ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 5 จอมเวทแห่งความเที่ยงธรรม
<5>

จอมเวทแห่งความเที่ยงธรรม

เดฟล่อนชาวไร่ผู้หนึ่งแห่งอาณาจักรมอร์เซลยืดตัวขึ้นและบิดไปมาราวกับต้องการขับไล่ความเมื่อยล้าหลังจากที่ต้องก้มๆเงยๆเพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ผักของเขาในไร่ ชายวัยกลางคนเพ่งสายตามองฝ่าไอแดดที่ร้อนจนแลเห็นเป็นไอเต้นระริกในอากาศแล้วถอนหายใจหนักๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง เสียงเล็กๆดังขึ้นข้างตัวดึงความสนใจของเขาให้กลับมา เดฟล่อนก้มหน้าลงมองดูลูกสาวตัวน้อยวัยสิบขวบที่กำลังยืนถือถุงหนังบรรจุน้ำมองดูเขาอยู่

“พ่อกำลังมองดูอะไรอยู่เหรอ” เธอถามด้วยความอยากรู้ เดฟล่อนยิ้มก่อนยกมืออันสากหนาของเขาลูบศีรษะของเธอและรับถุงน้ำมาดื่ม

“พ่อกำลังมองดูเมฆอยู่น่ะลินช์” เขาปาดน้ำที่ริมฝีปากและส่งถุงหนังคืนให้กับลินช์บุตรสาว เธอขมวดคิ้ว

“ลูกไม่เห็นมีเมฆสักก้อน” เธอพูด “ไม่เห็นเลยตั้งหลายอาทิตย์แล้วด้วยซ้ำ พวกเมฆหนีไปที่ไหนกันหมดหรือคะ”

เดฟล่อนมีสีหน้ายุ่งยากใจเมื่อได้ยินคำถามที่ไร้เดียงสาของลูกสาว เขาถอนหายใจก่อนตอบเธอ

“พ่อเองก็อยากจะรู้เหมือนกันลูกว่าพวกเมฆหายไปไหนกันหมด” เขาเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าอีกครั้ง

“มันหายไปหมดมาเกือบเดือนแล้ว ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้อยู่อีกต่อไปแล้วล่ะก็ พวกเราคงจะถูกแดดเผาหรือไม่ก็อดน้ำจนตายแน่”

“ทำไมเราไม่ไปขอให้พระราชาช่วยล่ะคะ” ลินช์ถามต่อ เดฟล่อนส่ายหน้าไปมา

“พระราชาทรงมีเรื่องที่จะต้องทำมากมาย พ่อคิดว่าไม่เพียงแค่ไร่ของเราเท่านั้นที่แห้งแล้งและขาดน้ำ แต่ทั่วทั้งมอร์เซลคงจะเจอปัญหาแบบเราเหมือนกัน”

“ลูกไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอยู่ๆเมืองของเราถึงได้ร้อนขึ้นมาจนถึงขนาดนี้ได้” ลินช์บ่นขณะที่เดินนำหน้าพ่อของเธอกลับบ้าน เดฟล่อนมีสีหน้าครุ่นคิด

“พ่อเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน” เขาพึมพำ

*-*-*-*

พระราชาแห่งมอร์เซลทรงทอดพระเนตรผ่านช่องหน้าต่างออกไปด้านนอกด้วยพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและครุ่นคิดก่อนเลื่อนกลับมามองเหล่าเสนาบดีที่ยืนรายล้อมอยู่เบื้องหลังพระองค์และตรัสถาม

“มวลอากาศร้อนผ่านเข้ามาที่มอร์เซลนานเท่าใดแล้ว”

“ราวสามสิบสองวันได้พระองค์” เสนาบดีผู้หนึ่งกล่าวตอบ พระราชาทรงขมวดคิ้ว

“สามสิบสองวัน เพียงแค่สามสิบสองวันเท่านั้นอาณาจักรของเรายังแห้งแล้งได้ถึงขนาดนี้ หากเนิ่นนานต่อไปมิเหลือเพียงแค่ฝุ่นผงทรายเท่านั้นหรือ” ทรงหันไปยังเสนาบดีร่างสูงที่มีสีหน้าเคร่งขรึมก่อนตรัส

“คงต้องขอความช่วยเหลือจากราชินีแห่งอาณาจักรมาร์วัลลัส เวทมนต์ของพระนางคงช่วยเหลือเราได้ หรือท่านคิดว่าอย่างไร ท่านฮอร์นเนส”

“ข้าพระองค์ได้ยินมาว่าทางด้านมาร์วัลลัสเองก็ประสพปัญหาหนักเช่นเดียวกัน” เสนาบดีฮอร์นเนสตอบด้วยท่าทางเคร่งเครียด พระราชาทรงเบิกเนตรกว้างอย่างพิศวง

“อย่างมาร์วัลลัส ดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้วิเศษน่ะหรือกำลังเผชิญปัญหา” พระองค์หันไปทางเสนาบดีของพระองค์แล้วตรัสถามอย่างสงสัย

“มีปัญหาใดที่เหล่าผู้วิเศษนั้นแก้ไขด้วยเวทของเขามิได้”

“ปัญหาเช่นเดียวกันกับพวกเราฝ่าบาท” ฮอร์นเนสตอบ “ดูเหมือนคลื่นแห่งความร้อนนั้นได้แผ่ขยายไปจนทั่วทุกหนทุกแห่ง เท่าที่ข้าพระองค์ได้ทราบมานั้น ทั่วทุกผืนแผ่นดินแห่งอาณาจักรทั้งสามต่างร้อนระอุและแห้งแล้งราวกับทะเลทราย แหล่งน้ำที่มีอยู่นั้นต่างแห้งเหือดไปจนเกือบหมดสิ้น เหลือเพียงแม่น้ำสวิฟท์เท่านั้นที่ยังคงพอมีน้ำไหลอย่างอ่อนๆแต่ตื้นเขิน และอีกไม่นานมันคงแห้งผากไปเช่นเดียวกัน”

พระราชาทรงทรุดวรกายลงนั่งอย่างอ่อนแรงพลางยกหัตถ์ขึ้นกุมเศียร

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมจู่ๆทุกดินแดนจึงเกิดอาเพศเช่นนี้”

เหล่าเสนาบดีต่างมองหน้ากันไปมาด้วยจนปัญญาในคำถามขององค์กษัตริย์ โซลย์แม่ทัพแห่งมอร์เซลจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวานตามนิสัยอันองอาจ

“ข้าพระองค์ได้ยินข่าวบางอย่างจากเหล่านักเดินทาง”

พระราชาทรงลดหัตถ์ลงและจ้องมองดูนายทัพของพระองค์ก่อนตรัสถาม

“ข่าวอะไรกัน มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พวกนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ”

“ข้าพระองค์ไม่แน่ใจ” โซลย์ตอบเสียงห้าว “แต่เหล่านักเดินทางกลุ่มนี้ออกร่อนเร่ไปมาทั่วทุกอาณาจักร พวกเขามีหูตาที่กว้างไกลกว่าพวกเรานัก”

“ข่าวที่ว่านั่นคืออะไรกันท่านโซลย์” ฮอร์นเนสเอ่ยถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ โซลย์ก้มศีรษะให้กับราชาของเขาก่อนตอบ

“ข่าวเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความชั่วร้ายแซฟเวจย์”

เหล่าเสนาบดีและข้าราชบริพารในท้องพระโรงต่างพากันมองหน้าไปมาด้วยความแปลกใจและไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งได้รับฟังจากนายทัพแห่งมอร์เซล หนึ่งในจำนวนนั้นถามขึ้น

“เราไม่เคยได้ยินชื่ออาณาจักรนี้มาก่อน สงสัยข่าวของท่านจะเป็นข่าวเหลวไหลเสียมากกว่า ท่านโซลย์”

แม่ทัพใหญ่มีสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย เขามองหน้าผู้ส่งคำถามก่อนเลื่อนสายตาไปทางพระราชาของเขา

“อาณาจักรนี้เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อไม่นาน มันได้หล่อหลอมและรวมเอาเหล่าบรรดาผีร้าย อาชญากร ความชั่วร้ายเลวทรามต่างๆทั้งโลกนี้เข้าด้วยกัน พลังของมันนั้นได้แผ่ขยายออกมาอย่างต่อเนื่องในรูปของความร้อนและความแห้งแล้งอย่างที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ ข่าวที่น่าตระหนกมากไปกว่านั้นก็คือ ราชาผู้ปกครองแซฟเวจย์คือจอมปิศาจถือกำเนิดมาจากกองเลือดของเหล่าอาชญากรแสนชั่วช้าที่ถูกประหารในลอสเฮด”

“แล้วเหตุใดทางมาร์วัลลัสและแซฟวีจึงมิได้แจ้งเรื่องราวเหล่านั้นให้ทางเราได้รับรู้” พระราชาทรงตรัสถาม โซลย์คำนับพระองค์ก่อนจะตอบ

“เพราะพวกเขาเองก็ไม่รู้เรื่องราวของอาณาจักรแซฟเวจย์นี่เหมือนกัน”

“ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน” พระราชาทรงรำพึง “หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาณาจักรของเราคงแห้งแล้ง ประชาชนคงจะต้องอดตายไปจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน”

ในขณะที่องค์ราชาแห่งมอร์เซลและเหล่าเสนาบดีกำลังปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ภายในท้องพระโรงนั้น ทหารรักษาการณ์นายหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับค้อมกายลงคำนับก่อนรายงาน

“ข้าแต่องค์ราชา บัดนี้มีผู้เดินสารด่วนจากมอร์วัลลัสมาขอเข้าเผ้าพระองค์”

“จงรีบเชิญเขาให้เข้ามาโดยเร็ว” พระราชาทรงตรัสก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบทเป็นท่านั่งตัวตรงที่ดูสง่างาม นายทหารรักษาการณ์หายออกไปด้านนอกชั่วอึดใจก่อนกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับบุรุษร่างสูงในเสื้อคลุมสีขาวสะอาด หมวกคลุมศีรษะสีเดียวกันนั้นปกปิดใบหน้าของเขาไว้จนมิดชิด เหล่าเสนาบดีต่างพากันมองดูอาคันตุกะที่ก้าวเข้ามายืนอย่างสง่าอยู่กลางห้องด้วยสายตาทึ่งจัดด้วยพวกเขานั้นไม่เคยได้พบเห็นคนของอาณาจักรแห่งเวทมนต์จริงๆเลยสักครั้ง พระราชาทรงมองจ้องชายผู้นั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตรัสขึ้น

“ยินดีต้อนรับท่านผู้ทรงเวทสู่อาณาจักรของเรา มีข่าวใดสำคัญจากองค์ราชินีแห่งมาร์วัลลัสหรือท่านจึงได้ดั้นด้นผ่านหนทางที่ยาวไกลมาจนถึงที่นี่”

“ระยะแห่งหนทางนั้นมิใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเราหรอกฝ่าบาท” ชายผู้นั้นตอบด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวาน พลังอำนาจอันน่าสะพรึงแฝงอยู่เต็มเปี่ยมภายในน้ำเสียงนั้น มันสะกดทุกคนที่ยืนอยู่ภายในท้องพระโรงจนนิ่งงัน

เสียงหัวเราะดังออกมาจากเขาก่อนยกมือขึ้นและเลิกผ้าที่คลุมใบหน้าออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นโฉมหน้าที่งดงามแต่ดูเคร่งขรึมภายใน เรือนผมสีเงินละเอียดยาวสลวยประบ่า ดวงตาสีฟ้าเข้มทรงพลังและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้จ้องมองดูพระพักตร์ราชาแห่งมอร์เซลแน่วนิ่ง เขาค้อมศีรษะลงอีกครั้งก่อนกล่าวแนะนำตัวเอง

“เรามีนามว่าฟอร์เซ็ตติ เป็นผู้ใช้เวทรักษากฏแห่งความเที่ยงธรรม เรานำข่าวสำคัญจากองค์ราชินีของเรามาสู่ท่าน องค์ราชาแห่งมอร์เซล”

สิ้นคำพูด พลันกระบอกไม้สีทองขนาดเล็กในมือของเขาก็ลอยขึ้นอย่างเชื่องช้าตรงไปยังอุ้งหัตถ์แห่งราชา พระองค์ทรงเอื้อมมือไปรับด้วยท่าทางที่ไร้ความหวั่นเกรง และทรงเปิดกระบอกบรรจุสาส์นออกอ่าน สีหน้าที่ฉายแววฉงนเพิ่มความประหลาดใจเพิ่มมากขึ้นจนในที่สุดก็กลายเป็นพักตร์ที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและกังวลใจ

องค์ราชาทรงม้วนสาส์นในมือและพิงกายกับพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง เหล่าเสนาบดีนั้นจ้องมองพระองค์ราวกับรอคอยด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มและกระวนกระวายใจจนกษัตริย์ทรงตรัสขึ้น

“ทางมาร์วัลลัสรู้ข่าวนี้เมื่อใด”

“ด้วยญาณแห่งองค์ราชินีของเรา”จอมเวทหนุ่มตอบ “พระองค์ทรงล่วงรู้เรื่องราวการกำเนิดของจอมปิศาจแห่งแซฟเวจย์เพียงไม่นาน และยังมิทันที่พวกเราจะได้ลงมือกระทำการใดๆเหตุร้ายแรงที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้นเสียก่อน”

“เหตุร้ายแรงอันใดกัน” พระราชาแห่งมอร์เซลทรงถามอย่างเร็ว ฟอร์เซ็ตติขยับไม้เท้าสีขาวในมือของเขามาเบื้องหน้าด้วยท่าทางสำรวมก่อนตอบ

“หนึ่งวันก่อนที่ข้าจะเดินทางออกจากเมืองตามคำบัญชาขององค์ราชินีพวกเราได้ทราบข่าวมาว่ากองทัพมารกำลังเคลื่อนกำลังพลเข้ามาประชิดชายแดนแห่งมาร์วัลลัส เทวีของเราจึงรีบแต่งสาส์นนี้ขึ้นและเร่งให้พวกข้านำไปเตือนอาณาจักรแซฟวีและมอร์เซลเพื่อให้เตรียมตัวรับมือกับหายนะอันร้ายแรงที่กำลังตามมา

หลังจากที่ข้าออกเดินทางได้เพียงครึ่งทาง จอมปิศาจได้ยกทัพของมันบุกเข้าโจมตีนครของเราโดยที่พวกเรานั้นยังมิทันได้ตั้งตัว เพียงแค่ชั่วคืนเดียวอาณาจักรของเหล่าจอมเวทก็พังพินาศสิ้น พลเมืองทั้งหลายถูกทหารผีดิบและกองทัพโจรชาวมนุษย์สังหารอย่างทารุณ พลังเวททั้งหลายนั้นถูกความมืดมนดูดซึมซับไปจนหมด นั่นทำให้อำนาจของพวกเรายิ่งอ่อนแอลงทุกวัน ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าเทพและภูตที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งมนตราก็พากันล้มป่วยลง บางตนกำลังสูญสลายไปอย่างถาวรในขณะที่บางตนกลายสภาพเป็นภูตที่ดุร้าย

แผ่นดินที่เคยเขียวชอุ่มชุ่มชื้นด้วยพลังแห่งเฟรย์นั้นกลับแห้งผากกลายเป็นผงฝุ่น แม้ในราชวังแห่งองค์ราชินีซึ่งมีพลังเวทที่แข็งแกร่งคุ้มครองอยู่ยังได้รับผลแห่งความชั่วร้ายนั้น มันรุนแรงจนขนาดราชวังร้าวเป็นรอยแยกตั้งแต่ฐานรากไปจนถึงยอดปราสาท น้ำพุนิรันดร์ที่เคยมีสีทองอร่ามงามตาแปรเปลี่ยนไปเป็นสีดำสนิทเพราะโลหิตของจอมมารไหลลงไปปะปน เหล่าแฟรี่ที่เคยโบยบินเล่นในอุทยานก็ร่วงหล่นลงมานอนแน่นิ่งอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงบนพื้นหญ้าที่แข็งกระด้างแห้งกรอบ”

จอมเวทแห่งความเที่ยงธรรมหยุดเว้นระยะเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ

“และที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ จอมปิศาจได้กักขังองค์ราชินีของเราไว้ในเพลิงอัตตา พลังเวทที่ไม่มีอาคมใดๆทำลายล้างลงได้นอกจากสังหารเจ้าของผู้กำกับมนตรานั้น การที่เราเดินทางมาพบพวกท่านในครั้งนี้ก็เพื่อจะมาแจ้งข่าวให้พวกท่านได้ทราบว่าพวกเราไม่สามารถมอบความช่วยเหลือใดๆต่อเหล่ามวลมนุษย์สามัญได้อีกต่อไปแล้ว”

สิ้นถ้อยความของฟอร์เซ็ตติ พระราชาแห่งมอร์เซลถึงกับนิ่งอึ้งไปในบัดดล ความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากทางมาร์วัลลัสนั้นสูญสลายไปในทันที พระวรกายที่เอนพิงพนักที่นั่งนั้นถึงกับงุ้มงอลงเล็กน้อยด้วยความทดท้อใจ

“ขนาดอาณาจักรแห่งเวทยังได้รับผลที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้ แล้วอาณาจักรมนุษย์ธรรมดาอย่างเราจะได้รับผลที่รุนแรงถึงเพียงไหนกัน”

“ไม่มีหนทางแก้ไขเลยหรือ ท่านฟอร์เซ็ตติ” เสนาบดีฮอร์นเนสเอ่ยถาม จอมเวทแห่งความเที่ยงธรรมส่ายหน้าของเขาแต่มิได้เอ่ยคำตอบใด กษัตริย์แห่งมอร์เซลจึงตรัส

“พวกเราคงต้องหาหนทางของพวกเรากันเอง ไม่ว่าอาณาจักรนั้นจะเลวร้ายเพียงใด พลังอำนาจแห่งความมืดจะมากมายมหาศาลสักเท่าไหร่ เราจะไม่ยอมให้ประชาชนพลเมืองของเรานั้นต้องล้มตายไปเพราะความอดอยากและหิวโหยหรือเป็นเหยื่อให้กับพวกแซฟเวจย์อย่างแน่นอน”

พระดำรัสของราชาแห่งมอร์เซลนั้นทำให้ฟอร์เซ็ตติยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ เขาก้มศีรษะของเขาลงคำนับต่อองค์กษัตริย์ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าก่อนกล่าว

“องค์ราชินีทรงตรัสไว้ไม่มีผิดเพี้ยนว่าเหล่ามนุษย์นั้นจะไม่ยอมย่อท้อต่อมหันตภัยใดๆ ความโอบอ้อมอารีและทศพิธราชธรรมขององค์ราชาแห่งมอร์เซลนั้นจะเป็นพลังช่วยเหลืออาณาจักรทั้งสามให้รอดพ้นจากหายนะในครานี้ แม้จะไม่ใช่ด้วยหัตถ์ของพระองค์เองก็ตาม”

มือที่มีผิวขาวงดงามของฟอร์เซ็ตติยื่นออกมาข้างหน้าและวาดเป็นวงกลมกว้างเท่าขนาดช่วงแขน แสงสว่างสีฟ้าเจิดจ้าปรากฏขึ้นเป็นวงกลมเบื้องหน้าของเขา มันลอยนิ่งอยู่กลางอากาศชั่วครู่หนึ่งก่อนจะขยายเป็นวงกว้างขนาดเท่าตัวคน องค์ราชาและเหล่ามหาเสนบดีต่างพากันจ้องมองดูภายในวงกลมที่สว่างจ้านั้นด้วยความพิศวง พลันในใจกลางทรงกลมนั้นก็บังเกิดเงาร่างไหววูบวาบขึ้น มันเต้นไหวลางเลือนก่อนเด่นชัดเป็นรูปเป็นร่าง ฟอร์เซ็ตติผายมือของเขาออกแล้วค้อมกายลงกล่าว

“องค์ราชินีแห่งมาร์วัลลัส เทวีของเหล่าจอมเวททั้งปวง พระนางมีย์อาร์”

ร่างที่งดงามภายในวงกลมสีฟ้านั้นแย้มโอษฐ์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาสีทองจ้องมองดูองค์ราชาที่กำลังยืนขึ้นเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแก่พระนาง

แม้จะเป็นเพียงร่างจำลองที่สร้างขึ้นมาจากเวทเพื่อการสื่อสารกับมอร์เซล แต่ความเสมือนจริงนั้นดึงดูดสายตาของเหล่าเสนาบดีและแม่ทัพนายกองที่ยืนรายล้อมอยู่โดยรอบให้นิ่งงันด้วยความงามอย่างเหนือธรรมชาติของพระองค์ เสื้อผ้าที่พลิ้วไหวอย่างอ่อนโยนนั้นราวกับแพรไหมที่แกว่งไกวในสายน้ำ เรือนผมสีทองอร่ามราวกับดวงตะวันซึ่งฉายแสงอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิยาวสลวยจรดบั้นพระองค์สะบัดไหวเป็นมันเลื่อมพราย ผิวกายของพระนางนั้นแลดูอร่ามเรืองรองราวกับว่านางใช้ผงทองทา ราชินีมีย์อาร์ทรงค้อมพระเศียรให้กับองค์ราชาแห่งมอร์เซลก่อนตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะราวเครื่องดนตรีเงิน

“องค์ราชันย์แห่งมอร์เซล ยินดียิ่งที่ได้พบกับพระองค์”

“คำพูดนั้นควรเป็นฝ่ายเรามากกว่าองค์มีย์อาร์” พระราชาทรงตรัสตอบ “เป็นเกียรติอย่างสูงยิ่งที่ได้พบกับจอมเวทผู้สูงศักดิ์เช่นท่าน”

องค์มีย์อาร์แย้มสรวลก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงที่เป็นงานเป็นการขึ้น

“เรามิได้มาพบท่านเพียงเพื่อคำชมเล็กน้อยที่เต็มไปด้วยพิธีการ หากแต่มาเพื่อมอบความช่วยเหลือให้แก่ท่าน รวมทั้งอาณาจักรแซฟวีและอาณาจักรมาร์วัลลัสของเราด้วย”

“โปรดตรัสมาเถิดพระนาง เรากำลังรอฟังอยู่ด้วยใจจดจ่อ” พระราชาทรงตรัสตอบก่อนหย่อนพระองค์ลงนั่งบนบัลลังก์ ราชินีมีย์อาร์ผงกพระเศียรและทรงดำรัสต่อ

“ท่านคงได้รับทราบถึงเรื่องราวแห่งอาณาจักรมืดแซฟเวจย์แล้ว และคงทราบถึงหายนะที่กำลังคืบคลานมาสู่สามอาณาจักร ราชันย์มารแห่งแซฟเวจย์นั้นต้องการที่จะครอบครองโลกทั้งโลก พลังของเขานั้นบังเกิดมาจากความโลภ ความชั่วร้ายเลวทรามและความเห็นแก่ตัว เปลวแห่งโทสะนั้นคือคลื่นความร้อนที่กำลังทำลายดินแดนของพวกเราอยู่ในเวลานี้ และอีกไม่นานมันจะเริ่มส่งเหล่าบรรดาลูกน้องที่แสนชั่วช้าของมันออกมาทำร้ายประชาชนของท่านอย่างแน่นอน”

พระนางทรงเว้นระยะการพูดเล็กน้อยก่อนทรงมีพระดำรัสต่อ

“อาณาจักรของเราพังพินาศลงแล้วด้วยพลังมืดของราชันย์ปิศาจ จอมเวทจำนวนมากถูกสังหาร ประชาชนของเราโดนเข่นฆ่าอย่างทารุณ ทารกและผู้บริสุทธิ์ถูกนำกลับไปเป็นเครื่องสังเวยแก่จอมมารซึ่งเสพเลือดเนื้อของมนุษย์วัยเยาว์เป็นภักษาหาร ทุกชีวิตในแผ่นดินแห่งเวทคงดับสิ้นสูญไปหมดหากเหล่าทวยเทพทรงไม่เมตตายื่นมือลงมามอบความช่วยเหลือ แต่ถึงกระนั้นผู้รอดชีวิตก็เป็นเพียงจำนวนที่น้อยนิดนักหากเทียบกับจำนวนของผู้ที่ต้องสิ้นชีวิตลง

ข้าได้รับข่าวที่น่าเศร้าสลดว่าอาณาจักรแซฟวีถูกเผาพินาศลงจนสิ้นเพียงครึ่งคืนหลังจากที่กองทัพผีดิบทำลายล้างแผ่นดินของเราแค่หนึ่งวัน เวลานี้เหลือเพียงมอร์เซลเท่านั้นที่รอคอยการมาของจอมปิศาจ ข้าคิดว่าที่มันไม่เร่งลงมือโจมตีพวกท่านเพราะราชันย์มารคอร์ฟคาคาร์สชะล่าใจในความเป็นมนุษย์ที่ไร้พลังอำนาจใดๆจะไปต่อกร ขอให้พระองค์จงเร่งฉวยโอกาสนี้รีบส่งคนลอบเข้าไปจัดการกับเขาก่อนที่จะได้ทันระวังตัวเถิด”

“โดยวิธีใดกัน เท่าที่พวกเราได้รับฟังจากท่าน อาณาจักรแซฟเวจย์นั้นมีพลังอำนาจแก่กล้าเสียเหลือเกิน”

พระราชาแห่งมอร์เซลตรัสถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราชินีมีย์อาร์ทรงระบายลมหายใจ ดวงหน้าที่แสนงดงามนั้นมีริ้วรอยแห่งความกังวลฉาบฉายอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

“ราชันย์ผู้ปกครองแซฟเวจย์นั้นเป็นจอมขมังเวทที่แกร่งกล้าที่สุด เขาถือกำเนิดมาจากกองกูลอสุภซากอันแสนชั่วช้าโสมมของเหล่าฆาตกร นักฆ่า และโจรร้ายที่ถูกประหารด้วยทัณฑ์แห่งองค์ราชา เขาถูกหล่อเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมาด้วยเนื้อและโลหิตของมนุษย์ พลังวิญญาณอันกล้าแกร่งของเขานั้นมาจากพลังขององค์ซีน เทพแห่งสายฟ้าที่ทรงปล่อยออกมาในคืนเดือนมืด วันที่เมฆาล่องลอยเข้าไปในแซฟเวจย์ มันบังเอิญวิ่งลงไปยังบ่ออาถรรพ์ซึ่งมีตัวอ่อนของจอมปิศาจอาศัยอยู่

และเมื่อได้รับตัวกระตุ้น ชีวิตของราชันย์มารจึงถือกำเนิดขึ้น ลมหายใจแรกที่ถูกสูดเข้าไปคือดวงวิญญาณของคนตายในแดนประหาร ภาพแรกที่เขาได้เห็นคือซากร่างอันเน่าเปื่อยของมนุษย์ สิ่งแรกที่จอมมารเสพเข้าไปคือเลือดเนื้อของคนตายที่ถูกทิ้งเกลื่อนกลาดทั่วลอสเฮด อัตตาของราชันย์ปิศาจนั้นรุนแรงนัก มันไม่ต้องการให้โลกนี้มีสิ่งมีชีวิตที่สวยงาม ไม่ต้องการสีเขียวขจีแห่งผืนป่า ไม่ต้องการแม่น้ำที่ใสสะอาด ไม่ต้องการท้องฟ้าและอากาศที่ปลอดโปร่งแจ่มใส อาณาจักรแห่งเวทคือเป้าหมายสำคัญที่มันต้องการทำลายล้างให้สิ้นซากที่สุดเพราะพวกเรามีพลังที่จะต้านทานอำนาจของเขาได้ อาณาจักรแห่งปราชญ์คือแผ่นดินที่มันต้องการทำให้พินาศย่อยยับ และดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ของมนุษย์เช่นท่าน….”

ดวงตาสีทองแสนสวยจับจ้องมองดูใบหน้าแห่งองค์ราชามอร์เซลแน่นิ่งก่อนตรัสเน้นทีละคำ

“มันต้องการครอบครองเพราะที่นี่คือแหล่งอาหารชั้นดี นั่นก็คือร่างของเด็กน้อยไร้เดียงสาและสตรีพรหมจรรย์ผู้เยาววัย”

“เราไม่ยอมให้อาณาจักรของเราต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจชั่วนั่นเป็นอันขาด” พระราชาแห่งมอร์เซลตรัสเสียงก้อง ราชินีมีย์อาร์ทรงสรวลเบาๆ

“หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดของมวลมนุษย์นั้นจะนำพาให้พวกท่านรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง หรือ....”

พระนางทรงหยุดเสียงสรวลก่อนจะดำรัสต่อด้วยพระพักตร์ที่ดูน่าเกรงขาม

“ความขลาดเขลาและอสัตย์จากก้นบึ้งของสันดานแห่งความเป็นคนจะนำพาพวกท่านจมดิ่งสู่นรกอเวจี นั่นเป็นหนทางที่พวกท่านต้องเลือกด้วยตนเอง”

“พวกเราต้องทำเช่นใดกัน องค์มีย์อาร์” พระราชาทรงตรัสถามอย่างร้อนรน ราชินีแห่งอาณาจักรเวททรงยกกรที่เรียวงามขึ้นมาเสมอไหล่และหงายหัตถ์ขึ้น เปลวไฟสีเงินสว่างเรืองรองอยู่บนฝ่ามือนั้นก่อนแตกกระจายออกเป็นห้าส่วนหมุนวนอยู่เหนือหัตถ์งาม

“ดวงไฟทั้งห้าจะนำทางพวกท่านให้ไปพบกับผู้ที่เหมาะสม คอร์ฟคาคาร์สผู้ปกครองแซฟเวจย์นั้นเป็นจอมปิศาจผู้มีพลังเวทกึ่งอมตะ อาวุธธรรมดารวมทั้งเวททั่วไปนั้นไม่อาจทำลายเขาลงได้ มีเพียงหัวใจที่เสียสละ กล้าหาญและมิตรภาพแห่งความต่างของชาติพันธุ์เท่านั้นที่สามารถสยบเขาลงได้

ท่านต้องค้นหาหัวใจที่ถูกหล่อหลอมให้เป็นอัญมณีแห่งเดราเนียร์ มันจักสำแดงฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อพวกท่านได้พบดาบแห่งทวยเทพอันมีนามว่า ดาบกรามร์ ซึ่งเป็นดาบวิเศษเพียงเล่มเดียวที่สามารถทำลายสิ่งที่มีอาถรรพถ์ในขณะที่ดาบใดๆในโลกนี้ไม่สามารถจัดการได้”

“อัญมณีเดราเนียร์ ดาบกรามร์ เราจะไปหาของวิเศษเช่นนั้นได้ที่ไหนกัน” โซลย์เอ่ยถามขึ้น องค์ราชินียิ้มเมื่อได้ฟังคำถามนั้น พระนางเอี้ยวพระวรกายที่งดงามเพื่อตอบคำของแม่ทัพแห่งมอร์เซล

“ของวิเศษนั้นมิได้อยู่ในแดนมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นสิ่งที่ค้นหาได้ไม่ยาก เมื่อถึงเวลาที่จะต้องพบ เดราเนียร์อาจจะเป็นเพียงเครื่องประดับที่ดูไร้คุณค่า แต่ในบางครั้งเดราเนียร์นั้นจะกลายเป็นอัญมณีที่สูงค่าจนมิอาจตีเป็นราคาได้ เช่นเดียวกันกับดาบกรามร์ ท่านอาจจะได้อาวุธวิเศษเล่มนั้นด้วยเหตุบังเอิญหรือบังเกิดสิ่งสุดวิสัยขึ้น”

“แล้วเราจะไปหาของวิเศษทั้งสองสิ่งนี้ได้ที่ใดกันท่านมีย์อาร์”

องค์ราชาตรัสถาม ราชินีแห่งดินแดนเวทหันกายกลับมาทางกษัตริย์แห่งมอร์เซลและตรัสตอบ

“สิ่งที่ท่านควรค้นหาก่อนนั้นคือผู้เดินทางทั้งห้า และหลังจากนั้นของวิเศษก็จะออกตามหาผู้ครอบครองที่เหมาะสมเอง”

จบประโยค เปลวไฟสีเงินในหัตถ์ขององค์เทวีก็ลอยเลื่อนออกมาจากวงกลมสีฟ้าที่ล้อมรอบพระวรกายของพระนางและไปหยุดนิ่งอยู่ที่เบื้องพระพักตร์แห่งองค์ราชามอร์เซล เปลวไฟนั้นส่งแสงสว่างเจิดจ้าจนทุกคนในท้องพระโรงนั้นต้องปิดตาของตนลงด้วยทนในความสุกสว่างของมันมิได้

จนเมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความสงบอีกครั้ง ร่างที่งดงามของราชินีมีย์อาร์ก็มิได้อยู่ ณ ที่นั้นอีกต่อไป มีเพียงฟอร์เซ็ตติที่ยังคงยืนนิ่งอย่างสำรวมอยู่กลางท้องพระโรง ใบหน้าอันอ่อนเยาว์งดงามของเขานั้นมองดูพระราชาแห่งมอร์เซลแน่วนิ่ง เปลวไฟสีเงินที่ลอยอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นแหวนสีเงินสุกปลั่งห้าวง วางนิ่งอยู่บนหัตถ์แห่งองค์กษัตริย์

พระองค์ทรงทอดพระเนตรมองดูแหวนที่ราชินีแห่งมาร์วัลลัสทรงประทานให้ในมือของพระองค์ก่อนตรัสขึ้นเบาๆ

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือผู้เหมาะสมกับแหวนทั้งห้านี้”

“แหวนจะเป็นผู้เลือกเจ้าของของมันเอง” ฟอร์เซ็ตติตอบ

พลันแหวนวงหนึ่งก็ส่งแสงสว่างเรืองรองและลอยตัวสูงขึ้น ราวกับมีดวงไฟอยู่ภายในวงแหวนนั้น เหล่าเสนาบดีในท้องพระโรงต่างพากันจ้องมองอย่างฉงนและหัวใจเต้นระทึกเมื่อแหวนนั้นหมุนวนไปรอบห้อง เปลวเพลิงสีเงินที่สว่างไสวอยู่ตรงกลางนั้นขยายวงกว้างขึ้นและเลื่อนลอยไปหยุดอยู่เหนือร่างของแม่ทัพแห่งมอร์เซล แสงนั้นก็พุ่งตรงลงไปยังร่างองอาจที่ยืนอยู่เบื้องล่างทันทีท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของเหล่าเสนาบดีและองค์ราชาแห่งมอร์เซล

“แหวนได้เลือกเจ้าของคนแรกแล้ว” ฟอร์เซ็ตติกล่าวเสียงเรียบ โซลย์ซึ่งมีสีหน้างงงันยกมือของเขาขึ้นและจ้องมองดูแหวนสีเงินในมือ มันส่องประกายสีเงินแวววาวอีกครั้งก่อนจะจางหายไป

“หน้าที่อันดับแรกของผู้ที่ได้รับเลือกนั้นคือการออกเดินทางคนหาผู้ร่วมทางอีกสี่คนที่เหลือ” จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสพูดต่อขณะที่มองดูกษัตริย์แห่งมอร์เซล พระองค์ทรงผงกพระเศียร โซลย์เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ถูกเลือกที่เหลือนั้นอยู่ที่ใด”

“แหวนทั้งสี่จะเป็นเครื่องนำทางให้กับท่าน” ฟอร์เซ็ตติตอบ “และพวกท่านควรจะออกเดินทางเสียตั้งแต่บัดนี้ เพราะจิตของเรานั้นจับคลื่นพลังบางอย่างได้”

“คลื่นพลังหรือ คลื่นพลังอะไรกัน” พระราชาทรงตรัสถาม ใบหน้าของฟอร์เซ็ตติเงยขึ้นก่อนตอบ

“จิตแห่งความโสมมจำนวนมากของเหล่าลูกสมุนจากแซฟเวจย์ พวกมันกำลังมุ่งตรงมาที่ดินแดนแห่งนี้ อีกไม่นานอาณาจักรของท่านคงจะลุกเป็นไฟ ความเดือดร้อนคงแผ่ขยายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า โปรดอย่ามัวแต่ตั้งคำถามอยู่เช่นนี้เลยองค์ราชา จงรีบเร่งส่งแม่ทัพของท่านออกไปเดี๋ยวนี้เถิดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”

โซลย์รีบเดินมายืนอยู่เบื้องพระพักตร์แห่งกษัตริย์ของเขาและคุกเข่าลงพร้อมกับกล่าว

“ทรงโปรดพระราชทานราชานุญาตให้กระหม่อมออกเดินทางไปโดยเร็วด้วยเถิด เพื่อมิให้เจ้าพวกถ่อยช้าสามานย์นั้นทำลายอาณาจักรของพระองค์ได้สำเร็จสมดังใจ ข้าพระองค์ขอให้คำสัตย์ปฏิญาณว่าจะค้นหาเดราเนียร์และกรามร์เพื่อนำไปกำจัดจอมมารผู้ชั่วร้ายให้สิ้นไปจากโลกนี้ เพื่อชาวประชาแห่งมอร์เซลและแผ่นดินอื่นๆจะได้กลับคืนสู่สันติสุขอีกครั้ง”

“จงรีบออกเดินทางเถิดท่านแม่ทัพโซลย์ผู้องอาจของเรา ขอความสำเร็จจงบังเกิดขึ้นกับท่าน” พระราชาแห่งมอร์เซลทรงให้พรต่อแม่ทัพของพระองค์ โซลย์ค้อมกายลงคำนับต่อเจ้าเหนือหัวของเขาก่อนลุกขึ้นและหันไปทางฟอร์เซ็ตติ

“ขอให้ท่านโปรดชี้ทางให้กับเราด้วยเถิด ท่านจอมเวท”

“ไม่เพียงแค่ชี้ทางให้เท่านั้น แต่เราจะร่วมเดินทางไปกับท่านจนกระทั่งถึงชายแดนแห่งแซฟเวจย์” จอมเวทกล่าวก่อนจะหันไปทางองค์ราชาและค้อมกายลง

“ถ้าเช่นนั้นเราขอทูลลาพระองค์”

โซลย์ค้อมกายลงคารวะต่อพระราชาของเขาอีกครั้งก่อนเดินตามหลังฟอร์เซ็ตติไปอย่างรวดเร็ว เขารีบกลับไปยังที่พักและจัดแจงเตรียมเสื้อผ้ากับอาหารเท่าที่จำเป็นก่อนไปยังโรงเก็บม้า นายทหารได้จัดเตรียมอาชาฝีเท้าดีไว้รอเขาถึงสองตัวด้วยกัน

“ข้าคิดว่าม้าคงไม่จำเป็นสำหรับจอมเวทเช่นท่าน แต่การเดินทางอย่างไร้จุดหมายเป็นระยะเวลาที่ไม่แน่นอนนั้น สมควรอาศัยฝีเท้าของอาชาชั้นดีอย่างที่สุด” โซลย์กล่าวกับจอมเวทหนุ่ม เขายิ้มขณะลูบม้าอย่างเบามือ

“ความคิดของท่านนั้นตรงใจของเรามากที่สุด ท่านแม่ทัพ”

“พวกเรารีบเร่งออกเดินทางกันเถิด หากช้านักตะวันจะชิงพลบลงเสียก่อน ว่าแต่ท่านจะชี้นำทิศทางใดให้กับเราอย่างนั้นหรือ”

โซลย์กล่าวถาม ฟอร์เซ็ตติเหนี่ยวตัวเองขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างสง่า เขาดึงผ้าลงมาคลุมใบหน้าจนมิดชิดก่อนตอบ

“ตามดวงตะวันไปจนกระทั่งถึงที่ที่มันหายลับไปจากขอบฟ้า”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสกระตุ้นม้าของเขาให้ออกวิ่งไปในทันทีที่กล่าวจบ โซลย์นั้นมองตามหลังฟอร์เซ็ตติไปด้วยสายตาที่ฉายความไม่เข้าใจก่อนบังคับม้าของเขาให้ออกวิ่งตามโดยไม่รอช้า พระราชาแห่งมอร์เซลนั้นจ้องมองดูร่างของคนทั้งสองที่กำลังห่างออกไปจนลับสายตาก่อนหันกลับมานั่งบนบัลลังก์ของพระองค์ดังเดิม

“ขอพลังแห่งเทพทั้งปวงทรงคุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัยด้วยเถิด”

*/*/*/*/*/*

ฟอร์เซ็ตติ





Create Date : 02 มีนาคม 2554
Last Update : 8 มีนาคม 2554 9:28:16 น.
Counter : 406 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี