ยมทูต บทที่ 10 วิญญาณบริสุทธิ์
บทที่ 10

วิญญาณบริสุทธิ์

แรงอัดมหาศาลของคลื่นพลังงานสีดำกดลงมาอย่างหนักเหมือนต้องการจะอัดวิญญาณของผมให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง มันสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสชนิดเรียกว่าหากเป็นมนุษย์คงขาดใจตายไปนานแล้ว ผมดิ้นรนด้วยความทรมานและร้องตะโกนออกมา แขนขาทั้งสองข้างเริ่มอ่อนแรง แต่ก่อนที่สติจะดับวูบลงเสียงอ้อนวอนของผู้หญิงก็ดังขึ้นมา

“ช่วยลูกของฉันด้วย”

ผมเบิกตากว้าง คำพูดของยมทูตสาวที่เล่าถึงความทุกข์ทรมานของเหล่าดวงวิญญาณที่ถูกหมอผีนอกรีตจับไปขังไว้หวนกลับเข้ามาในความคิด จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวิญญาณของแม่ลูกคู่นี้ถูกจับไป เสียงร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัวของทารกน้อยดึงสติของผมให้กลับคืนมา ผมสะบัดแขนทั้งสองข้างสุดแรงพร้อมกับตะโกน

“ฉันไม่ยอมให้แกทำแบบนั้นหรอกไอ้หมอผีชั่ว!”

เหมือนมีพลังบางอย่างปะทุขึ้นภายในกาย มันพองตัวขึ้นและขยายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็วผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกลายเป็นลูกไฟขนาดยักษ์ คลื่นความร้อนมหาศาลแผ่ออกจากร่างวิญญาณของผมระเบิดไอสีดำจนแหลกกระจุยปลิวกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เสียงหวีดร้องด้วยความตระหนกระคนเจ็บปวดก้องไปทั่ว อากาศที่เคยหนักอึ้งเบาลงอย่างฉับพลัน ผมกวาดตามองไปรอบตัวและยิ้มออกมาด้วยดีใจเมื่อเห็นดวงไฟสีทองสองดวงกำลังลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ วิญญาณสองแม่ลูกหลุดพ้นเงื้อมมือของหมอผีเลวนั่นแล้ว ผมคิดพลางยื่นมือออกไปคว้าดวงไฟทั้งสองมาประคองไว้กับอกและยืนอมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้เสียงเอะอะดังมาจากห้องคลอด ผมหันไปมองนางพยาบาลที่กำลังวิ่งวุ่น แพทย์คนหนึ่งหันไปหยิบเข็มฉีดยามาเตรียมไว้ในขณะที่แพทย์อีกคนหยิบเครื่องกระตุ้นหัวใจขึ้นมา สัญชาตญาณร้องเตือนว่าร่างเนื้อของทั้งคู่กำลังจะตาย ผมรีบขยับตัวเพื่อนำดวงวิญญาณสองแม่ลูกกลับไปคืนร่างแต่เพียงแค่ยกขาและเดินไปได้ก้าวเดียวเท่านั้นร่างวิญญาณของผมก็หยุดกึกเหมือนโดนตะปูขนาดใหญ่ตรึงเอาไว้ ตอนที่กำลังยืนงงและพยายามขยับตัวอยู่นั้นหัวใจผมก็กระตุกวาบด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์แผ่วต่ำดังระรัวขึ้น ผมนึกถึงคาถาสะกดวิญญาณที่เคยเห็นในหนังขึ้นมาทันที

“คืนวิญญาณข้ามา”

น้ำเสียงต่ำพร่าน่าขนลุกดังขึ้นในอากาศ ผมกัดฟันเพื่อข่มความกลัวก่อนจะตะโกนตอบ

“มันเป็นวิญญาณของแกซะเมื่อไหร่ไอ้หมอผีมั่ว”

“ไอ้ผีปากมอม” เสียงโต้ตอบกลับมาอย่างเกรี้ยวกราด “มีพลังจิ๊บจ้อยแค่นี้คิดว่าเก่งแล้วหรือไง เดี๋ยวข้าจะเรียกวิญญาณแกมาทรมานเล่นซักปีแล้วยัดใส่หม้อถ่วงทะเลชนิดไม่ต้องผุดต้องเกิดอีกเลย”

ไอ้หมอผีโรคจิต ผมคิดและเตรียมจะร้องด่าแต่ต้องชะงักอ้าปากค้างเมื่อไอสีดำที่ถูกระเบิดกระจายเมื่อครู่ค่อยๆเคลื่อนกลับมารวมกันอีกครั้งแถมคราวนี้มันมีขนาดใหญ่มากกว่าเดิมถึงสองเท่า ผมจ้องด้วยความกลัวจนตัวสั่นแต่ก็ยังฝืนทำใจกล้าร้องขู่

“หยุด! ถ้าขืนเข้ามาใกล้กว่านี้อีกนิด ฉันจะระเบิดแกให้กระจุย”

“อย่ามาทำเป็นคุย” เสียงหมอผีดังกลับมา “ส่งวิญญาณนั่นมาให้ข้าแล้วไสหัวแกไปให้พ้น”

“ฉันต่างหากที่ต้องพูดคำนั้น” ผมโต้กลับเสียงดังและถอยหลังกรูดเมื่อไอดำเริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้ อ้าวเฮ้ย ขยับตัวได้แล้วนี่หว่า! ผมคิดด้วยความดีใจ งั้นจะมามัวยืนอ้อยอิ่งอยู่ทำไม เผ่นก่อนละครับ

ผมกอดวิญญาณสองแม่ลูกแน่นก่อนจะวิ่งไปที่ระเบียงและกระโดดข้ามราวกั้นลงมาจากชั้นสาม แต่ดูเหมือนเจ้าหมอผีใจชั่วจะเดาเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผมจะต้องหนีทางนั้นเพราะคลื่นอาคมของมันแตกตัวออกจากกันและแปรสภาพเป็นสายคล้ายหนวดปลาหมึกพุ่งตามหลังมาติดๆหนวดเส้นหนึ่งคว้าข้อเท้าของผมเอาไว้ได้แล้วลากกลับขึ้นไปไว้บนดาดฟ้า สายสีดำที่เหลือพุ่งเข้ามารัดตัวของผมและพยายามดึงดวงวิญญาณของสองแม่ลูกออกจากมือ แต่ผมดิ้นรนขัดขืนสุดกำลังเพื่อปกป้องวิญญาณของคนทั้งสองและกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นไม่ให้หนวดปลาหมึกผีมันแย่งเอาไปได้ หลังจากต่อสู้อยู่พักใหญ่เสียงร้องคำรามด้วยความโกรธจัดก็ดังขึ้น คลื่นสีดำที่กำลังเคลื่อนไหวหยุดชะงัก มันคลายการรัดร่างของผมและถอยหลังออกห่าง สงสัยเจ้าหมอผีคนนั้นคงหมดพลังหรือไม่ก็เบื่อความดื้อด้านของผมจนเลิกคิดที่จะแย่งดวงวิญญาณคู่นี้แล้วมั้ง

ยังนึกไม่ทันจบ ผมต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นหนวดสีดำทุกเส้นยืดตัวสูงขึ้นและเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นฉมวกที่แหลมคม มันกวัดแกว่งไปมาสองสามครั้งก่อนจะพุ่งลงมาเสียบร่างผมจนทะลุ ถึงจะเป็นวิญญาณมันก็เจ็บไม่เบาเลยครับ แถมเป็นความเจ็บปวดชนิดบาดลึกเข้าไปจนถึงกระดูกจนผมต้องแหกปากร้องตะโกนออกมา หมอผีชั่วส่งเสียงหัวเราะเริงร่าอย่างผู้มีชัยขณะที่หนวดสีดำเส้นหนึ่งดึงดวงวิญญาณสองแม่ลูกออกไป เสียงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวของทารกน้อยดังลั่นขึ้น ผมมองกลุ่มพลังงานทมิฬที่กำลังโอบรัดดวงไฟสีทองอย่างฮึกเหิมด้วยความแค้นใจ

“ปล่อยพวกเขาไปซะแล้วมาเอาวิญญาณของฉันไปแทน” ผมตะโกนบอกแต่หมอผีใจทรามกลับหัวเราะเยาะ

“วิญญาณอย่างแกจะไม่มีค่าอะไร”

“ฉันเป็นหนึ่งในวิญญาณของแผ่นศิลาทำนายจากนรก” ผมพยายามยันตัวลุกขึ้นและเดินโซเซเข้าไปหาคลื่นมหากาฬ มันหยุดนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะม้วนตัวถอยหลัง เสียงหมอผีคำราม

“แกเป็นวิญญาณที่ถูกกำหนดให้มากำราบพวกข้างั้นรึ” ความเกรี้ยวกราดในน้ำเสียงทำให้ผมชักรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาในทันทีแต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร คลื่นสีดำก็เคลื่อนที่และเลื่อนกลับลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยว!”

ผมตะโกนพร้อมกับตัดสินใจกระโดดตาม มือสองข้างยื่นไปข้างหน้าขณะที่วิญญาณลอยละลิ่วลงไปอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าไปในใจกลางของคลื่นทมิฬ มันทั้งอึดอัดและเย็นยะเยือกเหมือนถูกแช่อยู่ในก้อนน้ำแข็ง ผมหลับตาแน่นขณะขยับแขนควานหาและหยุดกึกเมื่อรู้ตัวว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ที่ปลายมือ ความอบอุ่นที่สัมผัสบนนิ้วทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือดวงวิญญาณของสองแม่ลูก ไม่มีเวลาคิดอะไรแล้วล่ะครับ ผมรีบคว้าเอาไว้และดึงมากอดแนบอก ตอนนั้นเองที่ฉุกขึ้นขึ้นมาได้ว่าผมจะออกไปจากก้อนอุบาทว์นี่ได้อย่างไร

คิดได้แค่นั้นก็มีเสียงระเบิดดังกึกก้อง คลื่นสีดำที่ห้อมล้อมตัวของผมโดนพลังของใครบางคนอัดเข้าใส่จนแตกกระจุย ผมแน่ใจในทันทีว่าผู้ที่เข้ามาช่วยคือใคร

“อัคนี”

ปากไว้เท่าความคิด ผมเรียกชื่อยมทูตสาวด้วยความดีใจแต่เสียงทุ้มห้าวที่ตอบกลับมาเล่นเอาหัวใจของผมร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“ไม่ใช่”

มันเป็นเสียงของผู้ชายครับ แถมเป็นเสียงที่ผมไม่คุ้นหูมาก่อนเลยด้วยซ้ำ อย่าบอกนะว่ามีหมอผีโผล่มาอีกคน

“นั่นก็ไม่ใช่อีก” เสียงผู้ชายคนเดิมตอบกลับมา “ข้าจัดการอาคมของหมอผีนั่นเรียบร้อยแล้ว ลืมตาขึ้นเสียทีสิเจ้าวิญญาณดิบ”

ผมลืมตาขึ้นมองชายร่างใหญ่เหมือนนักรบโบราณกำลังยืนประจันหน้ากับคลื่นอาคมของหมอผีอย่างไม่เกรงกลัว เขายกมือขึ้นชี้ไปข้างหน้าพร้อมกับตวาดเสียงดัง

“ไปให้พ้น”

กลุ่มก้อนอาคมทมิฬลอยม้วนตัวนิ่งอยู่กับที่ไม่ยอมขยับจนยมทูตคนนั้นต้องพูดสำทับ

“ไสหัวไปให้พ้นอย่าให้ข้าต้องตามไปลากวิญญาณเจ้าจนถึงที่”

คลื่นสีดำขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย เสียงแผ่วพร่าดังตอบกลับมาอย่างหยิ่งผยอง

“ฝากไว้ก่อนเถอะ”

ไอทมิฬถอยออกห่างและจางหายไปอย่างรวดเร็ว ยมทูตตัวใหญ่จ้องตามด้วยดวงตาดุดันก่อนจะหันหน้าไปที่อัคนี

“เป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนดูเหมือนเป็นคำพูดตามมารยาทมากกว่าความเป็นห่วงเป็นใย ยมทูตสาวนิ่วหน้าพร้อมกับตอบ

“ไม่เป็นไร” เธอหันหน้าไปมองอีกฝ่าย “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไงกันพสุธา”

ถึงบางอ้อเลยล่ะครับ กำลังนึกอยู่ว่าเคยเจอนายล่ำบึ้กนี่แถวไหน ที่แท้ก็ยมทูตคนที่พาวิญญาณเครื่องบินตกไปส่งนรกนี่เอง ผมคิดในใจเหมือนทุกครั้งและรีบหยุดทันทีเมื่อเห็นสายตาดุดันของยมทูตพสุธา

“เป็นคำสั่งของท่านสัตตภูมิ”

เขาพูดเสียงห้วน แม่สาวยมทูตทำหน้าแปลกใจ

“ทำไมท่านสัตตภูมิถึงได้สั่งแบบนั้น” เธอชะงักคำพูดค้างพร้อมกับกวาดตามองรอบตัว “แล้ววิญญาณเด็กที่ถูกยิงล่ะหายไปไหน”

“ข้าให้ยมทูตระดับสองพายังยมโลกแล้ว” พสุธาตอบเสียงเรียบ อัคนีพยักหน้าก่อนจะหันมาทางผม

“วิญญาณที่ฉันให้นายไปดูแลเป็นยังไงบ้าง”

“ปลอดภัยแต่ก็ช้าเกินไป”

ยมทูตพสุธาเป็นคนตอบ ผมหันไปมองด้วยความไม่พอใจ เล่นแย่งบทพูดแบบนี้เหมือนเอาหน้ากันนี่หว่า ไอ้เรารึเหนื่อยแทบตายกว่าจะแย่งวิญญาณแม่ลูกคู่นี้กลับมาได้ ผมรีบลุกขึ้นและเตรียมจะสาธยายถึงวีรกรรมแต่ต้องหยุดเมื่อเห็นสีหน้าตระหนกของอัคนี

“หมายความว่า”

“ถึงจะช่วยไม่ให้พวกเขาถูกหมอผีจับไป แต่ก็สายเกินกว่าจะนำวิญญาณกลับเข้าร่าง”

ยมทูตพสุธาพูดต่อ ผมยืนตกตะลึงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ดวงไฟที่อยู่ในมือสั่นสะท้านอย่างรุนแรง มันลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็วและคงจะมุ่งตรงไปยังอาคารชั้นสามแน่ถ้าไม่ถูกตาข่ายสีขาวที่พุ่งออกมาจากทางด้านหลังของยมทูตพสุธาคว้าเอาไว้ ผมมองด้วยความสงสัยแต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรเสียงร้องไห้โหยหวนด้วยความเสียใจอย่างที่สุดก็ดังลงมาจากด้านบน มันเป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องสูญเสียทั้งเมียและลูกไปในเวลาเดียวกัน ผมยืนอึ้งอยู่อย่างนั้นก่อนจะหันไปมองดวงไฟทั้งสองซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ในตาข่ายแสงด้วยความเสียใจ

ผมช่วยพวกเขาไม่สำเร็จ

ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาในบัดดล ผมกำมือแน่นด้วยความเสียใจอย่างที่สุด ทั้งที่อุตส่าห์ทุ่มเทพลังกายพลังใจทำทุกอย่างเพื่อชิงวิญญาณของสองแม่ลูกกลับมา แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องจากครอบครัวไปอยู่ดี

ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ค่าเหลือเกิน

“สิ่งที่เจ้าทำคือช่วยให้วิญญาณสองดวงรอดพ้นจากการกักขัง” ยมทูตพสุธาพูด ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาและเงยหน้าขึ้นไปยังอาคารชั้นสาม

“แล้วจะมีประโยชน์อะไร” ผมพูดเสียงแห้งขณะมองผู้ที่เคยจะได้เป็นพ่อคนกำลังโผเข้ากอดร่างไร้วิญญาณของเมียและลูกและร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเสียใจ “แบบนี้มันก็เหมือนกับไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขาเลย”

“มันเป็นชะตาของพวกเขา เด็กคนนี้ถูกส่งมาเกิดตามวาระ ส่วนคนเป็นแม่ก็สิ้นสุดกรรมลงในวันนี้” พสุธาตอบ ผมส่ายหน้าก่อนจะหันไปมองเขา

“ฉันไม่เข้าใจ”

“พวกเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน เด็กคนนี้มาเกิดเพื่อล้างหนี้เวรกรรมกับคนเป็นแม่ จากนี้ไปพวกเขาก็จะสิ้นพันธะผูกพันต่อกันและเตรียมตัวไปเกิดใหม่ตามกรรมของแต่ละคน”

อัคนีอธิบาย ผมยืนนิ่งและหันไปมองดวงวิญญาณในตาข่ายแสง

“ถึงจะพูดแบบนั้นฉันก็ยังรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวอยู่ดี” ผมพูดด้วยน้ำเสียงท้อแท้ “แบบนี้จะปกป้องโลกตามคำทำนายที่ว่านั่นได้ยังไง”

ท่าทางห่อเหี่ยวสิ้นหวังของผมทำให้ยมทูตอัคนีต้องนิ่วหน้า เธอถามผมเสียงเข้ม

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“แค่วิญญาณเล็กๆสองดวงยังช่วยไม่ได้ แล้วจะมีปัญญาไปช่วยคนทั้งหมดได้ยังไง” ผมกำมือแน่นและถอนใจ “ไปหาคนที่เก่งกว่าฉันเถอะอัคนี”

ทั้งอัคนีและพสุธาหันไปมองหน้ากัน ยมทูตหนุ่มพูดเสียงเรียบ

“ฟังจากท่านสัตตภูมิเล่า ข้าคิดว่าวิญญาณพลังแห่งเพลิงคงจะเป็นคนกล้า” เขาหันมาจ้องหน้าผม “แต่เท่าที่ข้าเห็นในตอนนี้เจ้าช่างอ่อนแอนักซ้ำหัวใจยังแกร่งไม่ถึงครึ่งของวิญญาณดิบที่ข้าพบเลยสักนิด”

“ท่านพบวิญญาณดิบอีกตนแล้วอย่างนั้นหรือ”

อัคนีถามแต่พสุธาไม่ตอบ เขาเบี่ยงตัวหลบให้ผู้ที่ยืนแอบอยู่ทางด้านหลังก้าวออกมา ผมยืนตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่แต่ผมเท่านั้นยมทูตสาวเองก็กำลังจ้องวิญญาณดิบที่กำลังยืนตรงหน้าด้วยสายตาคาดไม่ถึง เธอหลุดปากอุทาน

“เด็ก!”

ครับ วิญญาณดิบที่มากับพสุธาเป็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบขวบหน้าตาน่ารัก เธอหันมามองผมพร้อมกับส่งยิ้มแสนบริสุทธิ์ให้ อัคนีเงยหน้าขึ้นมองยมทูตหนุ่มและถาม

“เด็กคนนี้หรือวิญญาณพลังแห่งปฐพี”

“ใช่”

“ท่านไปพบที่ไหน”

“รวมอยู่ในกลุ่มวิญญาณอุบัติเหตุเครื่องบินตก” ยมทูตพสุธาตอบ “เด็กคนนี้ถูกสลับตำแหน่งให้ตายแทนคนชะตาขาด ซึ่งตรงกับหนึ่งในคำทำนายของศิลา”

เด็กตัวกะเปี๊ยกแค่นี้น่ะเหรอวิญญาณในคำทำนาย แบบนี้จะทำอะไรได้นอกจากสร้างภาระให้เปล่าๆ

“เห็นตาข่ายนั่นไหม” พสุธาพูดพลางชี้ไปยังตาข่ายแสงที่คลุมดวงวิญญาณของสองแม่ลูกเอาไว้ ผมมองด้วยความแปลกใจเพราะดูเหมือนพวกเขาจะสงบลงกว่าเดิมมาก ก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกนี่นาแล้วท่านยมทูตหน้าหล่อให้ดูไปทำไม ผมคิดพลางไล่สายตามองและต้องตกใจเมื่อพบว่าตาข่ายแสงนั่นมันออกมาจากมือของเด็กหญิงคนนั้นนั่นเอง

“พลังแห่งความเมตตาที่ออกมาจากผู้ที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์สามารถขับกล่อมดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความเศร้าให้สงบลงได้ มันเป็นหนึ่งในความสามารถของผู้ที่มีพลังอันหนักแน่นของผืนแผ่นดิน”

ยมทูตพสุธาอธิบาย สรุปง่ายๆก็คือเด็กน้อยคนนี้สร้างตาข่ายดักวิญญาณได้และสามารถทำให้พวกเขาสงบลง เป็นพลังที่ไม่เลวเหมือนกันแฮะออกแนวสะดวกดีด้วยซ้ำถ้าบังเอิญต้องไปสู้กับพวกวิญญาณร้าย เพราะแค่เหวี่ยงตาข่ายขาวๆนี่เข้าใส่ก็คงสยบพวกมันได้แล้ว ผมนึกอย่างลิงโลด แต่ความคิดที่ว่าคงจะแสนพิสดารสำหรับนักสู้อย่างพวกยมทูตเพราะพสุธาหันมามองพร้อมกับขมวดคิ้ว

“คิดได้ยังไงน่ะ”

น้ำเสียงที่ถามทั้งฉงนและสมเพชระคนกันแต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบเขาก็หันกลับไปที่อัคนีอีกครั้งพร้อมกับพูด

“ข้าพบกับอนธการตอนไปรับวิญญาณเครื่องบินตก มันต่างจากที่เจอกับเมื่อครู่นี้มาก”

“สิ่งที่พวกเราเจอเมื่อครู่เป็นพลังผสมระหว่างอาคมมืดของหมอผีกับอำนาจบางส่วนของอนธการ” อัคนีพูด พสุธาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

“อะไรทำให้ท่านคิดแบบนั้น”

“เพราะคลื่นพลังของมันเป็นของอนธการแต่กลับมีจิตใจของหมอผีสถิตย์อยู่ภายใน” อัคนีตอบพร้อมกับหันหน้ามาทางผม “มันจึงสามารถพูดจาโต้ตอบกับนายได้”

“แบบนี้ก็หมายความว่ามีหมอผีบางคนยอมผนึกวิญญาณกับอนธการ ช่างเป็นความคิดที่เขลาสิ้นดี” พสุธาบ่นอย่างเจ็บใจ ยมทูตสาวผงกศีรษะ

“ใช่ เป็นความคิดที่ขลาดเขลาแต่น่ากลัวสำหรับพวกเรา เพราะหากอนธการกลืนกินหมอผีทุกคนจนหมดแล้วมันจะมีพลังอำนาจเพิ่มมากขึ้น อาจเกินกว่าที่พลังของวิญญาณจากศิลาทำนายจะสู้ได้”

“คงไม่ถ้าพวกเรารีบยับยั้ง” เสียงใสของวิญญาณดวงน้อยพูดขึ้น ทั้งอัคนีและพสุธาก้มลงมองเด็กหญิงที่กำลังยืนจ้องกลับมาด้วยสายตามุ่งมั่น ส่วนผมถอนหายใจพรืดอย่างนึกดูแคลน
โธ่ ขนาดนักสู้อย่างผมยังแทบเดี้ยงแล้วเด็กตัวแค่นี้จะเอาอะไรไปสู้ แค่ตาข่ายสยบมารน่ะคงดัดสันดานชั่วๆของพวกหมอผีอุบาทว์ไม่แน่ได้ ผมคิดพลางโน้มตัวลงไปหาวิญญาณตัวน้อยและถาม

“ตัวแค่นี้จะทำอะไรได้”

“เยอะแยะ” เด็กหญิงตอบ “หนูกำลังฝึกอยู่”

ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

“ฝึกอะไร”

“วิธีช่วยคน” เธอตอบและหันไปมองยมทูตหนุ่มพร้อมกับพูดเสียงใส “พี่พสุธาบอกว่าจะสอนให้”

“จะเรียนไปทำไม” ถามประชดไปอย่างนั้นแหละครับ แต่คำตอบของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้ผมต้องสะอึก

“หนูเป็นห่วงพ่อกับแม่” เธอมองหน้าผม “พี่พสุธาบอกว่าพวกท่านจะถูกคนไม่ดีมาทำร้าย หนูเลยสัญญากับตัวเองว่าจะต้องเก่งเพื่อช่วยท่าน”

สีหน้าที่ขึงขังกับน้ำเสียงจริงจังของเด็กน้อยทำให้ผมยืนนิ่ง ทั้งที่รู้ดีว่าตัวเองตายไปแล้วแต่เด็กคนนี้กลับมีความมุ่งมั่นและคิดที่จะช่วยพ่อแม่ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของคนชั่วในขณะที่ตัวผมมัวแต่นั่งหดหู่ท้อแท้และสิ้นหวังด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าท่า ทำไมไม่คิดสักนิดว่าที่ช่วยคนอื่นไม่สำเร็จเพราะมัวแต่เล่นสนุกไปวันๆ ถ้าผมฝึกพลังอย่างจริงจังตั้งแต่แรก วันนี้คงไม่แพ้หมอผีจนหมดรูปแบบนี้

“พี่ก็เป็นวิญญาณในคำทำนายด้วยใช่ไหมคะ” เด็กน้อยถาม ผมยิ้ม

“ทำนองนั้น”

“งั้นเรามาฝึกด้วยกันนะ” เธอคว้าข้อมือผม” จะได้ปกป้องพ่อแม่ไม่ให้โดนคนใจร้ายมารังแก แล้วก็จะได้ช่วยคนอื่นด้วย”

คำพูดไร้เดียงสาแต่กลับแฝงความแน่วแน่มั่นคงผิดกับวัยทำให้ผมต้องอึ้งไปอีกครั้ง ดวงตาซื่อบริสุทธิ์ซึ่งกำลังจ้องมองอย่างคาดหวังทำให้ผมรู้สึกลังเล แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่แสนจริงใจจากสาวน้อยที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ความเศร้าหมองหดหู่ทั้งหลายก็มลายหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ผมมองเธอด้วยความทึ่งก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กหญิงอย่างแผ่วเบา

“หนูชื่ออะไร”

“ก้อยค่ะ”

“เป็นชื่อที่น่ารัก” ผมเอ่ยชมพร้อมกับยิ้มออกมา “พี่ชื่อโป้ง เป็นวิญญาณที่ตายก่อนกำหนด”

“หนูรู้แล้วค่ะ” ก้อยพูดพลางหันไปขานรับเสียงเรียกของยมทูตพสุธาก่อนจะหันหน้ากลับมาหาผมอีกครั้ง“เราต้องไปกันแล้ว”

“ไปไหน”

“พาวิญญาณคู่นี้กลับไปที่ยมโลกแล้วไปรับวิญญาณดวงอื่นต่อ พี่พสุธาก็จะสอนการใช้พลังแห่งปฐพีไปด้วย”

เธอวิ่งกลับไปหายมทูตหนุ่มหน้าตาย

“หนูไปก่อนนะคะ” เด็กน้อยหันมาโบกมือลา จากนั้นร่างของทั้งคู่ก็เลือนหายไป ผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าไปมองยมทูตอัคนี

“เราจะไปกันหรือยัง”

“ไปไหน” เธอย้อนถามกลับมา ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นสามและจ้องเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่กำลังเข็นเตียงหญิงท้องแก่อีกคนเข้าไปในห้องทำคลอด ผมยิ้มพร้อมกับลดสายตาลง

“รับวิญญาณคนตายไปส่งที่ยมโลกและสอนฉันเรื่องการใช้พลังแห่งไฟ”

เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นสีหน้าของยมทูตสาวคลายความเคร่งขรึมลง เธอมองผมพร้อมกับยื่นมือออกมา

“ตกลง” อัคนีพูดพร้อมกับคว้าข้อมือของผมเอาไว้ เปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้นโอบล้อมร่างของเราทั้งสอง ยมทูตสาวกล่าวต่อเสียงเรียบ “เตรียมใจไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

*/*/*/*/*




Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2555 18:36:06 น.
Counter : 643 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี