ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 4 ดาร์คเอลฟ์รัคเชนน์
<4>

ดาร์คเอลฟ์รัคเชนน์


ดาม่อนยืนมองดูเงาผ้าคลุมสีดำหมุนตัวลอยลงมาด้านบนของปราสาท เขาก้มหัวลงคำนับเมื่อเห็นร่างของจอมมารยืนอย่างสง่าอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่แสนเย็นชาเย้ยเยาะประทับบนมุมปากซีด

“ท่านสังหารราชินีแห่งมาร์วัลลัสเรียบร้อยแล้วหรือ” หัวหน้าโจรเอ่ยถามอย่างนอบน้อม เขาหลบสายตาลงมองดูพื้นเมื่อจอมปิศาจตวัดดวงตาดุดันมาทางเขา

“น่าเสียดายที่พลังของข้าในตอนนี้ยังทำอะไรมันไม่ได้” คอร์ฟคาคาร์ตอบเสียงกระหึ่ม “พวกเทพมันสอดมือลงมาปกป้องนางเอาไว้ ข้าจึงทำได้แต่เพียงขังนางเอาไว้ในเพลิงอัตตาเท่านั้น”

“แล้วหากวันข้างหน้านางสามารถหลุดออกมาได้ล่ะ” ดาม่อนถามอย่างวิตก จอมมารหัวเราะเสียงดังด้วยความลำพองใจก่อนตอบ

“คงต้องรอให้ข้าดับสิ้นลงไปเสียก่อน นางจึงจะทำเช่นนั้นได้ เพราะเพลิงอัตตาที่ข้าใช้กักขังมันก็คือพลังปราณของข้าเอง ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ตราบนั้นจะไม่มีผู้ใดทำลายเพลิงนี้ได้อย่างแน่นอน”

ดาม่อนเงยหน้าขึ้นไปมองดูด้านบนของปราสาทอย่างนึกหวั่นวิตกเล็กน้อย ดูเหมือนคอร์ฟคาคาร์สจะล่วงรู้ถึงความคิดของเขา จอมมารจึงพูดขึ้น

“ราชินีของพวกมันถูกขังอยู่ในข่ายอาคม เหล่าองครักษ์เวทล้วนถูกข้ากำจัดไปจนเกือบหมดสิ้น ซ้ำบริวารผีดิบที่น่ารักของข้ายังช่วยกวาดล้างคนของพวกมันที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ทั่วอาณาจักรจนแทบจะไม่มีเหลือ เจ้ายังวิตกอะไรอยู่อีกดาม่อน”

“ข้าเกรงว่าคนของมอร์เซลจะยกกำลังมาช่วย” ดาม่อนตอบไม่เต็มน้ำเสียง แต่จอมปิศาจกลับระเบิดเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณ

“มอร์เซล!” คอร์ฟคาคาร์สกล่าวทวนคำพูดอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงดูถูก “ขนาดอาณาจักรจอมเวทยังถูกข้าทำลายจนพินาศสิ้น แล้วกับแค่อาณาจักรกระจอกๆของเหล่ามนุษย์ชั้นต่ำอย่างมอร์เซลจะมีปัญญาอะไรมาต่อกรกับข้า”

“ทหารของราชันย์แห่งมอร์เซลล้วนกล้าแกร่งนัก ข้าเคยปะทะกับพวกมันมาหลายครั้ง สูญเสียลูกน้องฝีมือดีไปตั้งมากมายจนภายหลังพวกข้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกมันตรงๆ”

“แล้วข้าต้องกลัวเกรงพวกมันเหมือนกับเจ้าอย่างนั้นรึ” จอมมารถามเสียงต่ำพลางขยับกรงเล็บไปมา ดาม่อนมองตามด้วยความรู้สึกสยองจนอดถอยหลังไปสองสามก้าวไม่ได้ กิริยาหวาดกลัวของเขาเรียกรอยยิ้มที่น่าขนลุกออกมาจากใบหน้าของจอมปิศาจ

“เจ้าเพียงแค่คิดหวาดวิตกเท่านั้น ข้ายังไม่ลงโทษเจ้าในตอนนี้แน่ แต่ถ้าหากวันใดความหวาดเกรงของเจ้าแปรเปลี่ยนไปเป็นการทรยศ กรงเล็บของข้าจะฉีกเนื้อของเจ้าทั้งที่ยังมีชีวิต และกระชากมันออกมาโยนไปให้ฝูงหมาป่าแห่งแซฟเวจย์กิน จงจำเอาไว้ดาม่อน”

ดวงตาของคอร์ฟคาคาร์สส่องแสงวาววับอย่างดุร้ายขณะที่พูด จอมปิศาจยืดตัวขึ้นและหันไปทางป่าด้านที่ติดกับแม่น้ำใหญ่ สีหน้าของเขาฉายความพิโรธออกมา

“มีใครบางคนกำลังสังหารบริวารที่น่ารักของข้าอยู่ มันช่างกล้าเหลือเกินที่บังอาจต่อต้านจอมราชาเช่นข้า” มือของจอมมารรวบคอเสื้อของดาม่อนเอาไว้ “ไปกับข้าดาม่อน ไปดูกันให้เห็นกับตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่หาญมาต่อกรกับข้า คอร์ฟคาคาร์ส”

ดาม่อนรู้สึกเหมือนตัวของเขาถูกกระชากด้วยพลังอันมหาศาล เสียงกระแสลมอื้ออึงผ่านใบหน้าจนเขารู้สึกชา แล้วจู่ๆทุกสิ่งรอบตัวก็หยุดลง หัวหน้าโจรมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกแปลกใจเมื่อไม่พบสิ่งใด

แต่แล้วหัวใจของเขาก็ต้องกระตุกวูบอย่างตระหนกสุดขีดเมื่อรู้ตัวว่ากำลังลอยอยู่กลางอากาศ เขาเหลือบสายตาไปทางด้านข้าง จอมปิศาจกำลังเพ่งสายตาอันน่ากลัวจ้องมองลงไปในป่าทึบอันเป็นเขตแดนเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินมาร์วัลลัสกับอาณาจักรแซฟวีโดยมีเทือกเขาทะมึนขวางกั้นอีกชั้น เสียงร้องโหยหวนอย่างโกรธเกรี้ยวที่ดังมาจากแนวป่าทึบนั้นเรียกความสนใจของหัวหน้าโจรให้เขาต้องลดสายตามองลงไป

เบื้องล่างเขาเห็นเศษชิ้นส่วนจากร่างของเหล่าผีดิบถูกที่ฉีกทึ้งจนกระจุยกระจายกองเกลื่อนกลาดไปจนทั่ว เสียงร้องคำรามที่ดังออกมาจากกลางป่าทำให้ดาม่อนรู้ได้ในทันทีว่าผู้ต่อต้านจอมมารนั้นซ่อนตัวอยู่ในไพรทึบ เสียงคำรามที่ดังออกมาจากลำคอของคอร์ฟคาคาร์สทำให้เขารู้สึกถึงความพิโรธของราชาปิศาจว่ามีมากมายเพียงใด หัวหน้าโจรได้แต่นึกภาวนาขออย่าให้ความโกรธเกรี้ยวของผู้ที่กำลังกุมชะตาขีวิตของเขาบันดาลโทสะจนถึงกับเหวี่ยงร่างของตนลงไปยังพื้นเบื้องล่างเพื่อระบายอารมณ์

ความหวาดกลัวของเขามลายหายไปเมื่อจอมมารลดระดับร่างของเขาลงไปยืนบนพื้น มือที่กุมลำคอของดาม่อนคลายออก

“เจ้าจงรอข้าอยู่ที่นี่ หากยังไม่อยากตาย” ราชันย์มารพูดเสียงกร้าวก่อนจะเดินหายเข้าไปในป่าทิ้งให้ดาม่อนยืนนิ่งรออยู่ลำพังแต่เพียงผู้เดียว เขาดึงดาบออกมาจากฝักและมองไปโดยรอบอย่างระมัดระวังตัวก่อนจ้องกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง

*/*/*/*/*/*

คอร์ฟคาคาร์สก้าวเดินผ่านต้นไม้อายุเก่าแก่ที่มีลำต้นขนาดมโหฬารไปทีละต้น จอมมารหยุดยืนนิ่งเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากแนวไม้เบื้องหน้า ร่างของผีดิบตัวหนึ่งถูกเหวี่ยงลอยละลิ่วตรงมายังตัวของเขา จอมปิศาจยกมือขึ้นเสมอไหล่ ร่างอัปลักษณ์ของอมนุษย์ก็ลอยค้างอยู่กลางอากาศก่อนถูกโยนออกไปอีกด้าน

พลันกระแสลมที่รุนแรงก็พัดกรรโชกผ่านเข้ามาในป่า ต้นไม้ทุกต้นโยกไหวไปมาราวกับมีชีวิต เสียงเสียดสีของลำต้นดังแหลมเล็กจนบาดแก้วหู สายตาเย็นชาแข็งกระด้างของคอร์ฟคาคาร์สกวาดมองไปรอบๆ

“จะมัวรีรออะไรอยู่อีก อยากจะจัดการกับข้านักไม่ใช่หรือ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน สายลมที่ปั่นป่วนรุนแรงก็สงบลงแทบจะทันที ป่าทั้งป่าบังเกิดความเงียบขึ้นอย่างฉับพลันทันใด มันเป็นความเงียบที่ไร้สรรพสำเนียงทุกสิ่ง แม้กระทั่งเสียงใบไม้แห้งปลิวตกกระทบบนผืนดิน

รอยยิ้มเย็นเยือกแต้มบนมุมปากของจอมมาร เขาขยับกรงเล็บของตนอย่างใจเย็น แต่แล้วจู่ๆผืนดินที่เขายืนอยู่ก็บังเกิดอาการสั่นไหว มันเคลื่อนที่ราวกับระลอกคลื่นวิ่งเข้าใส่จอมปิศาจอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมกริบจับจ้องแน่วนิ่งไปบนพื้น มันฉายแวววาววับขึ้นเมื่อรากไม้ขนาดมหึมาผุดออกมาจากดินหลายสิบรากและเลื้อยตวัดไปมาราวกับอสรพิษก่อนจะโอบพันล้อมรอบกายของราชันย์ปิศาจดุจงูรัดเหยื่อ

เพียงชั่วพริบตาร่างของจอมมารก็ตกอยู่ภายในรากไม้เหล่านั้น เสียง กร๊อบ ดังขึ้น คล้ายกระดูกของผู้ที่ตกอยู่ภายในรากไม้นั้นแตกละเอียดเป็นผุยผง

“คิดว่าจะแน่ที่แท้ก็เก่งแต่ปาก”

ร่างในชุดผ้าคลุมสีเขียวอมเทาก้าวเข้ามาหยุดยืนมองดูกองรากไม้ที่เกี่ยวกระหวัดพันกันจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวแลดูสูงตระหง่าน ริมฝีปากภายใต้ฮู้ดเผยรอยยิ้มหยามหยันออกมา มันคลายลงทันทีเมื่อมีเสียงพร่ำมนตราดังออกมาจากกองไม้ตรงหน้าแต่ยังไม่ทันที่ร่างนั้นจะได้กระทำการสิ่งใด รากไม้ที่ห่อหุ้มจอมมารก็สั่นระริกและปริแตกออกจากกันก่อนจะลุกไหม้ ร่างของคอร์ฟคาคาร์สซึ่งมีเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชติช่วงก้าวออกมาจากซากไหม้เกรียมของรากไม้ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงกองเถ้าถ่าน ดวงตาที่แดงก่ำราวกับเลือดจ้องมองดูร่างในชุดผ้าคลุมอย่างดุดันและแค้นเคือง เขาก้าวเข้าไปหาผู้ที่ลอบทำร้ายตนอย่างช้าๆในลักษณะคุกคาม

“เวทบงการธรรมชาติของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าเอลฟ์!” จอมปิศาจพูดเสียงกร้าว “ข้าน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านอกจากพวกกึ่งมนุษย์อย่างพวกเจ้าแล้ว ไม่มีใครสามารถใช้มนตราบงการเหล่าต้นไม้ได้”

“ข้าไม่ใช่เอลฟ์!” เสียงตอบแผ่วต่ำดังออกมาจากร่างนั้น เขาค่อยๆดึงดาบที่เหน็บไว้ทางด้านหลังออกมาอย่างช้าๆ คอร์ฟคาคาร์สมองดูอย่างฉงนเมื่อเห็นลักษณะของดาบนั้น เพราะทั้งตัวดาบและด้ามจับเป็นสีดำสนิท แม้แต่อัญมณีที่ใช้ประดับตรงปลายด้ามก็เป็นสีเดียวกัน

ราวกับมีพลังแห่งความเย็นจับขั้วหัวใจแผ่ออกมาจากดาบเล่มนั้น จอมปิศาจมองดูเจ้าของดาบกวัดแกว่งอาวุธของเขาเป็นวงกลมพร้อมกับตั้งท่าเตรียมการจู่โจม

“น่าประหลาดที่ข้าได้กลิ่นเจ้าพวกกึ่งมนุษย์นั่นโชยออกมาจากตัวของเจ้า” จอมมารกล่าวเยาะคล้ายยั่วยุ ดูเหมือนมันจะได้ผลเพราะอีกฝ่ายร้องคำรามออกมาอย่างโกรธจัดแทบจะทันที

“จมูกของเจ้าคงจะเน่าจนเพี้ยนไปแล้วเจ้าปิศาจ! เพราะข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าพวกน่ารังเกียจนั่น!”

“แล้วเหตุเจ้าใดเจ้าจึงต่อต้านคนของข้า”

“เพราะพวกมันทำลายต้นไม้และเหล่านิมป์” ร่างนั้นตอบ “พวกเจ้าจะทำอะไรก็ทำไปแต่อย่ามาทำลายป่าในแถบนี้”

“เจ้ากล้าออกคำสั่งกับข้ารึ” จอมมารมองจ้องหน้าร่างตรงหน้านิ่ง ความพิโรธแผ่กระจายออกมาจากร่างราวกับคลื่นความร้อน มันเผาต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆจนแห้งกรอบเป็นผุยผงในทันที

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน!”เขาตวาดลั่น

“นามของข้าคือรัคเชนน์” ร่างนั้นตอบ “และข้าก็กล้าออกคำสั่งกับเจ้า จอมปิศาจจงไสหัวออกไปจากป่านี่เสีย!”

คอร์ฟคาคาร์สถึงกับร้องออกมาอย่างโกรธจัด กรงเล็บทั้งห้ากางออก เปลวไฟที่ร้อนแรงลุกโชติช่วงอยู่ที่ปลายนิ้วทุกนิ้ว เพียงชั่วพริบตาเปลวเพลิงทั้งห้าก็พุ่งออกจากมือของจอมมารและวิ่งเข้าใส่ร่างของรัคเชนน์อย่างรวดเร็ว เขาเหวี่ยงดาบของตนมาเบื้องหน้าและหมุนเป็นวงราวกับใบพัด พร้อมกับร่ายมนต์อย่างรัวเร็ว กระแสลมอันเกิดจากการหมุนดาบสร้างอุโมงค์มืดสีดำสนิทขึ้นในใจกลางกระแสวายุ

แทนที่จะกลายเป็นพลังลมที่พัดพาทุกอย่างให้ปลิวออกไป กลับกลายเป็นอุโมงค์มรณะที่ดูดทุกๆสิ่งเข้าไปในตัวของมัน ลูกไฟทั้งห้าของจอมปิศาจหายวับเข้าไปในช่องมืดสีดำนั้นกลายเป็นเทหวัตถุที่ล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศอันมืดมิดไปจนตลอดกาล

“นี่มัน พลังอะไรกัน!” คอร์ฟคาคาร์สร้องคำรามออกมาอย่างตระหนกเมื่อพลังของอุโมงค์มรณะเริ่มแผ่ขยายกว้างออก ร่างของเขาเริ่มเคลื่อนเข้าไปในปล่องสีดำสนิทอย่างช้าๆ จอมมารฝืนตัวเต็มที่พร้อมกับท่องมนต์อย่างเร็ว ทั่วทั้งผืนป่ามืดลงเมื่อเมฆสีดำสนิทเคลื่อนเข้าบดบังดวงอาทิตย์ แสงแลบแปลบปลาบของสายฟ้าวิ่งไปมาภายในก้อนเมฆาเหล่านั้น

และ

เปรี้ยง!

สายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาที่ต้นไม้ใหญ่ข้างกายของรัคเชนน์จนแตกกระจาย เขาร้องออกมาคำหนึ่งก่อนถูกแรงอัดจากการระเบิดกระแทกร่างจนล้มกลิ้งไป พลังแห่งวังวนมืดสลายวูบหายไปในทันที รัคเชนน์รีบดันกายให้ลุกขึ้นพร้อมกับวาดดาบมาเบื้องหน้าอย่างว่องไวเมื่อเห็นเงาของจอมมารไหววูบเข้ามาหา เสียงร้องอุทานอย่างตกใจดังออกมาจากร่างภายใต้ผ้าคลุมนั้นเมื่อเขาเห็นลูกไฟที่ร้อนแรงพุ่งวาบเข้าใส่ อาวุธในมือถูกตวัดขึ้นเป็นจังหวะเดียวกันกับลูกไฟวิ่งเข้าปะทะกับร่างของรัคเชนน์เต็มที่ เปลวเพลิงที่ร้อนแรงลุกท่วมร่างจนถึงกับทรุดลงและนอนแน่นิ่งกองอยู่กับพื้น

คอร์ฟคาคาร์สเดินเข้าไปหยุดยืนมองดูซากเถ้าถ่านสีดำที่ยังคงครุกรุ่นอยู่ด้วยสายตาเย็นเยียบ จอมมารเผยรอยยิ้มออกมาก่อนกล่าว

“ข้าไม่คิดว่าพลังเพียงเท่านี้ก็สามารถทำลายเจ้าลงได้ เจ้าเอลฟ์โอหัง”

รัคเชนน์ยิ้มภายใต้ผ้าคลุมของเขาและลุกยืนขึ้น เสื้อคลุมซึ่งบัดนี้กลายเป็นเพียงถ่านสีดำร่วงพรูลงสู่พื้นดิน เขาสะบัดดาบพร้อมกับร่ายมนต์ออกมาคำหนึ่ง เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงรอบกายดับลงไปทันที

“อย่างน้อยพลังของเจ้าก็เผาผ้าคลุมของข้าได้ ไม่เลวเลยสำหรับจอมมารอ่อนหัด”

คอร์ฟคาคาร์สหัวเราะในลำคอขณะที่มองสำรวจคู่ต่อสู้ที่กำลังยืนอย่างท้าทายเบื้องหน้า
“ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้ที่กล้ามาต่อกรกับข้ามิใช่บุรุษหรือนักรบที่องอาจ หากแต่เป็นเพียงนางเอลฟ์ตนหนึ่งเท่านั้น”

“จะต้องให้ข้าบอกเจ้าอีกสักกี่ครั้งกันว่า ข้าไม่ใช่เอลฟ์!” รัคเชนน์ตวาดกลับอย่างแค้นเคือง “อย่าเอาข้าไปรวมกับพวกชั้นสูงน่ารังเกียจนั่นเป็นอันขาด”

“คงจะใช่” คอร์ฟคาคาร์สพูดพร้อมกับยิ้มในหน้า “ดูเหมือนเจ้าจะแตกต่างไปจากพวกนั้นใช่ไหม”

“ข้าไม่มีอะไรที่เหมือนพวกมันเลยสักนิด” รัคเชนน์สวนกลับแทบจะทันที ดวงหน้าที่แสนงดงามเชิดสูงขึ้นอย่างยะโสและไว้ตัว “ข้าเหนือกว่าเจ้าพวกนั้นหลายเท่านัก”

“ข้าเชื่อในข้อนั้น” จอมปิศาจหรี่ตาลงเล็กน้อย “เพราะตั้งแต่ข้าเข้ามาในมาร์วัลลัสนี่ ยังไม่เคยพบหรือประมือกับเจ้าพวกนั้นเลยสักตน”

“พวกมันคงหนีเอาตัวรอดกันไปหมดแล้วน่ะสิ” รัคเชนน์พูดด้วยสีหน้าดูถูก “พวกชนชั้นสูงมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ดีแต่พูดจาหรูหรา วางท่ายะโส เก่งแต่ลงโทษคนที่อ่อนแอกว่า พอถึงเวลาคับขันเข้าจริงๆก็หนีหายกันไปหมด”

“น่าแปลกที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของคนที่มีเชื้อสายวงศ์วานเดียวกัน” คอร์ฟคาคาร์ส กล่าว รัคเชนน์ทำตาลุกวาวขึ้นมา

“ข้ามีตรงไหนที่เหมือนพวกมัน!” ดาบในมือถูกกระชับแน่นและสั่นระริก ดูเหมือนจอมปิศาจจะรับรู้ถึงโทสะที่เริ่มจะควบคุมไม่ได้ของอีกฝ่าย ดวงตาสีแดงก่ำส่งประกายวาววับขณะที่พิจารณาร่างของคู่ต่อสู้เบื้องหน้า

แม้จะไม่ได้ใส่เกราะโลหะดังเช่นนักรบชาวเอลฟ์ทั่วไป แต่ชุดรัดรูปที่รัคเชนน์สวมใส่อยู่ก็ตัดเย็บมาจากหนังที่ลงอาคมมาอย่างดีซึ่งมีผลให้สามารถต้านกับพลังเวททุกชนิดได้ สีที่ดำมะเมื่อมของชุดขับผิวที่แลดูคล้ำกว่าเหล่าชาวมาร์วัลลัสทั้งหลายให้เด่นขึ้น รัดเกล้าที่ทำจากอัญมณีสีเทาบนหน้าผากแผ่พลังที่เย็นยะเยือกออกมายิ่งประกอบเข้ากับดวงตาสีหมอกควันแล้ว ทำให้รัคเชนน์แลดูงดงามยิ่งกว่าเอลฟ์ทั้งหลายหากแต่เป็นความงามที่แฝงไว้ซึ่งความน่าสะพรึง

คอร์ฟคาคาร์สหัวเราะ

“แน่นอนเจ้าไม่มีตรงไหนที่เหมือนพวกมัน” จอมมารแสยะยิ้ม “เพราะเจ้าคือดาร์คเอลฟ์”

ดุจคำที่ใช้เรียกขานนั้นคือประกายไฟ มันจุดโทสะที่คุกรุ่นของรัคเชนน์ให้ระเบิดขึ้นแทบจะทันทีที่จอมปิศาจกล่าวสิ้นคำ ดาบสีดำในมือตวัดชี้ตรงไปเบื้องหน้าพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างแค้นเคือง

“อย่าบังอาจใช้คำคำนี้เรียกข้า!” นางพุ่งตัวเข้าหาคอร์ฟคาคาร์สอย่างดุร้าย “ข้าคือ รัคเชนน์! เป็นอารักษ์ประจำป่าแห่งแซฟวี!”

คมดาบตวัดผ่านลำคอของจอมปิศาจชนิดฉิวเฉียด รัคเชนน์หมุนตัวกลับพร้อมกับเหวี่ยงดาบเข้าใส่คู่ต่อสู้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่คอร์ฟคาคาร์สทำเพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ปลายดาบของนางถูกพลังที่แข็งแกร่งบังคับให้หยุดค้างอยู่กับที่ มันห่างจากลำคอของจอมมารเพียงสองนิ้ว เสียงร้องอย่างแค้นเคืองดังออกมาจากใบหน้างดงาม ดวงตาสีหมอกควันทอประกายวาววับอย่างโกรธจัด แต่ก่อนที่จะทันได้ตัดสินใจลงมือกระทำการสิ่งใด มือที่แข็งแรงราวกับคีมของราชันย์ปิศาจก็ยื่นออกไปคว้าลำคอระหง เขาจงใจกดน้ำหนักมือลงไปอย่างช้าๆ

“ปล่อยดาบของเจ้าเสีย” คอร์ฟคาคาร์สพูดเสียงเย็น แต่รัคเชนน์กลับกระชับอาวุธของนางให้แน่นขึ้น

“ไม่!” คำตอบสั้นๆหลุดรอดริมฝีปากออกมา จอมมารบีบกระชับมือของเขาลงไปอีก

“ข้าจะให้เจ้าเลือกระหว่าง ปล่อยดาบและยอมศิโรราบต่อข้า หรือถูกหักคอตายอย่างไร้ค่าอยู่ที่กลางป่านี่”

เสียงหัวเราะแค่นๆดังออกมาจากรัคเชนน์ นางกุมด้ามดาบของตนเองเอาไว้มั่นพร้อมกับกล่าวโต้

“ศิโรราบต่อเจ้ารึ ฝันไปเถอะเจ้าจอมมาร” ดวงตาสีหมอกควันเบิกกว้างขึ้น “ นอร์! ”

สิ้นคำเวทที่กล่าวก้อง เสียง คลิก ดังออกมาจากด้ามดาบของนาง อัญมณีสีดำที่ประดับไว้ตรงปลายส่องแสงเจิดจ้าและหลุดออกจากสลัก มันแปรเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างรวดเร็วจนคอร์ฟคาคาร์สเองยังมองไม่ทัน กว่าเขาจะรู้ตัว อัญมณีสีดำที่กลายสภาพเป็นแท่งอันแหลมคมดุจมีดก็เสียบทะลุลงไปในทรวงอกด้านซ้ายของเขา มือที่กำลังบีบคอของรัคเชนน์คลายออกทันที

ดาร์คเอลฟ์สาวยืนมองดูร่างสูงทะมึนที่เดินถอยหลังออกไปสองสามก้าวด้วยสายตาสะใจ ความกระหยิ่มในชัยชนะฉาบฉายบนใบหน้างามชั่วขณะก่อนมลายหายไปเมื่อเสียงหัวเราะของจอมปิศาจดังขึ้น

“เก่งมากดาร์คเอลฟ์” เขาพูดพร้อมกับดึงมีดสั้นสีดำออกมาจากทรวงอกของตน มันกลายสภาพกลับไปเป็นอัญมณีสีกาฬเช่นเดิม ราชันย์มารกลิ้งมันไปมาบนมือก่อนจะโยนส่งคืนให้กับรัคเชนน์

“มีเจ้าเป็นคนแรกที่สามารถแทงข้าได้” น้ำเสียงที่ใช้เจือความชื่นชมน้อยๆ “ข้าคงตายไปแล้วหากมีดนั้นแทงทะลุหัวใจของข้า”

“แต่.........ข้าแทงโดนหัวใจของเจ้า....”

“ถ้า........ข้ามีสิ่งที่เรียกว่า หัวใจ” คอร์ฟคาคาร์สกล่าวเน้นทีละคำพร้อมกับย่างสามขุมเข้าไปหารัคเชนน์ “ข้าคงจะดับชีพลงสมดังใจของเจ้า”

“เป็นไปไม่ได้” นางคราง “ในโลกนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ไม่มีหัวใจ”

“ข้า คือสิ่งที่เป็นไปได้” จอมมารกล่าวพร้อมกับผายมือทั้งสองข้างของตนเองออก “และเจ้าเองเช่นกัน”

“ข้า มีหัวใจ”

“เจ้าแน่ใจหรือ” คอร์ฟคาคาร์สย้อน “ข้าไม่สัมผัสถึงความอบอุ่นในหัวใจของเจ้าเลยสักนิด รัคเชนน์ สิ่งที่เจ้ามีอยู่ในเวลานี้มันเป็นเพียงความชิงชัง และความเกลียด เจ้าเหมาะที่จะยืนอยู่ข้างข้ามากกว่าทำหน้าที่เพียงผู้รักษาป่าแห่งนี้”

“อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้ายินดีที่จะยอมรับใช้”

“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไปรับใช้ แต่จะให้เจ้าตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะปกครองโลกนี้ หรือซ่อนตัวราวคนผิดอยู่ในป่านี่ไปจนตลอดกาล รอให้เจ้าพวกชั้นสูงนั่นกลับมาลากเจ้าออกไปประหาร”

“ข้าเพียงแต่รักษาป่าแห่งนี้เพื่อปกป้องสุสานอันเป็นที่รักของแม่และพ่อของข้าเท่านั้น”

“แต่ข้าคิดว่าเจ้าพวกเอลฟ์กับเหล่าจอมเวทนั่นไม่คิดเช่นนั้น” จอมปิศาจหรี่ตาลง “พวกมันอาจจะคิดว่าเจ้าคือหนึ่งในศัตรูที่สมควรถูกกำจัดก็เป็นได้” คอร์ฟคาคาร์สยืดตัวขึ้นพร้อมกับยืนมือออกไปข้างหน้า

“จะอยู่ที่นี่อย่างคนเฝ้าสุสาน หรือไปกับข้าเพื่อปกครองพวกมัน”

รัคเชนน์มองหน้าจอมมารนิ่งราวกับไตร่ตรอง นางหันไปมองรอบตัวอีกครั้ง แสงวิบวับที่ซ่อนเร้นอยู่ตามพุ่มไม้ทำให้ดาร์คเอลฟ์สาวรู้ว่าเหล่านิมป์กำลังวิตกกังวลและหวาดกลัวต่อราชันย์ปิศาจและบริวารของเขา นางถอนหายใจหนักๆ

“ข้าจะไปกับเจ้าก็ต่อเมื่อเจ้าสัญญาว่าเจ้า รวมถึงบริวารทุกชนิดของเจ้าจะไม่แตะต้องป่าแห่งนี้แม้แต่หายใจรด เจ้าจอมปิศาจ”

“เจ้าจะเป็นคนแรกที่ข้ายอมตกลงให้คำสัญญา” คอรฟ์คาคาร์สกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะยืนอยู่ฝ่ายเจ้า” รัคเชนน์ตอบพลางเก็บดาบกลับเข้าฝัก เสียงเหล่านิมป์และแฟร์รี่รวมทั้งต้นไม้ใหญ่น้อยพากันร้องครวญครางขึ้นราวกับห้ามมิให้นางตัดสินใจเช่นนั้น ทุกสิ่งเงียบเสียงลงในทันทีเมื่อสายตาอันดุดันของจอมมารกวาดมอง

“ข้าจะยกชายแดนแห่งแซฟเวจย์ด้านแม่น้ำที่มีอาณาเขตติดต่อกับมาร์วัลลัสไปจนถึงแซฟวีให้กับเจ้า เจ้าจะทำอย่างไรกับมันก็ได้ จะไม่มีบริวารตนใดของข้าเข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวายในอาณาเขตของเจ้าแม้เพียงสักตัว”

“ข้าจะสังหารพวกมันทันทีที่พบเช่นเดียวกัน” รัคเชนน์ตอบเสียงเย็น “จงนำพวกของเจ้าอ้อมไปทางอีกด้านหนึ่งของภูเขา หากประสงค์จะรุกรานแซฟวี ห้ามย่ำรอยเท้าผ่านป่าแห่งนี้เป็นอันขาด”

“ข้าคิดว่าเจ้าจะร้องขอมิให้ข้าไปทำลายแผ่นดินของเหล่านักปราชญ์นั่น” คอร์ฟคาคาร์สทำสีหน้าคล้ายแปลกใจ รัคเชนน์กระตุกรอยยิ้มที่แสนเย็นชาบนมุมปากก่อนตอบ

“ข้าไม่มีพันธะใดๆกับแผ่นดินนั้นตั้งแต่พวกมันสังหารบิดาของข้าเมื่อร้อยปีก่อน” นางหมุนตัวหันหลังให้กับจอมมาร “เจ้าจะสังหารผลาญพร่าผู้ใดบนแผ่นดินนั้นก็ตามแต่ใจของเจ้า คอร์ฟคาคาร์ส”


รัคเชนน์เดินออกไปจากที่นั้นทันทีที่กล่าวจบ นิมป์ตนหนึ่งโผบินออกจากที่ซ่อนและตามหลังนาง แต่จอมมารกลับคว้ามันและบีบร่างเอาไว้ในอุ้งมือ

“ข้าจะให้เจ้าตามนางไป แต่ในฐานะสาวกของข้า” กรงเล็บที่คมกริบจิกลงไปบนขมับทั้งสองข้าง นิมป์ตนนั้นอ้าปากคล้ายกำลังส่งเสียงกรีดร้อง หากแต่พลังของจอมปิศาจสะกดพลังเสียงนั้นเอาไว้ ร่างเล็กๆสั่นระริกอย่างเจ็บปวดและสงบลง

“จงคอยติดตามดาร์คเอลฟ์ตนนั้นอย่าให้คลาดสายตา เมื่อใดที่นางคิดคดทรยศต่อข้า จงรีบส่งข่าวให้ข้ารู้โดยเร็ว”

เสียงรับคำสั่งที่ฟังคล้ายระฆังจิ๋วดังขึ้นหนึ่งครั้ง นิมป์ตัวน้อยลืมตาที่เป็นสีแดงก่ำขึ้น ก่อนจางลงไปเป็นสีฟ้าสดใสเช่นเดิม ปีกบางใสสีเงินกระพือรัวเร็วพาร่างเล็กบินตามหลังรัคเชนน์ไป ดาม่อนก้าวเข้ามายืนด้านหลังคอร์ฟคคาร์สอย่างเงียบๆ

“มาร์วัลลัสเป็นอย่างไรบ้าง”

“คนของข้าไม่พบผู้ใดในดินแดนนี้แม้เพียงเงา” หัวหน้าโจรกล่าวตอบอย่างนอบน้อม จอมมารหันไปทางเขาพร้อมกับออกคำสั่ง

“จงถอนกำลังคนของเจ้าออกจากที่นี่แล้วไปตั้งรอที่เชิงเขาด้านใต้ชายแดนแซฟวี เราจะบุกทำลายอาณาจักรปราชญ์เหล่านั้นทันทีที่แสงตะวันลับขอบฟ้าของวันพรุ่งนี้ สังหารทุกคนให้หมด นำเหยื่อกลับไปให้ข้าที่แซฟเวจย์ทั้งมีลมหายใจ ข้าจะสั่งให้เหล่าบริวารผีดิบของข้ารับฟังคำของเจ้าดุจเดียวกันกับคำสั่งจากปากของข้า ไปได้ดาม่อน ข้าจะรอฟังข่าวความพินาศของเหล่านักปราชญ์บนปราสาทแห่งแซฟเวจย์”

ราชันย์ปิศาจเปล่งเสียงคำรามออกมาหนึ่งคำ มันดังสะท้อนก้องไปจนทั่วหุบเขาและผืนป่า เสียงร้องโหยหวนของเหล่าผีดิบและบริวารอมนุษย์ดังตอบกลับมา จอมมารแสยะยิ้มอย่างพอใจก่อนร่างในชุดผ้าคลุมสีดำทะมึนจะจางหายไป ดาม่อนถอนหายใจและเดินย้อนลงไปทางใต้ ที่นั่นเขาพบกองทัพของเหล่าผีดิบและสมุนของเขา ทั้งหมดเดินทางข้ามช่องเขาเพื่อบุกไปทำลายอาณาจักรแห่งนักปราชญ์ แซฟวี ตามบัญชาของคอร์ฟคาคาร์ส ควันไฟอันเกิดจากการเผาผลาญบ้านเรือนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในตอนค่ำของวันรุ่งขึ้น

แทบทุกชีวิตในดินแดนผู้รู้สิ้นชีพลงภายในเวลาเพียงชั่วคืน


*-*-*-*-*-*

รัคเชนน์




Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 8 มีนาคม 2554 9:41:05 น.
Counter : 538 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี