ยมทูต บทที่ 15 ยมทูตวารี

บทที่ 15

ยมทูตวารี

เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กผมได้ฟังนิทานเกี่ยวกับเงือกที่คุณยายเล่ามาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนิทานพื้นบ้านหรือวรรณกรรมประจำชาติอย่างพระอภัยมณีหรือรามเกียรติ์ แต่เงือกที่ได้ยินได้ฟังมาจะมีลักษณะเหมือนกันหมดก็คือครึ่งท่อนบนเป็นผู้หญิงสาวสวยแต่ส่วนขาตั้งแต่ช่วงเอวลงไปเป็นหางปลา ตอนนั้นผมเองยังคิดเลยว่าเป็นเรื่องแปลกที่นิทานเหล่านั้นรวมถึงภาพวาดต่างๆมีแต่เงือกที่เป็นผู้หญิง จนผมคิดว่าเผ่าพันธุ์นี้คงไม่มีเพศชายแถมยังไม่ชอบอาศัยอยู่รวมกัน จนเมื่อมาเห็นเงือกของจริงตรงหน้าความคิดที่เคยมีอยู่ทั้งหมดก็มลายหายไปเพราะนอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาที่สุดแสนจะอัปลักษณ์แล้วเงือกพวกนี้ยังอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่อีกด้วย

ผมใช้คำว่าฝูงเพราะเท่าที่เห็นพวกมันคงมีไม่ต่ำกว่าห้าสิบตัว แต่ละตัวมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างไปจากนิทานที่ผมได้ยินได้ฟังราวฟ้ากับเหวเพราะแทนที่จะมีขนาดตัวเท่ากับผู้หญิงสาวสวยแต่เจ้าเงือกอุบาทว์พวกนี้กลับมีขนาดประมาณเด็กอายุหนึ่งหรือสองขวบแถมใบหน้ายังน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้าย ดวงตาของมันกลมโตปูดโปนเหมือนตาคางคก ปากกว้างจนเกือบจรดใบหูทั้งสองข้างภายในอัดแน่นไปด้วยฟันซี่เล็กคมกริบ สิ่งชวนขนหัวลุกมากที่สุดก็คือความแข็งแกร่งของกรามซึ่งสามารถฉีกท้องเรือให้ทะลุด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว ที่กล้าพูดแบบนี้เพราะเมื่อครู่ผมเพิ่งเห็นมันกระชากหางเสือเรือจนขาดกระจุยกับตา เจ้าปลาปิศาจพวกนี้คิดจะล่มเรือเพื่อทำให้เหยื่อจมน้ำจะได้ลากลงไปกินอย่างสบายแหง ผมนึกอย่างสยองและต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงอัคนีตะโกนลั่น

“ระวัง!”

เปลวไฟพุ่งวาบผ่านหน้าเผาเงือกผีที่กำลังกระโจนขึ้นมาจนไหม้เกรียม ผมอ้าปากค้างด้วยความตกใจในขณะที่ยมทูตคนสวยพูดเสียงห้วน

“มัวเหม่ออะไรอยู่ได้ เดี๋ยวได้ตายไปอีกครั้งหรอก”

ผมรีบลอยตัวให้สูงขึ้นและเหวี่ยงลูกไฟเข้าใส่ฝูงเงือกที่กระโดดตูมตามอยู่ในน้ำ แต่ดูเหมือนพลังไฟของผมจะมีอำนาจไม่เท่าเพลิงของอัคนีเพราะนอกจากจะทำอะไรเจ้าเงือกผีพวกนั้นไม่ได้แล้วพวกมันยังทำเป็นยื่นหน้าพร้อมแยกเขี้ยวหลอกล้อราวกับท้าทาย ผมมองอย่างหมั่นไส้ก่อนกลั้นใจรวบรวมพลังทั้งหมดแล้วปล่อยไฟกลุ่มใหญ่เข้าใส่พวกมัน เสียงระเบิดดังลั่นจนผิวน้ำแตกกระจาย คราวนี้ได้ผลเพราะปลาปิศาจพวกนั้นรีบมุดน้ำหายไปทันที

“นึกว่าจะแน่”

ผมตะโกนไล่หลังอย่างลำพองก่อนจะหันหน้าไปทางยมทูตอกสวยซึ่งยุ่งอยู่กับการยื้อวิญญาณมนุษย์ออกจากฝูงเงือก ผมรีบขยับเตรียมจะไปช่วยแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนดังขึ้นใกล้ตัว

“ชะล่าใจไปหน่อยแล้วเจ้าวิญญาณดิบ”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกทำให้ผมนึกฉุนเพราะคิดว่าคนพูดต้องเป็นยมทูตที่ชื่อพสุธาแน่ แต่พอหันกลับไปมองแล้วผมต้องอ้าปากค้างเพราะแทนที่จะเห็นยมทูตหุ่นล่ำเหมือนนักรบกลับกลายเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นรูปร่างผอมบางหน้าตาหมดจดเหมือนพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่น อีกฝ่ายมองผมพลางเลิกคิ้วอย่างยะโสก่อนจะพูดต่อ

“เงือกพวกนั้นแค่เปลี่ยนเส้นทางการโจมตีมนุษย์ พวกมันไม่ได้กลัวพลังของนายเลยสักนิด” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงดูแคลนจนผมนึกฉุนขึ้นมา

“นายรู้ได้ยังไง” ผมถามเสียงห้วนและจ้องเจ้าหนุ่มหน้าสวยตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ เขายิ้มมุมปากก่อนจะก้มหน้าลงไปยังเรือที่กำลังจะจมพร้อมกับพูดเสียงเรียบ

“ดูเอาเองก็แล้วกัน”

ผมรีบก้มหน้าลงไปมองและต้องอ้าปากค้างเพราะฝูงเงือกที่ดำน้ำหนีไปเมื่อครู่ตอนนี้กลับไปโผล่ที่อีกด้านของเรือและกำลังกลุ้มรุมหญิงสาวคนหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย

“มันกำลังลากคนลงไปกิน”

ผมอุทานด้วยความตระหนกแต่ยมทูตหนุ่มหุ่นสำอางค์กลับส่ายหน้า

“เงือกผีพวกนี้ชอบกินวิญญาณมนุษย์ พวกที่ตายในน้ำจะถูกพวกมันจับไปทรมานก่อนดูดกลืนพลังวิญญาณจนไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกเลย”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมต้องหันไปมองผู้พูดอย่างคาดไม่ถึง เพราะทั้งวิธีพูดและสีหน้าท่าทางที่ดูเคร่งขรึมมันขัดกับรูปร่างหน้าตาของเขามากทั้งที่ดูแล้วเจ้าหนุ่มคนนี้น่าจะมีอายุอ่อนกว่าผมตั้งหลายปีด้วยซ้ำ พอคิดถึงตรงนี้ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร

“วารี” เขาตอบเสียงเรียบพร้อมกับยกมือขึ้น “เป็นยมทูต”

มวลอากาศรอบตัวของผมหนักอึ้งอย่างฉับพลัน ความชื้นแปรเปลี่ยนเป็นน้ำหมุนวนในมือของยมทูตวารีอย่างรวดเร็ว เขาจ้องฝูงเงือกในน้ำด้วยดวงตาน่ากลัวก่อนจะเหวี่ยงกงจักรน้ำในมือลงไปตัดร่างเงือกผีที่หนีไม่ทันจนขาดกระจุย ตัวที่เหลือรีบปล่อยเหยื่อและดำน้ำหนีกันอย่างลนลานในขณะที่หญิงสาวทะลึ่งพรวดขึ้นจากน้ำและรีบตะกายไปเกาะเศษไม้ที่ลอยอยู่ใกล้ๆพร้อมกับหันมองรอบตัวอย่างงุนงง เมื่อตั้งสติได้แล้วเธอจึงร้องตะโกนเรียกใครบางคน นี่คงจะมาเที่ยวกับเพื่อนหรือญาติและป่านนี้อาจจะถูกเจ้าเงือกผีลากลงไปในน้ำแล้วก็ได้ ผมคิดพลางกวาดตามองคนที่ลอยคออยู่ใกล้ๆเผื่อจะเจอคนที่หญิงสาวคนนั้นต้องการหา แต่เอ แล้วจะรู้ไหมล่ะว่าเขาคนนั้นเป็นใคร

“มัวเหม่ออะไรอยู่รีบมาจัดการทางนี้เร็ว”

เสียงยมทูตวารีร้องเตือน ผมสะดุ้งและหันไปดูจึงพบว่าฝูงเงือกยังคงพยายามดึงคนให้จมลงไปในน้ำ อัคนีระเบิดเปลวไฟเข้าใส่พวกมันอย่างไม่ปรานี เสียงตูมตามลั่นคุ้งน้ำแบบนี้แล้วพวกมนุษย์ไม่รู้หรือไงนะ

“เลิกคิดเรื่องไร้สาระแล้วมาช่วยกันหน่อย” ยมทูตสาวพูดเสียงดังพลางลดระดับความสูงลงไปลอยเหนือผิวน้ำและสร้างกลุ่มเพลิงขับไล่เงือกผีที่กำลังฉุดกระชากชายคนหนึ่ง แม้ส่วนใหญ่จะหลบหนีก็ก็มีบางตัวที่ยังดื้อด้านพยายามลากเขาให้จมลงไปในน้ำ ผมเลยจัดการยิงพวกมันทีละตัวด้วยกระสุนไฟซึ่งก็ได้ผลเพราะเจ้าพวกที่เหลือรีบดำน้ำหายไป

“คอยดูเจ้าพวกนี้ให้ดี ข้าจะเรียกวิญญาณมนุษย์ที่ถึงฆาตขึ้นมาจากน้ำ”

ยมทูตวารีร้องสั่งพร้อมกับลอยตัวสูงขึ้น เงาเลือนลางของคนนับสิบผุดขึ้นจากน้ำลอยตามขึ้นไป เงือกบางตัวกระโดดงับดวงวิญญาณนั้นเอาไว้แต่อัคนีก็ใช้ไฟกำราบมันจนเผ่นกระเจิง ผมไล่สายตาสำรวจไปรอบๆและถอนใจออกมาด้วยความเศร้าเมื่อเห็นเรือท่องเที่ยวสองชั้นกำลังจมลงไปทีละน้อย ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆลอยกระจัดกระจายไปทั่วรวมทั้งอุปกรณ์ชูชีพซึ่งมีจำนวนนับชิ้นได้ ผู้รอดชีวิตบางคนอาศัยเกาะมันเพื่อพยุงตัวเอาไว้ในขณะที่บางคนจมหายไปในความมืดมิดของห้วงน้ำอันเย็นยะเยือก และตอนนี้วิญญาณของคนเหล่านั้นก็กำลังลอยขึ้นไปอยู่รวมกันด้วยพลังของยมทูตวารี

เสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ผมต้องหันไปมองพร้อมกับถอนใจออกมาอย่าง
โล่งอกเมื่อพบว่ามันคือเรือหางยาวจำนวนหลายลำ ทั้งหมดวิ่งตรงมายังจุดเกิดเหตุและลงมือช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอย่างรีบเร่ง เรือลำหนึ่งวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเพิ่งผุดขึ้นมาจากน้ำ ชายคนที่อยู่บนเรือลำนั้นพยายามดึงเธอขึ้นไปโดยมีเด็กหนุ่มที่ลอยคออยู่ด้วยกันช่วยดันจากด้านล่าง แต่เพียงเธอพ้นจากน้ำไปได้แค่ครึ่งตัวผมก็ต้องร้องอุทานออกมาเมื่อมีเงือกผีตัวหนึ่งคว้าข้อมือของชายคนนั้นเอาไว้และกระชากเขาจนตกจากเรือจมหายไปพร้อมกัน

ยังไม่ทันที่ผมจะขยับตัวหรือลงมือทำอะไรอัคนีก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือผิวน้ำบริเวณที่ชายหนุ่มคนนั้นถูกดึง พลังเพลิงที่ร้อนแรงอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนลุกโพลงอยู่ในมือทั้งสองข้างและถูกซัดลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นภายใต้ห้วงนทีระเบิดร่างเงือกผีจนแหลกเป็นจุณ พวกที่เหลือส่งเสียงกรีดร้องดังสะท้อนก้องไปทั่วคุ้งน้ำก่อนจะว่ายหนีหายไปส่วนชายคนนั้นเมื่อหลุดจากเงื้อมมือของเงือกผีแล้วจึงทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากน้ำ เขาสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนจะกวาดตามองรอบตัวอย่างตระหนกและหยุดจ้องนิ่งที่ร่างของอัคนี มันฉายแววงงงันออกมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไป ชายหนุ่มผู้นั้นสะบัดศีรษะสองสามราวต้องการตั้งสติจากนั้นจึงว่ายตรงเข้าไปหาหญิงสาวกับเด็กหนุ่มที่ลอยคออยู่ใกล้ๆ เมื่อช่วยผู้หญิงขึ้นเรือจนสำเร็จแล้วเขาจึงหันกลับไปทางเด็กชายแต่กลับไม่พบ มีเพียงแค่พรายฟองที่ผุดพรายขึ้นมาจากท้องน้ำดุจเป็นสัญญาณสุดท้ายของการมีชีวิต เมื่อแน่ใจว่าไม่สามารถช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายได้แล้วชายหนุ่มผู้นั้นจึงปีนกลับขึ้นไปบนเรือและยื้อร่างของหญิงสาวที่ทำท่าจะกระโจนกลับลงไปในน้ำพร้อมกับร้องตะโกนเรียกใครบางคนตลอดเวลา หลังจากปลอบโยนจนเธอสงบลงแล้วเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแน่วนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดหัวพร้อมกับสั่งให้นำเรือกลับเข้าฝั่งพร้อมผู้รอดชีวิตอีกหลายคน

เมื่อทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ ฝูงเงือกผีกลัวพลังของอัคนีและวารีจนไม่กล้าโผล่หัวขึ้นจากน้ำ หลังจากว่ายวนไปรอบๆจนแน่ใจว่าไม่มีทางจับวิญญาณมนุษย์ไปกินเป็นอาหารได้แล้วพวกมันจึงว่ายน้ำหนีหายไป ส่วนวารีเมื่อแน่ใจว่าเรียกวิญญาณขึ้นจากน้ำจนครบแล้วจึงเริ่มทำการตรวจนับจำนวนรวมทั้งรายชื่อในขณะที่อัคนีซึ่งลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำมองเรือของหน่วยกู้ภัยที่เริ่มทะยอยวิ่งกลับเข้าฝั่ง แม้สีหน้าจะปราศจากความรู้สึกแต่ผมแน่ใจว่าเห็นแววตาของเธอทอประกายประหลาดออกมาวูบหนึ่งและเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ผมพาตัวไปหยุดยืนข้างแม่ยมทูตคนสวยและขยับปากเตรียมจะถามแต่วารีซึ่งมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้พูดขึ้น

“เงือกพวกนี้แปลกไปจากทุกครั้ง มันกล้าสู้กับพวกเราแถมยังทนต่อพลังทำลายได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่เมื่อก่อนแค่สะบัดม่านน้ำใส่พวกมันก็เละเป็นวุ้นแล้ว ที่สำคัญก็คือฉันรู้สึกเหมือนมีพลังประหลาดบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวของพวกมัน มันให้ความรู้สึกทั้งกดดันและเยือกเย็นอย่างน่ากลัวเหมือนพลังของอนธกาล”

“อาจจะเป็นไปได้” ยมทูตสาวพูดเสียงเรียบ อีกฝ่ายมีสีหน้าหนักใจ

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงแสดงว่าอนธกาลเริ่มปล่อยพลังมืดมายังโลกมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปวงจรวิญญาณคงเสียสมดุล พวกภูตผีปิศาจสัมภเวสีเร่ร่อนจะมีพลังกล้าแข็งมากกว่าเดิม”

“ยังไม่นับพวกหมอผีนอกรีตเพราะจิตใจต่ำช้าของคนพวกนี้ถูกพลังมืดของอนธกาลควบคุมได้ง่าย”

“แล้วเราควรจะทำยังไง” ผมถามแทรกขึ้นด้วยความอยากรู้ อัคนีนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ

“นายต้องฝึกให้หนักกว่าเดิม”

“แล้วมันช่วยอะไรได้ตรงไหน” ผมพูดด้วยความโมโห เพราะนอกจากไม่รู้เรื่องอะไรเลยแล้วยังรู้สึกเหมือนโดนตำหนิว่าเป็นพวกไร้ประโยชน์ ยมทูตสาวไม่ตอบแต่กลับเลื่อนสายตามองไปยังริมฝั่งซึ่งอยู่ห่างออกไปและจ้องผู้คนที่อยู่บนนั้นแน่วนิ่ง วารีมองตามก่อนจะหันกลับมามองเธอและพูดอย่างรู้ทัน 

“เขาเห็นเธอ”

“ฉันรู้” อัคนีตอบเสียงเรียบ ยมทูตวารีมองหน้าเธออย่างชั่งใจก่อนตัดสินใจถาม

“แล้วจะทำยังไง”

“ไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้นเพราะเขาอาจจะเจอฉันแค่ตอนนี้เท่านั้นก็ได้” อัคนีตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก บทสนทนาที่ดูเหมือนจะฟังรู้เรื่องกันแค่สองคนทำให้ผมมองยมทูตทั้งสองด้วยความงงงัน

“พูดเรื่องอะไรกัน ใครมองเห็นใคร”

“มีคนมองเห็นพวกเรา” วารีหันมาตอบ ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จึงถึงบางอ้อ

“หมายถึงผู้ชายคนที่ถูกเงือกดึงจากเรือใช่ไหม จะเป็นไปได้ยังไง เขาอาจจะตกใจที่อยู่ๆก็ร่วงจากเรือก็ได้”

“เขารู้ว่าถูกเงือกดึง และเห็นตอนที่อัคนีลงไปช่วย” วารีพูดเสียงเรียบก่อนจะหันไปทางยมทูตคนสวย “ลางสังหรณ์บอกฉันว่าเขาอาจจะได้เจอเธออีกครั้ง”

“ไร้สาระ” อัคนีตัดบทด้วยน้ำเสียงรำคาญและเงยหน้าขึ้นมองวิญญาณมนุษย์ที่กำลังรออยู่ด้านบน “พาพวกเขาไปนรกได้แล้ว”

วารีนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“คงยังไม่ได้”

“ทำไม” ยมทูตคนสวยถาม อีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“เงือกได้วิญญาณไปห้าดวง แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา ที่แย่ก็คือมีวิญญาณดวงหนึ่งยังไม่ถึงฆาต ดูเหมือนเขาจะสลับตัวกับคนที่ควรจะต้องตาย”

วารีอธิบายพลางหันไปทางเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ห่างจากกลุ่มเล็กน้อย อัคนีมองเขาอย่างใช้ความคิด ด้วยความสงสัยผมเลยถาม

“เป็นเรื่องที่แปลกอย่างงั้นเหรอ”

“ก็ไม่เชิง แต่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก” ยมทูตสาวตอบและขมวดคิ้ว “บางทีเขาอาจจะเป็นหนึ่งในวิญญาณจากศิลาทำนาย”

อีกแล้วเหรอ ผมนึกพลางหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนหันหน้าไปทางท่าเรือและจ้องนิ่งอยู่อย่างนั้นเหมือนกำลังเฝ้ามองใครบางคน ถ้าจำไม่ผิดเจ้าหนูคนนี้เป็นคนสุดท้ายที่ถูกเงือกลากลงไปในน้ำนี่นา กำลังนั่งพิจารณาวิญญาณที่ทุกคนคิดว่าเป็นวิญญาณจากศิลาทำนายเพลินๆเสียงของยมทูตสายน้ำก็ดังขึ้น

“ก็อาจจะเป็นไปได้” วารีพูดอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับถอนใจ “และถ้าใช่คงน่ารำคาญพิลึกเพราะฉันไม่ชอบให้ใครมาเดินตาม”

 “จะใช่หรือไม่ท่านสัตตภูมิจะเป็นผู้ตัดสิน” อัคนีพูดพร้อมกับหันมาทำตาดุใส่ผมที่ทำท่าเหมือนจะพูดขัดและหันกลับไปทางยมทูตวารีอีกครั้ง “ปล่อยที่นี่ให้เป็นหน้าที่ฉัน นายพาวิญญาณพวกนั้นไปนรกเถอะ”

“ตกลง” ยมทูตหนุ่มตอบสั้นๆพร้อมกับลอยร่างขึ้นไปหากลุ่มวิญญาณและสร้างตาข่ายน้ำขนาดใหญ่คลุมพวกเขาเอาไว้จากนั้นทั้งหมดก็หายไป 

หลังจากที่วารีไปแล้ว อัคนีรอจนกระทั่งเรือลำสุดท้ายวิ่งออกไปจึงเริ่มลงมือตรวจสอบว่ามีวิญญาณดวงใดหลุดรอดจากเงื้อมมือของเงือกผีซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มี งั้นวิญญาณห้าดวงที่ยมทูตท่าทางอวดดีคนนั้นพูดถึงคงถูกฝูงปิศาจน้ำหม่ำไปจนหมดไม่มีเหลือแล้ว ผมย่อตัวลงนั่งยองๆและใช้นิ้วชี้จิ้มผิวน้ำเล่นพลางนึกว่าถ้าวิญญาณเด็กวัยรุ่นคนนั้นเป็นหนึ่งในวิญญาณจากศิลาทำนายจริงแล้วต่อไปจะเป็นยังไง ผมจะต้องกลายเป็นนักรบพิทักษ์โลกหรือผู้ช่วยยมทูตกันแน่ ระหว่างที่กำลังคิดโน่นคิดนี่อยู่นั้นเสียงแท็ปเล็ตของยมทูตคนสวยก็ดังขึ้น เธอหยิบมาเปิดดูและนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะเก็บกลับลงกระเป๋าตามเดิมโดยไม่พูดอะไร หลังจากตรวจพื้นที่โดยรอบจนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วอัคนีจึงหันมาทางผมพร้อมกับพูดเสียงเรียบ

“พสุธาแจ้งข่าวมาว่ามีหมอผีถูกฆ่าตายอีกคน ที่ศพของเขามีร่องรอยของอนธกาล”

เจ้าสิ่งประหลาดนั่นอีกแล้วเหรอ ผมคิดพลางย้อนนึกถึงตอนสู้กับหมอผีที่โรงพยาบาล จากคำพูดของยมทูตพสุธาเจ้าหมอผีนั่นก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนักแต่ที่กล้าปะทะกับพวกยมทูตก็เพราะได้พลังจากสิ่งลึกลับที่ถูกเรียกว่าอนธกาล ยิ่งนึกก็ยิ่งอยากรู้ว่าตัวจริงของเจ้านี่มันเป็นยังไง มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์หรือเปล่าและที่สำคัญมันเก่งขนาดไหน เพราะเท่าที่สังเกตดูพวกยมทูตมักจะทำท่าหวาดทุกครั้งที่กล่าวถึง ดูเหมือนสิ่งที่ผมกำลังคิดจะดังไปถึงแม่สาวยมทูต เธอหันขวับมาทางผมพร้อมกับพูดเสียงเรียบ

“พวกเราไม่ได้กลัวอนธกาล”

อ้าว เห็นพูดถึงทีไรก็ทำหน้าทำตาเหมือนเจอผีทุกครั้ง แบบนี้ไม่เรียกว่ากลัวแล้วจะเรียกว่าอะไร ผมแย้งในใจและรีบถอยหลังเมื่อเห็นอัคนีดีดเปลวไฟขึ้นมาบนปลายนิ้ว

“สิ่งที่พวกเรากังวลคือผลแห่งความเลวร้ายที่เกิดจากอนธกาลต่างหาก” เพลิงสีส้มเต้นระริกอย่างเริงร่าเหมือนอยากจะกระโดดมาเผาวิญญาณปากเสียอย่างผมเสียเต็มประดา”อีก
อย่างอนธกาลมีเพียงเงามืดที่ไร้รูปร่างและสามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ตามที่มันต้องการ”

ยมทูตอกสวยอธิบายพลางดับเปลวไฟในมือ รอดจากการถูกเผาทั้งเป็นแล้วเรา ผมคิดพลางถอนใจออกมาอย่างโล่งอกแต่ต้องร้องลั่นเมื่อโซ่สีเงินเส้นโตพุ่งมารัดลำคอ

“เรามีงานต้องทำ”

แม่ยมทูตคนสวยพูดด้วยสีหน้าเย็นชาก่อนจะลอยตัวขึ้นโดยมีวิญญาณของเด็กหนุ่มผอมแห้งห้อยโตงเตงตามหลัง ผมร้องออกมาได้แค่คำเดียวเท่านั้นก็ต้องรีบหุบปากเมื่อเห็นดวงตาคมปลาบของอัคนี

ไม่มีคำว่าปรานีในหัวใจของยมทูตเลยหรือไง

*/*/*/*/*/*/*

เป็นบทสุดท้ายของต้นฉบับแล้วนะคะ จากนี้ไปคงช้ากว่าเดิมมาก เพราะมูนนี่ติดเขียนนิยายอีกสามเรื่องค่ะ


พูดถึงนิยาย หากผู้อ่านท่านใดเคนอ่านความทรงจำในผืนทราย(My Last Memory) มูนนี่มีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบว่า เรื่องนี้กำลังจะได้ตีพิมพ์เป็นครั้งที่สอง โดยสนพ.สื่อวรรณกรรม ตามกำหนดน่าจะวางจำหน่ายประมาณเดือนกรกฏาคม ซึ่งการพิมพ์ครั้งนี้ได้เพิ่มเติมรายละเอียดและขัดเกลาเนื้อหาให้น่าอ่านยิ่งขึ้น หากได้ภาพปก จะรีบนำมาให้ทุกท่านได้ชมค่ะ


อีกเรื่องที่อยากจะบอกก็คือ นักล่าแห่งรัตติกาลภาคสามผ่านพิจารณาแล้วค่ะ(กรี๊ดดังๆเพราะรอมาตั้งสองปี) แต่กำหนดวางจำหน่ายปีหน้าพร้อมภาคสี่ซึ่งเป็นภาคจบ




Create Date : 01 มิถุนายน 2555
Last Update : 1 มิถุนายน 2555 10:25:41 น.
Counter : 1136 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี