ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 2 การรุกราน
<2>


การรุกราน

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นท่ามกลางความมืดและสายลมที่พัดหวีดหวิว เปลวไฟแดงฉานลุกสว่างโชติช่วงขึ้นและลามออกไปเป็นบริเวณกว้าง เพียงไม่นานหมู่บ้านขนาดย่อมที่เคยสงบสุขและรุ่งเรืองก็ถูกกลืนหายไปในกองเพลิงพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น

ดาม่อนยืนดูผลงานของตัวเองด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจก่อนหันไปทางเชลยชายหญิงแรกรุ่นที่เขาจับมามัดรวมกันเอาไว้ สมุนคนหนึ่งเดินไปหาเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งถูกมัดไว้ตรงปลายแถวพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองด้วยท่าทางกระหาย มือหยาบกร้านไล้ไปบนร่างกายของนางอย่างหยาบคาย เด็กหญิงผู้นั้นร้องอย่างหวาดกลัวขณะที่พยายามดิ้นรนหนี แต่เจ้าโจรถ่อยกลับดึงร่างนั้นเข้าหาตัวและเริ่มลวนลามนาง

“นั่นแกจะทำอะไร!” ดาม่อนตวาดถามเสียงดัง สมุนของมันเงยหน้าขึ้นอย่างขัดใจ

“ข้าไม่ได้ลิ้มรสผู้หญิงมานานแล้วขอเด็กคนนี้ให้ข้าเถอะดาม่อน แค่คนเดียวเจ้าจอมปิศาจนั่นคงไม่รู้หรอก”

“แต่ข้าไม่คิดแบบนั้น” ดาม่อนตอบและเดินมากระชากร่างสมุนของเขาออกมาจากเด็กสาว “อย่าได้ดูถูกอำนาจของจอมปิศาจเป็นอันขาด เจ้าโง่!”

“พวกเราอยู่ห่างตั้งไกลขนาดนี้ มันไม่มีทางรู้หรอกน่าดาม่อน” เจ้านั่นเถียงอย่างไม่ลดละ “มันคงไม่ได้วิเศษไปจากพวกเราเท่าไหร่นักหรอกน่ะ”

“แกจะคิดยังไงข้าไม่สน แต่ห้ามแตะต้องเด็กคนนั้นเป็นอันขาด ไม่อย่างงั้น....”ดาม่อนกระชากดาบของเขาออกมาจากฝักและตวัดไปจ่อไว้ที่ลำคอสมุนของเขาอย่างรวดเร็ว “หัวของแกอาจจะหลุดออกจากบ่า สภาพแกคงน่าดูไม่เลวถ้าได้กลายเป็นผีดิบไร้หัวเดินไปเดินมาน่ะ”

ชายผู้นั้นจ้องดาม่อนเขม็ง แม้จะเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่มีทางเอาชนะฝีมือการใช้ดาบอันแสนเก่งกาจของดาม่อนผู้เป็นหัวหน้าไปได้ ชายผู้นั้นถอยหลังออกไปสองสามก้าวก่อนพ่นลมหายใจออกมาและเดินจากไปโดยไม่โต้ตอบอะไร

ดาม่อนเก็บดาบลงฝักและกวาดสายตามองไปรอบๆ สมุนของเขาก้มหน้าลงทันทีโดยไม่กล้าสบตา หัวหน้าโจรจึงเอ่ยขึ้น

“จงจำเอาไว้ อย่าได้คิดแตะต้องเด็กเหล่านี้เป็นอันขาด ถ้ามันผู้ใดกล้าขัดคำสั่งของข้า สิ่งเดียวที่จะได้รับก็คือความตาย!”

เหล่าสมุนของดาม่อนรับคำก่อนเริ่มต้นรวบรวมสิ่งของที่ปล้นมาเข้าไว้ด้วยกันและออกเดินทางกลับไปยังปราสาทของจอมปิศาจพร้อมกับชายฉกรรจ์ซึ่งสมัครใจเข้าร่วมกับกองโจรของดาม่อนอีกเป็นจำนวนมาก หัวหน้าโจรมองผลงานของตนด้วยความรู้สึกยินดี

“กำลังคนขนาดนี้มีมากพอที่จะตั้งกองทัพย่อยๆได้เลยทีเดียว ท่านจอมปิศาจคงจะต้องพอใจอย่างแน่นอน”

*/*/*/*/*

จอมมารยืนมองดูคนที่ดาม่อนกวาดต้อนมารวมทั้งเชลยซึ่งถูกมัดรวมไว้อีกด้านด้วยสายตาพึงพอใจ เขาเดินไปที่เด็กสาวคนหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว

“เยี่ยมมากดาม่อน” เขาเอ่ยชมก่อนจะหันมาทางหัวหน้าโจร รอยยิ้มเมื่อครู่เลือนหายไปจากใบหน้าเมื่อสายตาอันดุดันมองผ่านร่างของดาม่อนเลยไปยังสมุนที่ยืนก้มหน้าอยู่ทางด้านหลัง

“แต่ข้ารู้มาว่ามีใครบางคนต้องการจะนำอาหารของข้าไปปรนเปรอความต้องการของตัวเอง” ดวงตาอันน่ากลัวหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่ร่างของสมุนคนนั้นเกิดอาการสั่นระริก ดาม่อนก้มหน้าลงก่อนตอบ

“เขาเพียงแค่บังเกิดความโลภขึ้นมาชั่วขณะเท่านั้น มิได้ต้องการจะหักหลังหรือทรยศต่อท่านเลยแม้แต่น้อย.......”

“เงียบ!”

จอมปิศาจตวาดก้องด้วยความโกรธจัดก่อนเดินไปหาดาม่อน

“แกคิดว่าข้าโง่มากนักหรือถึงได้กล้าสร้างเรื่องโกหกพกลมขึ้นมาแบบนั้น เจ้านั่นคิดว่าข้าคงไม่รู้ มันลบหลู่ข้าต่อหน้าบริวารของแก ต่อหน้าเหยื่อของข้า ต่อหน้ามนุษย์ทุกๆคน!”

ดวงตาที่เต็มไปด้วยแรงโทสะมองจ้องเขม็งไปยังสมุนของดาม่อน เขาถึงกับทรุดตัวนั่งลงและร้องไห้โฮพลางพูดขึ้นอย่างระล่ำระลัก

“ข้า....ข้าเพียงแค่.....”

“เพียงแค่อยากจะเสพสำราญร่างที่บริสุทธิ์นี่ก่อนข้า จากนั้นก็คอยเยาะหยันเมื่อข้ากลืนกินเดนที่เหลือจากแก แกคิดว่าข้าโง่มากอย่างงั้นหรือ เจ้ามนุษย์!”

กรงเล็บแหลมคมกางออกและชี้ตรงไปทางร่างลูกน้องของดาม่อน เขาสะดุ้งเฮือกสุดตัว มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมลำคอของตนเองในขณะที่ดวงตาทั้งสองนั้นเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

“กลัวอะไรกัน ข้าไม่ได้วิเศษไปกว่าแกมิใช่รึ” จอมมารพูดเสียงกระหึ่ม “แกคิดว่าข้าคอร์ฟคาคาร์ส จอมปิศาจผู้ยิ่งใหญ่คงไม่มีทางรู้ว่าพวกแกจะทำอะไรบ้างยามเมื่ออยู่ลับสายตาใช่หรือไม่”

กรงเล็บที่กางออกรวบเข้าหากันอย่างช้าๆ ร่างสมุนของดาม่อนลอยสูงขึ้นไปในอากาศราวกับถูกมือขนาดยักษ์ที่มองไม่เห็นดึงขึ้นไป ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวเหยเกและเปลี่ยนไปเป็นสีม่วงคล้ำ ดวงตาสองข้างเริ่มปูดโปนทะลักออกมาจากเบ้า เสียงร้องอึกอักฟังไม่ได้ศัพท์หลุดรอดออกมาจากปากที่มีลิ้นบวมคับอยู่ภายใน คอร์ฟคาคาร์สยิ้มอย่างเหี้ยมโหด

“นี่คือผลแห่งความไม่ซื่อสัตย์ของแก!”

จอมปิศาจหมุนข้อมือของตนเองหลังกล่าวจบ เสียงกร๊อบดังขึ้นพร้อมกับร่างที่อ่อนปวกเปียกของชายผู้นั้นก็ร่วงตกลงมากองแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีแดงฉานกระจายเป็นละอองฟุ้งอยู่ในอากาศส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปจนทั่วบริเวณ ดาม่อนถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อพบว่าหัวใจสมุนของเขานั้นถูกกระชากออกมาจากอกและลอยแขวนค้างอยู่กลางอากาศ มันเต้นกระตุกต่อไปอีกสองสามครั้งจึงหยุดนิ่งลง

“หัวใจของมันเน่าเหม็นจนเกินกว่าข้าจะกลืนกินมันลง” คอร์ฟคาคาร์สพูดพลางสะบัดมือของเขาออกไปทางด้านข้าง ก้อนเนื้อสีแดงสดลอยไปตกลงท่ามกลางบริวารผีดิบ พวกมันต่างพากันส่งเสียงร้องอย่างดีใจและกลุ้มรุมกันฉีกหัวใจดวงนั้นกินอย่างหิวกระหาย

จอมปิศาจมองภาพนั้นอย่างพอใจตรงกันข้ามกับเหล่ามนุษย์ที่ดูภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหวาดกลัวและสยดสยอง

“โยนซากของมันไปให้เด็กๆที่น่ารักข้างล่างนั่นด้วย โกเล็ม” จอมมารสั่งเสียงเย็น ร่างยักษ์ของปิศาจเดินทื่อเข้ามาและหยิบซากร่างไร้วิญญาณโยนทิ้งออกไปทางหน้าต่าง เสียงร้องอย่างดีใจดังขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่าง ดาม่อนถึงกับหลับตาลงเมื่อนึกภาพร่างสมุนของเขากำลังถูกอสุรสัตว์รุมฉีกทึ้งกินเป็นอาหาร เสียงของคอร์ฟคาคาร์สเรียกสติของหัวหน้าโจรให้กลับคืนมาสู่ตัวอีกครั้ง

“ข้ารู้สึกพอใจมากที่เจ้าได้พิสูจน์ตัวเองว่ามีความจงรักภักดีต่อข้าอย่างจริงจัง ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นแม่ทัพของกองทัพฝ่ายมืด ควบคุมดูแลเหล่ามนุษย์ทุกคนที่เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อข้า และนี่คือคำสั่งสำคัญที่เจ้าจะต้องกระทำให้สำเร็จ”

จอมปิศาจวาดมือของตนไปเบื้องหน้า พลันบังเกิดภาพมายาขึ้นกลางอากาศ มันเป็นภาพของนครขนาดใหญ่ที่แสนสวยงาม ตึกรามบ้านช่องซึ่งตั้งเรียงรายกันอย่างมีระเบียบนั้นถูกสรรสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง ราวกับมิใช่นครบนพื้นแผ่นดินของมนุษย์

ดาม่อนยืนจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่งใจ เพราะแม้ว่ามันจะสั่นไหวราวกับเงาบนผิวน้ำแต่กลับชัดเจนดุจของจริง เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อคอร์ฟคาคาร์สเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง

“เจ้ารู้จักนครแห่งนี้หรือไม่ ดาม่อน”

หัวหน้าโจรสั่นหน้าน้อยๆก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก

“ข้าไม่เคยรู้จักนครแห่งนี้มาก่อน”

“แน่นอนเจ้าย่อมไม่รู้” จอมปิศาจกล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “เพราะมันเป็นนครลึกลับแห่งอาณาจักรมาร์วัลลัส ดินแดนอันเป็นที่อยู่ของเหล่าจอมเวททั้งหลาย ปราสาทที่เจ้ากำลังมองดูนั้นก็คือสถานที่พำนักของราชินีมีย์อาร์ จอมเวทหญิงที่มีอาคมกล้าแกร่งที่สุดซึ่งดำรงชีพชนม์มานานราวกับผู้เป็นอมตะ”

“ข้าไม่คิดว่านางจะมีอำนาจเหนือท่าน” ดาม่อนพูดด้วยท่าทางนอบน้อมแต่คอร์ฟคาคาร์ส กลับหัวเราะเสียงดังซึ่งฟังดูราวกำลังขุ่นเคืองมากกว่าความเบิกบาน

“ถูกต้อง อำนาจของมีย์อาร์นั้นไม่มีทางสูงไปกว่าข้า แต่พลังของนางจอมเวทนั่นมันขัดขวางคลื่นความร้อนที่ข้าส่งออกไปทำลายอาณาจักรต่างๆ รวมทั้งเหล่าบริวารทั้งหลายที่รายล้อมนางอยู่นั้นก็สร้างความน่ารำคาญให้กับข้าอย่างเหลือเกิน”

“แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ส่งโกเล็มหรือเหล่ากองทัพผีดิบไปถล่มนครของพวกมันให้ราบคาบไปเสียเลยล่ะ ท่านคอร์ฟคาคาร์ส”

จอมปิศาจผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและจ้องเขม็งไปยังผู้ถามพร้อมกับแยกเขี้ยวคำราม

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครจึงได้กล้าเผยอออกคำสั่งต่อข้า”

“ข้าไม่บังอาจกระทำจ้วงจาบเช่นนั้นต่อท่านแน่ๆ นั่นเป็นเพียงแค่คำถามอันเลื่อนลอยจากมนุษย์ที่เบาปัญญาเท่านั้น โปรดอย่าได้บังเกิดความขุ่นเคืองใจไปเลย ท่านจอมปิศาจ” ดาม่อนกล่าวอย่างอ่อนน้อม จอมมารยิ้มออกมาอย่างพอใจและนั่งลงบนบัลลังก์ตามเดิม

“เหล่าผีดิบของข้าเคยเดินทางไปยังดินแดนนั้นมาหลายครั้งแล้ว พวกมันถูกกำแพงเวทอันแข็งแกร่งของเทพเฟรย์และเหล่าบริวารของมีย์อาร์ทำลายจนพินาศย่อยยับไปเสียทุกที แม้พลังของข้าก็ถูกมนตราอันแข็งแกร่งของนางสกัดกั้นเอาไว้จนไม่สามารถฝ่าทะลวงเข้าไปทำลายใจกลางแห่งอาณาจักรของพวกมันได้ ตราบใดที่หัวใจแห่งอาณาจักรยังคงอยู่ ข้าก็จะไม่มีวันสยบเหล่าจอมเวทที่น่ารังเกียจพวกนั้นลงไปได้ รวมทั้งเหล่าเอลฟ์อันเป็นพลเมืองชั้นสูงซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในป่าแห่งมนตรารอบมาร์วัลลัสนั่นด้วย”

“ท่านต้องการให้ข้านำคนบุกไปยังมาร์วัลลัสและทำลายเหล่าจอมเวททั้งหลายให้พินาศไปอย่างนั้นหรือ ข้าไม่คิดว่าข้าจะสามารถปฏิบัติกิจนั้นให้สำเร็จลงได้แน่นอน ท่านจอมปิศาจ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งนั้นคือผู้ทรงอาคมในขณะที่คนของข้าเป็นเพียงกองโจรสามัญ”

“พวกเจ้าไม่มีทางต่อกรกับเหล่าจอมเวทเหล่านั้นได้แน่ๆ ดาม่อน แต่สิ่งที่ข้าจะให้เจ้าไปทำนั้นคือลอบเข้าไปทำลายกำแพงปราสาทของราชินีมีย์อาร์ต่างหาก และบุกเข้าไปยังใจกลางอุทยานของวัง ที่นั่นเจ้าจะพบบ่อน้ำพุนิรันดร์ที่มีน้ำสีทองอร่ามไหลรินออกมา เอาสิ่งนี้โยนใส่เข้าไปในบ่อและรีบถอยกลับออกมาให้เร็วที่สุด”

คอร์ฟคาคาร์สส่งขวดแก้วผลึกขวดเล็กสีดำสนิทให้กับดาม่อน เขารับมันมาถือไว้และมองอย่างพิจารณา

“น้ำในขวดนั่นคือโลหิตของข้า” จอมปิศาจเอ่ยราวกับล่วงรู้ถึงคำถามในใจของหัวหน้าโจร “มันจะทำให้น้ำพุนิรันดร์แห้งเหือดลงไปในพริบตา แล้วลำธารแห่งชีวิตที่ไหลหล่อเลี้ยงทั่วอาณาจักรมาร์วัลลัสก็จะแห้งผาก เหล่าสรรพชีวิตในแผ่นดินแห่งนั้นก็จะไร้พลังอำนาจที่จะต่อต้านข้า รวมทั้งเหล่าเอลฟ์และภูตวิเศษทั้งหลายซึ่งอาศัยอยู่ในป่าแห่งมนตรานั้นด้วย และเมื่อพลังปกป้องนครสูญสลายไป อำนาจของข้าก็จะสามารถแผ่ขยายเข้าไปทำลายทุกๆอย่างในมาร์วัลลัสได้อย่างสมบูรณ์”

“แล้วข้าจะลอบเข้าไปในเมืองนั้นได้อย่างไรกัน เพียงแค่เดินฉียดเข้าไปใกล้ขอบเขตชายแดนเหล่าผู้คุ้มกันก็คงจะออกมาสังหารคนของข้าแล้ว” ดาม่อนกล่าวถามด้วยสีหน้ากังวล คอร์ฟคาคาร์สหัวเราะในลำคอ

“มนุษย์นอกจากจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้อำนาจแล้ว ยังเบาปัญญาอย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะส่งแต่พวกเจ้าไปตามลำพัง” จอมมารวาดมือไปด้านข้าง ภาพมายาที่ปรากฏอยู่จางหายไป และปรากฏอสูรร่างเล็กสามตนขึ้นมาแทน ดาม่อนยืนมองอสุรกายเบื้องหน้าตระหนกระคนสยองเมื่อเห็นร่างพวกมันทั้งสามอย่างเต็มตา

“เลปริคอน” คอร์ฟคาคาร์สเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงพึงพอใจเมื่อได้เห็นกิริยาหวาดกลัวของเหล่ามนุษย์ตรงหน้า “พวกมันจะนำทางให้กับพวกเจ้า”

“นำทางให้กับพวกข้า ยังไง?” ดาม่อนถามอย่างสงสัยในขณะที่ดวงตานั้นยังคงจับจ้องมองดูเลปริคอนทั้งสามตัวเขม็ง มองเผินๆพวกมันก็ดูเหมือนคนแคระทั่วไป แต่เป็นคนแคระที่อัปลักษณ์ที่สุด หัวของมันมีขนาดใหญ่โตเกินตัวจนน่ากลัวว่ามันจะหักลงจากลำคอขนาดเล็ก แขนทั้งสองข้างกำยำล่ำสันรับกับอุ้งมือที่มีขนาดใหญ่ นิ้วทุกนิ้วประกอบด้วยเล็บหยาบหนาและแหลมคม ส่วนช่วงลำตัวนั้นสั้นพอๆกับส่วนของขาที่มองดูเหมือนระยางสั้นงอกออกมาจากร่างกายเท่านั้น

เจ้าเลปริคอนเหลือกดวงตาปูดโปนของมันไปมาแล้วแสยะยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก

“พวกมันจะติดตามคนของเจ้าไปจนถึงเขตชายแดนของมาร์วัลลัส เหล่าผีดิบของข้าจะดึงความสนใจของพวกทหารรักษาเขตนั่น เมื่อพวกมันพลั้งเผลอและละการระมัดระวัง เลปริคอนที่น่ารักของข้าจะพาพวกเจ้าเข้าไปยังใจกลางเมืองทางใต้ดิน ทุกอย่างหลังจากนั้นข้าคิดว่าเจ้าคงจะหาวิธีจัดการได้ด้วยการใช้หัวของตัวเอง ไม่เช่นนั้นแล้วมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าหาประโยชน์อันใดมิได้ที่จะตั้งประดับอยู่บนลำคอของเจ้า” ดวงตาวาวโรจน์จ้องมองดาม่อน ประกายแห่งความเหี้ยมโหดเต้นระริกอยู่ลึกๆ หัวหน้าโจรก้มหน้าลงมองดูพื้นก่อนจะกล่าวตอบอย่างนอบน้อม

“ท่านจะได้รับข่าวดีจากข้าในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน ท่านจอมปิศาจผู้ยิ่งใหญ่ ท่านจะไม่มีวันได้รับความผิดหวังจากคนที่มีนามว่าดาม่อนนี้เป็นอันขาด ข้าขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน”

“ชีวิตของเจ้าขึ้นอยู่กับความพอใจของข้าอยู่แล้วเจ้ามนุษย์ ไปได้แล้ว!”

*/*/*/*/*

กองทัพผสมระหว่างมนุษย์กับผีดิบเดินทางร่วมกันเป็นเวลาหลายวัน โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะเลือกเดินทางในเวลากลางคืนเพราะเหล่าผีดิบนั้นไม่อาจทนต่อแสงอาทิตย์อันร้อนแรงซึ่งสามารถทำลายพวกมันได้ ในขณะเดียวกันดาม่อนกับลูกน้องของเขาก็ไม่อยากปรากฏตัวให้ผู้คนได้พบเจอก่อนที่จะทันได้ถึงมาร์วัลลัส

หลังจากออกเดินทางมาได้เจ็ดวัน กองทัพภายใต้การนำของดาม่อนก็มาถึงแม่น้ำริเวอร์อันเป็นเส้นกั้นแบ่งเขตชายแดนด้านเหนือของมาร์วัลลัส เขานำผีดิบและสมุนของเขาหลบอยู่ตามเนินเขาโดยอาศัยต้นไม้ที่ขึ้นอยู่กระจัดกระจายทั่วบริเวณนั้นเป็นที่ซ่อนและจัดเตรียมต่อแพขนาดใหญ่ไว้สามแพเพื่อเตรียมนำขบวนทัพของเขาล่องข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งของเหล่าจอมเวท

ราวกับถึงคราวเคราะห์ของอาณาจักรมาร์วัลลัส คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ไร้จันทรา ไร้แสงดาว เมฆหมอกอันหนาทึบลอยเลื่อนมาบดบังท้องฟ้าไว้จนหมดสิ้น เมื่อลำเลียงเหล่าทหารทั้งผีดิบและมนุษย์ลงไปในแพหมดแล้ว อาศัยมนตราของคอร์ฟคาคาร์สซึ่งยังทรงอำนาจบนแผ่นดินของเขาช่วยบดบังแสงที่ส่องลงมาจากกำแพงเมืองชั้นนอกของนครแห่งจอมเวทมิให้พบกับแพที่กำลังลอยลำอยู่ กองทัพของดาม่อนจึงสามารถข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัย

หลังจากนั้นเขาจึงสั่งให้เคลื่อนพลเข้าประชิดกำแพงเมืองอย่างเงียบเชียบ เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมดาม่อนจึงส่งสัญญาณให้กองทัพผีดิบบุกเข้าจู่โจมกองทหารรักษาชายแดนของมาร์วัลลัสทันที พวกมันกวัดแกว่งกระบองเหล็กอันหนาหนักทุบฐานของกำแพงศิลานั้นจนพังพินาศย่อยยับโดยไม่ยี่หระต่อพายุธนูที่ถูกยิงลงมาราวกับห่าฝนโดยเหล่าทหารรักษาการณ์ นายทหารระดับสูงบางคนที่สามารถร่ายเวทได้ก็พยายามยิงพลังอาคมเข้าใส่ทหารผีดิบแต่มันไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อยหากเวทนั้นไม่กระแทกโดนส่วนหัวของมัน เพราะแม้จะระเบิดจนเหลือเพียงครึ่งร่าง แต่เจ้าอสุภซากเหล่านั้นก็ยังสามารถคืบคลานไปทำร้ายทหารของมาร์วัลลัสต่อไปได้

ไม่นานกำแพงชั้นนอกของเมืองก็พังทลายลง ทั้งฝูงผีดิบและทหารมนุษย์ของดาม่อนต่างพากันวิ่งกรูเข้าไป พวกมันสังหารชาวนครมาร์วัลลัสที่ไร้เวทหรือด้อยอาคมจนล้มตายลงเป็นจำนวนมาก พวกที่หนีรอดก็วิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง เสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังไม่ขาดสาย ดาม่อนซึ่งเดินนำหน้าเหล่าทหารของเขากวาดสายตามองไปรอบๆและร้องสั่งเสียงดังกังวาน

“ฆ่าพวกผู้ใหญ่ให้หมด! ส่วนเด็กจับมัดรวมกันเอาไว้ ข้าจะนำพวกมันไปให้ท่านจอมมารทั้งมีชีวิตและสมบูรณ์ไร้รอยขีดข่วน”

ฝูงผีดิบร้องคำรามรับคำสั่งของดาม่อนพวกมันไขว่คว้าร่างของชาวนครแห่งเวทมนต์ที่วิ่งหนีไม่ทันมาฉีกกินเนื้ออย่างทารุณ ส่วนทหารชาวมนุษย์นั้นไล่สังหารผู้คนและจับเด็กๆมามัดรวมกันเอาไว้ตามคำสั่งของหัวหน้าโจร

ดาม่อนยิ้มอย่างพอใจก่อนหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งของนครหลวงแห่งมาร์วัลลัส

“ถึงเวลาของพวกเจ้าแล้ว เลปริคอน จงไปยังกำแพงเวทแห่งมาร์วัลลัสและทำหน้าที่ที่ได้รับมาจากท่านจอมมารให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว!”

เลปิคอนทั้งสามแสยะริมฝีปากอันหนาเตอะของมันและแยกเขี้ยวให้กับหัวหน้าโจรราวกับกำลังยิ้มก่อนวิ่งตรงไปข้างหน้า แล้วจู่ๆพวกมันก็หยุดชะงักและยกแขนของมันคลำไปในอากาศราวกับกำลังคลำผนังกำแพงที่มองไม่เห็น เจ้าตัวหนึ่งส่งเสียงร้องสั้นๆ อีกสองตัวที่เหลือจึงเริ่มลงมือขุดดินอย่างรวดเร็ว ดาม่อนยืนดูการกระทำของเลปริคอนทั้สามด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดใจ

“ท่านจอมมารส่งเจ้าผีแคระสามตัวมากับข้าเพียงเพื่อขุดอุโมงค์ลอดใต้กำแพงล่องหนเท่านั้นเองหรือ” หัวหน้าโจรคิดอย่างเงียบๆหลังจากปิศาจแคระทั้งสามขุดดินลึกลงไปจนมิดร่างทั้งสาม
เลปริคอนสองตัวตะกายขึ้นมายืนบนผิวดินและก้มลงจ้องมองดูเพื่อนของมันอีกตัวซึ่งยังคงอยู่ข้างใต้ ดาม่อนจึงเดินเข้าไปใกล้และจ้องมองลงไปบ้าง

“พวกเจ้าขุดอุโมงค์เสร็จแล้วหรือ” เขาเอ่ยถามพลางทำท่าราวกับจะลงไปในหลุม แต่เลปริคอนตัวหนึ่งร้องห้ามพร้อมกับยกมือของมันขึ้นโบกไปมาและชี้กลับลงไปยังก้นหลุม ดาม่อนขมวดคิ้วและมองตามลงไป ปิศาจแคระตัวที่ยังอยู่ด้านหลังทำท่าเคาะผนังซึ่งมองไม่เห็นสองสามครั้ง ประกายไฟสีฟ้าสว่างเรืองรองสะท้อนวูบขึ้นเมื่อถูกมือของมันสัมผัส สีหน้าของดาม่อนฉายความพิศวงออกมา

“กำแพงเวทของพวกมาร์วัลลัสนี่มีรากฐานลงไปใต้พื้นดินลึกขนาดนี้เลยรึ” เขาถามขึ้นมา เจ้าเลปริคอนที่ยืนข้างตัวเขาผงกหัวอันใหญ่โตไปมาพร้อมกับร้องคำราม ดาม่อนเม้มปากตนเองแน่นอย่างใช้ความคิด

“แล้วเราจะผ่านเจ้ากำแพงเวทนี้ไปได้ยังไงกัน ไฟคงเผาทำลายมันไม่ได้แน่” เขาบ่นกับตัวเองแต่เจ้าปิศาจแคระกลับแสยะยิ้มกว้าง

“บูม!” มันพูดพร้อมกับกระโดดถอยหลังออกมาสองสามก้าวและกวักมือเรียกดาม่อนให้ทำตามมัน หัวหน้าโจรรีบถอยหลังออกมาจากอุโมงค์ที่พวกมันขุดไว้ทันทีโดยไม่ลืมที่จะจ้องมองไปยังเลปริคอนตัวที่อยู่ก้นหลุม เขาเห็นมันใช้ปลายเล็บอันแหลมคมปาดลงไปบนข้อมือทั้งสองข้าง เลือดสีเขียวเข้าไหลพุ่งทะลักออกมา มันสาดเลือด ของมันไปบนกำแพงเวทพร้อมกับพูดเสียงต่ำรัวเร็ว เลือดซึ่งเกาะอยู่บนกำแพงแข็งตัวและเปล่งประกายเรืองรองออกมา

เจ้าเลปริคอนเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าและร้องตำรามเสียงดังลั่น เมฆสีดำทะมึนเคลื่อนตัวมาจากทางด้านดินแดนแซฟเวจย์ มันหยุดลงตรงเขตแนวของกำแพง สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ภายในกลุ่มเมฆกลุ่มนั้น ฉับพลันบังเกิดเสียงพร่ำมนต์ดังสะท้อนก้องอยู่ในท้องนภา มันเป็นภาษาที่สั้น ห้วนและรัวเร็ว เลปริคอนที่อยู่ในอุโมงค์ยิ้มกว้างพร้อมกับกางกรงเล็บของมันออกและจิกลงไปบนกำแพงเต็มแรงตรงบริเวณลิ่มเลือดที่มันสาดเอาไว้ ปิศาจแคระอีกสองตัวซึ่งยืนอยู่บนปากหลุมกางแขนทั้งสองของมันและเงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งเสียงร้อง

“คอร์ฟคาคาร์ส!”

ดุจนามแห่งจอมมารนั้นคือเวทอันศักดิ์สิทธิ์ สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบอยู่ภายในเมฆาทะมึนผ่าเปรี้ยงลงมาบนพื้นดินตรงหลุมที่เลปริคอนขุดไว้ เสียงระเบิดดังกึกก้องจนพสุธาสั่นสะเทือน ดาม่อนและคนของเขาถึงกับเซถลาไปกับแรงสั่นไหว หลายคนหน้าซีดด้วยความตระหนก แต่สีหน้าของผู้นำเช่นดาม่อนกลับปรากฏเพียงแค่แววประหลาดใจขึ้นเท่านั้น เขารีบมองไปยังหลุมทันที

มีเพียงกลุ่มควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากภายใต้หลุมลึกนั้นโดยขนาดและความกว้างของมันยังคงเดิม หัวหน้าโจรรีบเดินเข้าไปดูโดยมีเลปริคอนอีกสองตัวเดินตามมาติดๆ พวกมันกระโดดโลดเต้นอย่างยินดีพร้อมกับปรบมือและร้องคำรามก่อนจะปีนกลับลงไปยังก้นหลุมอย่างรวดเร็ว

ดาม่อนชะโงกหน้าลงมองด้วยความอยากรู้ หัวใจของโจรใหญ่ถึงกับเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเห็นซากร่างไหม้เป็นตอตะโกของเลปริคอนตัวที่ไม่ยอมขึ้นมาจากหลุมเกาะติดแน่นอยู่บนเศษเลือดสีเขียวแห้งเกรอะกรังของมัน และเมื่อเจ้าปิศาจแคระเพื่อนของมันอีกสองตัวทุบลงไปบนซากนั้น เสียงปะทุก็ดังขึ้น ประกายไฟสีเขียวแตกกระจายออกมาจากซากไหม้ซากนั้นร่วงกราวลงสู่พื้นดินพร้อมกับเศษเลือดและร่างที่กรอบเกรียม

แสงวับแวมราวกระจกที่แตกเกลื่อนกลาดปะปนไปกับซากเลปริคอนส่องสะท้อนแสงไฟจากคบเพลิงซึ่งสมุนของดาม่อนนำมาถือไว้ เขาขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจจนเจ้าปิศาจแคระตนหนึ่งเงยหน้าขึ้นและทำท่าราวกับเรียกเขาให้ปีนลงไปยังก้นหลุมด้วยกัน หัวหน้าโจรจึงกระโดดลงไปทันที

“นี่มันอะไรกัน” เขาร้องถามเจ้าเลปริคอนตัวที่กวักมือเรียก เจ้านั่นส่งเสียงครืดคราดในลำคอลงท้ายด้วยคำว่า ‘กำแพง’ และชี้มือตรงไปข้างหน้า แม้จะเป็นกำแพงเวทที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่แสงสีฟ้าเรืองซึ่งปรากฏอยู่บนขอบที่แตกออกเป็นวงกว้างทำให้ดาม่อนรู้ในทันทีว่า เมื่อครู่คอร์ฟคาคาร์สได้ร่ายเวทอันทรงพลังของเขาผ่านมายังร่างของเลปริคอนตัวหนึ่งและทำลายกำแพงนั้นลงให้กลายเป็นช่องทะลุขนาดกว้างพอที่จะให้ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เช่นเขาเดินผ่านไปได้อย่างสบาย

ดาม่อนรีบหันไปทางเจ้าเลปริคอนที่ยังคงมีท่าทางลิงโลดใจและออกคำสั่งกับมันทันที

“รีบทำตามที่ท่านจอมมารสั่งโดยเร็ว อย่าได้มามัวแต่ยืนร้องเพลงอย่างดีใจ ไม่เช่นนั้นแล้วท่าน
คอร์ฟคาคาร์สอาจจะพิโรธพวกเจ้าได้”

ราวกับนามแห่งจอมปิศาจคือคำอันศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเลปริคอนที่เหลือหยุดอาการดีใจของมันลงในบัดดลและหันไปมุดผ่านรอยแตกของกำแพงเวท จากนั้นจึงเริ่มลงมือขุดดินเพื่อสร้างอุโมงค์อย่างรวดเร็วชนิดที่ดาม่อนเองยังนึกไม่ถึงเพราะเพียงชั่วพริบตา อุโมงค์อันเกิดจากฝีมือของเจ้าปิศาจแคระทั้งสองก็ยาวออกไปเกือบสิบห้าฟุต หนำซ้ำผนังโดยรอบยังแน่นหนาชนิดที่ไม่มีวันพังทลายลงมาได้แม้จะถูกแรงกระแทก

หัวหน้าโจรมองดูเลปริคอนชั่วครู่หนึ่งจึงปีนกลับขึ้นไปด้านบนและคัดเลือกสมุนฝีมือดีเพื่อติดตามเขาราวสิบคน ทั้งหมดกลับลงไปยังอุโมงค์อีกครั้ง โดยดาม่อนไม่ลืมที่จะหันหน้าไปสั่งการกับลูกน้องร่างใหญ่คนหนึ่งซึ่งยืนไม่ห่างจากตัวของเขานัก

“อันทรัสต์” เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หลังจากที่ข้าลงไปในอุโมงค์นั่นแล้ว เจ้าจงรอคอยอยู่รอบๆกำแพงเวทนี่โดยให้เจ้าผีดิบพวกนั้นยืนเป็นแถวหน้า เมื่อข้าสามารถทำลายน้ำพุนิรันดร์ลงได้แล้ว พลังของเหล่าจอมเวทที่คอยกำกับกำแพงแก้วนี้จะอ่อนแรงและสลายไป ให้เหล่าผีดิบบุกตะลุยเข้าไปอาณาจักรนี่ก่อนเพราะหลังแนวกำแพงนี้คือดินแดนของเหล่าจอมเวท รอบพระนครของพวกมันคือป่าแห่งมนตราอันเป็นที่อาศัยของสัตว์วิเศษและภูติต่างๆตลอดไปจนถึงพวกเอลฟ์ เจ้าไม่มีทางต่อกรกับชนเหล่านี้ได้ ปล่อยให้บริวารของจอมมารเป็นผู้จัดการ พวกเจ้าคอยเก็บกวาดพวกที่เหลืออีกที จงอย่าได้ประมาท อย่าได้ไปหลงกับภาพมายาที่เจ้าพวกผู้วิเศษนี้อาจจะเสกสร้างขึ้นเพื่อล่อลวงกิเลสของพวกเจ้า มันอาจจะนำความตายมาเยือนโดยที่เจ้าไม่ทันได้รู้ตัว และจงอย่าได้ใจอ่อนหรือละเลยต่อสิ่งมีชีวิตที่ดูอ่อนแอที่สุดเป็นอันขาด”

“หากข้าพบเด็กทารกหรือผู้พรหมจรรย์ล่ะ ท่านดาม่อน”

“ดินแดนแห่งนี้คือมาร์วัลลัส” ดาม่อนพูดเน้นคำ “ด้านในของพระนครไม่มีเด็กทารกหรือผู้อ่อนแอสำหรับจะนำกลับไปบรรณาการท่านจอมมารได้ ฆ่าทุกสิ่งให้หมดโดยไม่ต้องลังเล”

อันทรัสต์ผงกศีรษะรับคำสั่งของหัวหน้าและเดินกลับไปรวมกลุ่มกับพรรคพวกของเขา ดาม่อนจึงหมุนตัวและกระโดดลงไปในหลุมและเดินนำหน้าสมุนทั้งสิบห้าคนไปตามอุโมงค์ซึ่งทอดยาวไปภายใต้พื้นแผ่นดินแห่งมาร์วัลลัส หลังจากที่เดินตามกันไปอย่างเงียบๆได้ระยะหนึ่ง ลูกน้องของเขาจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

“เจ้าพวกจอมเวทนั่นไม่รู้หรือยังไงว่าจะโดนพวกเราบุกจากทางใต้ดิน”

“พวกนั้นคิดว่ากำแพงอาคมนั่นสามารถปกป้องคุ้มครองอาณาจักรมาร์วัลลัสของมันได้ ประการหนึ่ง” ดาม่อนตอบข้อสงสัยของลูกน้อง “และอีกประการหนึ่ง พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ มีเวทมนตร์คาถาที่แกร่งกล้าจนลืมนึกถึงการป้องกันตัวขั้นพื้นฐานไป พูดง่ายๆก็คือพวกมันประมาทนั่นเอง”

“เหลือเชื่อที่เจ้าจอมเวทพวกนี้กลับคิดอะไรได้ตื้นๆราวกับคนโง่” ลูกน้องคนนั้นพูดต่อ หัวหน้าโจรหัวเราะในลำคอ

“อย่างที่ข้าบอกเมื่อสักครู่ พวกมันประมาทและคิดว่าไม่มีชนใดในโลกมีพลังกล้าแกร่งพอจะอาจหาญมาต่อกรกับอาณาจักรของมัน และที่สำคัญ” เขามองหน้าลูกน้องของเขา “พลังของท่านจอมมารได้แทรกซึมผ่านแผ่นดินของมาร์วัลลัสมาตามอุโมงค์แห่งนี้พร้อมกับพวกเรา ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ของท่านช่วยบดบังตาทิพย์ของเหล่าจอมเวทข้างบนนั่นไม่ให้มองเห็นหรือรู้สึกถึงการมาของพวกเราได้”

“พลังของจอมมารช่างน่ากลัวนัก” ลูกน้องของเขาพูด เขารู้สึกสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพหัวใจที่ถูกฉีกกระชากออกจากร่างของเพื่อนโจรที่คิดไม่ซื่อกับคอร์ฟคาคาร์สจนต้องได้รับโทษก่อนออกเดินทางมา “ข้าไม่มีวันคิดทรยศหักหลังเขาเป็นอันขาด”

“เป็นความคิดที่ฉลาดมาก” ดาม่อนกล่าว เขาหยุดชะงักและยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้สมุนของเขาหยุดการเคลื่อนไหว “เจ้าเลปริคอนนั่นกำลังจะทำอะไรกัน”

เขาถามโดยที่สายตายังคงจับจ้องมองดูเจ้าปิศาจแคระสองตัวเบื้องหน้าไม่วางตา เจ้าตัวหนึ่งเงยหน้าขึ้นไปยังเบื้องบนส่วนอีกตัวหนึ่งกระโดดถอยหลังมารวมกลุ่มกับสมุนของดาม่อนพร้อมกับยกมือโบกไปมาราวกับจะห้ามมิให้พวกเขาเข้าไปในบริเวณที่เพื่อนของมันยืนอยู่ เจ้าผีแคระตัวที่แหงนหน้าเริ่มลงมือขุดดินเหนือหัวของมันอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่นานก็มีกระแสลมที่พัดกรรโชกลงมาจากช่องที่ถูกขุด ทำให้ดาม่อนรู้ได้ในทันทีว่าเขาได้มาถึงใจกลางของอาณาจักรมาร์วัลลัสแล้ว เสียงครางต่ำๆคล้ายกับเสียงพร่ำบทเวทมนต์ดังลอดมาตามทางในอุโมงค์

เพียงครั้งแรกที่ได้ยินหัวหน้าโจรก็รู้แล้วว่านั่นคือเสียงอันทรงพลังของคอร์ฟคาคาร์ส จอมมารกำลังร่ายเวทบางอย่างซึ่งตัวของเขาไม่อาจเข้าใจ สิ่งเดียวที่รู้ก็คือร่างเตี้ยแกร็นของเจ้าปิศาจตัวที่กำลังปีนขึ้นไปยังเบื้องบนนั้นเริ่มเกิดอาการสั่นสะท้าน เสียงร้องเอะอะดังอื้ออึงพร้อมกับเสียงฝีเท้าวิ่งพล่านอย่างตระหนกระคนสับสนดังวุ่นวายอยู่เหนือพื้นดิน แสดงให้รู้ว่าเหล่าจอมเวททั้งหลายได้พบกับเลปริคอนแล้ว และพวกผู้วิเศษคงจะลงมาสังหารพวกเขาจนหมดในอีกไม่ช้าอย่างแน่นอน ดาม่อนคิดอย่างกังวล

แต่ความวิตกทั้งหลายก็มลายหายไปเมื่อมีพลังงานบางอย่างพุ่งอัดลงมาตามช่องทางผ่านร่างของเหล่าโจรทั้งหลายที่ยืนอยู่ มันกระแทกไปยังร่างอันอัปลักษณ์ของเลปริคอนซึ่งเกาะนิ่งอยู่บนปากอุโมงค์ มันสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับแสยะยิ้ม กล้ามเนื้อทุกส่วนเต้นระริกและเริ่มปริแยกออกจากกัน เส้นเลือดภายในตัวของมันโป่งพองออกและเริ่มขยายตัวยาวยืดออกไปเรื่อยๆ จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นหนวดสีดำมะเมื่อมขนาดยักษ์หลายสิบเส้น ช่วงลำตัวของเจ้าเลปริคอนเลื่อนขึ้นไปสู่ด้านบนและขยายร่างออกกลายเป็นถุงก้อนเนื้อขนาดใหญ่ที่มีเขี้ยวขนาดมโหฬารเรียงกันเป็นตับอยู่ตรงส่วนกลาง เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นไม่ขาดระยะสลับกับเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องจนขนาดดินรอบๆผนังอุโมงค์ถึงกับร่วงพรู เลือดสีแดงเข้มไหลรินลงมาจากด้านบนลงมาส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง

แม้จะมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ดาม่อนก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าร่างสยองกลายพันธุ์ของเลปริคอนคงกำลังสุขสำราญอยู่กับการฉีกเนื้อทหารของเหล่าจอมเวทกิน เพราะเพียงไม่นานเสียงที่ดังวุ่นวายจากเบื้องบนก็สงบเงียบลง ดาม่อนเดินไปชะโงกดูที่ปลายอุโมงค์อย่างระมัดระวังก่อนเลื่อนสายตากลับมามองเจ้าเลปริคอนตัวที่เหลือ มันยิ้มกว้างพร้อมกับคำราม

“ตาย !”

หัวหน้าโจรพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนหันไปทางสมุนของเขาและเริ่มออกคำสั่ง

“พวกแกขึ้นไปข้างบนนั่น หาบ่อน้ำศักดิ์ให้พบโดยเร็ว อย่าได้พยายามบุกเข้าไปในวังของราชินีโดยที่งานยังไม่สำเร็จ แม้เจ้าเลปริคอนนี่จะกำจัดเหล่าทหารของพวกจอมเวทไปได้แต่อีกไม่นานพวกที่เก่งกาจกว่าก็จะมาถึง ห้ามต่อสู้กับพวกมันเป็นอันขาด สิ่งที่พวกแกทำได้ก็คือหนีกลับมายังอุโมงค์แห่งนี้เพราะมีเพียงที่นี่เท่านั้นที่พลังแห่งจอมมารจะคอยปกป้องพวกเรา เอวิล!”

เขาเรียกลูกน้องคนหนึ่งซึ่งดูปราดเปรียวและเฉลียวฉลาดพลางยื่นขวดแก้วผลึกสีดำสนิทส่งให้

“นี่เป็นเลือดของท่านจอมมาร จงเทมันลงไปในบ่อน้ำศักดิ์นั่นโดยไม่ต้องรอข้า จำไว้เสมอว่าอย่าได้หลงไปกับภาพมายาต่างๆที่เหล่าผู้มีเวทมนตร์นั่นสร้างขึ้น เอาล่ะไปกันได้แล้ว”

เหล่าลูกน้องของดาม่อนปีนป่ายขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ และเมื่อร่างสุดท้ายปีนหายขึ้นไป ดาม่อนจึงเลื่อนสายตาลงมามองเจ้าเลปริคอนที่กำลังมองมายังเขาอย่างสงสัย

“ข้าไม่ยอมเสียเวลามาวิ่งหาบ่อน้ำวิเศษนั่นให้เหนื่อยหรอก” เขาพูดกับเจ้าผีแคระ มันคำรามในลำคอราวกับถาม

“เจ้าพวกจอมเวทนั่นคงใช้ญาณติดตามพลังของท่านจอมมารที่บรรจุอยู่ในขวดแก้วนั่นได้ไม่ยากนัก ถ้าข้าถือมันเดินไปเดินมาในสวนคงถูกฆ่าตายทั้งที่ยังทำงานไม่สำเร็จ ไม่ต้องห่วงไปเจ้าผีเตี้ย ขวดที่ข้าให้เอวิลไปนั่นเป็นขวดเปล่า! เลือดอันทรงพลังของท่านจอมมารนั้นข้าได้ย้ายมาเก็บไว้ที่นี่แล้ว”

ดาม่อนชูถุงหนังใบเล็กในมือขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เจ้าเลปริคอนกระโดดไปมาพร้อมกับปรบมือด้วยความถูกอกถูกใจก่อนเริ่มปีนขึ้นไปด้านบน หัวหน้าโจรดึงมันเอาไว้และพูด

“ข้าไม่ไปทางนั้น” เขาจ้องหน้าเลปริคอนนิ่ง “ข้าคิดว่าแกคงรู้ที่ตั้งของบ่อน้ำวิเศษนั่น จงพาข้าไปยังต้นกำเนิดของมันจากทางใต้ดินนี่ เร็ว!”

เจ้าเลปริคอนผงกหัวอันใหญ่โตของมันอย่างเข้าใจและเริ่มลงมือขุดดินอย่างรวดเร็ว

ดาม่อนยิ้มในความมืดก่อนเดินตามร่างอุบาทว์นั่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปสิ้นสุดที่ผนังหิน เจ้าเลปริคอนหันมาทางดาม่อนพร้อมกับเคาะกำปั้นของมันลงไปสองสามครั้ง

“กำแพงหินอย่างนั้นหรือ” ดาม่อนถามพลางเดินไปเคาะผนังแล้วขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นอีกด้านหนึ่งน่าจะเป็นถ้ำ แล้วข้าจะผ่านมันเข้าไปได้ยังไงกัน”

เจ้าผีแคระแสยะยิ้มแทนคำตอบ มันโบกมือให้ดาม่อนถอยหลังออกไปแล้วหันไปที่ผนังพร้อมกับเงื้อมือของมันขึ้นและชกลงไปบนกำแพงหินสุดแรง

“ตึง !”

“ครืน...น...น !”

ผนังศิลาหนาพังทลายลงกลายเป็นช่องพอที่ร่างของดาม่อนจะลอดผ่านไปได้ เจ้าเลปริคอนรีบหันมากวักมือเรียกและพาร่างของมันมุดผ่านช่องแตกนั้นนำออกไปก่อน หัวหน้าโจรเดินตามไปอย่างระมัดระวัง เบื้องหน้าปรากฏแสงสีทองสุกอร่ามสว่างเจิดจ้าบาดตาจนหัวหน้าโจรต้องยกมือของเขาขึ้นป้องใบหน้าขณะเพ่งมอง

“นั่นอะไรน่ะ!” เขาถามเจ้าผีแคระ มันร้องคำรามในลำคอสองสามคำก่อนตอบด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ

“น้ำพุนิรันดร์”

ดาม่อนถึงกับเบิกตากว้างด้วยความสนเท่ห์ใจ เพราะความคิดของเขานั้นต้นกำเนิดของน้ำพุ
นิรันดร์คงเป็นลำธารใต้ดินสายเล็กๆที่ไหลผ่านชั้นหินขึ้นสู่เบื้องบน แต่สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้านั้นกลับเป็นเพียงแอ่งน้ำสีทองขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ น้ำในแอ่งนั้นเรียบใสแวววาวราวกับทองคำ

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ เพียงชั่วระยะเวลาหายใจสามครั้ง จะมีหยดน้ำหนึ่งหยดผุดลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำ หยาดสีทองจะลอยนิ่งอยู่กลางอากาศชั่วขณะหนึ่งก่อนเปล่งแสงเรืองรองออกมาจนทั่วทั้งอุโมงค์ใต้ดินสว่างจ้าหลังจากนั้นจึงลอยหายขึ้นไปบนเพดาน ดาม่อนเงยหน้ามองตามด้วยความอยากรู้และพบว่าเบื้องบนเหนือศีรษะของเขา มีช่องแสงขนาดเล็กช่องหนึ่ง หยดน้ำสีทองถูกดูดหายเข้าไปในช่องแสงนั้น หัวหน้าโจรจึงเข้าใจในทันทีว่า ด้านบนของอุโมงค์ที่เขากำลังยืนอยู่นี้คือที่ตั้งของน้ำพุนิรันดร์อันเป็นต้นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรมาร์วัลลัส

รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์จับอยู่บนริมฝีปากหนาที่มีเครารกครึ้ม ดาม่อนหยิบถุงหนังบรรจุโลหิตของจอมมารออกมาและเตรียมเปิดจุกออก แต่เจ้าเลปริคอนกลับร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกก่อนวิ่งออกไปข้างหน้าและแยกเขี้ยวคำราม ดาม่อนเงยหน้ามองตามทันที คิ้วดกหนาขมวดเข้าหากันอย่างฉงนเมื่อจู่ๆอากาศภายในอุโมงค์เริ่มเคลื่อนไหว มันเป่าฝุ่นละอองบนพื้นถ้ำให้หมุนวนวิ่งอยู่รอบๆตัวของเลปริคอน เสียงเจ้าผีแคระคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวพลางตวัดกรงเล็บของมันไปมาเข้าใส่ลมหมุนนั้น มีเพียงละอองธุลีเล็กน้อยเท่านั้นที่ฟุ้งกระจายออกมาตามแรง ดาม่อนรีบยัดถุงหนังของเขากลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อทันทีอย่างระมัดระวังก่อนร้องถาม

“เกิดอะไรขึ้น!”

เจ้าเลปริคอนหันมาแยกเขี้ยวใส่เขาแทนคำตอบและหันกลับไปจู่โจมลมหมุนซึ่งเริ่มรุนแรงขึ้นต่อ แล้วจู่ๆเจ้าลมหมุนนั้นก็ยกงวงของมันให้ลอยขึ้นไปในอากาศ เหนือร่างของเจ้าผีแคระ มันแหงนหน้าขึ้นมองตามพร้อมกับทำท่าตะเกียกตะกายคล้ายจะติดตาม

โดยไม่ทันได้คาดคิด เจ้าลมหมุนก็พุ่งตัวลงมาหาเลปริคอนที่ยืนไม่ระวังตัวด้านล่างอย่างรวดเร็ว ดาม่อนถึงกับอ้าปากค้างก่อนถอยหลังออกไปสองสามก้าวเมื่อเห็นร่างของเจ้าปิศาจแคระถูกดูดหายเข้าไปในลมหมุนนั้น เสียงร้องโหยหวนแหลมเล็กดังสะท้อนก้องไปทั่วอุโมงค์ ละอองเลือดสีเขียวเหม็นเน่าลอยฟุ้งกระจายพร้อมกับเศษชิ้นส่วนร่างของเลปริคอนซึ่งถูกแรงลมฉีกจนขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

หัวหน้าโจรยืนตกตะลึงมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้า สัญชาติญาณร้องบอกให้เขารีบคว้าถุงหนังออกมาและเปิดจุกไม้ออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับวิ่งตรงไปยังบ่อน้ำอันเป็นต้นกำเนิดของน้ำพุนิรันดร์ เสียงอื้ออึงของลมหมุนดังไล่ตามหลังมาติดๆ หัวหน้าโจรชูถุงหนังในมือขึ้นพร้อมกับโยนมันไปยังบ่อน้ำ แต่ส่วนงวงของลมหมุนยืดออกมาและคว้าถุงนั้นไว้ได้ ดาม่อนถึงกับล้มกลิ้งอยู่ริมปากบ่อพร้อมกับหันไปมองดูอย่างหวาดกลัวระคนเจ็บใจ

“เจ้าไม่มีทางนำเลือดของปิศาจชั่วใส่ลงไปในบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้สำเร็จหรอก เจ้าโจรป่า” เสียงทุ้มดังออกมาจากลมหมุนนั้น ดาม่อนมองดูอย่างแปลกใจแต่ไม่นึกตระหนกเมื่อเห็นใบหน้าของชายชราผู้หนึ่งลอยอยู่ใจกลางลมหมุนนั้น

“ข้าคือวายุผู้พิทักษ์บ่อน้ำนิรันดร์” ใบหน้านั้นพูดต่อแต่ดวงตายังคงจ้องแน่วนิ่งไปยังดาม่อนด้วยความประสงค์ร้าย “ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้มนุษย์หรือปิศาจหน้าไหนเข้าใกล้บ่อน้ำนั่นได้เป็นอันขาดทั้งที่มีชีวิต และตายไปแล้ว”

ดาม่อนพยายามยันตัวให้ลุกยืนขึ้น แต่ส่วนปลายของพายุหมุนตีเขาให้ลงไปนอนกองกับพื้นอีกครั้ง เขากัดฟันแน่นอย่างโกรธจัดเมื่อรู้สึกถึงพลังลมอันมหาศาลที่กำลังดึงแขนและขาของเขาราวกับจะแยกมันออกจากกัน เสียงชายชราในสายลมพูดด้วยน้ำเสียงชาเย็นไร้ความรู้สึก

“เจ้าจะต้องแหลกเป็นชิ้นเหมือนเจ้าเลปริคอนชั่วนั่น เจ้ามนุษย์! ความโอหังบังอาจของจอมปิศาจที่บงการเจ้าอยู่นั้นจะไม่สามารถปกป้องความตายให้กับบริวารของมันได้ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้!”

ใบหน้าของดาม่อนถึงกับบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวดเมื่อกระแสลมเพิ่มแรงดึงให้มากขึ้น เขารู้สึกถึงเส้นเอ็นทุกเส้นกำลังถูกดึงจนแทบจะขาดออกจากกัน ข้อต่อของแขนขาดังลั่นราวกับจะหลุดออกจากเบ้า หัวหน้าโจรเม้มปากของตนเองแน่น เขาพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดบิดพลิกตัวหันหน้าไปหาบ่อน้ำนิรันดร์ และพ่นของเหลวสีดำสนิทลงไปในบ่อน้ำนั้นอย่างแม่นยำ เสียงกรีดร้องอย่างโกรธแค้นดังออกมาจากลมหมุนนั้น ใบหน้าของอารักษ์ชราเต็มไปด้วยความตกใจอย่างที่สุด ดวงตาทั้งสองข้างเหลือกลานก่อนจะระร่ำระลักถาม

“เจ้า! นั่นเจ้าทำอะไลงไป เจ้ามนุษย์!”

แม้จะเจ็บปวดแต่ดาม่อนก็ยังยิ้มอย่างใจเย็น เขาถ่มน้ำลายที่มีของเหลวสีดำผสมอยู่เข้าใส่ลมหมุนนั้น มันแกว่งไหวสั่นกระเพื่อมไปมาราวกับน้ำ แรงที่กำลังฉุดฉีกร่างของเดม่อนอ่อนลง ร่างของหัวหน้าโจรร่วงตกลงไปนอนกองบนพื้น เขาร้องครางออกมาโดยที่ดวงตายังคงจ้องมองดูใบหน้าของชายชรากลางลมหมุนนิ่ง หากใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของมนุษย์ มันคงซีดขาวด้วยความประหวั่นอย่างที่สุด ละอองของเหลวสีดำที่ดาม่อนถ่มเข้าใส่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงร้องอย่างหวาดกลัวดังสะท้อนไปทั่วอุโมงค์

“เจ้าถ่มโลหิตจอมมารใส่ข้า สิ่งที่เจ้าทำนั้นเลวร้ายเหลือเกินเจ้ามนุษย์”

“งั้นเรอะ” ดาม่อนย้อนถามพร้อมกับหัวเราะ “ก็สมกันดีแล้วสำหรับสิ่งที่แกกำลังจะทำกับข้า เจ้าวายุ”

ใบหน้าในลมหมุนแหงนเงยขึ้นไปด้านบน หยดน้ำที่ผุดออกมาจากบ่อน้ำนิรันดร์ซึ่งบัดนี้แปรเปลี่ยนไปเป็นสีดำสนิทยิ่งกว่าความมืดกำลังพรั่งพรูแทรกเข้าไปในช่องแสง มันหายขึ้นไปทางด้านบน เสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวและตื่นตระหนกดังอื้ออึงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งสับสนไปมา

“เจ้าทำลายน้ำพุนิรันดร์ของพวกเรา” ชายชราพูดใบหน้าในลมหมุนจางลงทีละน้อยพร้อมกับกระแสลมที่อ่อนกำลังลง “อาณาจักรของเรากำลังจะพินาศลงแล้ว เจ้ามนุษย์”

สิ้นคำสุดท้าย ทั้งใบหน้าของชายชราและวายุหมุนก็แตกสลายหายไป ดาม่อนยืนนิ่งดูบ่อน้ำสีดำสนิทอยู่ครู่หนึ่งจึงหมุนตัวเดินผ่านช่องทะลุซึ่งเลปริคอนทำไว้และไต่ขึ้นไปด้านบนตามเส้นทางที่สมุนของเขาปีนขึ้นไป

ทันทีที่ร่างของเขาปรากฏขึ้น มืออันแข็งแรงของใครบางคนก็คว้าลำคอของเขาไว้และเหวี่ยงไปกระแทกกับต้นไม้ ร่างของหัวหน้าโจรไหลครูดทรุดกองกับพื้นดิน เจ้าของมือเดินตรงเข้ามาหาเขาอย่างประสงค์ร้าย

“แก!” เสียงร้องอย่างแค้นเคือง “แกทำลายน้ำพุนิรันดร์ของพวกเรา เจ้าโจรชั่ว อย่าอยู่เลย!”

มือแข็งกร้านเอื้อมไปที่ลำคอของดาม่อน แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสเสียง กร๊อบ! ก็ดังออกมาจากข้อมือของเขา เจ้าของร่างร้องอุทานเสียงดังพร้อมกับหดแขนกลับไป สีหน้าของเขาฉายความเจ็บปวดรวดร้าวและตื่นตระหนกเมื่อร่างกำยำลอยสูงขึ้น

“จงอย่าได้บังอาจมายุ่งกับบริวารของข้า”

เสียงทุ้มต่ำก้องกังวานดังขึ้น ทหารแห่งมาร์วัลลัสมองไปรอบๆด้วยดวงตาหวาดกลัวเมื่อพบว่าร่างของเขาถูกแขวนค้างอยู่กลางอากาศ เสียงร้องอย่างหวาดผวาและตกใจดังออกมาจากทหารผู้นั้นเมื่อร่างส่วนบนของเขาบิดไปด้านหนึ่งในขณะที่ส่วนท่อนขาถูกบิดไปในทิศทางตรงกันข้าม

ราวกับผืนผ้าที่ถูกบิด เสียงกระดูกแตกดังสนั่นไม่แพ้เสียงฉีกขาดของกล้ามเนื้อที่ฟังคล้ายฉีกผ้า เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักท่วมร่างจนแดงฉาน ทหารผู้นั้นส่งเสียงร้องราวกับคนสำลักน้ำสองสามครั้ง ร่างทั้งร่างสั่นระริกก่อนจะแน่นิ่งไป ซากที่ถูกบิดเป็นเกลียวร่วงลงสู่พื้นดินต่อหน้าทหารแห่งมาร์วัลลัสซึ่งยืนตะลึงจ้องมอง หลายคนถึงกับหน้าถอดสีในขณะที่อีกหลายคนเข่าอ่อนทรุดลง

ดาม่อนกวาดสายตามองไปรอบๆและลุกยืนขึ้น เขาเดินตรงไปยังบ่อน้ำพุที่ถูกสร้างอย่างวิจิตรกลางอุทยานของวังแห่งมาร์วัลลัสและมองดูของเหลวสีดำที่พวยพุ่งออกมา มันไหลไปรวมกันในอ่างใหญ่ก่อนจะล้นออกไปรวมกับบ่อน้ำขนาดย่อมและไหลออกไปนอกวังกลายเป็นแม่น้ำ ซึ่งไปบรรจบกับแม่น้ำริเวอร์ แม่น้ำใหญ่เพียงสายเดียวในอาณาจักรมาร์วัลลัส

จากแม่น้ำสีทองอร่ามเปล่งประกายงดงามเป็นลำน้ำสีดำสนิทยิ่งกว่าความมืดแห่งราตรีกาล เส้นทางที่มันไหลผ่านสร้างความพินาศย่อยยับให้กับสรรพชีวิตทุกชีวิตในอาณาจักรจอมเวทแห่งนี้ ต้นไม้ทั้งหลายที่ยื่นกิ่งรากออกไปในแม่น้ำล้วนแห้งเหี่ยว และเฉาตาย

สิ่งมีชีวิตในน้ำทุกชีวิตลอยฟ่อง บางชนิดแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์กลายไปเป็นสัตว์น้ำที่กระหายเลือด มันไล่กัดพวกเดียวกันอย่างดุร้าย เสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญดังทั่วอาณาจักร ยิ่งประกอบกับกองทัพผีดิบที่บุกตะลุยเข้ามาทางด้านหน้า มันสังหารและทำลายทุกอย่างที่ขวางทางจนไม่มีเหลือ

ชั่วเวลาเพียงครึ่งวัน อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และยืนยงมานานก็พังพินาศลง



*/*/*/*/*/*




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2554 9:25:51 น.
Counter : 355 Pageviews.

0 comment
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 1 ลมหายใจแห่งความตาย
ศาสตราแห่งเดราเนียร์

<1>

ลมหายใจแห่งความตาย

ในบรรดาผืนแผ่นดินบนโลกนี้ทั้งหมด ไม่มีแผ่นดินใดจะแห้งแล้งและกันดารเท่ากับแผ่นดินในดินแดนที่ถูกเรียกว่า แซฟเวจย์ ดินแดนซึ่งแม้แต่สัตว์เลื้อยคลานชั้นต่ำสุดไปจนถึงหนอนกินซากก็ยังไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้ เนื่องเพราะความร้อนอันเกิดจากดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงเจิดจ้าเกือบตลอดยี่สิบชั่วโมง มันร้อนจัดเสียจนแม้ก้อนเมฆก็ไม่อาจล่องลอยผ่านดินแดนนี้ไปได้เพราะมันจะแตกสลายไปในทันทีที่เคลื่อนเข้าไปใกล้เขตแดน นั่นเป็นเหตุให้ผืนแผ่นดินแห่งนี้ไร้ซึ่งสายฝนเฉกเช่นดินแดนอื่น ไอระเหยที่พุ่งขึ้นมาจากดินนั้นเป็นไอร้อนของหินละลายซึ่งเคลื่อนตัวอยู่อย่างเชื่องช้าลึกลงไปใต้ดิน

แอ่งน้ำที่มีปรากฏอยู่เพียงแห่งเดียวในใจกลางของอาณาจักรนั้นเล่า ก็ร้อนจัดจนเดือดเป็นไอและเต็มไปด้วยพิษของกำมะถันซึ่งส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปจนทั่ว มวลอากาศในดินแดนนี้นั้นก็ทั้งหนักและร้อนจัดซ้ำยังมีละอองไอพิษแทรกอยู่ในทุกอณู เพียงแค่สูดลมหายใจสองสามครั้งก็ทำให้หมดสติและตายในเวลาไม่นาน

ผู้คนในอาณาจักรที่ตั้งประชิดติดชายแดนแห่งแซฟเวจย์นี้ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายผ่านเข้ามาใกล้ จะมีก็เพียงเหล่าอาชญากรร้ายหรือนักโทษอุกฉกรรจ์รอการประหารเท่านั้นที่หลบหลีกซ่อนเร้นตัวอาศัยอยู่ตามหุบเขาอันมืดทะมึน เพราะชายแดนด้านหนึ่งของแซฟเวจย์ถูกกำหนดให้เป็นแดนเนรเทศและที่ประหารนักโทษ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะได้รับการปลิดชีวิตด้วยวิธีตัดหัวและโยนทิ้งไว้ที่นั่น ทำให้บริเวณนั้นเต็มไปด้วยซากอสุภที่มีแต่ลำตัวนอนกลิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ในหลุมตื้นๆซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไป

แม้แต่เพฌชฆาตที่ใจแข็งที่สุดยังอดกลืนน้ำลายของตัวเองอย่างฝืดคอไม่ได้เมื่อได้รับคำสั่งจากทางการให้นำนักโทษมาประหาร ณ ที่แห่งนี้

ผู้คนพากันเรียกสถานที่อันน่าสยองนี่ว่า ลอสเฮด

ส่วนหัวของนักโทษประหารนั้นจะถูกวางเรียงรายไว้เป็นชั้นเพื่อประจานความผิดและเป็น อุทาหรณ์เตือนใจผู้คน แม้จะไม่มีใครกล้าเดินทางเข้ามาดูก็ตามที เลือดซึ่งหลั่งออกมาจากบาดแผลของลำคอที่ถูกตัดขาดสะบั้นนั้นไหลรินไปรวมกันยังแอ่งดินตื้นๆแอ่งหนึ่งไม่ห่างไปจากลอสเฮดเท่าใดนัก

ทีละหยด

ทีละหยด

สั่งสมทุกๆวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี

จนเวลาผ่านเลยเนิ่นนานไปหลายสิบหลายร้อยปี เลือดที่ไหลมารวมกันนั้นกัดเซาะขอบผิวดินทีละน้อย จากแอ่งดินตื้นกลายเป็นหลุมลึกขึ้นจนในที่สุดมันก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นบ่อน้ำเล็กๆ หากแต่เป็นบ่อน้ำที่เต็มปรี่ไปด้วยเลือดข้นสีแดงเข้มจนเกือบเป็นสีดำและไม่มีวันแห้งเหือดหายไป กระแสลมจากลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเหล่านักโทษประหารพัดผ่านมาบนผิวน้ำโลหิตของบ่อนี้

เสียงก่นด่าและคำอาฆาตมาดร้ายของผู้ที่กำลังจะตายไหลเวียนมารวมกันอยู่ที่ก้นบึ้งของบ่อเลือด มันก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นอย่างช้าๆ ทีละน้อย ราวกับทารกที่สร้างร่างขึ้นในครรภ์ของมารดา ต่างกันตรงที่ว่าสิ่งที่ห่อหุ้มหล่อเลี้ยงตัวอ่อนนั้นหาใช่อาหารจากกระแสเลือดของผู้เป็นแม่ไม่ หากแต่เป็นเลือดที่เข้มข้นของเหล่าอาชญากรร้ายที่กลายเป็นนักโทษประหาร

ความเคียดแค้นชิงชัง ความผูกพยาบาทอาฆาต ความริษยารังเกียจ ความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้กลายเป็นอาหารเลี้ยงสิ่งมีชีวิตให้เติบโตขึ้นอย่างรอเวลาที่จะถือกำเนิดขึ้นมาสร้างความหายนะให้กับโลกที่มันเกลียดชัง

วันเวลาผันผ่านไปจนในที่สุดเวลาที่สิ่งมีชีวิตในหลุมเลือดนั้นรอคอยก็มาถึง เมื่อกระแสลมที่เคยพัดเอาความชุ่มชื้นจากทางด้านทิศตะวันตกไปยังดินแดนใกล้เคียงได้ผันแปรเปลี่ยนทิศและเคลื่อนเข้าสู่แผ่นดินแซฟเวจย์ที่ไม่เคยได้รับน้ำฝนมาเลยตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์นั้นถูกเมฆฝนสีเทาทะมึนบดบังจนไม่อาจฉายแสงทะลุลอดผ่านลงมาได้ พายุเริ่มพัดโหมกระหน่ำและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทั่วทั้งแซฟเวจย์เต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า สายอสุนีบาตฟาดลงบนผืนแผ่นดินที่แห้งแล้งจนระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่นนานนับชั่วโมง จนกระทั่ง

เปรี้ยง!!!!

เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้าอันเกิดจากสายฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดพุ่งลงไปยังหลุมเลือด ของเหลวสีแดงซึ่งบรรจุอยู่ภายในบ่อนั้นแตกกระจายลอยฟุ้งไปในอากาศย้อมรอบบริเวณนั้นให้เป็นสีแดงเข้ม จากนั้นสายฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาชะล้างเอาละอองเลือดที่เปื้อนเปรอะโดยรอบให้ละลายหายไป

น้ำอันเกิดจากน้ำฝนอันบริสุทธิ์และเย็นฉ่ำนั้นไหลผ่านสุสานส่วนหัวของเหล่านักโทษที่เน่าเหม็นจนแปรเปลี่ยนไปเป็นน้ำสีดำที่แสนขุ่นข้นและสาบสาง มันไหลไปรวมกันที่บ่อแทนที่เลือดซึ่งถูกสายฟ้าระเบิดจนแห้งไปและท่วมขังอยู่เช่นนั้น สิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในบ่อบิดกายไปมาและอ้าปากของมันกลืนเอาน้ำผสมเลือดเนื้อของมนุษย์เข้าไปในลำคอราวกับเป็นอาหารมื้อแรก

ความพึงพอใจในรสชาดที่ได้รับปลุกสัญญาณชีวิตให้บังเกิด แขนสองข้างที่เคยงองุ้มอยู่ข้างลำตัวยืดยื่นขึ้นไปเหนือหัวขณะที่ขาสองข้างเริ่มดันตัวให้ลอยขึ้นจากใต้น้ำ นิ้วมือซีดขาวและยาวเรียวนั้นคว้าจับที่ขอบบ่อซึ่งตอนนี้กลายสภาพเป็นโคลนอันเหนียวเหนอะและดึงร่างของมันให้โผล่ขึ้นจากน้ำที่เน่าเหม็นนั้น จมูกของมันบานพะเยิบพะยาบเมื่อสูดเอาอากาศเฮือกแรกเข้าไปจนเต็มปอด ดวงตาทั้งสองข้างเต้นกระตุกอยู่ภายใต้หนังตาที่ปิดสนิทก่อนกระพริบถี่ๆและลืมขึ้น ละอองน้ำฝนที่กระเซ็นเข้าไปในดวงตาสีแดงก่ำนั้นไม่ได้สร้างความระคายเคืองให้กับมันเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันกลับเบิกกว้างออกและมองฝ่าออกไปข้างหน้า

ร่างผอมสูงเปลือยเปล่าลุกยืนขึ้นและเดินไปยังหลุมซากอสุภซึ่งอยู่ไม่ไกล ซากไร้วิญญาณอันเน่าเหม็นสองสามซากถูกทิ้งไว้เหนือปากหลุม ร่างอันน่าสะพรึงคุกเข่าลงข้างซากนั้นก่อนก้มตัวลงไปแทะกินอสุภซากอย่างตะกละตะกราม สายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างรุนแรงซาเม็ดและหยุดลง ดวงอาทิตย์ที่อยู่ภายใต้เมฆสีเทาเคลื่อนโผล่พ้นออกมาอย่างรวดเร็ว แสงแดดอันร้อนแรงสาดส่องลงบนพื้นแผ่นดินราวกับขับไล่ความเปียกชื้นจากสายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนักเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านั้นให้แห้งหายไปจนกลายเป็นเพียงความฝัน น้ำฝนที่ขังอยู่ในแอ่งหรือหลุมดินระเหยเหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว

เพียงชั่วไม่นานความชุ่มชื้นที่แผ่นดินแห่งแซฟเวจย์ได้รับก็กลับกลายเป็นอดีต ผิวดินเริ่มแห้งและแตกระแหงอีกครั้ง ฝุ่นละอองจากความแห้งแล้งเริ่มถูกสายลมร้อนพัดให้ฟุ้งตลบไปจนทั่วในอากาศเช่นดังเดิม แต่ดูเหมือนความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้รับความสนใจจากร่างที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้เลย มันก้มหน้าก้มตากินอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายจนกระทั่งซากนั้นเหลือแต่กองกระดูกที่ขาวโพลน ร่างนั้นจึงได้เงยหน้าขึ้น มันมองดูสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวจากนั้นจึงยันกายให้ลุกยืนตัวตรง

แสงแดดที่ร้อนแรงเริ่มแผดเผาร่างเปล่าเปลือยขาวซีดของมัน เจ้าของร่างนั้นจึงเดินไปกระชากเสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่าออกมาจากศพที่นอนตายอยู่รายรอบมาสวมใส่ ดวงตาที่เริ่มคุ้นกับแสงสว่างเพ่งฝ่าไอร้อนซึ่งกำลังเต้นระริกอยู่ในอากาศ และจ้องไกลออกไป ไกลออกไปจนถึงอาณาจักรอื่นเสียงกระซิบแผ่วเบาจากเหล่าวิญญาณของนักโทษประหารและอาชญากรร้ายกำลังบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้มันฟังจากภายในร่างกาย

มันดังเซ็งแซ่ดุจคนหลายคนที่แย่งกันพูด ร่างนั้นสั่นเทิ้มระรัวก่อนแผดเสียงตะโกนออกมาดังก้อง

“เงียบ!”

เสียงทั้งหลายเงียบลงไปในฉับพลัน เสียงหัวเราะกระหึ่มต่ำทุ้มดังออกมาจากลำคอของร่างนั้นแทน

“มาร์วัลลัส มอร์เซล แซฟวี สามอาณาจักรที่แสนสมบูรณ์และสงบสุข”

ดวงตาสีแดงก่ำดังเลือดเพ่งจ้องมองตรงออกไปด้านหน้ารอยยิ้มที่แสนชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ซีดขาวขณะที่มือสองข้างกำแน่น

“สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นอดีตในอีกไม่ช้านี้ เพราะข้าจะทำลายมันให้ราบคาบ ความหวาดกลัวจะเข้าครอบงำทุกจิตใจของผู้คน ความตายจะเคลื่อนเข้าไปเยี่ยมเยือนทุกๆดินแดน”

อมุนษย์ตนนั้นเงยหน้าขึ้นและเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ มันสั่นสะเทือนทั่วลอสเฮดจนแท่นประหารนั้นถึงกับพังครืนลงมา ปิศาจร้ายในร่างเกือบเหมือนมนุษย์เดินไปยังหลุมที่มีร่างไร้หัวของเหล่านักโทษประหาร เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มรัวเร็ว ซากร่างซึ่งนอนระเกะระกะขยับเคลื่อนไหวและยืนขึ้นทีละร่าง พวกมันต่างพากันก้มลงหยิบหัวที่ถูกทิ้งกลิ้งอยู่บนพื้นและวางไว้บนลำคออันว่างเปล่าของมันโดยไม่กำหนดว่าจะเป็นหัวจากร่างของใคร

อสูรกายเหล่านั้นเดินโงนเงนไปหยุดยืนรายล้อมผู้ที่ปลุกพวกมันขึ้นมาราวกับรอฟังคำสั่ง เขามองดูผลงานของตัวเองอย่างพึงพอใจ และพูดขึ้นด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ

“จงไปยังดินแดนมาร์วัลลัสอันเป็นที่อาศัยของเหล่าผู้ทรงเวท ทำลายกำแพงอาคมของพวกมันให้พินาศเพื่อพลังของข้าจะได้เข้าไปสร้างความหายนะให้กับพวกมัน”

เสียงครางฮือดังออกมาจากปากที่ขาดห้อยรุ่งริ่งของเหล่าซากผีดิบ พวกมันหมุนตัวและเดินมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรมาร์วัลลัสซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเพื่อทำตามคำสั่งที่ได้รับจากนายของมัน

เจ้าอสูรร้ายเดินไปหยุดยืนเหนือปากบ่อที่ได้ให้กำเนิดมันแล้วก้มตัวลงหยิบก้อนดินสีดำสนิทขึ้นมา มันเป่าลมหายใจอันร้อนราวกับเปลวเพลิงลงไปก่อนโยนลงบนพื้น ดินก้อนนั้นเริ่มเคลื่อนไหวราวกับมีมีชีวิตและขยายตัวเติบโตขึ้นจนมีรูปร่างคล้ายมนุษย์หากแต่ว่ามีขนาดใหญ่โตกว่าเท่าตัว ดวงตาปูดโปนเหลือกถลนกลอกกลิ้งไปมาและหยุดไว้ตรงร่างของผู้สร้างมันขึ้นมา จอมปิศาจชี้นิ้วไปที่มันก่อนสั่ง

“จงไปยังมอร์เซลและนำมนุษย์เป็นๆมาให้ข้า จะเป็นการดีอย่างยิ่งหากมนุษย์นั้นเป็นเด็กเล็กๆที่ยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ข้าต้องการนำพวกมันมาสูบกินวิญญาณและเลือดเนื้อเพื่อเพิ่มพลัง สังหารพวกที่ไร้ประโยชน์ให้หมด โกเล็ม!”

โกเล็มร้องคำรามเสียงต่ำราวกับตอบรับคำสั่งของนายก่อนเดินมุ่งหน้าไปยังมอร์เซล อาณาจักรของเหล่ามนุษย์ซึ่งตั้งทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของแซฟเวจย์ จอมมารร้ายยิ้มให้กับตัวเองอย่างพอใจก่อนมุ่งหน้าไปยังใจกลางแห่งอาณาจักรซึ่งเป็นพื้นที่ราบแห้งแล้งขนาดใหญ่ เขาสำรวจรอบๆบริเวณอย่างละเอียดก่อนจะกระทืบเท้าลงบนพื้นดิน มันยุบตัวลงไปในขณะที่ใจกลางนั้นถูกดันให้สูงขึ้นกลายเป็นภูเขาหินขนาดย่อม

แผ่นดินที่ยุบตัวลงไปนั้นขยายวงโอบล้อมโดยรอบภูเขา หินละลายไหลทะลักขึ้นมาจากใต้พื้นดินและท่วมจนเต็มแอ่ง มันกลายเป็นทะเลสาบลาวาล้อมภูเขาราวกับเป็นปราการ จอมปิศาจลอยตัวขึ้นข้ามทะเลเดือดและเริ่มเปล่งเสียงของเขาออกมา มันมีระดับทุ้มต่ำมากจนสร้างคลื่นอากาศที่มีพลังอันมหาศาลกระแทกไปยังภูเขาหินจนทำให้เกิดการปริแตกออกจากกัน แท่งหินขนาดมหึมาถูกดันขึ้นมาจากใจกลางของภูเขานั้นและสูงชะลูดขึ้นไปในอากาศราวกับหอคอย จอมมารร้ายลอยตัวไปที่นั่นก่อนจะเริ่มลงมือสร้างปราสาทของเขาด้วยพลังแห่งความมืดที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอย่างรวดเร็ว

โกเล็มเดินตรงเข้ามาในห้องโถงขนาดใหญ่ภายในปราสาทศิลาของจอมปิศาจร้ายซึ่งสร้างจนเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ภายในเวลาเพียงแค่สองวัน ในมือของมันถือเชือกที่มัดโยงร่างของหนุ่มสาวแรกรุ่นที่มันจับมาจากชายแดนของอาณาจักมอร์เซลเจ็ดถึงแปดคน จอมปิศาจซึ่งนั่งอย่างสง่าอยู่บนเก้าอี้หินมองดูเหยื่อของเขาที่กำลังยืนตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวบางคนนั้นถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันทีเมื่อเห็นร่างสยองบนเก้าอี้สูงนั้น รอยยิ้มอันน่าขนลุกปรากฏบนริมฝีปากสีซีดเผยให้เห็นคมเขี้ยวแหลมคมเรียงกันเป็นแถวอยู่ภายในนั้น

“เจ้าทำได้ดีมาก โกเล็ม” จอมมารร้ายพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความพึงพอใจก่อนลุกขึ้นเดินตรงไปยังเด็กชายที่อยู่ใกล้ที่สุด มือผอมเกร็งแต่แข็งแรงคว้าไปที่ลำคอของเด็กเคราะห์ร้ายคนนั้นและออกแรงบีบเค้นอย่างแรง

ร่างนั้นพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต พร้อมกับเปล่งกรีดเสียงร้องซึ่งดังอึกอักอยู่ภายในลำคอ ดวงตาสองข้างเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด ใบหน้าที่ในตอนแรกนั้นซีดขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหลุดออกจากร่าง จอมอสูรร้าย กระชากร่างนั้นเข้าหาตัวและก้มหน้าลงไปดูดกลืนดวงวิญญาณที่กำลังหลุดออกจากร่างของเด็กหนุ่มออกมาทางริมฝีปาก ก่อนคลายกรงเล็บออกและอ้าปากฝังคมเขี้ยวขย้ำลงไปบนลำคอของเขาราวกับสัตว์ป่า เลือดสีแดงฉานสาดกระจายไปทั่วส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนจนทำให้เหยื่อที่เหลือถึงกับทรุดตัวนั่งกองกับพื้นและร้องไห้ออกมาดังๆ

จอมปิศาจเงยหน้าขึ้นมาจากลำคอที่เหวอะหวะของเด็กคนนั้นและยิ้มกว้างให้กับเหยื่อของมัน มันเป็นรอยยิ้มที่สร้างความหวาดผวาอย่างร้ายกาจให้กับพวกเขา

“ไม่ต้องกลัว นี่เป็นเพียงแค่อาหารเช้ามื้อแรกของข้าเท่านั้น พวกเจ้าจะได้เป็นอาหารมื้อต่อๆไปอย่างแน่นอน”

จอมมารร้ายพูดด้วยน้ำเสียงดังกระหึ่มก่อนจะก้มหน้าลงไปฉีกกระชากเนื้อของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายกินต่ออย่างไม่สนใจพวกที่เหลือ และโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้เป็นนาย โกเล็มฉุดกระชากลากร่างของเหยื่อให้ลุกขึ้นและนำไปขังรวมกันไว้ในห้องใต้ดินของปราสาท

หลังจากที่ได้เสพสำราญกับร่างของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายจนอิ่มหนำแล้ว จอมมารผู้กระหายเลือดจึงโยนซากเหลือเดนลงไปให้ฝูงปิศาจที่เขาได้สร้างขึ้นซึ่งรวมตัวกันอยู่ด้านนอกของปราสาท เสียงคำรามฉีกทึ้งกระชากดังขึ้นทันทีราวกับพวกมันกำลังแย่งกินเศษอาหาร จอมปิศาจปาดเลือดที่ไหลย้อยบนริมฝีปากตนก่อนหันไปทางหน้าประตูทางเข้า ร่างที่เน่าเปื่อยและน่าสยดสยองของผีดิบหลายตัวเดินโซเซเข้ามาพร้อมกับร่างของชายฉกรรจ์สองสามคน

จอมปิศาจมองดูคนเหล่านั้นด้วย สายตาที่เย็นชาและแน่วนิ่ง ชายฉกรรจ์เหล่านั้นมองหน้ากันและทำท่าเกี่ยงกันไปมาจนฝ่ายจอมปิศาจรู้สึกรำคาญจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกร้าว

“พวกแกมาที่นี่ทำไม!”

น้ำเสียงของมันสร้างความหวาดผวาให้กับชายทั้งสี่จนพวกเขาถึงกับเข่าอ่อนและทรุดนั่งลงไปบนพื้น จอมปิศาจมองดูพวกเขาด้วยสายตารังเกียจเหยียดหยามก่อนจะพูดกับเหล่าบริวารผีดิบ

“เอาพวกมันไปให้สัตว์เลี้ยงของข้ากินซะ และคราวต่อไปอย่าได้เอาไอ้พวกแก่เกินแกงหรือพวกสกปรกโสโครกเข้ามาในปราสาทของข้าอีก!”

”ได้โปรดอย่าได้ทำอย่างนั้นกับพวกข้าเลยท่านจอมปิศาจ”

ชายคนหนึ่งพูดขึ้นทันที จอมมารร้ายมองดูมันแล้วแสยะยิ้ม

“บอกเหตุผลดีๆให้ข้าฟังสักข้อสิว่าทำไมข้าจะต้องทำตามคำที่พวกแกขอด้วย”

“พวกเราเป็นนักโทษที่หลบหนีการจับกุมของทางการ” เจ้าคนนั้นเริ่มอธิบาย มันย่อตัวลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาวาววับของอีกฝ่ายก่อนรีบพูดต่อรัวเร็ว

“ตัวข้าเป็นหัวหน้าโจรที่มีกำลังพลมากกว่าสองร้อย พวกข้าได้ยินมาว่าท่านคือผู้ปกครองอาณาจักรแซฟเวจย์แห่งนี้จึงได้รีบเข้ามาหาท่านเพื่อขอสวามิภักดิ์และยอมทำตามทุกๆอย่างที่ท่านต้องการ”

จอมมารร้ายส่งเสียงคำรามออกมาสองสามคำ สมุนผีดิบของมันครางตอบ รอยยิ้มที่ไม่น่าดูผุดขึ้นบนใบหน้าที่ขาวซีด

“บริวารของข้าบอกว่าพวกแกลงจากหุบเขาซึ่งเป็นที่ซ่อนตรงเข้ากลุ้มรุมทำร้ายและเผาทำลายพวกมันไปหลายตัว กว่าเหล่าบริวารที่น่ารักของข้าจะสามารถสังหารพวกมนุษย์อย่างแกและลากคอกลับมาหาข้าได้ก็เกือบจะย่ำแย่เหมือนกัน แล้วไหนบอกมาซิว่า พวกแกต้องการที่จะมาสวามิภักดิ์กับข้าตรงไหน!”

ประโยคสุดท้ายของจอมปิศาจดังลั่นจนก้องกังวานไปทั่วห้อง เหล่าชายฉกรรจ์ถึงกับผวาก้มตัวลงหมอบกราบผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์เบื้องหน้า ชายคนเดิมถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งก่อนตอบเสียงสั่น

“ตอนแรกพวกข้าไม่ทราบว่าเหล่าผีดิบพวกนี้คือบริวารของท่าน จนกระทั่งพวกมันนำพวกข้ามาถึงที่ปราสาทแห่งนี้ พวกข้าจึงได้รู้แจ้งทันทีว่าท่านคือจอมมารผู้ยิ่งใหญ่และเก่งกาจที่สุดจนแม้แต่พวกมาร์วัลลัสก็คงไม่มีทางเทียบชั้นได้”

จอมปิศาจถึงกับแสยะยิ้มอย่างถูกใจเมื่อได้ยินคำพูดเยินยอจากอีกฝ่าย เขาลุกขึ้นและเดินลงมาจากบัลลังก์ด้วยท่าทางยะโสก่อนจะพูด

“แกนี่มีคารมคมคายดีเหลือเกิน ข้าคงเสียดายมากถ้าโยนแกไปเป็นอาหารให้กับเหล่าลูกน้องที่น่ารักของข้า” จอมมารก้มตัวลงจนใบหน้าของเขาแทบจะชิดติดกับใบหน้าของชายผู้นั้นแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำที่น่าสะพรึง

“ข้าจะให้โอกาสแก เจ้ามนุษย์ จงสาบานว่าจะสวามิภักดิ์ต่อข้า และจะทำตามคำสั่งของข้าทุกๆอย่างโดยไม่มีข้อโต้แย้ง บางทีข้าอาจจะละเว้นพวกแกไว้หลังจากที่ทำลายทุกชีวิตในโลกนี้จนหมดสิ้นไปแล้ว”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นรีบทรุดตัวนั่งลงกับพื้นและหยิบชายผ้าคลุมของจอมปิศาจขึ้นมาจุมพิตพร้อมกับกล่าวด้วยท่าทางหวาดกลัว

“ข้า ดาม่อนขอสาบานว่าจะมอบความจงรักภักดีให้กับท่านเพียงผู้เดียว”

“หากเมื่อใดแกตระบัดสัตย์ต่อคำสาบานนี้ ร่างของแกจะถูกสับเป็นร้อยชิ้นและโยนให้เหล่าแร้งกาข้างนอกนั่นกินเป็นอาหาร ส่วนวิญญาณของแกนั้นจะถูกจองจำในความมืดไปจนตลอดกาล” จอมมารกล่าวต่อในทันที

ดาม่อนก้มตัวลงเอาหน้าแนบกับพื้นและพูดตามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงหนักแน่น จอมปิศาจยิ้มอย่างพอใจก่อนดึงชายผ้าคลุมของเขาออกมาจากมือของเดม่อน แววตาที่ลุกโชติช่วงราวกับเปลวเพลิงกวาดมองไล่เหล่ามนุษย์ซึ่งเป็นลูกน้องของดาม่อนไปทีละคน พวกเขาต่างพากันนั่งลงและหมอบราบลงกับพื้นพร้อมกัน

เจ้าแห่งความตายหัวเราะในลำคออย่างถูกใจและหมุนตัวเดินกลับไปนั่งบนบัลลังก์ของเขาเช่นเดิม

“คำสั่งแรกที่พวกแกต้องทำก็คือ จงออกไปรวบรวมเหล่ามนุษย์ที่ต้องการสวามิภักดิ์ต่อข้ามาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากผู้ใดขัดขืนหรือต่อต้าน จงสังหารมันเสียไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นหญิงหรือชาย เว้นไว้แต่เด็กที่เพิ่งเข้าสู่วัยแรกรุ่นและยังบริสุทธิ์ นำพวกมันกลับมาให้ข้าแบบเป็นๆโดยปราศจากริ้วรอยใดบนร่างกายของพวกมัน จงไปได้แล้ว ดาม่อน”

ดาม่อนและสมุนของเขารีบก้มตัวลงรับคำสั่งของจอมปิศาจก่อนจะลนลานออกจากปราสาทไปอย่างรวดเร็ว ผีดิบตนหนึ่งส่งเสียงครางออกมา จอมมารกระตุกยิ้มก่อนเอ่ยตอบบริวารของเขา

“ข้าไม่เคยไว้ใจเหล่ามนุษย์พวกนั้น แต่พวกมันก็คือคนที่ข้าสามารถสร้างประโยชน์ได้ดีที่สุด เพราะคนชั่วนั้นยินดีจะทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ชีวิตของมันยืนยาวต่อไป แม้สิ่งที่พวกมันกระทำลงไปนั้นคือการหักหลังเผ่าพันธุ์หรือพวกพ้องของตัวเองก็ตาม”

*/*/*/*/*







Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 18:53:12 น.
Counter : 431 Pageviews.

2 comment
1  2  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี