ยมทูต บทที่ 13 การฝึกของอัคนี

บทที่ 13

การฝึกของอัคนี

ยมบาลสัตตภูมิยืนมองกุ้งนาง หญิงสาวที่ถูกวิญญาณผีร้ายสังหารอย่างพิจารณา หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่หัวหน้าเหล่ายมทูตจึงตัดสินใจเอ่ยปากถาม

“เจ้าสามารถใช้พลังแห่งลมได้อย่างนั้นหรือ”

กุ้งนางทำหน้าสงสัยพลางเหลือบมองไปยังยมทูตสาว เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่แม้แต่จะสนใจฃำเลืองมองกลับมาเธอจึงตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่มั่นใจ

“ฉันไม่ทราบ”

“แล้วที่เรียกลมมาเป่ากระถางต้นไม้หรือสร้างอุโมงค์แห่งกาลล่ะ มันเกิดขึ้นด้ยังไง”

ยมบาลสัตตภูมิถามและมองหน้าหญิงสาวนิ่งราวต้องการสังเกตสีหน้าและปฏิกิริยาในการตอบของ กุ้งนางเม้มปากเม้มปากเล็กน้อย

“ตอนนั้นฉันแค่อยากช่วยแม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอะไรลงไปบ้าง”

หัวหน้าของเหล่ายมทูตเลิกคิ้วพร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“เจ้าไม่รู้ตัวเลยอย่างนั้นหรือ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน”

“ก็ฉันไม่รู้จริงๆนี่นา” กุ้งนางพูดด้วยความรำคาญ ยมบาลสัตตภูมิขมวดคิ้วและพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่ค่อยเชื่อหญิงสาวเท่าใดนัก

“ข้าเองก็อยากจะเชื่อเจ้าแต่จากที่ได้รับรายงานมาผู้ที่สร้างอุโมงค์แห่งกาลคือเจ้า โดยปรกติแล้วมีเพียงยมทูตผู้มีพลังแห่งลมเท่านั้นที่สามารถสร้างอุโมงค์นี้ได้ การที่เจ้าซึ่งเป็นแค่วิญญาณดิบกลับมีพลังธาตุถึงขนาดสร้างอุโมงค์นี้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก”

“ข้าคิดว่ามันอาจเป็นพลังแฝงที่ถูกดึงขึ้นมาใช้ได้เฉพาะในยามคับขัน อีกอย่างวิญญาณดิบตนนี้อาจเป็นหนึ่งในวิญญาณจากคำทำนาย ข้าจึงรีบพานางมาพบท่าน”

วายุรายงานด้วยสีหน้าและท่าทางเคร่งขรึม ท่านสัตตภูมิผงกศีรษะ

“เท่าที่ข้าทดสอบพลังวิญญาณเมื่อครู่ดูเหมือนวิญญาณดิบตนนี้จะเป็นหนึ่งในสี่ของวิญญาณธาตุ ในเมื่อเป็นแบบนี้คงต้องฝึกวิธีการใช้พลังให้ถูกต้องเหมือนวิญญาณที่อยู่กับอัคนีและพสุธา เนื่องจากนางเป็นผู้มีพลังแห่งสายลม ก็คงต้องให้เจ้าเป็นผู้ดูแล”

เขาหันไปทางยมทูตสาว อีกฝ่ายก้มศีรษะพร้อมกับกล่าวรับคำ ยมบาลสัตตภูมิจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้และกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“มีอีกเรื่อง ข้าเพิ่งได้รับรายงานจากพสุธาว่าพบหมอผีถูกสูบวิญญาณออกจากร่าง คาดว่าจะเป็นการกระทำของอนธการ”

 “อนธการ!” วายุทวนคำด้วยสีหน้าตระหนก “เป็นความจริงหรือท่าน”

“ข้ากำลังรอคำอธิบายจากพสุธาอยู่เหมือนกัน” ท่านสัตติภูมิตอบ “แต่อย่าเพิ่งวิตกกังวลกับเรื่องนี้ เจ้าจงพาวิญญาณดิบผู้มีพลังแห่งสายลมกลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์และสอนการใช้พลังให้คล่อง ส่วนเรื่องอนธการนั้นหากถ้าได้ข้อมูลแน่ชัดแล้วข้าจะติดต่อเจ้าเอง”

ยมทูตสาวยกมือขึ้นประนมเพื่อแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินนำกุ้งนางออกจากห้องและพบกับยมทูตพสุธาที่กำลังเดินสวนมาพอดี อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยทัก

“วายุ” สายตาเลื่อนไปยังด้านหลังและจ้องวิญญาณเด็กสาวที่กำลังยืนเก้กังอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ”

“ฉันพาวิญญาณดวงนี้มาพบท่านสัตตภูมิ” ยมทูตสาวตอบ อีกฝ่ายผงกศีรษะราวกับเข้าใจพร้อมกับกล่าวเสียงเรียบ

“หนึ่งในวิญญาณจากคำทำนาย”

“คิดว่าใช่” วายุนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “ได้ยินท่านสัตตภูมิบอกว่าท่านพบอนธการ”

“ยังเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น แต่ข้ามั่นใจว่าใช่”

“เพราะอะไร”

ยมทูตสาวถามด้วยความสงสัย สีหน้าของพสุธาเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบ

“ข้าพบเสี้ยวพลังของมันอยู่กับร่างมนุษย์ที่ตายจากถูกสูบวิญญาณ”

คำตอบของยมทูตแห่งผืนแผ่นดินทำให้วายุถึงกับอึ้ง เพราะการพบแม้เสี้ยวของอนธการย่อมหมายถึงหายนะที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ ฝ่ายพสุธาเมื่อเห็นยมทูตสาวไม่กล่าวถามอะไรอีกจึงกล่าวตัดบท

“ท่านสัตติภูมิกำลังรออยู่ ข้าต้องขอตัว”

พสุธาก้าวตรงไปยังห้องทำงานของยมบาลสัตตภูมิทันที วายุมองตามด้วยสีหน้ากังวลก่อนจะหันไปเรียกกุ้งนางและเดินนำออกจากนรกภูมิกลับไปยังโลกมนุษย์เบื้องบนเพื่อฝึกเด็กสาวให้ใช้พลังอย่างถูกต้องตามคำสั่งของหัวหน้ายมบาล

*/*/*/*/*

ถนนคอนกรีตในยามเที่ยงร้อนระอุจนเห็นเป็นไอเต้นระริกท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า ผู้คนที่เดินไปมาต่างยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อและบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด หลายคนแก้ปัญหาด้วยการเลี่ยงหลบเข้าไปในตัวอาคารซึ่งปรับอุณหภูมิให้เย็นฉ่ำเพื่อหามื้อเที่ยงรับประทานในขณะที่บางคนยอมทนร้อนนั่งสั่งก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวมันไก่จากร้านที่ตั้งอยู่ริมถนนเนื่องจากมีราคาย่อมเยากว่าหลายเท่าตัว พวกเขาจะรู้หรือไม่การกระทำทั้งหมดถูกเฝ้ามองจากวิญญาณเด็กหนุ่มที่ต้องออกเดินทางไปทั่วกับยมทูตสาวสุดสวยเพียงเพราะข้อกำหนดของการเป็นวิญญาณจากคำทำนาย

ผมนั่งคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยระหว่างดูผู้คนที่กำลังเดินกันขวักไขว่อยู่บนยอดตึกของห้างสรรพสินค้าดังแห่งหนึ่งพลางนึกถึงตัวเองเมื่อตอนที่ยังมีชีวิต จะว่าไปตอนนั้นผมเองก็ชอบออกไปเที่ยวตามย่านการค้าเพื่อหาของอร่อยกิน บางครั้งก็เดินดูร้านขายเครื่องเสียงหรือไม่ก็เกมส์ ความจริงพ่อกับแม่ก็ซื้อเครื่องเล่นดีๆให้ผมเหมือนกันแต่การได้ออกมาเดินเที่ยวดูโน่นดูนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในวิธีการผ่อนคลายความเครียดของวัยรุ่นอย่างหนึ่งซึ่งผมถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะไม่ได้ไปสร้างความเดือนร้อนให้กับใคร คิดถึงตรงนี้แล้วผมต้องถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกเสียดายที่เวลานี้ไม่สามารถหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีกแล้ว ก็แหงล่ะครับเหลือแต่วิญญาณแบบนี้ถึงจะไปไหนมาไหนได้ดังใจแต่มันจะไปสนุกอะไรถ้าเราพูดคุยหรือจับต้องอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกับถอนใจอีกครั้งและสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงของยมทูตสาวดังมาจากทางด้านหลัง

“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”

 น้ำเสียงของเจ้าหล่อนทำเอาผมแทบร่วงลงจากยอดตึก ตั้งแต่ออกมาจากนรกแม่ยมทูตอกสวยกระหน่ำฝึกผมอย่างหนักชนิดไม่ยอมให้พัก ถึงใจผมร่ำร้องอยากจะบอกให้เธอหยุดบ้างแต่ใครจะกล้าโวยล่ะครับเพราะเกิดพูดจาไม่ถูกหูขึ้นมาอาจโดนระเบิดวิญญาณกระจุย เสียงกระแอมค่อนข้างดุที่ดังขึ้นมาทำให้รู้ว่าสิ่งที่ผมคิดลอยเข้าหูยมทูตสาวไปเรียบร้อยแล้วผมจึงรีบหันไปส่งยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงไม่ดังนัก

“แค่นั่งพักให้หายเหนื่อยเท่านั้น”

“เหนื่อย” อัคนีทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้ว “นายเป็นวิญญาณ ต่อให้ใช้พลังแค่ไหนก็ไม่มีวันเหนื่อย ลุกขึ้นมาฝึกต่อเดี๋ยวนี้”

ยายยมทูตจอมโหด ผมนึกในใจด้วยความหมั่นไส้และกระเด้งพรวดลุกยืนขึ้นทันทีเมื่อมีกลุ่มเพลิงเท่ากำปั้นระเบิดตูมข้างตัว ผมหันไปมองอัคนีอย่างนึกฉุนและเตรียมจะโวยแต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของเธอ

“เรียกกันดีๆก็ได้ไม่เห็นต้องขว้างระเบิดใส่เลย”

ผมบ่นอุบอิบออกมาเบาๆ แม่ยมทูตคนสวยชูกำปั้นที่ลุกเป็นไฟขึ้นพร้อมกับทำตาวาว

“อยากโดนเผาอีกใช่ไหม”

อัคนีพูดเสียงห้วน ผมรีบส่ายหน้าพลางย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามชั่วโมงก่อน แต่ตั้งกระบวนท่าผิดไปนิดเดียวเท่านั้นแม่ยมทูตสาวก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟถึงขนาดใช้พลังเผาผมแทบเกรียมกรอบไปทั้งตัว ขณะที่กำลังคิดเพลินๆอยู่นั้นคลื่นพลังอันแสนคุ้นเคยก็วิ่งมากระทบตัวผม แม้จะไม่แรงนักแต่ก็รู้ว่ามันเป็นพลังโทสะจากแม่สาวอัคนี ผมรีบส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธเสียงสั่น

“ไม่”

“งั้นก็เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วลงมือฝึกได้แล้ว”

ผมถอนใจและถอยหลังออกไปสองสามก้าวก่อนจะตั้งท่ายืนตัวตรงพร้อมกับพนมมือ ยมทูตสาวของผมลดมือลงและสั่งเสียงเรียบ

“หลับตาและตั้งสมาธิให้มั่น เพ่งจิตไปที่มือทั้งสองข้างรวมปราณไว้ที่ปลายนิ้วเพื่อสร้างเปลวไฟ”

ผมทำตามที่แม่ยมทูตสาวอกสวยบอกทุกขั้นตอนและแอบหรี่ตามองที่ปลายนิ้วตัวเอง อย่าว่าแต่เปลวไฟเลยครับ แค่ประกายก็ยังไม่เห็น สงสัยจะเพ่งสมาธิไม่ดีพอ

“ก็รู้นี่นาว่าที่รวมพลังไม่ได้เพราะอะไร ถ้านายยังขืนทำหลุกหลิกแบบนั้นต่อให้ยืนอีกห้าร้อยชาติก็ไม่มีวันสร้างไฟขึ้นมาได้ เอาใหม่ ทำใจให้สงบ ตั้งใจเพ่งสมาธิอย่าว่อกแว่ก สร้างมโนภาพว่ามือของนายเป็นลำเทียนและปลายนิ้วเป็นเปลวไฟ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะร้อนเพราะนี่เป็นพลังของนายเป็นสิ่งที่นายสร้างขึ้นต่อให้ลุกโชนไปทั้งตัว นายก็จะไม่เป็นอะไรเลย”

อัคนีอธิบายยืดยาวแต่ฟังเหมือนเป็นพูดอย่างใจเย็นไม่ได้ใส่อารมณ์เหมือนทุกครั้ง ผมผ่อนลมหายใจค่อนข้างยาวก่อนจะเริ่มต้นตั้งสมาธิอีกครั้งและพยายามหลับตาแน่นข่มใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน แต่การจะทำจิตให้นิ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด หลังจากยืนเพ่งในท่านั้นอีกราวห้านาทีผมก็ลืมตาขึ้นและโพล่งออกมาอย่างหมดความอดทน

“ไม่มีทาง ฉันสร้างไฟไม่ได้”

“นายรู้ได้ยังไง” แม่สาวยมทูตถาม ผมถอนใจพร้อมกับส่ายหัว

“ยืนเพ่งมาเป็นชั่วโมงก็ยังไม่เห็นมีอะไร อย่าว่าแต่ไฟเลยแค่สะเก็ดก็ยังไม่โผล่ ฉันคงไม่ได้เป็นวิญญาณทำนายหรือผู้กอบกู้โลกอะไรอย่างที่ท่านหัวหน้ายมทูตอะไรนั่นบอกหรอก”

ผมบ่นยืดยาวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดหวัง ยมทูตสาวยืนนิ่งไม่พูดอะไรแต่กลับหันหน้ามองลงไปยังเบื้องล่างและจ้องผู้คนที่กำลังเดินไปมาแน่วนิ่ง

“คิดว่ามนุษย์พวกนั้นมีจำนวนเท่าไหร่”

 อยู่ๆเธอก็ถามขึ้นมา ผมกะพริบตาสองสามครั้งด้วยความงงก่อนจะก้มหน้าลงไปมอง โธ่เดินกันให้ไขว่อย่างกับมดแบบนี้ใครจะไปรู้ล่ะครับแต่ขืนไม่ตอบมีหวังได้โดนเจ้าหล่อนอัดแบนติดดินแหง ผมเลยกะคร่าวๆพร้อมกับตอบแบบมั่ว

 “น่าจะห้าหกพัน”

 “ห้าหกพัน” อัคนีทวนคำและหันมามองหน้าผม “ในจำนวนนี้มีกี่คนที่ต้องตายแบบนาย”

 ผมเกาหัวแกร่ก ปัดโธ่คำถามแบบนี้ใครจะไปตอบได้ล่ะครับ อีกอย่างผมก็ไม่ใช่ยมทูตจะได้ล่วงรู้การตายของคนอื่น ยมทูตคนสวยมองผมด้วยสีหน้าเฉยชาก่อนจะพูดเสียงเรียบ

 “ไม่มี”

 อ้าว ในเมื่อรู้ว่าไม่มีแล้วจะมาถามทำไม ผมย้อนในใจอย่างนึกฉุน แน่นอนล่ะครับว่าอัคนีจะต้องได้ยินความคิดนี้แน่ๆเพราะเธอจ้องผมด้วยดวงตาวาว

 “ที่ถามเพราะอยากให้รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะตายภายในข้อกำหนดของคำทำนาย ถึงแม้จะมีมนุษย์ที่ตายก่อนเวลาแต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในกฏเกณฑ์และที่สำคัญ”

 อัคนีมองผมนิ่ง

 “วิญญาณเหล่านั้นไม่สามารถสร้างพลังไฟเพื่อช่วยคนอื่นได้เหมือนอย่างที่นายเคยทำ”

 คำพูดของยมทูตสาวทำให้ผมนั่งอึ้ง เหตุการณ์ที่ได้ต่อสู้กับอาคมหมอผีเพื่อช่วยวิญญาณสองแม่ลูกในโรงพยาบาลหวนกลับเข้าในความทรงจำ จริงสินะ ตอนนั้นผมสร้างไฟขึ้นมาได้ด้วยตัวเองนี่นา ทำไมถึงลืมไปได้

 “คิดได้แล้วใช่ไหม” เสียงยมทูตสาวพูดขึ้นและกระตุกยิ้มเมื่อเห็นผมพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ลุกขึ้นแล้วมาฝึกต่อ”

 ไม่ต้องให้เธอบอกซ้ำอีกครั้ง ผมรีบยืนขึ้นแล้วหลับตาตั้งสมาธิใหม่ น่าแปลกที่คราวนี้จิตใจของผมสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กเหมือนที่ผ่านมา ผมเลยสูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับเพ่งพลังในร่างกายทั้งหมดไปรวมไว้ที่ปลายนิ้วเป็นจุดเดียว เพียงชั่วอึดใจมือทั้งสองก็เริ่มร้อนขึ้น ผมได้ยินเสียงลั่นเปรียะเลยรีบลืมตาขึ้นดูเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เปลวไฟปะทุขึ้นบนปลายนิ้ว ผมจ้องอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะหันไปทางอัคนีและตะโกนลั่นด้วยความดีใจ  

 “ทำได้แล้ว ฉันสร้างไฟได้แล้ว”

 ยมทูตสาวมองมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยแม้ดวงตาจะฉายแววยินดีอยู่บ้างแต่น้ำเสียงที่พูดกลับไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิง

 “แล้วไง ไฟแค่นั้นจะทำอะไรได้”

 เล่นพูดแบบนี้ความตื่นเต้นก็หายไปหมดสิครับ ผมมองเธออย่างนึกเคืองแต่ก็ไม่กล้าต่อว่าอะไรออกไปเพราะถ้าขืนพูดอะไรไม่ถูกหูมีหวังโดนอัดกระเด็น

 “คนอุตส่าห์ทำได้ ชมกันสักนิดก็ยังดี”

 ถึงจะกลัวแต่ผมก็ยังอดบ่นอุบอิบไม่ได้อยู่ดี ยมทูตคนสวยทำตาวาวก่อนจะพูดเสียงเข้ม

 “จะให้ชมอะไร แค่ไฟเท่าแสงหิ่งห้อย”

 ผมอ้าปากจะเถียงแต่พอเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเจ้าหล่อนแล้วก็ต้องรีบหุบปากนิ่ง ตั้งใจฝึกสร้างไฟให้ลูกโตกว่านี้ดีกว่า

“คิดได้แบบนั้นก็ดี” แม่ยมทูตอกสวยพูดเสียงเรียบเมื่อเห็นผมเริ่มพนมมืออีกครั้งเธอจึงถาม

“ถ้าสร้างพลังเพลิงได้แล้วนายจะใช้มันทำอะไร”

“ถามได้ก็เอาไว้สู้กับศัตรูน่ะสิ ไฟทำลายได้ทุกอย่างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ผมตอบอย่างมั่นใจเต็มที่แต่ยมทูตสาวกลับส่ายหน้า

“ยังใช้ไม่ได้ นายคิดแต่เรื่องการฆ่าฟัน พลังไฟนอกจากทำลายแล้วยังใช้เพื่อการชำระและปกป้องผู้อื่นได้อีกด้วย”

ผมชะงักและเลิกคิ้ว

“ยังไง”

อัคนีไม่ตอบแต่กลับวาดมือเป็นวงสร้างเปลวเพลิงกลุ่มมหึมาขึ้น แต่แทนที่จะเป็นกองไฟขนาดใหญ่มันกลับแปรสภาพเป็นโล่ครึ่งวงกลมล้อมรอบตัวของยมทูตสาว เธอมองผมและอธิบาย

“บางครั้งขณะที่ไปรับดวงวิญญาณมนุษย์ พวกยมทูตก็ต้องเจอกับกลุ่มวิญญาณข้างทางหรืออาคมของหมอผีชั่วที่คอยเข้ามาแย่งชิง หน้าที่ของพวกเราคือต้องปกป้องดวงวิญญาณเหล่านั้นเพื่อนำกลับไปรับกรรมในนรก ดังนั้นการสร้างโล่พลังจึงเป็นสิ่งสำคัญ”

“ทำไมไม่จัดการเจ้าพวกนั้นไปเลยล่ะ มันจะได้ไม่มายุ่งกับเธออีก”

ผมถามด้วยความแปลกใจเพราะเท่าที่เห็นยมทูตมีพลังมากมาย กับแค่วิญญาณร้ายหรือหมอผีไม่น่าจะเป็นปัญหาเลยนี่นา ยมทูตสาวส่ายหน้า

“ยมทูตสามารถต่อสู้กับคนเหล่านั้นได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลา เราไม่ฆ่าฟันใคร”

พูดถึงตอนนี้ผมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ อัคนีคงหมายถึงกรรม พวกยมทูตจะไม่ลงมือจัดการอะไรกับใครจนกว่าจะถึงวาระของคนพวกนั้น แบบนี้ก็เสียเปรียบแย่เลย

“ถ้ามีเหตุจำเป็นจริงๆเราก็สามารถลงมือกำจัดคนเหล่านั้นได้” ยมทูตสาวพูด “เหมือนตอนที่นายสู้กับหมอผีเพื่อช่วยวิญญาณสองแม่ลูกที่โรงพยาบาลไง”

เธอมองผมและพูดเสียงเรียบ

“ในเมื่อเข้าใจแล้วก็ลงมือฝึกต่อ วันนี้นายต้องสร้างกำแพงไฟให้ได้ไม่อย่างนั้นฉันจะจับล่ามไว้กับเจ้าพวกนั้น” 

ยมทูตคนสวยชี้มือลงไปยังด้านล่าง ผมมองตามแล้วกลืนน้ำลายเอื้อกเมื่อเห็นหมาสี่ห้าตัวกำลังนอนเกาขี้เรื้อนอยู่ริมถนน ตัวหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาพอเห็นว่ามีใครกำลังจ้องก็ส่งเสียงเห่าทักทาย ผมเบ้หน้าก่อนจะหันกลับไปทางอัคนีอีกครั้งแล้วบ่นพึมพำเบาๆ

“โหด”

พูดเสร็จผมก็เริ่มต้นฝึกอีกครั้งคราวนี้ตั้งใจมากขึ้นไม่ใช่เพราะกลัวคำขู่ของแม่สาวยมทูตหรอกครับแต่เป็นเพราะผมอยากจะรู้ว่าถ้าเก่งแล้วจะเป็นยังไง และถ้าเกิดมีวิญญาณร้ายอย่างที่ยมบาลสัตตภูมิพูดจริงผมจะสู้กับมันได้ไหม และวิญญาณดิบอย่างผมเนี่ยจะสามารถเป็นยมทูตได้หรือเปล่า หลังจากเพ่งจิตสร้างไฟเท่าแสงหิ่งห้อยได้สองสามครั้งในที่สุดผมก็สร้างเพลิงกลุ่มโตขนาดเท่าตัวผมได้สำเร็จ จากนั้นอัคนีก็เริ่มสอนให้ผมกำหนดจิตบังคับทิศทางของไฟรวมถึงบอกวิธีทำโล่เพลิง

ขณะที่กำลังฝึกการเปลี่ยนรูปร่างของไฟให้กลายเป็นกำแพงปกคลุมตัวอยู่นั้นจู่ๆก็เกิดกระแสลมค่อนข้างรุนแรงขึ้น ลักษณะของมันคล้ายพายุช่วงก่อนจะมีฝน มันพัดกรรโชกมาเป็นกลุ่มใหญ่กระแทกเปลวไฟที่ผมสร้างอย่างแรงจนแตกสลายหายไป อัคนีนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะนิ่วหน้าและพูดออกมาเบาๆ

“วายุ”

เธอหันหน้าไปอีกด้านและจ้องเงาร่างที่กำลังปรากฏขึ้น ผมมองตามด้วยใจเต้นระทึกเมื่อรู้ว่าเงานั้นคือยมทูตอกแตงโม โชคดีจังที่ได้เจอเธออีกครั้งแต่เดี๋ยวก่อนถ้าเจ้าหล่อนเกิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมามิจับผมโยนลงไปข้างล่างเหมือนครั้งที่แล้วเหรอ ผมกลืนน้ำลายอย่างสยองพลางขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวแต่ต้องหยุดและเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเด็กสาววัยรุ่นหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเดินตามหลัง ฝ่ายแรกหันมาถลึงตาใส่พร้อมกับพูดเสียงห้วน

“ยังคิดลามกไม่เคยเปลี่ยนนะเจ้าวิญญาณดิบ”

ผมทำคอย่นและขยับถอยอีกสองสามก้าว อัคนีเหลือบตามองก่อนจะตวัดกลับไปทางวายุและถามเสียงเรียบ

“มีอะไร”

“พสุธาพบอนธการ”

ยมทูตอกดินระเบิดตอบ อัคนีมีสีหน้าตระหนกเล็กน้อย

“ที่ไหน”

“ข้างศพมนุษย์ที่ตายจากการถูกอะไรบางอย่างสูบวิญญาณ”

“แน่ใจหรือว่าเป็นอนธการ” ยมทูตคนสวยของผมถาม วายุมองหน้าเธอและย้อนเสียงเรียบ

“นอกจากสิ่งนี้แล้วมีใครบ้างที่สูบวิญญาณของมนุษย์ได้”

อัคนียืนนิ่ง ถึงจะไม่แสดงอะไรออกมาทางสีหน้าแต่ผมก็รู้ดีว่าเธอกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ความจริงแล้วเวลาแบบนี้ผมไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่เพราะความอยากรู้เลยเผลอหลุดปากถาม

“อนธการนี่ใช่ไอดำที่เราเคยเจอในโรงพยาบาลหรือเปล่า”

ยมทูตสาวผงกศีรษะในขณะที่วายุทำหน้าแปลกใจ

“เธอเคยเจอสิ่งชั่วร้ายนั่นด้วยหรือ”

“แค่เศษเสี้ยวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันมาพร้อมกับพลังอาคมของหมอผีคนหนึ่ง” อัคนีตอบ อีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“แล้วเธอจัดการกับมันยังไง”

“มันหนีไปเสียก่อนที่ฉันจะทันได้ลงมือ” อัคนีตอบก่อนจะถอนใจ “พวกเราพบอนธการติดต่อกันสองครั้งแล้ว หรือว่าคำทำนายนั่นจะเป็นจริง”

“อันที่จริงแล้วสามต่างหากเพราะพสุธาเคยเจอมันครั้งแรกตอนไปรับวิญญาณมนุษย์จากเครื่องบินตก” วายุพูดพลางหันไปทางกุ้งนาง “เกือบลืมบอกไป ที่มานี่เพราะอยากจะบอกให้รู้ว่าฉันเพิ่งพบวิญญาณดิบที่สามารถใช้พลังของลมได้”

อัคนีเลื่อนสายตาไปมองเด็กสาวอย่างพิจารณา ส่วนผมยืนฟังยมทูตทั้งสองคุยกันด้วยความอยากรู้จนกระทั่งถึงประโยคสุดท้ายจึงหันไปมองเด็กสาวที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านตรงข้าม ยังเป็นแค่เด็กอยู่เลยนี่นาเหมือนจะอยู่ในช่วงมัธยมปลายด้วยซ้ำ หน้าตาน่ารักแบบนี้จะใช้พลังพายุหมุนแบบยายวายุยมทูตอกแตงโมจอมโหดนั่นได้หรือ 

“เขาเก่งกว่าเจ้าก็แล้วกัน” เสียงวายุพูดขึ้นทันทีพร้อมกับจ้องผมด้วยดวงตาเหมือนอยากจะเป่าวิญญาณปากมากตัวนี้ไปให้พ้นลูกหูลูกตาก่อนจะหันไปทางอัคนีอีกครั้งและถามเสียงห้วน “เจ้าวิญญาณลามกนี่ใช้พลังอะไรได้หรือยัง”

“เพิ่งเรียกไฟได้” ยมทูตสาวตอบเสียงเรียบ อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม ให้ตายเถอะมันเป็นรอยยิ้มที่แสดงความดูถูกออกมาอย่างเห็นได้ชัด
 
“นั่นยังไม่ถือว่ามีพลัง” วายุมองผมและพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น “เจ้าควรตั้งใจฝึกให้มากกว่านี้นะ”

“นี่ก็ตั้งใจจะแย่แล้ว ฉันไม่ใช่ยมทูตจะเร่งฝึกไปทำไมกัน”

ผมพึมพำโต้กลับไปและรีบหุบปากเงียบเมื่อเห็นดวงตาของวายุทอประกายวาว

“อนธการกำลังหาทางขึ้นมาบนโลก หากมันทำสำเร็จทุกผืนแผ่นดินจะเข้าสู่กลียุค หายนะยิ่งใหญ่จะบังเกิดขึ้นเพราะไม่เพียงจะถูกกลืนกินวิญญาณแล้วพลังความมืดของมันจะเข้าครอบงำจิตใจของมนุษย์ทำให้พวกเขาตรงเข้าฆ่าฟันห้ำหั่นกันเอง”

คำพูดของยมทูตวายุทำให้ผมยืนตัวแข็งและหันไปมองอัคนีด้วยความแปลกใจเพราะไม่เคยได้ยินเธอพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักครั้ง ยมทูตสาวมองหน้าผมก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“ท่านสัตตภูมิเคยพูดให้เจ้าฟังแล้วไม่ใช่หรือ”

ก็แค่อธิบายคร่าวๆเท่านั้นไม่ได้บอกเรื่องที่น่ากลัวแบบนี้สักนิดแถมถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนท่านยมบาลนั่นจะไม่ได้พูดถึงอนธการอะไรเลยด้วยซ้ำนอกจากบอกแค่ว่าผมเป็นวิญญาณจากคำทำนายที่เกิดมาเพื่อปกป้องโลก      

“จากนิสัยของเจ้าอธิบายไปก็คงไม่เข้าใจ”

อัคนีพูด ผมนิ่วหน้าอย่างนึกฉุน

“ถึงตอนมีชีวิตฉันจะเอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็นคนไร้ความรับผิดชอบหรือโง่ขนาดไม่เข้าใจอะไร”

“ฉันรู้”

ยมทูตสาวตอบสั้นๆ ผมอ้าปากค้างและเตรียมจะโวยต่อแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของยมทูตสาวทั้งสองดังขึ้น ทั้งคู่ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนจะหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงและเปิดดูพร้อมกัน

“จากวารี” อัคนีพูดพลางมองหน้าวายุ “เขากำลังรับวิญญาณมนุษย์จากอุบัติเหตุเรือล่มแต่โดนฝูงเงือกโจมตี”

“ส่วนของฉันมาจากยมทูตจักรา” ยมทูตแห่งลมพูดพลางปิดโทรศัพท์และเก็บกลับลงกระเป๋า “เขาไปรับวิญญาณมนุษย์จากเหตุจลาจลแต่ถูกอาคมหมอผีมาขวาง ดูเหมือนจะมีไอมรณะของอนธการเจือปนอยู่ด้วย”

“นั่นอันตรายมาก แน่ใจเหรอว่าจะรับมือไหว”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการกับมันได้แน่” วายุตอบพร้อมกับหันไปเรียกกุ้งนางให้ขยับเข้ามายืนใกล้ๆก่อนจะหันกลับมาที่อัคนีอีกครั้ง

“ไปก่อนนะอัคนี”

ร่างของทั้งคู่เลือนหายไปทันที ผมเตรียมจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ยมทูตคนสวยกลับหันมาทำตาดุพร้อมกับพูดเสียงห้วน

“เราต้องไปช่วยวารี รีบตามฉันมาเร็ว”

ไม่ดุเปล่าแม่ยมทูตสาวยื่นมือมาคว้าคอผมแล้วลากให้ตามไป ถึงจะหายตัวไปโน่นมานี่หลายครั้งแต่การถูกกระชากมาแบบไม่ได้ตั้งตัวอย่างนี้มันรู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นแต่ก็เพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้นเพราะแค่อึดใจเราทั้งสองคนก็ลอยอยู่เหนือทะเลสาบขนาดใหญ่ซึ่งเมื่อก้มลงไปมองผมก็ต้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นเรือสองชั้นลำหนึ่งกำลังจมลง เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวจากผู้คนที่กำลังลอยคออยู่ในน้ำทำให้ผมขนลุกแต่มันยังไม่สยองเท่ากับเสียงแหลมเล็กที่กำลังร้องเซ็งแซ่ดังระงมอย่างบ้าคลั่ง มันสร้างความกดดันอย่างรุนแรงจนผมแทบอาเจียนออกมาต่างจากอัคนีที่ยังคงมีสีหน้านิ่ง ผมพยายามกวาดตามองหาเจ้าของเสียงอุบาทว์นั่นแต่ไม่พบ อัคนีจึงชี้มือลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“มันอยู่ที่นั่น”

“อะไร” ผมถามขณะพยายามเพ่งตามอง ยมทูตสาวตอบสั้นๆ

“เงือก” เธอหันมามองผมและสั่งด้วยท่าทางจริงจัง “รวบรวมสมาธิให้มั่นอย่าไปสนใจฟังเสียงของมันไม่อย่างนั้นแล้วจิตของนายจะถูกทำลาย”

ผมสูดลมหายใจเข้าและพยายามตั้งสมาธิให้มั่น ดูเหมือนจะได้ผลเพราะความอึดอัดเมื่อครู่เบาลงแถมตอนนี้เหมือนผมแทบไม่ได้ยินเสียงนรกนั่นเลย ดูเหมือนอัคนีจะรู้ว่าผมสามารถสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองได้แล้วเพราะเธอจุดเปลวเพลิงขึ้นในมือข้างหนึ่งพร้อมกับพูดเสียงห้วน

“ลงไปจัดการกับมัน”

ยมทูตสาวลอยละลิ่วลงไปยังเบื้องล่างทันที พลังไฟในมือของเธอระเบิดผิวน้ำจนแตกกระจุย ทั้งเงือกร้ายและละอองน้ำกระเซ็นไปจนทั่ว ผมกลืนน้ำลายลงคอและสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนตัดสินใจเรียกเพลิงขึ้นมาบนมือจากนั้นจึงพุ่งตัวตามลงไป

*/*/*/*/*/*
 

 




Create Date : 19 เมษายน 2555
Last Update : 19 เมษายน 2555 9:18:25 น.
Counter : 499 Pageviews.

1 comments
  
กำลังสนุกเลย มาต่อไวๆนะครับ
โดย: หมาเมาแฟ็บ IP: 223.206.174.29 วันที่: 21 เมษายน 2555 เวลา:14:48:55 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี