่ดูแลพ่อทุกอย่าง ทุกเรื่อง ทั้งพาพ่อไปหาหมอตรงตามเวลา พาไปเข้าคอร์สฟื้นฟู ทำกายภาพบำบัด ฝังเข็มเพราะหากพ่อไม่ฝึกกินข้าวเองหรือไม่พยายามลุก นั่ง เดินหรือออกกำลังกายเบา ๆ ร่างกายจะแย่ไปกันใหญ่ เผลอ ๆ เรื่องร้ายที่สุดคือจะกลืนยาเองไม่ได้ อันนี้น่าเป็นห่วงมาก อาดูแลการกินยาอย่างเคร่งครัด เรื่องข้าวปลาอาหารนั่นไม่ต้องพูดถึง พอพ่อเดินคล่องขึ้น ยังพาไปขับรถเล่น เห็นบรรยากาศรอบเมือง พาไปกินไอติม กินอาหารนอกบ้านบ้าง ไปทบทวนความจำ กระตุ้นความทรงจำตรงนั้นตรงนี้ คอยช่วยแปลช่วยเดาในสิ่งที่พ่อพูดถึง เขาปรนนิบัติพ่อได้ดีเยี่ยมที่ลูก ๆ อย่างพวกเราทำไม่ได้ เราได้แต่อวยพรให้อาสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจทุกวัน อยากให้พ่อหายเร็ว ๆ จะได้เป็นกำลังใจให้อาด้วย คนที่อยู่เป็นคู่กันมานาน เคยมีคู่คิดแต่กลับป่วยและเกือบจะจำกันไม่ได้ คิดแล้วก็เศร้ามากหากเป็นแบบนั้นจริง เพราะในคราวแรก พ่อแทบจำใครแทบไม่ได้เลย


หนึ่งปีที่ผ่านมา เราลูก ๆ ก็เทียวไปเทียวมาเพื่อไปเยี่ยมพ่อถี่ขึ้นกว่าที่เราเคยไป ใครว่างก็ไป ไม่ต้องบอกกันเพราะแต่ละคนมีภาระหน้าที่การงาน ว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ พ่อแม่มักจะอายุยืนทันได้เห็นการก่อร่างสร้างตัวของลูก ๆ ได้ชื่นใจที่ลูกมีการงานดีและอยู่คอยอวยพรลูกให้มีความสุขทุกวัน แต่หลัง ๆ มา เราต้องส่งคำพรทั้งหมดที่พ่อให้เราย้อนคืนสู่พ่อหลาย ๆ เท่า เราสวดมนต์ภาวนาทุกวันทุกคืน ขอให้พ่อมีความสุข กินอิ่ม นอนหลับสบาย ไม่ต้องคิดต้องห่วงใคร เท่านี้ก็พอ

เราเชื่อว่าพลังแห่งความรักส่งถึงกันได้ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เราโทรฯหาพ่อ แม้จะฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่เรายังอยากได้ยินเสียงพ่ออยู่เสมอ ได้บอกรักและคิดถึงกันทุกครั้งที่โทรฯหา ฉันเชื่อว่าพ่อรับรู้ว่าเราทุกคนรักพ่อมากแม้จะไม่ค่อยแสดงออกเช่นกัน ไม่เคยพูดกันออกมาจากปากนอกจากเขียนในจดหมายที่รับรู้กันเพียงเรา

หากใครไม่เคยพูดคำรักกับพ่อ อยากลองให้พูดนะ รู้สึกดีมาก ๆ เหมือนคำนี้มันส่งถึงใจได้ตรง ๆ เลย ทั้งน้ำเสียงและความรู้สึก มันบิดเบือนไม่ได้ พ่อรับรู้และอยากจะอยู่กับเรานาน ๆ อยากเห็นหลาน ๆ เรียนมหาวิทยาลัย


พ่อเคยพูดแบบนี้มานานว่า ไม่รู้จะได้อยู่จนเจ้าคนโตเรียนจบมหาวิทยาลัยหรือเปล่า อย่าว่าแต่เรียนเลย เขาจบมหาวิทยาลัยและรับปริญญาแล้ว เขาหอบครุยวิทยฐานะมาถ่ายรูปกับคุณตาที่บ้านเพราะรู้ว่าคุณตาไปร่วมแสดงความยินดีด้วยไม่ได้


ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาสอบเป็นแอร์โฮสเตสได้ ก็แต่งชุดทำงานมาให้คุณตาดู เพราะเขาจะบินวันแรกวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้แล้ว มารับคำพรจากตาก่อนบินจริง

อย่าว่าแต่คุณตาจะตื่นเต้นไปด้วยเลย พวกเราทุกคนก็ตื่นเต้นไปกับเขานะ ดีใจที่เขาได้ทำตามความฝันของเขาแล้ว ตอนนี้ก็เหลือหลานสาวของคุณตาอีกสามคนที่กำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย บ้านอื่นอาจไม่สนใจเรื่องการเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ได้ บางคนเห็นว่าการเรียนภาคบังคับคือการสูญเสียเวลาไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ อย่างน้อย 16 ปี เอาเวลาที่เสียไปทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่า ไม่เรียนก็ทำมาหากินและเป็นคนดีได้เหมือนกัน เรื่องนี้ก็แล้วแต่บ้านใครบ้านมัน ไม่ว่ากัน


ถึงวันนี้ เวลานี้ เราเห็นพ่อยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง จำได้บ้าง ไม่ต้องคุยกันลงลึกในรายละเอียดมากมายนัก แค่พ่อรับรู้และเข้าใจที่เราพูดกัน เราก็พอใจแล้ว พ่อมีความสุขทุกครั้งที่ลูก ๆ หลาน ๆ ไปหา พ่อยังห่วงฉันมากกว่าใครเพราะบ้านเราอยู่ไกลกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เราไปได้ก็รีบไป เราโชคดีที่มีพ่อให้ได้ไปหา ได้พูดคุย กินข้าวด้วยกัน ได้ทำอะไรให้พ่อมีความสุขนิด ๆ หน่อย ๆ ได้ต้องรีบทำ การป่วยของพ่อทำให้เราคิดอะไรได้หลายอย่าง อย่ามัวชะล่าใจ ใส่ใจความรู้สึกพ่อให้มาก ๆ ไม่ถกเถียงเอาจริงเอาจังเรื่องการเมืองจนทำให้เราพูดคุยกันน้อยลง มีเรื่องดี ๆ มากมายในโลกที่เราเลือกมาคุยกันได้ เรามักทำร้ายใครโดยไม่รู้สึกตัว ไม่อยากเสียใจเพราะอาจไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกแล้ว พูดดี ทำดีต่อกันไว้ไม่ว่ากับใครเพราะวันพรุ่งนี้อาจเดินทางมาไม่ถึง





ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
6 พฤศจิกายน 2559
















Create Date : 07 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2559 8:57:03 น.
Counter : 655 Pageviews.

0 comment
--- พุ ท ธ ศั ก ร า ช อั ส ด ง กั บ ค ว า ม ท ร ง จำ ข อ ง ท ร ง จำ ของแมวกุหลาบดำ : วีรพร นิติประภา










ฉันเพิ่งอ่าน ' พุทธศักราชอัสดงกับความทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ' ของ วีรพร นิติประภา จบ

แค่อยากบอกว่า ฉันชอบนิยายเรื่องนี้มาก ฉันชอบมากในสำนวน สำเนียงแบบนี้หรือเพราะไม่ค่อยได้อ่านแบบนี้มากนัก

หนังสือเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง มีหนังสือดีที่เรียงร้อยการประพันธ์ได้งดงามมากมายแตกต่างกันไป เราชอบศิลปะเพราะมันกลั่นกรองมาจากความรู้สึกนึกคิดอันลึกซึ้งของมนุษย์ เราหลงใหลในจินตนาการสร้างสรรค์ไม่รู้จบ งานเขียนมีความแตกต่างกันเนื่องด้วยผู้เขียนแต่ละคนมีความชำนาญในการเลือกใช้คำต่างกัน รสชาติทางวรรณศิลป์จึงมีหลากหลาย ความงามของศิลปะเปรียบเทียบกันไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่าอันไหนเพราะต่างมีลายเซ็นเฉพาะตัว

การอ่านอะไรแล้วชอบถือเป็นรสนิยมส่วนตัวอีกเช่นกันและอาจจะเป็นบุญของคนอ่านก็ไม่ทราบได้ เล่มนี้นอกจากชอบเนื้อหา น้ำเนื้อในจิตใจของมนุษย์ที่ยากจะหยั่งถึงของแต่ละคนแล้ว ยังชอบภาษาสละสลวย เหมือนอ่านบทกวีในนิยายคลุกเคล้าครบรสไปตลอดเรื่อง
ภาษาของผู้เขียนมีเสน่ห์มาก เธอสามารถร้อยคำกริยาซ้อนกริยาซ้อนกริยา คำวิเศษณ์ที่ไม่ได้ขยายแค่คำนาม คำกริยาแต่ยังขยายคำวิเศษณ์ด้วยกันอีก ภาษาจึงมีมิติ มีชีวิตชีวา พลิ้วไหว เคลื่อนไหว ไหลเลื่อนเหมือนน้ำไหลนิ่งบ้าง บางครั้งก็กระเพื่อมเหมือนโยกคลื่นก่อนดิ่งจมหายไปต่อหน้าต่อตาแบบไม่ทันตั้งตัว ปรับใจ ให้ยอมรับการกระทำเหล่านั้นได้ ทำให้รู้สึกรู้สาลึกซึ้งดื่มด่ำซึมซับอารมณ์ของมนุษย์ที่มีมิติมายาซับซ้อน ลวงตา

คำบรรยายให้เห็นภาพแทนการบอกเล่า ด้วยอุปมาอุปไมยและย้อนความทรงจำของความทรงจำผ่านสายตาของแมวกุหลาบดำหรือผ่านการเล่าของคุณยายศรีแสนดีของหนูดาวกันแน่นะ

ความทรงจำที่กึ่งหลับกึ่งตื่น กระท่อนกระแท่นเหมือนฝัน บางทีติดตา บางคำความยังติดตรึงใจอยู่ในห้วงชีวิตของเรา ผ่านคำบอกเล่าเท่าที่จะนึกออก ไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี บางทีก็เป็นเรื่องเล่าที่เล่าสู่กันฟังจากใครต่อใครที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแต่ดึงผู้อ่านให้ย้อนความทรงจำให้ติดอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น ไม่ว่าจะค่านิยม เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ได้ยินเพลงนกขมิ้นในอดีต การปฏิวัติวัฒนธรรม จักรวรรดิญี่ปุ่นครองอำนาจ สงครามนานกิง รัฐนิยมมาลานำไทย น้ำท่วมน้อยใหญ่ โรคระบาด การอพยพ กบฏ รัฐประหาร การลอบปลงพระชนม์ล้นเกล้า ร.8 ที่อนธกาลไปชั่วกาล กิจการที่ชะงักงันที่พลิกคว่ำพลิกหงายอีกหลายตลบ อำนาจอันธพาล อั้งยี่ การเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยจอมพล ป. ฯลฯ และแอบยิ้มเมื่อได้ยินเพลงบางท่อนของ กปปส. ซึ่งบางทีในคำบอกเล่าเหล่านี้มีทั้งแต่งเติม ตัดต่อ บอกเล่าเท่าที่นึกออก บอกไม่ได้ว่าความจริงมีอยู่แค่ไหน

ก่อนที่จะเข้ามิติซับซ้อนกับอารมณ์ของมนุษย์ในครอบครัวจีนที่อพยพมาตั้งรกรากในแผ่นดินไทยครอบครัวหนึ่งของตาทวดตงซึ่งมีมเมียสองคน คนหนึ่งอยู่เมืองจีนและอีกคนคือยายทวดเสงี่ยม ยายเสงี่ยมเป็นตัวละครที่มีสีสันมากที่สุดก็ว่าได้ มีฝีมือในการทำอาหาร มีลางสังหรณ์ มีเมตตาแต่ก็เกลียดอีกาเข้ากระดูกดำเพราะเชื่อว่ามันคือลางร้าย ตอนแต่งงานกับทวดตงใหม่ ๆ ไม่มีลูกก็ขอลูกเขามาเลี้ยงจนมีลูกอิจฉาตามมาอีกสี่คน เกิดความลำเอียงและทำร้ายความรู้สึกของลูกโดยไม่รู้ตัว

ส่วนตาทวดตงแกทิ้งบ้านจากเมืองจีนมาช่วยลุงค้าขายตั้งแต่อายุ 15 โหยหาจะกลับบ้านที่แผ่นดินเกิดมาตลอด กลับไปไม่เท่าไหร ได้เมียเด็ก มีลูกชายแต่ไม่เคยเห็นหน้า พอมีปฏิวัติวัฒนธรรมเข้ามา เมียเมืองจีนโดนข้อหาคบหาคนต่างชาติ ต้องทำงานหนักจนตายตอนลูกชายอายุแค่แปดขวบ เธอมีความสุขและความทรงจำพร้อมภาพถ่ายของสามีกับอีกครอบครัวใหญ่ในจดหมายที่ยายายเสงี่ยมส่งมาหาพร้อมของรับขวัญลูกชาย กว่าเธอจะเข้าใจเนื้อความจดหมายก็ตอนที่ลูกชายโตและอ่านให้ฟัง

ฮง ลูกชายของเธอและตาทวดตง เติบโต เพราะเคยอ่านจดหมายที่เขียนโดยกวีให้แม่ฟัง เขาหลงใหลภาษาในจดหมายจนได้ร่ำเรียน เติมเต็มความว่างเปล่าด้วยวรรณกรรมและบทกวีของหลู่ซิ่น พอฮงตั้งตัวได้ มาตามหาพ่อที่เมืองไทย พบกับความว่างเปล่า ผิดหวัง กลับไปก็เขียนนิยายได้ตีพิมพ์ เป็นเรื่องราวของคนไร้ราก พกหยกรับขวัญจากแม่เมืองไทยแต่กลับพบครอบครัวที่ไม่มีอยู่ในโลก

เขากลับเป็นคนที่สร้างชื่อเสียงให้ตาทวดตง พ่อของเขาในแผ่นดินเกิดที่ตาทวดไม่ได้กลับไปแล้ว และยังแต่งงานกับกวีสาว ตายก่อนที่จะเห็นหน้าลูกและตั้งชื่อลูกว่า ตง เหมือนพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้า เติมเต็มความหมายของคำว่าบ้านให้ใครอีกคนที่ไม่ได้กลับแผ่นดินเกิดอีกแล้ว

จงสว่างหรืออาหวัง ลูกเลี้ยงนั้นเจ็บจมอยู่ในโลกที่อ้างว้าง น้อยเนื้อต่ำใจกับความรู้สึกที่แม่ไม่รัก เจ็บช้ำน้ำใจ '... มันไม่เคยมีใครสักคน สักหนครั้งที่ตั้งใจจะไม่ทำร้ายเขา ไม่เคยมีใครสนใจ ไม่เคยไม่ใครนึกถึง ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ...ทุกคนเอาแต่ทำร้ายเขาซ้ำซากโดยไม่ได้ตั้งใจ...' จงสว่างผู้น่าสงสารค้อมรับชะตากรรมราวกับรู้ว่าทุกอย่างในชีวิตได้ถูกกำหนดไว้หมดแล้ว

ส่วนลูกแท้ ๆ ของตาทวดตงและยายเสงี่ยมอีก 4 คนคือ จรุงสิน (อาสิ่ง) เจริดศรี(อาซี) จิตไสว (อาไหว่)และจรัสแสง(อาเส็ง) ก็เช่นกัน ความรักของสองพี่น้องต่างแม่อย่างหวังกับไหว่ที่เคยเป็นเหมือนเพื่อนก็มามีอันบาดหมางใจกันในที่สุด โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับชีวิตของแต่ละคน ความรักที่ไม่ราบรื่น ความหวังรางเลือน ด้านในที่ว่างโหวง ต่างแสวงหาบ้านในใจ ถมที่ว่างเปล่าภายในให้เต็ม ความรู้สึกที่กะพร่องกะแพร่ง แปลกแยก เจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านคำบอกเล่าในความทรงจำของยายศรี ยายผู้รักการอ่านนิยาย ชีวิตเธอยิ่งกว่านิยาย เรื่องเล่าก็ปะติดปะต่อ พร่าเลือน เหมือนจริง เหนือจริง ใครจะเอาตัวตนรอดพ้นความอลหม่านของชีวิตนี้ได้บ้าง

คุณยายศรีกำลังเล่าเรื่องให้หนูดาวฟังด้วยความทรงจำที่เลือกสรร เลือกจำและเลือกลืม แต่มันเป็นฝุ่นผงของความทรงจำของชีวิตที่อยากจะตื่นลืมตาเพื่อม่านตาปรับตัวและเห็นแสงรำไรแทนความตื่นกลัวและไม่อยากให้มันเป็นจริง มนุษย์มีชีวิตที่แสนจะเปราะบางท่ามกลางความหวังทั้งมวล

อยากเขียนบันทึกเรื่องนี้แบบละเอียด ๆ อีกครั้ง จึงต้องมานั่งอ่านรอบที่สอง เพราะชอบภาษา อยากทบทวนประวัติศาสตร์ความทรงจำบางอย่าง อยากดื่มด่ำอารมณ์แบบนี้อีกสักหน่อย

ฉันชอบสำนวนภาษามากกว่าพล็อตนิยายรักที่เต็มไปด้วยลำนำหวานขมอมเศร้าเจือหม่นอยู่ทุกตัวละครที่เหมือนจะหาทางออกไม่ได้ ไม่ว่าอกหักรักคุดหรือรักซ่อนเร้น ฉันสงสัยว่า หนูดาวเป็นลูกหลานของใครในตระกูลนี้จนคลี่คลายกระจ่างใจ ถึงแม้จะรู้แล้วก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เกิดคำถามในใจว่า ทำไมมนุษย์จึงได้เข้มแข็งและอดทนได้ถึงเพียงนี้




ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
2 พฤศจิกายน 2559













Create Date : 04 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 20 มิถุนายน 2561 10:48:37 น.
Counter : 690 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com