ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 3 การจองจำ
<3>

การจองจำ

ดาม่อนยืนนิ่งฟังเสียงร้องคำรามของเหล่าผีดิบที่ดูเหมือนจะสนุกสนานกับการไล่ล่าพลเมืองแห่งมาร์วัลลัสซึ่งแม้บางคนจะมีเวทมนตร์ตอบโต้แต่เนื่องจากบริวารของจอมมารเหล่านี้เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ จึงทำได้แค่เพียงทำลายชิ้นส่วนของร่างกายอันเน่าเปื่อยของพวกมันลงได้เท่านั้น ประกอบกับพลังอำนาจวิเศษของน้ำพุนิรันดร์ที่เคยคุ้มครองป้องกันอาณาจักรได้ถูกทำลายลงจนสิ้น มาร์วัลลัสในยามนี้จึงเปรียบเสมือนต้นไม้ผุซึ่งแม้เพียงสัมผัสก็หักโค่นลงได้

หัวหน้าโจรหันหน้าไปมองราชวังสีขาวสะอาดที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า รัศมีสีทองซึ่งเคยฉายแสงเจิดจรัสรอบอาคารมลายหายไปสิ้น

บัดนี้ราชฐานอันสูงส่งขององค์ราชินีมีย์อาร์ดูหมองหม่นทรุดโทรมจนไม่น่าเชื่อ ดาม่อนเดินตรงไปยังประตูวังที่สร้างจากทองสุกอร่ามจำหลักลวดลายอันวิจิตรที่ปิดสนิทอยู่ เพียงแค่เขายกมือขึ้นสัมผัสกับประตูนั้น ก็บังเกิดเสียงสะท้อนจนดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ จากนั้นบานประตูหนาหนักทั้งสองก็พังครืนลงไปในบัดดล

เสียงฝีเท้าของผู้คนจำนวนมากวิ่งกรูกันมายังช่องประตูซึ่งบัดนี้กลายเป็นช่องเปิดโล่ง แสงสว่างวาบมองดูคล้ายลูกศรหลายสายพุ่งเข้าใส่ร่างของดาม่อน เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้อง ธนูเวทเหล่านั้นแตกกระจายและสลายทันทีที่เข้าใกล้ร่างหัวหน้าโจรเพียงแค่ระยะห่างสามก้าว

เหล่าองครักษ์แห่งราชินีถึงกับถอยหลังออกไปด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเงาโปร่งสีดำไหวตัววูบวาบอยู่เบื้องหลังของดาม่อนแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะร่ายเวทเพื่อจู่โจม คลื่นพลังที่รุนแรงจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ถาโถมเข้ากระแทกร่างทุกคนจนกระเด็นไปกระแทกกับผนังกำแพงวัง เสียงแตกของกระดูกดังราวกิ่งไม้หัก ร่างองครักษ์แห่งราชินีเลื่อนไหลครูดลงมากองกับพื้นแลดูคล้ายเศษผ้าเปื้อนเลือดจนโชกชุ่ม เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังออกมาจากเงาโปร่งสีดำนั้น

“เจ้าจงรอข้าอยู่ที่นี่ ดาม่อน ข้าจะไปจัดการกับเจ้าจอมเวทหญิงนั่นเอง”

“ขอรับท่านจอมมาร” ดาม่อนรับคำสั่งอย่างนอบน้อม เงาสีดำไหววูบลอยขึ้นไปยังด้านบนของราชวังอย่างรวดเร็ว


*/*/*/*/*

เส้นทางขึ้นสู่ท้องพระโรงอันเป็นที่ประทับขององค์ราชินีแห่งมาร์วัลลัสนั้นแปลกประหลาดยิ่งนักเพราะไม่มีบันไดให้ก้าวเดินขึ้นไปยังชั้นบนดังเช่นราชวังอื่น ประตูทางเข้านั้นเชื่อมต่อกับใจกลางช่องว่างรูปครึ่งวงกลม ไม่มีระเบียงหรือพื้นผิวใดๆที่มนุษย์ธรรมดาสามารถยืนหรือเดินไปมาได้ เหล่าองครักษ์ของพระองค์ล้วนลอยตัวอยู่กลางอากาศปิดบังทางเข้าออกไว้อย่างแน่นหนา อาวุธที่เปี่ยมไปด้วยพลังเวทถูกกระชับในมือมั่นขณะสายตาทุกคู่จับจ้องมองเขม็งไปยังช่องว่างอันเป็นเส้นทางเดียวที่ขึ้นสู่ด้านบน

ทุกคนเบิกตากว้างอย่างตระหนกเมื่อเห็นเงาสีดำเลื่อนลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สายลมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันชั่วร้ายของจอมมารสร้างความกดดันในอากาศจนองครักษ์เวทบางคนไม่อาจสร้างม่านพลังต้านได้ โลหิตของพวกเขาไหลทะลักออกมาจากจมูกและปากหยดลงสู่พื้นราชวัง ร่างในชุดเกราะที่แลดูสง่างามของพวกเขาถึงกับสั่นสะท้านเมื่อเห็นเงาสีดำที่กำลังลอยอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าซีดน่าสะพรึงปรากฏขึ้นกลางม่านหมอกสีดำนั่น รอยยิ้มเหยียดหยันแสยะบนริมฝีปาก เสียงก้องกังวานดังขึ้น

“จงหลีกไปให้พ้น เจ้าพวกสวะ!”

อำนาจแห่งพลังเสียงนั้นสร้างคลื่นกระแทกรุนแรงมหาศาล มันเคลื่อนเข้าอัดร่างของเหล่าองครักษ์เวทจนร่วงหล่นลงไปยังเบื้องล่าง แม้มีหลายคนสามารถต้านพลังเสียงนั้นได้ แต่พวกเขาก็ถูกพลังที่แผ่ออกมาจากตัวของจอมมารบีบอัดจนร่างแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีไปโดยที่ยังมิทันได้อ้าปากร่ายเวทแม้เพียงสักคำ คอร์ฟคาคาร์สหัวเราะเสียงก้องอย่างสมใจ เขาเลื่อนเข้าไปหาบานประตูท้องพระโรงที่ปิดสนิทอยู่ด้วยสีหน้าลำพอง

เสียงเคลื่อนไหวหลังประตูบานนั้นเรียกรอยยิ้มอันเหื้ยมโหดออกมา เงาร่างสีดำที่ลอยอยู่กลางอากาศเริ่มเปล่งพลังแสงสีแดงเพลิงจนทั่วทั้งร่างลุกสว่างกลายเป็นลูกไฟ คลื่นพลังอัคคีจากกายของเขาวิ่งกระแทกเข้ากับบานประตูอย่างแรงจนสั่นสะเทือน แต่มิอาจทำลายมันลงได้เพราะพลังของเหล่าจอมเวทชั้นสูงที่ปกป้องคุ้มครององค์ราชินีภายในนั้นช่วยกันสร้างม่านอาคมป้องกันอย่างแข็งแรง

จอมปิศาจร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ เขายกแขนของตนขึ้นและยื่นออกไปข้างหน้า เสียงพร่ำมนตราต่ำระรัวเร็วสร้างคลื่นพลังงานอันมหาศาลขึ้น อากาศโดยรอบเคลื่อนไหวเป็นระลอกราวกับคลื่นน้ำจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันถาโถมเข้ากระแทกกับบานประตูอย่างรุนแรงถึงสามครั้ง เสียงระเบิดดังกึกก้องจนทั้งปราสาทสั่นทะเทือน รากฐานของราชวังถึงกับทรุดตัวลงและเกิดรอยแตกร้าว

บานประตูหนาหนักซึ่งเหล่าจอมเวทช่วยกันปกป้องก็พังทลายลงเป็นชิ้นๆ เสียงร้องอุทานอย่างตื่นตระหนกดังเซ็งแซ่

“คุ้มครององค์ราชินี อย่าให้เจ้าจอมมารชั่วนั้นเข้ามาทำร้ายพระองค์ได้!”

เสียงของเหล่าผู้คุ้มครองราชินีแห่งมาร์วัลลัสร้องขึ้น ผู้ทรงเวทในชุดเสื้อคลุมยาวสี่ห้าคนรีบยืนล้อมรอบกายขององค์มีย์อาร์อย่างรวดเร็วและตั้งท่าเตรียมรับการจู่โจม ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นร่างสีดำทะมึนลอยเลื่อนเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ และหยุดตรงหน้าอย่างท้าทาย จอมเวทผู้หนึ่งเอ่ยตวาดด้วยเสียงอันดัง

“ที่นี่มิใช่ที่ที่ปิศาจเช่นเจ้าจะเข้ามาเดินเล่น จงกลับออกไปเสียก่อนที่พวกข้าจะปลิดชีวิตและส่งดวงวิญญาณของเจ้าลงไปยังขุมนรก!”

คอร์ฟคาคาร์สชายตามองดูจอมขมังเวทผู้นั้นด้วยหางตา แม้ดวงหน้าซีดของเขาจะชาเย็นไร้ความรู้สึก แต่ดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์นั้นบ่งบอกถึงความพิโรธของจอมปิศาจที่มีต่อคำพูดประโยคเมื่อครู่ได้ดีที่สุด จอมมารเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและแสยะยิ้ม

“เจ้ากล่าวได้ถูกต้องที่สุด ที่นี่มิใช่ที่สำหรับการเดินเล่น แต่เป็นห้องเก็บศพของเจ้า!”

ร่างของจอมขมังเวทปากกล้าสั่นเทิ้มแทบจะทันทีที่คอร์ฟคาคาร์สกล่าวจบ เขาทรุดกายลงนั่งขณะที่แขนทั้งสองข้างกลับกางออกจนสุดหล้าราวกับถูกตรึง ดวงตาของจอมเวทผู้นั้นเหลือกลานด้วย ความหวาดกลัวและเจ็บปวด เขาอ้าปากคล้ายจะส่งเสียงร้องครางออกมาแต่ไม่อาจทำได้เนื่องจากลิ้นที่บวมจนคับ ร่างทั้งร่างโป่งพองออกทีละน้อย ดวงตาเบิกกว้างกลิ้งกลอกไปมาและปูดโปนถลน ดุจมีลมอัดออกมาจากกาย โลหิตแดงฉานไหลทะลักออกมาทุกทวารราวกับน้ำพุเลือด

จอมปิศาจมองดูภาพนั้นด้วยสีหน้าเบิกบานใจก่อนเลื่อนสายตาไปยังเหล่าผู้ทรงเวทที่เหลือ

“ใครคือผู้กล้ารายต่อไป!” เขากล่าวพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังออกมาจากร่างของจอมเวทผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น ซึ่งบัดนี้กลายเป็นเพียงกองเศษซากเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วห้อง กลิ่นเหม็นคาวน่าสะอิดสะเอียนตลบอบอวลชวนคลื่นไส้ เหล่าผู้ทรงเวทที่เหลือทำท่าเหมือนคนไม่สบายในขณะที่คอร์ฟคาคาร์สนั้นสูดลมหายใจเข้าด้วยท่าทางสดชื่น

“เจ้าคิดว่าการทำลายพวกข้าได้หนึ่งคนนั้นคือความเก่งกาจแล้วอย่างนั้นหรือ” จอมเวทในเสื้อคลุมสีฟ้าพูดขึ้น จอมปิศาจยิ้มอย่างน่ากลัวก่อนจะตอบ

“แล้วคิดว่าวาจากล้าเช่นนั้นจะทำให้เจ้ารอดหรือ” จอมมารยกแขนของเขาขึ้น แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงขององค์ราชินีมีย์อาร์ร้องห้าม

“จงหยุดโทสะของท่านก่อนเถิด คอร์ฟคาคาร์ส”

จอมปิศาจเลื่อนสายตาของเขามองตรงไปยังใจกลางกลุ่มของเหล่าจอมเวท พวกเขาพากันน้อมกายลงเมื่อองค์ราชินีของเขาทรงดำเนินออกมายืนเบื้องหน้าอย่างสง่า ดวงตาสีทองจับจ้องมองดูคอร์ฟคาคาร์สอย่างไม่กลัวเกรง หัตถ์ที่แสนงดงามยกขึ้นราวกับจะห้ามมิให้เหล่าจอมขมังเวทผู้ภักดีเอ่ยวาจาทักท้วงใดๆ

“ราชินีมีย์อาร์” จอมมารกล่าวทักอย่างยะโสขณะจ้องร่างงามเบื้องหน้าเขม็ง แม้จะปราศจากความหวั่นเกรง แต่คอร์ฟคาคาร์สกลับรู้สึกถึงความสั่นคลอนลึกๆภายในกายของตนจนตัวของเขาเองรู้สึกแปลกใจ

“ท่านอุตส่าห์มาเยือนเราจนถึงถิ่น ขออภัยที่มิได้ให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ” องค์มีย์อาร์กล่าวด้วยพระสุรเสียงหวานแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

จอมปิศาจยิ้ม

“เพียงทหารสวะที่เจ้าส่งออกมาให้ข้าได้ฉีกแขนฉีกขาเล่น ก็สร้างความบันเทิงใจอย่างเหลือล้นแล้ว”

“เรายินดีที่ท่านชอบ” องค์ราชินีแห่งมาร์วัลลัสกล่าวตอบ “แต่ท่านคงมิได้มาพบกับเราด้วยเรื่องเล่นสนุกเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่”

“ข้ามานี่เพื่อกำจัดจอมเวทอย่างพวกเจ้า” คอร์ฟคาคาร์สกล่าวตรงๆ ดวงตาส่งแสงวาววับเมื่อเห็นเหล่าองครักษ์เริ่มขยับตัว แต่องค์มีย์อาร์กลับยกหัตถ์ขึ้นห้าม

“เราไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจต่อกัน เหตุใดท่านจึงได้มีความประสงค์เช่นนั้น”

“เพราะข้าต้องการเช่นนั้น” จอมมารตอบเสียงห้วน และยกมือขึ้น “ข้าไม่ต้องการการเจรจาอีกต่อไปแล้ว จงดับสิ้นไปเสียเถิด ราชินีมีย์อาร์”

เปลวเพลิงสีแดงฉานสว่างวาบขึ้นพร้อมกับแสงสีทองอร่ามเจิดจ้าบาดตา เหล่าจอมเวทที่ยืนรายล้อมราชินีของพวกเขาถูกพลังอันเกิดจากแรงปะทะของสองอาคมจนกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง ส่วนคอร์ฟคาคาร์สนั้นเซถลาถอยหลังไปสองสามก้าวในขณะที่ราชินีแห่งมาร์วัลลัสนั้นยังคงยืนประทับนิ่งอยู่กับที่ มีเพียงดวงเนตรของพระนางเท่านั้นที่ฉายแสงแรงกล้าออกมา

“ไม่น่าเชื่อ เจ้ายังคงมีพลังหลงเหลืออยู่อีกหรือนี่” จอมมารกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจมากกว่าหวาดกลัว องค์มีย์อาร์ทรงยิ้มก่อนตรัสตอบ

“พลังของเรานั้นสูญไปตั้งแต่น้ำพุนิรันดร์แปรเปลี่ยน เวลานี้มีเพียงอำนาจแห่งองค์เทพเบื้องบนเท่านั้นที่คอยปกป้องคุ้มครองเรา ท่านจอมมาร”

คอร์ฟคาคาร์สคำรามลั่นอย่างขุ่นแค้นขณะยกมือของตนขึ้นอีกครั้ง พลังเพลิงอันเกิดจากโทสะและความชังพุ่งเข้าใส่ร่างในชุดสีขาวที่แสนงดงามของราชินีมีย์อาร์ ดังเช่นในครั้งแรก แสงสีทองอร่ามสว่างวาบขึ้นล้อมรอบกายของพระนางราวกับโล่ห์ มันสลายพลังเพลิงของจอมปิศาจจนแตกกระจาย บางส่วนของพลังยังสะท้อนกลับคืนไปยังเจ้าของจนจอมมารถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าว ความโกรธเกรี้ยวที่พลุ่งพล่านในหัวใจทวีความรุนแรงขึ้นจนใบหน้าซีดขาวแปรเปลี่ยนไปเป็นสีม่วงคล้ำ คอร์ฟคาคาร์สหันไปคว้าลำคอของจอมเวทคนหนึ่งซึ่งล้มอยู่ข้างๆและออกแรงบีบจนแหลกเละคามือโดยที่ผู้เคราะห์ร้ายนั้นยังไม่ทันได้อ้าปากร้องเพียงสักคำ เขาเหวี่ยงร่างนั้นทิ้งราวกับระบายอารมณ์

“ข้าจะคอยดูว่าพลังของเทพพวกนั้นจะปกป้องเจ้าไปได้สักแค่ไหน!”

สิ้นคำ คอร์ฟคาคาร์สยื่นมือของเขาออกไปข้างหน้า เสียงท่องเวททุ้มต่ำรัวเร็วดังขึ้น ใจกลางฝ่ามือของจอมมารพลันบังเกิดเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้ม มันเต้นระริกราวกับมีชีวิต รอยยิ้มที่แสนเย็นชาฉาบบนมุมปากซีดเซียว

“ในเมื่อสังหารเจ้าไม่ได้ ข้าก็จะกักขังเจ้าเอาไว้ในเพลิงอัตตานี่แทน!”

เปลวไฟในฝ่ามือของจอมปิศาจเปล่งแสงเจิดจ้าและแตกออกเป็นสายเส้นเพลิงสีน้ำเงินเข้มโอบล้อมรอบกายขององค์ราชินีแห่งมาร์วัลลัส รัศมีสีทองแห่งทวยเทพทอประกายขึ้นอีกครั้ง แต่ในคราวนี้มันไม่สามารถทำลายเพลิงอัตตาลงไปได้ เนื่องจากพลังที่จอมมารสร้างขึ้นมิได้มีเจตนามุ่งหวังทำลายดังเช่นคราวแรก แสงสีทองจึงสลายหายไป เหลือเพียงอัคคีสีน้ำเงินซึ่งบัดนี้ขยายตัวออกกลายเป็นที่กักขังรูปทรงกลมโดยมีร่างอันแสนงดงามของราชินีมีย์อาร์ยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ภายใน

เหล่าองครักษ์เวทที่ถูกพลังของจอมมารทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บนอนกลิ้งเกลื่อนกลาดโดยรอบองค์ราชินีของพวกเขาพยายามดันกายให้ลุกขึ้นพร้อมกับร้องเรียกเจ้าเหนือหัวของพวกตนอย่างตระหนก

“องค์มีย์อาร์!”

คอร์ฟคาคาร์สหันไปถลึงตาจ้องมององครักษ์เวทที่ส่งเสียงตะโกน ร่างของเขาลอยขึ้นไปอากาศอย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามร่ายเวทเพื่อตอบโต้ แต่ด้วยพลังกายที่บาดเจ็บทำให้การรวบรวมจิตกระทำได้อย่างยากลำบาก เพียงแค่จอมมารแสยะยิ้มออกมา ร่างขององครักษ์ผู้เคราะห์ก็ถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงวังอย่างแรง เขาร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อกระดูกและอวัยวะภายในถูกอัดทำลายจนแหลกเหลวก่อนจะสิ้นใจ

“น่าเสียดายที่คนของเจ้าแก่เกินไป เนื้อหนังของมันทั้งเหนียวและจืดชืดเสียจนข้ากลืนกินไม่ลง” จอมปิศาจกล่าวพลางยกมือขึ้นและแลบลิ้นเลียคราบเลือดที่ติดปลายนิ้วขณะสายตากวาดมองไปรอบๆอย่างดุร้าย

“แม้แต่โลหิตก็ยังหอมหวานสู้เลือดของทารกไม่ได้”

“เจ้าปิศาจชั่ว!” องครักษ์เวทอีกคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างเหลืออด ใบหน้าของคอร์ฟคาคาร์สกระตุกเล็กน้อยก่อนจะกล่าว

“นับเป็นคำชมจากพวกจอมเวทที่ข้ายินดีรับฟังอย่างเต็มใจ” จอมมารวาดมือออกไปข้างหน้าและกางเล็บออก เพลิงสีแดงสดพวยพุ่งเข้าใส่ร่างองครักษ์เวทผู้นั้นอย่างรวดเร็ว รัศมีสีทองสว่างขึ้นอีกครั้งมันปะทะกับพลังไฟของเขาจนแตกกระจาย คอร์ฟคาคาร์สขวมดคิ้วอย่างฉงนก่อนเลื่อนสายตาไปทางองค์มีย์อาร์ พระนางลดหัตถ์ลงพร้อมกับทรงตรัส

“เจ้ากักขังเราแล้ว ไยจึงคิดทำร้ายคนของเราอีก ท่านจอมปิศาจ”

“เพราะข้าไม่อยากเห็นอาณาจักรของเจ้ามีสิ่งมีชีวิตเหลือรอดเพียงสักคน มีย์อาร์” จอมมารตอบเสียงเหื้ยม ราชินีแห่งมาร์วัลลัสส่ายพระพักตร์อันงดงาม

“เห็นทีเราคงไม่อาจปล่อยให้ท่านสมปรารถนาได้” ทันทีที่สิ้นเสียงของพระนาง แสงสีทองเจิดจ้าสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง มันเจิดจรัสบาดตาเสียจนจอมปิศาจต้องยกมือของตนขึ้นป้องใบหน้า เสียงสายลมอื้ออึงพัดกรรโชกรุนแรงอยู่ภายนอกปราสาทดังเสียจนหูทั้งสองข้างไม่สามารถสดับสำเนียงอื่นได้

เมื่อลำแสงอ่อนกำลังลงจนสามารถมองสิ่งต่างๆรอบตัว คอร์ฟคาคาร์สจึงลดมือของตนเอง เขามองไปโดยรอบด้วยความรู้สึกแปลกใจที่ไม่พบร่างของจอมเวทใดๆนอกจากองค์มีย์อาร์ซึ่งยังคงประทับยืนอยู่ภายในเพลิงเวทอันเป็นที่กักขังเพียงผู้เดียว จอมมารร้องคำรามในลำคอก่อนเอ่ยถามเสียงต่ำ

“เจ้านำพวกมันไปซ่อนไว้ที่ใด มีย์อาร์!”

“เรามิได้เป็นผู้นำพวกเขาไป หากแต่เป็นเหล่าทวยเทพต่างหากที่ทรงเมตตานำทุกคนหลบลี้ภัยออกไปจากราชอาณาจักรแห่งนี้”

“เจ้าว่าทุกคนอย่างนั้นหรือ”

“ท่านฟังไม่ผิด คอร์ฟคาคาร์ส” ราชินีแห่งมาร์วัลลัสทรงตรัสตอบพลางประสานมือของพระองค์ไว้ด้านหน้าด้วยสีพระพักตร์สงบ ต่างจากใบหน้าของจอมปิศาจซึ่งขมืงตึงอย่างเกรี้ยวกราด

“ไม่ว่าพวกมันจะพาคนของเจ้าไปซ่อนไว้ที่ใด ข้าก็จะตามไปสังหารให้สิ้น แม้จะต้องบุกขึ้นไปถึงแผ่นดินของเหล่าทวยเทพที่เจ้านับถือ”

“ท่านคงไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น คอร์ฟคาคาร์ส” องค์มีย์อาร์ตรัสอย่างเยือกเย็นพร้อมกับยิ้ม “เพียงแค่สังหารเราท่านยังไม่อาจกระทำได้ แล้วยังคิดว่าจะสามารถขึ้นไปต่อกรกับเหล่าทวยเทพได้อีกหรือ”

“ข้าจะทำให้เจ้าได้ประจักษ์!” จอมมารพูดด้วยน้ำเสียงคำรามก่อนยื่นหน้าไปถลึงตาจ้องพระนางจนใกล้ “ข้าจะให้เจ้ายืนมองดูบริวารของข้าผลาญชีวิตทุกชีวิตบนโลกแห่งนี้ ข้าจะฉีกเนื้อสูบเลือดทารกกินอย่างสุขสำราญโดยที่เจ้าทำได้แต่เพียงยืนมองดูอยู่ภายในเพลิงเวทของข้า และไม่อาจมอบความช่วยเหลือใดๆกับเจ้าพวกต่ำช้าเหล่านั้นได้ มีย์อาร์!”

“มนุษย์เหล่านั้นจะดิ้นรนต่อต้านท่านจนถึงที่สุด” ราชินีแห่งอาณาจักรจอมเวทกล่าว จอมปิศาจเงยหน้าและส่งเสียงหัวเราะดังก้องทั่วท้องพระโรง

“มนุษย์!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด “เจ้าพวกไร้ค่าชั้นต่ำเหล่านั้นรึจะหาญกล้ามาต่อต้านข้า พวกมันเหมาะกับการเป็นเครื่องเล่นและอาหารของข้ามากกว่า อย่าพูดจาให้ข้าต้องขันมากไปกว่านี้เลย มีย์อาร์”

ทันทีที่กล่าวจบ จอมปิศาจร้ายก็เปล่งวาจาออกมาด้วยภาษาและสำเนียงต่ำทุ้มกังวานสะท้อนก้องไปจนทั่วท้องพระโรง แรงอัดอากาศอันเกิดจากพลังเสียงนั้นทำให้ราชวังแห่งมาร์วัลลัสถึงกับสั่นสะเทือน เสียงแตกร้าวดังขึ้นโดยรอบ และเมื่อวาจาอันน่าขนลุกนั้นสิ้นสุดลง รอยยิ้มที่แสนน่าชังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันน่ากลัว

“ข้าสั่งให้เหล่าบริวารของข้าทุกตัวสังหารสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่พวกมันพบ ทุกอาณาจักร ทุกดินแดน อีกไม่นานหรอกมีย์อาร์ จะมีเพียงข้าเท่านั้นที่ได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นพิภพแห่งนี้ โดยมีเจ้าเป็นเครื่องประดับแสนงดงามตั้งอยู่ที่ประตูทางเข้าปราสาทแห่งความตายของข้า จงยืดชีวิตอันเป็นนิรันดร์ของเจ้าให้ถึงวันนั้นเถิด ราชินีแห่งมาร์วัลลัส!”

จอมปิศาจหัวเราะเสียงหยามหยันอีกครั้งก่อนลอยตัวสูงขึ้นและจางหายไปอย่างรวดเร็ว ราชินีแห่งมาร์วัลลัสทรงถอนพระทัยก่อนมองออกไปด้านนอกหน้าต่างด้วยพระพักตร์ที่แสนเศร้าสลด

“ความลำพองใจของเจ้าจะยังคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก จอมปิศาจ มนุษย์อาจจะไร้ค่าแต่ไม่อ่อนแอดังเช่นที่เจ้าคิด พวกเขาจะตามล่าสังหารเจ้าจนถึงที่สุด เจ้าจะสิ้นชีพลงด้วยน้ำมือของผู้ที่ถูกมองว่าไร้พิษภัย คอร์ฟคาคาร์ส”


*/*/*/*/*/*/*/*/*

วรรณยุกต์บางตัวอาจจะผิดนะคะเพราะถ้าตัดแยกคำมันจะกลายเป็นคำหยาบไปค่ะ

คอร์ฟคาคาร์ส





Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 8 มีนาคม 2554 9:29:31 น.
Counter : 406 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี