Group Blog
กุหลาบในเปลวไฟ...บทที่ 11


กุหลาบในเปลวไฟ


บทที่ 11...คณิตยา



‘นี่หรือรังของกุหลาบดำ!’ อัสมาร์อุทานอย่างสนเท่ห์ในใจแล้วก้าวผ่านประตูฐานบัญชาการกุหลาบดำเข้ามา ชุดรักษาความปลอดภัยที่ยืนทำหน้าที่อยู่หน้าประตูจัดการตรวจหาอาวุธทุกชนิดด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบไฮเทคโนโลยี ตามมาด้วยการสแกนลายนิ้วมือทุกนิ้ว หัวหน้าเวรกะดึกมองหน้าอัสมาร์แล้วจ้องภาพที่ปรากฏบนจอหน้าคอมพิวเตอร์ ถามว่า

“ทำไมกลับดึกดื่น”

“แวะเยี่ยมญาติมา”

หัวหน้าเวรพยักหน้า ไล่สายตาอ่านประวัติคร่าวๆ แล้วสะดุดตาเมื่อในประวัติระบุว่าออกจากฐานบัญชาการกุหลาบดำไปเกือบสัปดาห์แล้ว “เดี๋ยว แกหายไปไหนมาดารุสเกือบสัปดาห์”

อัสมาร์ไหวไหล่ “ถูกจับอยู่ในฐานบัญชาการอนาเซีย”

“แล้วออกมาได้ไง”

“อาศัยช่วงระเบิดคลังอาวุธ หลบออกมา”

หัวหน้าชุดรักษาการปลอดภัยพยักหน้า เอ่ยปากอนุญาตให้อัสมาร์เข้าไปฐานได้ ชายหนุ่มก้าวล่วงเข้ามาในฐานบัญชาการได้ ก็ยืนอึ้งอยู่หลังประตู ด้วยอาณาเขตภายในฐานกว้างขวางกว่าที่เห็นจากภาพผังเมืองที่เขาแฮคมาได้นัก แม้เป็นเวลากลางคืนแต่แสงจากโคมไฟแสงจันทร์ริมถนนส่องนำทางให้เห็นตรอกซอกซอยไปสู่อาคารต่างๆ ซึ่งอาคารยังเปิดไฟฟ้าสว่างพรึ่บ

เป็นครั้งแรกที่อัสมาร์ลอบเข้ามาในรังของยาหยัง เขาใช้เวลาศึกษาข้อมูลนานพอสมควรกว่าจะแฮคผังเมืองตลอดจนทางลับของฝ่ายศัตรูได้ ผังที่ตั้งของฐานบัญชาการกุหลาบดำซับซ้อนกว่าฐานบัญชาการอนาเซีย อาจเป็นเพราะเขาไม่คุ้นกับฐานบัญชาการแห่งนี้จึงทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้น ทางลับของฐานบัญชาการอนาเซียอยู่ใต้เพดานห้องนอนของพล.อ.ชาโต เขาและอัชชาร์ค แต่ทางลับของฐานบัญชาการกุหลาบดำอยู่ใต้ดิน ต้องเข้าทางปากถ้ำซึ่งอยู่ติดกับหน้าผา เขาลอบไปสำรวจมาแล้ว ปากถ้ำปิดด้วยต้นไม้สูงใหญ่จนแทบมองไม่เห็นปากทางเข้า พื้นถ้ำมีทางลับเชื่อมสู่ฐานกุหลาบดำแต่ทางแคบต้องคลานเข่า และมันจะไปโผล่ยังอาคารเก่าร้างซึ่งเป็นสถานที่เก็บฟางข้าวและอุปกรณ์การเกษตร

อัสมาร์แต่งกายเหมือนสมุนกุหลาบดำคนอื่นๆ คือ เสื้อกางเกงชุดทหารของกีซาลี ใบหน้าเขามีหนวดเครายาวรุงรัง คิ้วดกหนาที่เคยได้รูปสวยบัดนี้ยาวระเกะระกะไม่ได้รูปทรง จมูกโด่งปลายงุ้ม ริมฝีปากหนา มันไม่ใช่ใบหน้าของเขา หากแต่เป็นใบหน้าของสมุนกุหลาบดำคนหนึ่งที่ชื่อว่าดารุส เขาเจอในคุกตอนถูกอัชชาร์คจับไปขัง พบว่าดารุสมีโครงหน้า ส่วนสูงและระดับน้ำเสียงที่ใกล้เคียงกับเขามากที่สุดเมื่อเทียบกับนักโทษคนอื่นๆ

ตอนที่เขาถูกปล่อยตัวออกมา จึงสั่งให้นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดของฐานบัญชาการอนาเซีย หล่อหน้ากากเรซินโดยใช้แบบจำลองจากหน้าจริง ทำลายนิ้วปลอมที่เหมือนจริงจากวัสดุพิเศษ หน้ากากที่หล่อขึ้น มีขนาดเท่ากับศีรษะคน สร้างเลียนแบบของจริงทุกประการตั้งแต่รูปทรงศีรษะ ทรงผมไปจนองค์ประกอบของใบหน้า ทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษ คือ หนาแต่น้ำหนักเบา ไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆ ยืดหยุ่นไม่ฉีกขาด

ที่สำคัญเรซินที่ทำขึ้นเป็นพิเศษนั้น สามารถอ่านปฏิกิริยาเคมีทางร่างกายแล้วส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนผิวเรซิน เช่น เวลาตื่นเต้นดีใจ หน้ากากเรซินก็จะเปลี่ยนสีเป็นสีชมพู ส่วนการใช้งาน สามารถใช้โดยการสวมทางศีรษะมันปิดแนบสนิทตั้งแต่ศีรษะจดลำคอ เนื้อและสีผิวของเรซินถูกออกแบบขึ้นให้เหมือนสีผิวจริงของอัสมาร์ เวลาสวมจึงกลืนไปสีผิวลำคอจนแยกความแตกต่างไม่ออก

อันที่จริงเขายังไม่พอใจกับวิวัฒนาการชิ้นนี้นัก เพราะยังมีจุดอ่อนตรงกล่องเสียง ตัวเรซินยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องแปลงสัญญาณเสียงให้เหมือนกับเสียงของเจ้าของตัวจริงได้ ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้นักวิทยาศาสตร์สร้างในสิ่งที่เขาต้องการไม่ทัน เหตุนี้อัสมาร์จึงต้องพอใจในสิ่งที่มีอยู่

อัสมาร์สาวเท้าไปตามทางเดิน ตรงไปยังคุกของฐานบัญชาการอนาเซีย ผังเมืองกุหลาบดำที่ศึกษามาอย่างดีและจำได้จนขึ้นใจ ทำให้เขารู้ทางลัดที่จะตัดผ่านไปยังอาคารแต่ละหลัง อัสมาร์กำลังจะเลี้ยวหัวมุมตึกหนึ่ง ก็มีร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาพงหญ้าข้างทาง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งเสร็จจากการทำธุระส่วนตัว

“น้อง มีบุหรี่ไหม” เสียงถามนั้นเป็นภาษากีซาลีเน่อๆ แบบชาวบ้าน

อัสมาร์ยื่นบุหรี่ยี่ห้อหนึ่งออกไปให้แทนคำตอบ ฝ่ายนั้นรับบุหรี่ไปคาบไว้ที่ปาก ควักไฟแช็คของตัวเองออกมาจุดสูบแล้วพ่นควันปุ๋ยออกมา

“น้องชื่ออะไร”

“ดารุส” อัสมาร์ตอบสั้นๆ

มานัสพยักหน้า สูดบุหรี่เข้าปอดลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “นี่ดารุส รู้อะไรไหมคืนนี้เป็นวันชาติกีซาลี แต่ในฐานเรากลับเงียบชิบ..”

น้ำเสียงที่ใช้คุยกับเขา ราวกับสนิทสนมมานาน และยังจะท่วงท่าราวกับลูกพี่ใหญ่ให้กับปรานีลูกน้องชั้นผู้น้อย ทำให้อัสมาร์ลอบยิ้มขำไม่ได้ เขาวิเคราะห์บุคลิกนั้นได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายทำงานในตำแหน่งที่ต้องคุมคน แต่ไม่ถึงกับหัวหน้าใหญ่ อาจเป็นแค่ผู้คุมระดับล่างๆ ลักษณะการพูดจาและการวางอำนาจจึงยังให้เกียรติคู่สนทนา

“นั่นสิ ผมเดินทั่วฐานแต่ไม่เห็นใครเลย เงียบยังกะไม่ใช่วันชาติ” เขาเสริมคำอีกฝ่าย

“รู้ไหมทำไมเงียบ?” ถามแล้วทำท่าอมภูมิ

อัสมาร์มองกิริยานั้นยิ้มๆ กิริยาที่เหมือนคนอมภูมิแต่ในขณะเดียวกันก็อยากแสดงออกเต็มแก่ว่าตัวเองรู้มาก เขายิ้มแล้วเอาใจอีกฝ่ายด้วยคำถามว่า “นั่นสิพี่ ทำไมในฐานจึงเงียบเชียบนักละครับ” น้ำเสียงอัสมาร์อ่อนน้อมอย่างให้ความยกย่องอีกฝ่าย

มานัสยิ้มอย่างพอใจกับท่าทางนอบน้อมนั้น เขายืดอกพูดว่า “ก็วันนี้เป็นวันทวงคืนแผ่นดินกีซาลี จากพวกอนาเซีย”

อัสมาร์เบิ่งตาโตอย่างตกใจทันที พระเจ้า..ข่าวใหญ่ขนาดนี้ฝ่ายพ่อเขารู้หรือยัง? แล้วอัสมาร์ก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดต่อไปว่า “พวกผู้ใหญ่ถือโอกาสใช้วันชาตินี้ ประชุมแกนนำกุหลาบดำเพื่อวางแผนเผด็จศึกอนาเซีย พวกเราคาดหวังว่าจะได้เอกราชกลับคืนเร็วๆ นี้”

อัสมาร์นิ่วหน้า แผนเผด็จศึกของอีกฝ่ายคงหนีไม่พ้นแผนการก่อการร้าย.. อัสมาร์ฟังแล้วตกใจ “แล้วพี่รู้ได้ไงข่าวใหญ่ขนาดนี้” น้ำเสียงที่พูดยังคงยกย่อง

มานัสยืดอกอย่างภูมิใจ “ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรหรอก บรรดาผู้ใหญ่ในฐานชั้นในเขาพูดออกบ่อยไป แล้วนี่ดึกดื่นค่ำคืนขนาดนี้ ทำไมยังออกมาเดินเล่นน้องชาย เวลาพวกนายใหญ่ประชุมหารือกัน ห้ามพวกลูกกระจ๊อกออกมาเดินเพ่นพ่านนอกที่พักตัวเองรู้ไหม ไม่งั้นจะถูกสงสัยได้ง่ายๆ ว่าเป็นพวกสายสืบ”

“งั้นพี่ต้องใหญ่มาก ถึงออกมาเดินข้างนอกยามวิกาลอย่างนี้ได้”

ร่างสูงใหญ่ราวกับนักเล่นกล้ามนั้น ยืดอกมากยิ่งขึ้น “ก็ไม่ใหญ่ขนาดนั้นหรอก พี่แค่คนคุมนักโทษในคุก แล้วนี่ตกลงว่าน้องชายออกมาเดินเพ่นพ่านกลางค่ำกลางคืนทำไม”

“ผมออกมาตรวจเวรยาม”

มานัสจ้องออกฝ่ายทันที “ตรวจเวรยาม? แล้วทำไมไม่พกปืนสักกระบอก อันตรายนะน้องถึงในนี้จะมีระบบรักษาความปลอดภัยสูงก็จริง แต่พวกสายลับปลอมตัวเข้ามาก็มีมากเพราะงั้นพกอาวุธไว้บ้างก็ดี”

“สองวันก่อนผมทำปืนตกน้ำน่ะพี่ เลยไม่ได้หาด้ามใหม่มาใช้”

“ต้องหาทำไมกัน ไปเบิกที่คลังอาวุธกับคุณนากาสรีสิ เธอใจดีแค่น้องบอกชื่อบอกสังกัด เธอก็แจกให้แล้ว จะเอาปืนยี่ห้อไหนรุ่นอะไรที่นั่นมีให้หมด”

อัสมาร์อึ้ง นึกทบทวนผังฐานบัญชาการกุหลาบดำในความทรงจำ คลังอาวุธอยู่ในบริเวณฐานชั้นใน อยู่ห่างจากอาคารบัญชาการออกไปทางทิศตะวันตก เยื้องกับคุกอีกที “ขอบคุณครับลูกพี่ เห็นทีพรุ่งนี้ผมคงต้องไปเบิกกับคุณนากาสรีเสียแล้ว แล้วนี่พวกนายใหญ่เขาประชุมกันที่ไหนครับ”

“ถามทำไม” มานัสถามแล้วพ่นควันใส่หน้าอีกฝ่ายโขมง

อัสมาร์ยกมือปัดควันบุหรี่ไปมา ปกติเขาไม่สูบบุหรี่ยกเว้นเวลาเครียดกับงานเท่านั้น แต่บุหรี่ที่เขาสูบก็ไม่ใช่ยี่ห้อที่ผลิตในอนาเซียหรือกีซาลีอีก เขาคิดว่ามันฉุนเกินไป เขาชอบกลิ่นอ่อนๆ อย่างของประเทศแถบยุโรปมากกว่า

“ผมถามก็เพื่อจะได้เลี่ยงไม่ไปใช้เส้นทางนั้นไง”

“ดีน้อง อย่าหลงเข้าไปเส้นทางนั้นเด็ดขาด จะคอขาดไม่รู้ตัว”

“เส้นทางไหนครับผมจะได้เลี่ยง”

“ก็แถวอาคารบัญชาการไง เรือนพักรับรองของท่านยาหยังนั่นแหละ”

“อ้อ..แล้วประชุมไปนานยังครับ จะได้กะเวลาถูกว่าควรจะเดินผ่านเวลาไหน”

“น้องชายมีธุระอะไรแถวนั้น”

“เปล่า ผมพูดเผื่อไว้”

“พี่ว่าคืนนี้ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องโผล่ไปแถวนั้นเลย มีธุระก็ค่อยไปทำพรุ่งนี้”

อัสมาร์พยักหน้ารับรู้ เอ่ยเปลี่ยนเรื่องว่า “ผมได้ข่าวว่าลูกสาวของท่านยาหยังสวยมาก”

“น้องคงหมายถึงคุณกาเซีย ใช่เธอสวยมากยังกับเทพธิดา แต่ไม่มีใครได้แอ้มหรอก คุณยาหยังหวงยังกะอะไร สั่งให้อยู่แต่ในฐานชั้นใน เพิ่งไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เองที่ให้ออกนอกฐาน”

อัสมาร์ขมวดคิ้ว “ทำไมเป็นอย่างนั้น”

มานัสเหลียวซ้ายแลขวา แล้วลดเสียงเป็นกระซิบกระซาบเมื่อเอ่ยว่า “ข่าวแว่วว่าเมื่อสองปีก่อนคุณกาเซียหลบออกไปเที่ยวนอกฐานบัญชาการกุหลาบดำ เธอไปเจอไอ้อัสมาร์โดยบังเอิญ ตั้งแต่นั้นมาท่านยาหยังก็กักบริเวณคุณกาเซียให้อยู่แต่ในฐานชั้นใน แต่พี่ว่านั่นเป็นแค่ข่าวลือมากกว่า ข้อเท็จจริงน่าจะเป็นว่าท่านยาหยังหวงลูกสาวคนนี้ เพราะนับตั้งแต่คุณกาเซียย้ายเข้ามาอยู่ที่ฐานบัญชาการกุหลาบดำเมื่อสีปีก่อน นับจากนั้นก็มีพวกลูกหลานนักการเมือง ก็พวกลูกหลานเพื่อนฝูงท่านยาหยังนั่นแหละเทียวไล้เทียวขื่อฐานบัญชาการฯ ไม่เว้นแต่ละวัน ลำบากถึงท่านยาหยังต้องเอาลูกสาวไปเก็บตัวไว้”

อัสมาร์อึ้ง นึกชื่นชมพฤติกรรมพ่อตาเป็นครั้งแรก “แล้วสรุปว่ามีใครจีบคุณกาเซียบ้างหรือเปล่าครับ”

มานัสส่ายหน้า “ไม่หรอกน้อง บอกแล้วท่านยาหยังหวง ไม่มีใครได้เฉียดเข้าใกล้คุณกาเซียหรอก”

อัสมาร์ฟังแล้วพยักหน้าอย่างชอบใจ นึกพอใจพฤติกรรมพ่อตาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บอกตัวเองว่าอย่างน้อยยาหยังก็ยังมีข้อดี ไม่ได้เลวทุกด้าน แล้วเขาก็ได้ยินอีกฝ่ายถามว่า

“แล้วนี่ถามถึงคุณกาเซีย น้องชายชอบเธอหรือ”

อัสมาร์ส่งเสียงกระแอม “ผมไม่บังอาจหรอกครับ คนละระดับเพราะงั้นได้แต่หมาเห่าเครื่องบิน”

“ดีแล้ว หัดรู้จักฐานะตัวเองน่ะดีแล้ว”

“แล้วสองสามมานี้ เธอเป็นไงบ้างครับ”

มานัสขมวดคิ้ว “หมายความว่าไงน้องชาย”

“ผมหมายถึงเธอสบายดีหรือเปล่า ได้ข่าวว่าบาดเจ็บกลับมาไม่ใช่หรือ”

มานัสชะงัก “อันนี้ไม่รู้สิ พี่ไม่เห็นเธอเป็นอะไรเลยนี่ยังคงลุกเหินเป็นปกติ แต่อย่างว่าล่ะใครจะรู้แน่ชัดเพราะไม่มีใครได้เห็นเธอชัดๆ แต่วันนี้..” มานัสลดเสียงกระซิบกระซาบลงอีก “พี่ได้ยินพวกผู้หญิงเมาท์กันว่าคุณกาเซียถูกจับล้างสมอง”

“อะไรนะ!” อัสมาร์ถามตวัดเสียงสูงโดยไม่รู้ตัว พระเจ้า..โรซาลินาถูกล้างสมอง ทำไมเธอถึงถูกล้างสมอง แล้วเธอเป็นอะไรหรือเปล่า อัสมาร์นึกห่วงภรรยามากมาย

“น้องถามเหมือนไม่รู้อะไรๆ ในนี้เลยนะเนี่ย ถามจริงเพิ่งเข้ามาทำงานวันแรก หรือเป็นคนประเภทปิดหูปิดตาไม่สนใจอะไรกันแน่”

อัสมาร์ชะงัก ทำหน้าอึดอัดแล้วกล่าวยกยอปอปั้นอีกฝ่ายว่า “แหม.. พี่ก็รู้ระดับผมจะไปได้ยินข้อมูลลึกๆ อะไรพวกนี้ได้ ผมมันเป็นแค่ระดับล่างลูกกระจ๊อกๆ”

“เออ..จริงของน้อง” มานัสพยักหน้าอย่างเห็นใจ “งั้นพี่จะเล่าให้ฟังก็ได้ เมื่อวานคนเก็บเอกสารเข้าไปเจอคุณกาเซียล้มฟุบกับฟื้น ท่านยาหยังรู้เข้ากลายเป็นเรื่องใหญ่โตทันที ท่านยาหยังเจอแฟ้มประวัติไอ้กาสลองตกอยู่ข้างตัวด้วย เลยสงสัยว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณกาเซียหมดสติ คุณกาเซียอาจไปอ่านเจออะไรเข้าเลยคิดหนัก น้องรู้อยู่คุณกาเซียน่ะเธอเป็นปกติเหมือนใครที่ไหน เธอเป็นโรคความจำเสื่อมตั้งแต่สี่ปีก่อน เอ้อ..อย่าเอาไปพูดต่อล่ะเดี๋ยวหัวจะขาดเอาง่ายๆ”

“เดี๋ยว..เดี๋ยว เธอเป็นโรคความจำเสื่อมมาตั้งแต่สี่ปีแล้วหรือ” อัสมาร์ถามแล้วขมวดคิ้วมุ่น นึกทบทวนระยะเวลาที่เกิดอุบัติเหตุทันที โรซาลินาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสี่ปีก่อน แล้วเป็นช่วงสี่ปีที่เธอสูญเสียความทรงจำในขณะอยู่ที่นี่ด้วย เป็นไปได้ไหมจากอุบัติเหตุคราวนั้น ทำให้เธอสูญเสียความทรงจำ อัสมาร์นึกถามตัวเอง แล้วเขาก็ถามต่อว่า “เธอความจำเสื่อมได้ไง”

มานัสส่ายหน้า “ไม่มีใครรู้หรอกน้อง.. เพราะคุณกาเซียเข้ามาในฐานบัญชาการกุหลาบดำเมื่อสีปี่ก่อน ก็ความจำเสื่อมมาแล้ว”

“เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ในฐานบัญชาการกุหลาบดำเมื่อสี่ปีก่อนหรือ ผมคิดว่าเธอเกิดและเติบโตมาจากที่ที่เสียอีก” อัสมาร์เอาคำพูดของกาเซียที่เคยบอกเล่า มาย้อนถาม

มานัสส่ายหน้าอีกคำรบ “ไม่หรอกน้อง...” แล้วมานัสก็เหลียวมองรอบตัว ก่อนจะชะโงกหน้าไปกระซิบว่า “คุณกาเซียไม่ได้เกิดและโตที่นี่หรอก เธอเข้ามาอยู่ในฐานบัญชาการเมื่อสีปีก่อน ตอนเข้ามาก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรอยู่ที่ไหน ไม่รู้จักกระทั่งว่าจะหยิบจับอาวุธแต่ละชนิดอย่างไร ท่านยาหยังต้องสั่งให้ลูกๆ ท่านทุกคนฝึกอาวุธให้คุณกาเซีย แต่น้องชายรู้แล้วอย่าปากโป้งไปนะ” มานัสพูดแล้วลดเสียงกระซิบลงอีก “ท่านยาหยังสั่งให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ท่านสั่งให้เหยียบเชียวนะ ใครถามก็ให้บอกว่าเธอเกิดและโตจากที่นี่ คำถามไหนที่ตอบคุณกาเซียไม่ได้ ท่านยาหยังก็สั่งให้บอกว่าไม่รู้แล้วโยนมาให้ถามท่านแทน“ มานัสพูดแล้วพ่นควันโขมงใส่หน้าอีกฝ่ายอีกคำรับ

อัสมาร์ปัดควันบุหรี่ไปมา ใบหน้าครุ่นคิดตาม

อย่างนี้เอง.. จากอุบัติเหตุทางรถยนต์คราวนั้น ทำให้โรซาลินาสูญเสียความทรงจำแล้วยาหยังก็พาเธอมาพักฟื้นยังฐานบัญชาการกุหลาบดำแห่งนี้ จัดการสอนการใช้อาวุธทุกอย่าง ว่าแต่..พ่อตาเขารู้ได้อย่างไรว่าโรซาลินาจะถูกลอบฆ่า แล้วเข้าไปช่วยโรซาลินาให้ออกมาจากรถยนต์คันนั้นทันได้อย่างไร

อัสมาร์นิ่วหน้า นึกสังสัยว่าพ่อตาเขาติดตามโรซาลินามาตลอดเลยใช่ไหม? เขาลอบติดตามตอนไหนทำไมเขาถึงไม่รู้เลย แล้วการที่โรซาลินาลอบเข้าไปในฐานบัญชาการกุหลาบดำลงมือจัดการเขา โรซาลินารู้หรือเปล่าว่าเธอทำอะไรอยู่ รู้หรือเปล่าว่าถูกพ่อตัวเองหลอกใช้ เพราะเขาเชื่อว่าหากโรซาลินารู้ว่าตัวเองเป็นใคร เธอย่อมไม่ทำร้ายเขาซึ่งเป็นสามีเธอแน่ ก็โรซาลินารักเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่เขารักเธอ..

อัสมาร์ยังคงนิ่วหน้า ขณะถามต่อว่า “แล้วพอท่านยาหยังเห็นแฟ้มประวัติกาสลองแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อครับ”

มานัสสูดบุหรี่เข้าปอดลึกๆ อีกหลายครั้งแล้วจึงตอบว่า “พอเจอแฟ้มประวัติแล้วท่านยาหยังก็สงสัยว่าน่าจะเป็นต้นเหตุให้คุณกาเซียสะกิดใจจนคิดเรื่องราวในอดีตอะไรได้หรือเปล่า ท่านคงกลัวคุณกาเซียจะจดจำอะไรได้ ท่านสั่งให้หมอฟาติล้างสมองคุณกาเซียทันที”

“พระเจ้า..ล้างสมอง?” อัสมาร์ทวนคำเสียงสูงอย่างตกใจ ..มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ “แล้วเธอเป็นไงบ้าง บาดเจ็บอะไรหรือเปล่า” อัสมาร์ได้ยินเสียงตัวเองถามไปรัวเร็ว

“น้องชายถามยังกะไม่ใช่คน’กุหลาบดำ’ จริงๆ นะเนี่ย” มานัสย้ำแล้วว่า “จะเป็นอะไร ถูกล้างสมอง ความทรงจำก็หายไปน่ะสิ”

อัสมาร์พยักหน้า นึกห่วงใยภรรยามากมาย แล้วเขาก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า “เอาล่ะ พี่คงต้องไปแล้วล่ะดารุส หายมานานแล้ว ดูสิตั้งใจแค่มาทำธุระส่วนตัวแป๊บเดียว เจอน้องชายเลยชวนคุยซะยาวเลย”

“พี่จะรีบไปไหนครับ”

“ไปคุมไอ้กาสลองมัน พรุ่งนี้มันจะถูกพาตัวไปล้างสมอง เพราะงั้นเกิดหายตัวไปล่ะยุ่งเลย”

อัสมาร์ชะงัก นึกชั่งใจอย่างหนักว่าเขาควรจะไปตามหาใครดีระหว่างภรรยาที่ถูกล้างสมองไปแล้ว กับกามินทร์เพื่อนรักที่กำลังจะถูกล้างสมองในวันพรุ่งนี้ แล้วสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเดินตามผู้คุมขังไปห่างๆ



“ท้องฟ้าปลอดโปร่งดีจัง” กาลัดเอ่ยพร้อมกับกอดอกมองท้องฟ้า คืนนี้ดวงจันทร์เต็มดวงส่องให้เห็นดาวนับล้านดวงส่องแสงระยิบระยับเต็มฟากฟ้า ลมพัดมาเอื่อยๆ สัมผัสกายทำให้รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของอากาศยามค่ำคืน ทางเดินจากอาคารบัญชาการไปยังเรือนพักรับรองซึ่งอยู่ในฐานชั้นใน มีไม้ยืนต้นปลูกอยู่ริมถนนตลอดแนว ทำให้เห็นเงาตะคุ่มๆ ตลอดสองข้างทาง

นากาสรีซึ่งเดินเคียงคู่มากับน้องสาวแหงนหน้ามองท้องฟ้า ใช่..ท้องฟ้าปลอดโปร่งปราศจากเมฆฝนจริงๆ ด้วย “บรรยากาศดีจริงๆ ด้วย ดูเหมือนท้องฟ้าจะเป็นใจกับเรา” นากาสรีตอบน้องสาว

กาลัดหัวเราะเบาๆ “ใช่ อากาศดีจนน่าจะ ‘เปิดรัก’ มากกว่าเปิดศึก” กาลัดพูดกลั้วเสียงหัวเราะ พวกเธอเพิ่งเลิกประชุมแกนนำขบวนการกุหลาบดำ ขณะนี้กลับจากฐานบัญชาการเพื่อแยกย้ายกลับที่พักของตัวเอง คืนนี้แกนนำที่เข้ามาร่วมประชุมน้อยกว่าทุกครั้ง เพราะส่วนหนึ่งออกไปปฏิบัติการตามแผนการของยาหยังเพื่อทวงแผ่นดินกีซาลีกลับคืน ส่วนพวกเธอซึ่งเป็นลูกของยาหยังจะเป็นกำลังเสริมกรณีหน่วย ‘หน้า’ ปฏิบัติงานล้มเหลว ซึ่งขณะนี้พวกเธอรอรับสัญญาณจากหน่วยหน้าเหล่านั้น

คำพูดของน้องสาวทำให้นากาสรีเหลียวไปมอง ฉีกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยนแต่เพียงครู่เดียวก็เลือนหาย “อารมณ์อ่อนไหวเชียวกาลัด กำลังตกอยู่ในห้วงความรักหรือ” นากาสรีเย้าน้องสาวยิ้มๆ

กาลัดย่นจมูก “ตกอะไรล่ะ อยู่ในฐานบัญชาการอย่างนี้จะมีผู้ชายที่ไหนมาให้ตกหลุมรัก”

บทสนทนาของนากาสรีและกาลัดเรียกรอยยิ้มจากยามินโดยไม่รู้ตัว เขากำลังเดินตามหลังคนทั้งคู่ ฟังทั้งสองพูดคุยกันเงียบๆ แล้วยามินก็เหลียวมามองกาเซียซึ่งเดินเคียงข้างเขา น้องสาวเขาอยู่ในชุดเสื้อกางเกงขายาวลายทางซึ่งเป็นชุดทหารของกีซาลี เป็นชุดที่กาเซียสวมบ่อยครั้งยามอยู่ในฐานบัญชาการเขาจนดูคุ้นตาไปแล้ว กาเซียกำลังซุกมือทั้งสองข้างในกระเป๋ากางเกงขณะสาวเท้าเคียงคู่ยามินเงียบๆ เพื่อกลับสู่บ้านพัก

“เป็นอะไรเซีย เงียบเชียว” ถามแล้วมองหญิงสาว กาเซียสูงโปร่งจนเกือบเท่าใบหูเขา

“เปล่าค่ะ” กาเซียปฏิเสธ ตายังมองทางเดินเบื้องหน้า

“เปล่าอะไร ตั้งแต่กลับจากตลาดสดพี่เห็นเธอเอาแต่เงียบ ตอนประชุมก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา หรือว่าเจ็บแผลอะไรหรือเปลา” ยามินถามอย่างห่วงใย นึกเป็นห่วงน้องสาวว่าเป็นเพราะผลกระทบข้างเคียงจากการล้างสมองหรือไม่

กาเซียไม่ตอบ เธอเลื่อนมือไปจับสร้อยจี้ลายกุหลาบที่แขวนอยู่ที่คอโดยไม่รู้ตัว มันไม่เหมือนเส้นเดิมนักด้วยไม่มีรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง แต่กระนั้นมันก็ทำให้เธออุ่นใจยามลูบคลำมัน “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่รู้สึกลุ้นกับพวกที่ออกปฏิบัติการคืนนี้” กาเซียตอบเลี่ยงไปอีกทาง

“อ้อ..” ยามินพยักหน้ารับรู้ แล้วภาพการประชุมเมื่อครู่ก็แวบเข้ามาในความทรงจำ เป็นภาพบทสนทนาของยาหยังกับสมุนแกนนำขบวนการกุหลาบดำ

‘ดีเดย์ตีสามของคืนนี้ ทำลายยุทธศาสตร์สำคัญของไอ้ชาโต ทั้งทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา สถานีโทรทัศน์ทุกช่องรวมถึงปิดล้อมบ้านพักของประธานาธิบดีมันด้วย’

‘แล้วถ้าพวกมันตอบโต้’ แกนนำคนหนึ่งถามขึ้นเพื่อซักซ้อมแผนการ

‘ถ้าตอบโต้ เราก็สวนกลับไปให้รุนแรงยิ่งกว่า ตายเป็นตาย จำไว้เป้าหมายเราคือกอบกู้แผ่นดินเรากลับคืน การฆ่าคนเพื่อผู้นำศาสนาไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่บาปเข้าใจไหม’

“เรื่องนั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนี่เซีย” ยามินตอบกาเซียเสียงเรียบ “พวกเขาถูกฝึกมาอย่างหนัก และการจู่โจมโดยที่ทางนั้นไม่รู้เนื้อรู้ตัว จะทำให้เราได้เปรียบ อีกอย่างตอนนี้ไอ้ชาโตกับไอ้อัชชาร์คลงมาตรวจพื้นที่ที่กีซาลีเพราะงั้นถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะโจมตีจุดยุทธศาสตร์ของพวกมัน”

กาเซียพยักหน้ารับรู้ “พี่ยามิน.. อัสมาร์เป็นคนยังไง”

ยามินชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินเมื่อได้ยินคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น “มีอะไรหรือเซีย ไปได้ยินอะไรมาหรือ” น้ำเสียงที่ถามพยายามเก็บงำอาการสงสัยมิดชิด

“ปละเปล่าค่ะ แค่ได้ยินผู้หญิงในตลาดกีซาลีพูดว่าผู้บัญชาการฐานอนาเซียหล่อมาก เซียเลยอยากรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง”

“ไม่มีอะไรน่าสนใจนี่ ก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ในอนาเซีย คมเข้มเหมือนตะวันออกกลาง”

กาเซียทำตาโตล้อเลียนยามิน “โห..บรรยายซะเห็นภาพเลย พี่ยามินก็คมเข้มเหมือนตะวันออกกลาง งั้นพี่ก็เป็นชาวอนาเซียได้นะเนี่ย” กาเซียล้อยิ้มๆ ก่อนพูดต่อว่า “ที่เซียถามถึงอัสมาร์ หมายถึงนิสัยเขาค่ะ ไม่ใช่หน้าตาเพราะหน้าตาเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็แฟ้มประวัติในห้องสมุดบ่อยไป”

“อ้อ..” ยามินพยักหน้ารับรู้ “อัสมาร์ค่อนข้างขรึม มีจุดอ่อนที่ความใจอ่อน พื้นฐานเขาเป็นคนเกลียดการเมืองอนาเซียเพราะงั้นเติมเชื้ออีกหน่อย เขาคงพร้อมจะเอนเอียงมาทางเรา” ยามินวิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

กาเซียขมวดคิ้ว “ถ้าเขาเกลียดการเมืองอนาเซีย ทำไมเขาถึงทำงานการเมืองรับใช้รัฐบาลอนาเซีย?”

“ไม่แปลกนี่ ในเมื่อพ่อเขาเป็นนายกรัฐมนตรี จะไม่ให้เขาทำงานการเมืองช่วยพ่อเขา แล้วจะให้เขาทำงานอะไร..กาเซีย”

กาเซียนิ่วหน้า “ไม่รู้สิ พี่ยามินอาจพูดถูกก็ได้ แล้วนี่เมื่อไหร่พี่จะกลับตะวันออกกลางคะ เมียไม่คิดถึงพี่แย่แล้วหรือ” กาเซียเปลี่ยนเรื่อง

“ทำไม..จะไล่พี่แล้วหรือ”

กาเซียหัวเราะแผ่วเบา “เปล่าค่ะ แค่อยากรู้เพราะหนนี้ดูเหมือนพี่จะยอมอยู่ห่างเมียนานกว่าทุกครั้ง” ที่จริงไม่ใช่ยามินติดเมีย แต่เป็นเมียเขาต่างหากที่ติดพี่ชายเธอ หากกระนั้นเธอแกล้งแปลงข้อเท็จจริงเสียอย่างนั้น

“เราก็โทรคุยกันทุกคืน เมียพี่เข้าใจน่าว่าพี่ติดงานทางนี้”

“พี่เป็นนักการเมืองของที่นั่น จากมานานไม่กลัวหรือว่ากลับไปแล้วจะถูกเลื่อยขาเก้าอี้แล้ว”

“พี่เป็นนักการเมืองที่นั่นเพราะเสริมงานทางนี้หรอกนะ เพราะงั้นถ้าจะถูกเลื่อยขาเก้าอี้แต่ถ้าแลกกับการช่วยพ่อกู้ชาติได้สำเร็จพี่ก็ยอม”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลอนาเซีย แต่อยู่ที่ประชาชนของกีซาลีเองต่างหาก ครึ่งหนึ่งเขายอมรับการที่รัฐบาลอนาเซียปกครองพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับอะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น” กาเซียแสดงความเห็นเสียงเรียบๆ

“เซียพูดถูก ปัญหาคือคนของเราเองยังไม่ยอมรับกับการปฏิบัติงานของพวกเรา”

“ใช่ เพราะงั้นเมื่อถูกอัสมาร์ทรีตดีเข้าหน่อยทั้งช่วยพัฒนาภาคการเกษตรและช่วยฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม จึงทำให้พวกชาวบ้านและพ่อค้าเอียงข้างไปทางเขาได้ง่ายขึ้น”

ยามินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “พี่ก็ได้แต่หวังว่ามาตรการรุนแรงของพ่อ จะยั่วยุให้อัชชาร์คตอบโต้รุนแรงกลับมา เมื่อนั้นเราก็จะหยิบยกขึ้นสู่เวทียูเอ็นและโอไอซีได้ไม่ยาก”

“ยูเอ็นไม่ค่อยสนใจโอไอซีนักพี่ก็รู้”

“รู้..แต่อย่างน้อยเราต้องพึ่งพาเงินของโอไอซี”

กาเซียอึ้งอย่างเถียงไม่ได้ ประกอบกับเธอเดินมาถึงเรือนพักของตัวเอง จึงหยุดคุยกับยามินแค่นั้น เหลียวไปโบกมือให้พี่สาวทั้งคู่ซึ่งโบกมือลาก่อนจะเดินเลยไปยังที่พักของพวกหล่อน กาเซียลดมือมาซุกกระเป๋ากางเกง เบือนหน้ากลับมามองยามิน “ขอบคุณนะคะที่เดินมาส่ง”

“ผลจากการล้างสมอง มีผลกระทบอะไรข้างเคียงบ้างหรือเปล่า” ยามินถามไปอีกทางขณะหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วไม้ของน้องสาว เรือนพักของกาเซียเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น มีอาณาเขตโดยรอบ รั้วมีสองชั้น ชั้นแรกเป็นรั้วไม้สูงเท่าตัวคน และชั้นที่สองเป็นรั้วต้นชบาสูงใหญ่ใบดกหนาล้อมรอบกั้นอีกชั้น เรือนพักของกาเซียอยู่ด้านหน้า ส่วนของนากาสรีและกาลัดอยู่ถัดไป ตามมาด้วยเรือนพักของเขากับยาหยัง ยามินเอนตัวพิงขอบประตูขณะตามองน้องสาว

กาเซียไหวไหล่ “ไม่รู้สิคะ พี่เห็นเซียมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่าล่ะ”

ยามินจ้องหน้าน้องสาว เห็นใบหน้าสวยซึ้งจ้องกลับมาด้วยแววตากลมโตราวตากวาง “ไม่รู้สิ พี่ก็ว่าอาจเร็วเกินไปที่จะตอบว่าเซียมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า” ยามินตอบแล้วชะโงกตัวไปขยี้ศีรษะน้องสาว “นอนเสียเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”

“พี่ยามิน...” กาเซียเรียกก่อนอีกฝ่ายจะเดินจากไป

“มีอะไรหรือ” ยามินหันกลับมาเลิกคิ้ว แววตาอ่อนโยน

“เซียเห็นแผลฟกช้ำและรอยแผลผ่าตัดตามเนื้อตัว เซียอยากรู้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร”

ยามินอึ้ง สายตาเขาแสดงความอึดอัดครู่หนึ่งก่อนเลือนหาย “ไม่มีอะไรนี่ เซียเกิดอุบัติเหตุตอนซ้อมฟันดาบกับพวกเด็กๆ”

กาเซียเลิกคิ้ว “แล้วแผลผ่าตัดที่ต้นแขน ลักษณะเหมือนรอยผ่าตัดเอากระสุนออกอีกล่ะ? มันเกิดจากอะไร”

ยามินอึ้งอีกคำรบ “เซียซ้อมยิงปืนแล้วพวกเด็กๆ ทำปืนลั่นมาโดนเซียน่ะ”

กาเซียเลิกคิ้ว “นี่เซียสับเพร่า ไม่ระมัดระวังตัวเองขนาดนั้นเลยหรือ” กาเซียถามแล้วนิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจคำตอบนัก

ยามินพยักหน้า “อย่าคิดมากเลย คนเราก็สับเพร่ากันได้ทั้งนั้น นอนเสียเถอะพรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าเข้าประชุมอีก”

กาเซียนิ่วหน้ามองจนอีกฝ่ายลับสายตาแล้ว เธอจึงพึมพำเบาๆ ว่า

แปลกทำไมยามินต้องโกหกเธอด้วย..




..............................................




จบตอน








Create Date : 30 สิงหาคม 2550
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2555 19:40:13 น.
Counter : 506 Pageviews.

5 comment
กุหลาบในเปลวไฟ...บทที่ 10


กุหลาบในเปลวไฟ


บทที่ 10...คณิตยา


โลกเป็นสีขาวโพลนราวกับดวงอาทิตย์ดวงใหญ่มาส่องแสงอยู่เบื้องหน้า กาเซียค่อยๆ กะพริบตาเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความสว่าง แล้วจึงลืมตามองสภาพแวดล้อมรอบตัว เห็นผนังห้องที่ทาด้วยสีขาวบ่งบอกว่ากำลังอยู่ที่ไหน กาเซียก็ทิ้งตัวกลับไปอย่างอ่อนระโหยทันที

พระเจ้า..เธอถูกจับมาล้างสมองอีกครั้งด้วยเจ้าเครื่องที่สามารถเลือกวันเดือนปีที่จะลบความทรงจำได้ เจ้าเครื่องห่านี้..เป็นวิวัฒนาการของกีซาลีที่เธอเองก็เพิ่งว่ามีอยู่ในโลกนี้ด้วยก็ตอนที่เธอถูกจับมาล้างสมองอยู่ครั้งสองครั้งเมื่อสองปีก่อน กาเซียนึกแล้วมองเจ้าอุปกรณ์ไฮเทคข้างเตียงด้วยสายตาเป็นอริ เครื่องล้างสมองมีลักษณะคล้ายวัตถุครอบศีรษะ มันทำงานด้วยคลื่นกระแสไฟฟ้าและมีสายระโยงระยางเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

เวลาเธอปวดหัวรุนแรงเพราะพยายามคิดเรื่องราวในอดีต เธอก็จะถูกจับมาล้างสมอง นึกสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าบางทีที่เธอมีอากาศซึมเศร้าในระยะหลังเป็นเพราะผลข้างเคียงจากเจ้าเครื่องห่านี้หรือเปล่า.. คิดอย่างไม่สบอารมณ์ในใจ แต่กระนั้นกาเซียต้องยอมรับว่าสมองโปร่งโล่งสบายขึ้นมากหลังจากถูกล้างสมองแล้ว เธอไม่รู้สึกปวดหัวอะไรอีกเลย ก็แค่หงุดหงิดเล็กน้อยกับสภาวะสมองที่ขาดโพลน แต่มันจะเกิดขึ้นเพียงครึ่งวันแล้วเลือนหาย

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”

เสียงเคาะประตูพร้อมกับอาการผลักเข้ามาโดยไม่รอคำตอบ กาเซียก็กระชากเสียงขึ้นอย่างไม่รอดูว่าเป็นใคร เวลานี้เธออยากระบายอารมณ์กับใครสักคนที่ดวงซวยหลงเข้ามา “คราวนี้เลือกลบความทรงจำปีไหนอีกล่ะ”

ยามินผลักประตูเข้ามาเป็นคนแรกตามมาด้วยยาหยัง นากาสนรีและกาลัด ยามินเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดเผ็ดร้อนของน้องสาวในทันทีที่ก้าวเข้ามา “หงุดหงิดแต่เช้าแล้วก็ยังวาจาเชือดเฉือนเหมือนเดิม” ประโยคหลังเย้าน้องสาวยิ้มๆ ยามินเลี่ยงที่จะตอบคำถามของกาเซีย ยาหยังผู้เป็นพ่อเลือกที่จะลบความทรงจำในช่วงที่สั่งให้กาเซียออกปฏิบัติการงานแรกตราบจนถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่เธอไปล้มฟุบอยู่ในห้องสมุด เมื่อวานซืนที่เห็นกาเซียสลบอยู่ในห้องสมุดในสภาพหัวใจเต้นอ่อนแรง มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ยาหยังตัดสินใจนำตัวเธอมาล้างสมองอีกครั้ง

‘เป็นการเสี่ยงนะคะคุณยาหยังคุณยามิน เราล้างสมองเธอเกินกว่าพิกัดที่ร่างกายจะรับได้แล้ว ฉันไม่รู้ว่ามันจะส่งผลหรือให้ผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง บางทีมันอาจได้ผลตรงกันข้ามถ้าสารเคมีในร่างกายเธอทำปฏิกิริยาต่อต้าน’ เสียงพ.ญ.ฟาติมาลอยเข้ามาในหัว

‘ยังไงผมก็อยากลองดูคุณฟาติมา ผมไม่อยากเสี่ยงให้ความทรงจำเธอกลับมา ถึงตอนนั้นเธออาจเจ็บปวดมากกว่าตอนนี้ก็ได้’ ตอนนั้นพ่อเขาตอบออกไปอย่างนั้น

‘แต่คุณกำลังแก้ปัญหาไม่ถูกจุดหรือเปล่าคะ ครั้งใดที่เธอเริ่มสะกิดใจคุณจะตามไปล้างสมองเธอทุกครั้งเลยหรือไง ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ว่าไม่ถูกต้องนะคะ สมองเธออาจกระทบกระเทือนมากขึ้นจนวันหนึ่งอาจยากจะรักษาเยียวยา ทำไมไม่ทุกทำอย่างให้เธอมีความทรงจำกลับคืนมาแล้วค่อยๆ เยียวยาเธอ ให้เวลาเธอปรับตัว ปรับความเสียใจกับความสูญเสียนั้น’

‘ฉันไม่อยากเสี่ยงทำอย่างนั้นนะหมอฟาติมา ฉันไม่อยากสูญเสียเธอไปอีกแล้ว เอาล่ะไม่ต้องเสียเวลา จับตัวเธอไปล้างความทรงจำ เลือกล้างช่วงที่เธอออกปฏิบัติการงานแรกตราบจนปัจจุบัน’ พ่อเขาสรุปอย่างนั้น และบัดนี้ผลการล้างสมองออกมาแล้ว คลื่นสมองและปฏิกิริยาทางร่างกายเป็นปกติดีทุกอย่าง สะท้อนว่าผลการล้างสมองสำเร็จ ตอนนี้รอดูเพียงแค่ผลข้างเคียงที่จะเกิดตามมาเท่านั้น ซึ่งต้องใช้เวลาในการติดตาม

“เซียหลับไปกี่วัน”

“หนึ่งวันเต็มๆ แต่ทุกอย่างที่พวกเราทำไป ก็เพราะหวังดีกับน้องนะ” ยามินพูดเสียงอ่อนโยนแล้วเดินมาหยุดยืนข้างเตียงขาวสะอาด

ใบหน้าของกาเซียเริ่มเป็นสีชมพูจางๆ สะท้อนว่าร่างกายจะกลับคืนสู่สภาพปกติในไม่ช้า ยามินพิศใบหน้าหวานซึ้งของน้องสาวด้วยดวงตาอ่อนโยน บางคราวเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าอัสมาร์โชคดีที่ได้ทั้งตัวและหัวใจของน้องสาวเขา ก็กาเซียมีคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกอย่างอย่างที่ผู้ชายทุกผู้ทุกนามถวิลหา กาเซียสวยอย่างหาตัวจับยาก..สวยจนเขายังตกตะลึงตอนที่เห็นครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน ส่วนเรือนร่างนั้นเล่า ก็บอบบางหากแต่สมส่วนอย่างที่ผู้ชายทุกคนถวิลหา และสิตปัญญาก็เฉลียวฉลาดไหวพริบดีและเรียนรู้เร็ว

กาเซียยังมีชาติตระกูลดี แม้ไม่ได้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์แต่เธอก็มีฐานะร่ำรวย แม่ของกาเซียแต่งงานใหม่กับเจ้าของบริษัทค้าน้ำมันบริษัทใหญ่ในตะวันออกกลางซึ่งรับรู้กันว่าเป็นร่ำรวยเป็นอันดับสองของดินแดนแถบนั้น พวกเขาไม่มีลูกด้วยกันฝ่ายชายจึงรักกาเซียเหมือนลูกแท้ๆ และปฏิบัติอย่างลูกแท้ๆ เสมอมา หากผู้ชายคนนั้นจบชีวิตลงก็เป็นที่รับรู้กันว่ากาเซียและแม่ของเธอจะได้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างและจะกลายเป็นเศรษฐีณีในทันที

สวย รวย ฉลาดและมีฐานะ.. เขายังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนเพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบเหมือนอย่างกาเซีย บางคราวเขายังแอบอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่ากาเซียกับเขาไม่น่าเป็นพี่น้องกัน..

กาเซียมองหน้าทุกคนแล้วนิ่วหน้า “ล้างสมองเซียนี่นะ เป็นความหวังดี”

“ก็ใช่น่ะสิ หรือว่าอยากจะปวดหัวอย่างนั้นไปตลอด” กาลัดซึ่งนิ่งฟังมาตลอด ถามประชดๆ ขึ้น

กาเซียนิ่วหน้าอีกคำรบ “พวกพี่ๆ ลองดูบ้างไหมล่ะ ความทรงจำขาดๆ วิ่นๆ น่ะจะเอาบ้างไหม” กาเซียพูดแล้วยกมือกุมศีรษะ “โอ๊ย.. ใครก็ได้ช่วยบอกเซียทีว่าอาทิตย์ที่แล้วมันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง เซียจำอะไรไม่ได้เลย”

ยาหยังซึ่งมองบุตรสาวมาพักหนึ่งถอนใจ เอ่ยว่า “เลิกโวยวายได้แล้วกาเซีย แล้วก็เลิกคิดทบทวนอะไรด้วย คิดไปก็รังแต่จะปวดหัวเปล่าๆ ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก หมอฟาติมาสั่งยาให้เจ้าแล้ว ต่อไปนี้ไปไหนก็พกยาติดตัวไว้ตลอด รู้ไหมกาเซีย”

กาเซียหน้ามุ่ย..

“อย่าทำหน้าอย่างนั้น พ่ออนุญาตให้เซียออกไปเดินเล่นนอกฐานบัญชาการกุหลาบดำหนึ่งวันเพื่อปลอบใจ” ยามินพูดแล้วหันไปทางยาหยัง “ใช่ไหมครับพ่อ” ฝ่ายนั้นทำหน้างง แต่เมื่อยามินขยิบตาใส่ เขาก็ไม่มีทางเลือก หันไปทางกาเซีย บอกว่า “ใช่ พ่ออนุญาตให้เจ้าออกไปเดินเล่นนอกฐานบัญชาการกุหลาบดำหนึ่งวัน ไปเปิดหูเปิดตา เดี๋ยวพ่อจะให้ฟารีดาตามไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย เอาล่ะพักผ่อนให้สบายเย็นนี้เจ้าจะได้ออกไปสูดอากาศข้างนอก”

“เซียไม่เป็นไร พร้อมจะไปเดี๋ยวนี้เลย” กาเซียพูดแล้วขยับเนื้อตัวซึ่งพบว่าร่างกายแข็งแรง ไม่รู้สึกเคล็ดขัดยอกบริเวณใด

“เอางั้นก็ได้.. งั้นนอนอยู่นี่เดี๋ยวพ่อจะตามฟารีดามาให้ จะให้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้เจ้าเลย” ยาหยังพูดแล้วชวนทุกคนออกจากห้อง เพื่อให้กาเซียได้พักผ่อนในระหว่างที่ฟารีดายังไม่มา พลันที่ออกมาจากห้องบุตรสาว เขาก็พูดขึ้นว่า

“ผลการล้างสมองเป็นที่น่าพอใจ ไม่มีผลข้างเคียง”

“ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปอย่างนั้น” นากาสรีเอ่ยขึ้นขณะสาวเท้าเคียงคู่ผู้เป็นพ่อออกมาจากห้องกาเซีย เธอเข้ามาก็เพื่อสังเกตการณ์ผลการล้างสมองของน้องสาว

“ผมเห็นด้วยกับนากาสรีนะครับ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปอย่างนั้น คงต้องติดตามผลข้างเคียงไปอีกระยะเพราะตอนนี้กาเซียถูกล้างสมองเกินพิกัดกว่าที่เครื่องกำหนดแล้ว”



“ทหารเริ่มจับกลุ่มนินทาเรื่องที่เจ้าจับอัสมาร์ไปทรมาน พ่อบอกเจ้าแล้วว่าให้ทำอย่างเงียบๆ อย่าแพร่งพรายให้ลูกน้องรู้ คราวนี้เป็นไงได้เป็นขี้ปากพลทหารสามวันเจ็ดวัน พวกมันนินทาว่าเจ้ารังแกได้แม้กระทั่งน้องชายตัวเอง” พล.อ.ชาโตพูดขึ้น ขณะออกมาเดินเที่ยวตลาดกลางเมืองกีซาลีกับบุตรชายคนโต โดยมีตำรวจติดตามและมือปืนเป็นบอดี้การ์ดตามประกบอยู่ไม่ห่างนัก พล.อ.ชาโตเลือกพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษกับอัชชาร์ค เพื่อเลี่ยงพลเมืองกีซาลีที่เดินผ่านไปมาแอบได้ยิน

ตลาดสดของเมืองกีซาลีค่อนข้างพลุกพล่านไปด้วยชาวบ้าน ตลอดสองข้างทางมีผักผลไม้สดๆ ราคาถูกจากเรือกสวนไร่นาชาวบ้านมาวางขายแบกะดิน สลับกับเพิงขายสินค้ามือสองราคาย่อมเยาว์ พล.อ.ชาโตออกมาเดินชมตลาดในวันนี้เพราะต้องการดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทว่าอากาศร้อนอบอ้าวผสมกับฝุ่นที่ปลิวว่อนเหนืออากาศในทุกคราที่รถจิ๊บวิ่งตัดผ่านตลาดแห่งนั้น ทำให้บรรยากาศไม่น่าเที่ยวชมนัก

กีซาลีต่างกับอนาเซียตรงนี้ ที่นี่ร้อนแห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่นควัน ต่างกับอนาเซียที่ชุ่มชื่นถนนทุกเส้นทุกตรอกซอกซอยลาดด้วยยางมะตอยจึงทำให้ไม่มีฝุ่นให้หงุดหงิดกวนใจ

อัชชาร์คฟังผู้เป็นพ่อแล้วตอบว่า “ก็แน่ล่ะ พวกมันเห็นสภาพสะบักสะบอมของอัสมาร์อย่างนั้น ไม่ตั้งวงนินทาก็แปลกไปล่ะ”

พล.อ.ชาโตหันขวับมองอัชชาร์คทันที “อัสมาร์มีสภาพหนักหนามากหรือ” ถามแล้วจ้องหน้าบุตรชาย ใบหน้าอัชชาร์คบวมปูดและเขียวอมม่วงอย่างน่ากลัว

“หนักอะไร เท่าๆ กับผมนั่นแหละ พ่อก็รู้อยู่หมอนั่นมือเท้าหนักแค่ไหน”

“นี่ขนาดจับอัสมาร์ตรึงโซ่ซ้อม เจ้ายังเจ็บเท่าๆ กับน้องอีกหรือ” พล.อ.ชาโตพูดแล้วหัวเราะชอบใจ อัชชาร์คนิ่วหน้าอย่างหงุดหงิด เขาว่า

“ก็แน่ล่ะ ผมไม่เคยถูกฝึกอย่างกับควายเหมือนมัน” เขาหมายถึงการถูกฝึกเคี่ยวกรำอย่างหนักในหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษก่อนออกปฏิบัติงาน

พล.อ.ชาโตยังคงหัวเราะร่วน ซาเสียงหัวเราะแล้วเขาก็เอ่ยว่า “แต่มันได้ผลไม่ใช่หรือ มันทำให้น้องเจ้าแกร่งเกินวัยเดียวกัน”

อัชชาร์คไหวไหล่ไม่ตอบคำผู้เป็นพ่อ

พล.อ.ชาโตพินิจบุตรชาย รอยยิ้มอย่างพอใจยังเกลี่ยทั่วริมฝีปาก พล.อ.ชาโตไว้หนวดจึงทำให้ใบหน้าเขาแลดูดุและกระด้าง หากเมื่อชายสูงวัยยิ้มมันทำให้ใบหน้าเขาดูอ่อนโยนลง เขาเอ่ยเปลี่ยนเรื่องว่า “แล้วนี่อัสมาร์อยู่ไหน”

“ผมปล่อยเขาออกจากคุกแล้ว ตอนนี้คงพักอยู่ในห้องนอน ผมให้การิมคุมอยู่”

“ตามหมอมาดูอาการอัสมาร์ยัง”

“ตามมาทำไม แค่นี้ไม่สะเทือนผิวมันหรอกครับ ขนาดผมยังไม่ต้องให้หมอดู”

พล.อ.ชาโตชะงักเท้า เพียงครู่เดียวก็ก้าวต่อเป็นจังหวะสม่ำเสมอ “แล้วสอบอัสมาร์ ได้ผลเป็นยังไงบ้าง”

อัชชาร์คนิ่วหน้าอย่างให้ความคิด “ผมว่าอัสมาร์แปลกๆ”

“แปลกยังไง”

“ผมก็ตอบไม่ถูก รู้แต่ว่าหมอนั่นไม่เคยบ้าผู้หญิงแต่กับกาเซียกลับกลายมาเป็นพร้อมจะสยบแทบเท้า ผมว่าถ้ากาเซียขอให้หมอนี่ไปตาย มันก็คงยินดีทำตาม”

พล.อ.ชาโตชะงัก “ขนาดนั้นเลยหรือ” เขานิ่วหน้าอย่างไม่อยากเชื่อนัก

แต่อัชชาร์คพยักหน้า เขาพูดต่อว่า “ผมสัมผัสความรู้สึกของมันได้นะครับ มันดูพึงพอใจกาเซียมากๆ เผลอๆ อาจเอามาแทนที่โรซาลินา”

พล.อ.ชาโตนิ่งอย่างใช้ความคิด “ก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือ ผู้หญิงคนนั้นหน้าเหมือนเมียของอัสมาร์ ว่าแต่ไม่ใช่คนเดียวกันแน่ใช่ไหม” ถามแล้วจ้องใบหน้าบุตรชายอย่างรอคำตอบ

“ผมก็ตอบไม่ได้ หมอนั่นบอกว่าเป็นคนละคนกัน มันยืนยันว่าโรซาลินาตายไปแล้วจริงๆ”

“แปลก..” เป็นคราวที่พล.อ.ชาโตหลุดปากว่าแปลกบ้าง “อัสมาร์รักเดียวใจเดียวจนเป็นที่รับรู้ในหมู่พวกเรา ขนาดพ่อเคยพยายามหาผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่โรซาลินา แต่อัสมาร์ก็ปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย แล้วนี่จะมาสยบแค่กับผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้า แถมยังเป็นสมุนขบวนการก่อการร้ายนี่นะ”

อัชชาร์คล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้าเรียบเฉยเมื่อตอบว่า “ผมยังไม่มั่นใจว่ากาเซียจะเป็นผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าจริงๆ หรือเปล่า กำลังให้สายลืบในฐานบัญชาการกีลาซีเช็คอยู่”

พล.อ.ชาโตพยักหน้า “ก็ดี แต่เจ้าคิดว่ายังไงถ้าอัสมาร์จะเอากาเซียมาแทนที่โรซาลินาจริงๆ”

“ในแง่ไหน”

“แง่ความเป็นไปได้”

“ผมเดาใจเจ้าอัสมาร์ยากจริงๆ ครับ ถ้าให้วิเคราะห์ดูเหมือนอัสมาร์จะรักเมียมากจนไม่อยากเอาใครมาแทนที่หล่อน แต่นั่นล่ะกาเซียก็หน้าเหมือนโรซาลินามากเกินไปราวกับเป็นเงาของอีกฝ่าย เพราะงั้นมันอาจเอากาเซียมาเป็นเมียก็ได้ แล้วถ้าเป็นยังงั้นพ่อจะเอายังไง”

พล.อ.ชาโตอึ้ง “นี่กำจัดโรซาลินาได้คน ยังต้องมาพะวงกับแม่นี่อีกหรือ แล้วพูดก็พูดเถอะขนาดโรซาลินาซึ่งมีภาษีกว่าแม่นี่พ่อยังไม่เอา แล้วนับประสาอะไรกับแม่สาวกุหลาบดำที่มีแต่ตัว พ่อไม่ยอมรับเด็ดขาดนะอัชชาร์ค จะต้องกำจัดให้ได้”

“แล้วถ้าอัสมาร์ยืนยันจะเอาหล่อนทำเมียให้ได้ล่ะ” อัชชาร์คถามนิ่งๆ แล้วจ้องหน้าผู้เป็นพ่อ พล.อ.ชาโตอึ้ง เขาว่า

“อัสมาร์ว่างั้นหรือ?”

อัชชาร์คพยักหน้า “หมอนั่นห้ามพวกเราแตะต้องกาเซีย”

พล.อ.ชาโตบดกรามแน่น “นี่มันจะเอาตำแหน่งปกป้องแม่นั่นจริงๆ หรือนี่”

“ผมถึงบอกว่าอัสมาร์แปลกไป หมอนั่นมันหลงกาเซียนะครับ นี่ขนาดนั้นยังไม่ได้เอามาทำเมียยังหลงขนาดนี้ ถ้าลงว่าเป็นเมียแล้ว ไม่รู้จะเห็นหัวพวกเราอยู่หรือเปล่า”

พล.อ.ชาโตกัดฟันกรอด “ไม่มีทางอัชชาร์ค อัสมาร์จะยกย่องเชิดชูแม่นั่นในฐานะเมียตบเมียแต่งไม่ได้ถ้าจะเอาแม่นั่นเป็นนางบำเรอชั่วครั้งชั่วคราวยังพอไหว แต่จะให้ยกย่องเชิดชูเป็นเมียออกนอกหน้า พ่อยอมไม่ได้เด็ดขาด พ่ออายพวกเพื่อนฝูงมัน” นายกฯ ชาโตพูดแล้วจ้องหน้าบุตรชาย เขาพูดต่อว่า “บอกให้สายเจ้าเร่งสืบเรื่องกาเซียให้รู้เรื่องโดยเร็วเลยนะอัชชาร์ค”



เสียงพล.อ.ชาโตพูดคุยกับอัชชาร์คเป็นภาษาอังกฤษดังผ่านหูกาเซีย เพราะการจราจรที่ติดขัดผู้คนจับจ่ายซื้อของพลุกพล่าน ตลอดจนแสงแดดที่ยังเจิดจ้าพวกเขาจึงหยุดยืนคุยหน้าร้านเครื่องเงินครู่หนึ่ง เป็นร้านเครื่องเงินที่กาเซียยืนเลือกซื้อของอยู่ก่อนหน้าอยู่แล้ว หลังจากได้รับอนุญาตให้ออกมาเดินเที่ยวนอกฐานบัญชาการกุหลาบดำ กาเซียก็ตรงดิ่งมาที่ตลาดสดใจกลางเมืองกีซาลีทันที ตั้งใจเลือกหาซื้อจี้เงินลายกุหลาบเพื่อมาทดแทนเส้นเดิมที่หล่นหายไปซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่ามันหล่นหายไปที่ไหนอย่างไร ตอนที่กำลังเลือกดูของอยู่นั่นเองเสียงสนทนาโต้ตอบภาษาอังกฤษของพล.อ.ชาโตและอัชชาร์คก็ลอยเข้ามาในหู

ตอนแรกเธอก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน กระทั่งชื่อกาเซียผ่านเข้ามาในหู จึงเริ่มเงี่ยหูฟังว่าพวกเขาพูดถึงอะไรและกาเซียที่พวกเขาพูดถึงหมายถึงใคร คือเธอหรือไม่ จนได้ยินว่าพล.อ.ชาโตสั่งให้อัชชาร์คเร่งสายสืบในฐานบัญชาการกุหลาบดำ เร่งสืบว่ากาเซียเป็นใคร นั่นแหละ..เธอถึงเริ่มมั่นใจว่ากาเซียที่พวกเขาพูดถึง หมายถึงเธอนั่นเอง

กาเซียนิ่วหน้าเธอตวัดผ้าโพกศีรษะกระชับศีรษะแน่นขึ้น ผ้าโพกศีรษะเป็นลายพื้นบ้านมันจึงดูกลมกลืนไปกับผู้หญิงพื้นเมืองของกีซาลี การโพกผมปกปิดศีรษะและใบหน้าเป็นประเพณีปฏิบัติของผู้หญิงกีซาลี ยามที่ออกมานอกบ้านผู้หญิงจะต้องโพกศีรษะปกปิดใบหน้า ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะแต่งงานแล้วหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ยังต้องสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดเนื้อตัวมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ต่างกับผู้ชายที่ไม่เคร่งครัด สามารถแต่งตัวแบบไหนออกนอกบ้านก็ได้

กาเซียยังคงได้ยินเสียงโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษลอยมาเข้าหู เธอเขยิบเข้าไปใกล้แล้วกระชับผ้าโพกศีรษะให้แน่นเข้า ทำทีเหมือนกำลังสนใจเครื่องเงินในถาดถัดไป

“คุณคะ สร้อยเส้นนี้ก็เป็นลายกุหลาบ ลองสวมดูไหมคะมันดูเข้ากับคุณ” เสียงแม่ค้าเชิญชวนให้ลองสินค้าดังขึ้น เสียงหล่อนแทรกบทสนทนาการของสองพ่อลูก กาเซียจึงรีบโบกมือห้าม ทำทีว่าเธอขอดูของเอง แล้วเธอก็ได้ยินเสียงอัชชาร์คพูดขึ้นว่า

“แล้วถ้าสายสืบบอกว่ากาเซียเป็นลูกหลานคนหนึ่งของยาหยัง พ่อจะว่าไง”

เสียงอัชชาร์คถามเหมือนหยั่งเชิง

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เข้าเค้าว่ากาเซียเป็นโรซาลินานะอัชชาร์ค เพราะงั้นพ่อว่าเจ้าควรจับตามองอัสมาร์ด้วย เพราะถ้าอัสมาร์สงสัยว่ากาเซียเป็นเมีย เขาคงไม่นิ่งเฉยแน่ คงต้องหาทางสืบให้รู้แน่ชัดจนได้”

กาเซียหยิบจี้ลายกุหลาบเส้นหนึ่งมาชูเบื้องหน้า แต่คิ้วเข้มขมวดมุ่น นึกถามตัวเองว่าการที่เธอเป็นลูกหลานยาหยังมันหนักอะไรตรงไหนของพวกเขา แล้วเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงเปิดประเด็นว่าเธอคือโรซาลินา

โรซาลินา.. กาเซียทวนคำ เธอไม่เคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องหวั่นด้วยว่าเธอจะเป็นคนเดียวกับผู้หญิงคนนั้นหรือไม่ กาเซียพยายามคิดแล้วต่อมาก็นิ่วหน้าเมื่อรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อสองปีก่อนอัสมาร์ก็เคยเรียกชื่อนั้นกับเธอมาก่อน

‘ถ้าอัสมาร์สงสัยว่ากาเซียเป็นเมีย..’ กาเซียคิดตามประโยคของนายกฯ ชาโต แต่ต้องขมวดคิ้วหนักขึ้นเพราะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเขาตั้งข้อสมมติฐานว่าเธอต้องเป็นเมียอัสมาร์ด้วย? บ้าจริง.. พวกเขากำลังสงสัยบ้าอะไรกัน

แล้วโรซาลินา..เป็นใครกัน? กาเซียถามตัวเอง แล้วเธอก็ได้ยินอัชชาร์คพูดต่อว่า

“อืม..น่าสนใจ งั้นเห็นทีผมต้องให้การิมจับตาดูอัสมาร์ด้วย”

“ควรเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเรื่องกลับตาลปัตรว่ากาเซียเป็นโรซาลินาจริงๆ พ่อว่าเรากำลังเปิดศึกหลายด้าน และด้านที่น่ากลัวที่สุดก็คือน้องเจ้า อัสมาร์คงไม่ยอมแน่ถ้ารู้ว่าใครกำจัดเมีย เพราะงั้นเจ้าต้องสืบเรื่องราวให้รู้แน่ชัดก่อนที่อัสมาร์จะรู้ความจริง เข้าใจไหมอัชชาร์ค”

“ได้ครับ”

เสียงตอบรับของอัชชาร์คหนักแน่น จนเธอแทบจินตนาการตามได้เลยว่าอัชชาร์คกำลังพยักเพยิดตอบรับไปด้วย กาเซียอดคิดไม่ได้ว่าจากบทสนทนาของคนทั้งสองดูเหมือนพวกเขาคิดว่าโรซาลินาตายไปแล้ว และคนที่ฆ่าโรซาลินาคือพวกเขาทั้งคู่ใช่ไหม? ขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจแล้วเธอก็ได้ยินเสียงอัชชาร์คพูดต่ออีกว่า

“ผมคงต้องสืบให้รู้แน่ชัดโดยเร็ว ไม่งั้นสถานการณ์อนาเซียจะตกที่นั่งลำบาก เกิดอัสมาร์แผลงฤทธิ์อยากแก้แค้นเรื่องโรซาลินาโดยใช้เวทียูเอ็นตลบหลังคืนเรา จะลำบาก”

“คงต้องเป็นอย่างนั้น พ่อว่าอัสมาร์อาจเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับเราในการประชุมยูเอ็น เพราะน้องเจ้าสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอันดีกับผู้นำสหรัฐฯ สนิทกันตอนที่ผู้นำสหรัฐฯ ไปประชุมอังกฤษอยู่บ่อยๆ แล้วน้องเจ้าก็คอยติดตามคุ้มกันให้ ผู้นำสหรัฐฯ ไว้วางใจถึงขนาดตอนที่ลูกสาวเขาไปเที่ยวอังกฤษ เขายังเจาะจงให้เป็นอัสมาร์เท่านั้นคอยคุ้มครองลูกสาวเขา เพราะงั้นถ้าน้องเจ้าส่งสัญญาณอะไรให้กับผู้นำสหรัฐฯ พ่อว่าผลโหวตกีซาลีหมายถึงถ้ามีใครสักคนหยิบยกขึ้นมาถกนะ ผลโหวตก็จะเอียงไปทางนั้นทันที

“มันจะง่ายขนาดนั้นเชียวหรือครับ”

“ก็คงไม่ง่าย แต่คงไม่ยากอีกต่อไปถ้าอัสมาร์ถือหาง เพราะอย่าลืมว่าตอนนี้ตะวันออกกลางก็หนุนหลังกีซาลีอยู่เต็มตัวอยู่แล้ว เพราะงั้นจุดจบของหนังเรื่องนี้เจ้าคงเดาบทสรุปได้ไม่ยาก”

“อืม..” อัชชาร์คทำเสียงรับรู้ในลำคออย่างหนักใจ มองไปเบื้องหน้าซึ่งผู้คนยังแน่นหนาเต็มท้องถนน หากทว่าแสงแดดลดความเจิดจ้าลงแล้ว จึงตัดสินใจเอ่ยชวนผู้เป็นพ่อให้กลับฐานบัญชาการอนาเซีย จังหวะนั้นเอง การิมก็วิ่งกระหืดกระหอบตรงมาที่พวกเขา

“มีอะไรการิม วิ่งกระหืดกระหอบมาเชียว” อัชชาร์คถามขึ้นอย่างแปลกใจ

การิมหยุดหายใจครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ ผมคิดว่าคุณอัสมาร์นอนพักฟื้นอยู่ในห้องนอน ตลอดทั้งวันผมก็เลยไม่ได้เข้าไปดูอาการคุณอัสมาร์ แต่เมื่อสักครู่ผมเข้าไปตามคุณอัสมาร์ให้ไปกินข้าวเย็นแต่ปรากฏว่าเขาไม่อยู่ในห้องนอนแล้วครับ”

“อะไรนะ!?” พล.อ.ชาโตตวัดเสียงถามอย่างตกใจทันที “ไม่อยู่ในห้องนอนแล้วเขาไปไหน”

“ผมเข้าใจว่าคุณอัสมาร์หนีไปแล้วครับ อาจใช้ช่องทางลับช่องทางเดียวกับที่กาเซียใช้ หนีออกไป”

กาเซียซึ่งยืนฟังอยู่ข้างหลังสะดุ้งอีกครา อะไรอีกแล้วนี่ ทำไมชื่อเธอถึงไปพัวพันกับช่องทางลับบ้าบออะไรนั่นอีก ปากบ่นแต่หูเงี่ยฟังต่อไป

“เขาจะหนีไปไหน” นายกฯ ชาโตถาม น้ำเสียงชายสูงวัยร้อนรน

การิมทำสีหน้าคล้ายกับจะเสียใจเมื่อกล่าวต่อว่า “สายรายงานผมมาว่ากามินทร์กำลังถูกจับขังคุก อาจต้องโทษล้างสมอง เข้าใจว่าคุณอัสมาร์อาจหนีเข้าไปในฐานบัญชาการกุหลาบดำเพื่อไปช่วยเหลือเพื่อน” ประโยคหลังการิมลดเสียงลงเป็นกระซิบกระซาบจนกาเซียซึ่งแอบอยู่ข้างหลังโดยทำทีซื้อเครื่องเงินหลายสิบเส้นอยู่นั้น แทบจะไม่ได้ยิน ต้องเงี่ยหูฟังอย่างหนัก

“เป็นไปได้เพราะรายนั้นรู้อยู่ว่ารักเพื่อนแค่ไหน แถมกามินทร์ยังเป็นเพื่อนสนิทด้วย” พล.อ.ชาโตพยักหน้า สีหน้าหนักใจเอกอุ

“งั้นเราจะเอายังไงกันดี” อัชชาร์คถามขึ้น ยอมรับว่าเริ่มห่วงใยอัสมาร์

“ไปหารือกันที่ฐานบัญชาการเถอะ” พล.อ.ชาโตพูดขณะสาวเท้าออกจากร้านเครื่องเงินแห่งนั้น “สั่งการให้ชุดคุ้มกันรวบรวมกำลังให้ได้มากที่สุดภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้”

“ต้องการกำลังสักแค่ไหน”

“เอาแค่...”

เสียงเบาลงไปเรื่อยๆ จนกาเซียแทบไม่ได้ยินในที่สุด หญิงสาวเงยหน้า คิ้วสวยขมวดมุ่นเมื่อถามตัวเองว่าอัสมาร์ลอบเข้าในฐานบัญชาการกุหลาบดำเพื่อช่วยกามินทร์หรือ? แล้วกามินทร์เป็นใครกัน? มีความสำคัญกับผู้นำอนาเซียแค่ไหน กาเซียสะบัดศีรษะ เมื่อพยายามหาคำตอบเท่าไหร่แต่ก็หาไม่ได้

“กาเซียเลือกจี้เสร็จหรือยัง ฉันให้เวลาเธอนานแล้วนะ”

ฟารีดาร้องถามขึ้นทางด้านหลังพร้อมกับกดแตรเรียกเสียงดัง เสียงของฟารีดาดังมาแต่ไกลก่อนเห็นตัว หากทำให้กาเซียชะงักตื่นจากภวังค์ หญิงสาวรีบชำระเงินพร้อมกับให้ทิปก้อนโตสำหรับการให้ยืมสถานที่ยืนแอบฟัง แล้วเธอก็หยิบจี้สร้อยกุหลาบกำโตมาจากแม่ค้า

ก้าวขึ้นรถจิ๊บที่เพื่อนสตาร์ทเครื่องรออยู่ก่อนแล้ว รถแล่นทะยานออกจากตลาดที่พลุกพล่านแห่งนั้น ตรงดิ่งกลับฐานบัญชาการกุหลาบดำ ผ่านย่านพลุกพล่านกาเซียกับฟารีดาจึงปลดผ้าคลุมหน้าออก คงคลุมไว้เพียงศีรษะกันผมสยาย ตลอดทางที่เพื่อนขับรถผ่านมีโปสเตอร์ของทางราชการอนาเซียติดตามผนังอาคารเก่าคร่ำครึแถบนั้นไปตลอดทาง ไม่ต้องดูไม่ต้องอ่านกาเซียก็จดได้ขึ้นใจว่าโปสเตอร์เหล่านั้นติดข้อความว่าอย่างไรบ้าง

‘ประกาศผู้ต้องหาคดีก่อความไม่สงบ ข้อหากบฏ ก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ตามหมายจับศาลอาญา’ ถัดมาเบื้องล่างจากข้อความเหล่านั้น เป็นตัวเลขเงินรางวัลนำจับและรูปภาพคนร้ายที่ถูกตั้งค่าหัวเหล่านั้น

“เป็นอะไรเซียนั่งนิ่งเชียว มาเที่ยวตลาดหนนี้ไม่สนุกหรือ” ฟารีดาละสายตาจากถนนเบื้องหน้ามาถามเพื่อน “แล้วนี่ตกลงได้จี้ลายที่ต้องการหรือเปล่า”

กาเซียนิ่งเธอยังคงชั่งใจว่าจะถ่ายทอดในสิ่งที่ไปได้ยินมาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายตัดสินใจเก็บเงียบดีกว่า แล้วกาเซียก็เอ่ยปากพูดคุยไปอีกทางว่า “ฟาฉันได้ยินคนในตลาดพูดถึงอัสมาร์กับอัชชาร์ค พวกเขาเป็นคนยังไงหรือ”

ฟารีดานิ่ง เธอจ้องหน้าเพื่อนครู่หนึ่งก่อนจะละสายตากลับไปมองถนนเบื้องหน้า นึกอยากรู้ว่าเครื่องล้างสมองมันทำงานได้ผลแค่ไหน “อย่าไปสนใจเลยเซีย ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ก็แค่ลูกนักการเมืองคู่แฝดคู่หนึ่ง ที่หล่อเหลาปานเทพบุตร แต่เป็นของต้องห้ามสำหรับพวกเรา” ฟารีดาพูดแล้วยิ้มหน้าเป็นให้เพื่อน

กาเซียนิ่วหน้า “เธอเคยเผชิญหน้ากับพวกเขาไหม ฉันหมายความว่าเคยรับงานอะไรที่ต้องปะทะรับมือกับพวกเขาไหม?”

“ไม่เคยหรอก” ฟารีดาส่ายหน้าโดยไม่เสียเวลาคิด ด้วยไม่อยากให้เพื่อนถามต่อ เกรงว่าจะเป็นฝ่ายจนคำตอบเสียเอง

“แล้วพวกเขาเป็นคนยังไงนิสัยเป็นแบบไหน รู้ไหม?”

“ประวัติในห้องสมุดมีถมเถ เข้าไปหาอ่านสิ” พูดแล้วฟารีดาก็แทบอยากตบปากตัวเอง นึกขึ้นได้ว่าเพราะห้องสมุดไม่ใช่หรือถึงเป็นต้นเหตุให้เพื่อนถูกลบความทรงจำอีกครั้ง ถอนใจแล้วหันไปยิ้มเหยเกให้เพื่อน “คือฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันหมายความว่าเอ่อ.. พวกเขาคงจะมีประวัติไม่น่าสนใจนักหรอกคงเหมือนกับห้องสมุดเก่าๆ คร่ำครึที่ไม่น่าสนใจ” ชี้แจงอย่างข้างๆ คูๆ แล้วฟารีดาก็ทำเสียงร่าเริง พูดว่า “เธออย่าไปสนใจพวกเขานักเลยเซีย ยังไงชีวิตพวกเราคงไม่ไปโคจรพบเจอกับคนประเภทนั้นได้หรอก”

ใช่..เธอหวังว่าจะไม่อีกแล้วหลังจากเพื่อนสะบักสะบอมมาอย่างหนัก ไม่เช่นนั้นคนที่จะเจ็บหนักหาใช่ใครอื่นไม่ คือกาเซียนั่นเอง...



..............................................




จบตอน








Create Date : 27 สิงหาคม 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 13:04:11 น.
Counter : 523 Pageviews.

5 comment
กุหลาบในเปลวไฟ...บทที่ 9


กุหลาบในเปลวไฟ


บทที่ 9...คณิตยา


คุกที่ขังอัสมาร์สะอาดสะอ้านกว่าคุกอื่นๆ ในฐานบัญชาการอนาเซีย ตอนที่อัชชาร์คเดินเข้าไปพลทหารลุกยืนทำความเคารพกันพรึ่บพรั่บ อัชชาร์คก้าวไปยืนตรงหน้ากรงสี่เหลี่ยมแคบๆ เอื้อมมือเขย่ากรง ร่างที่นั่งขัดสมาธิเงยหน้าจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา อัสมาร์ยังอยู่ในชุดเดิมตอนที่เจอกันเมื่อเช้า แต่เชิ้ตเปื้อนน้ำสกปรกเป็นดวงๆ อัชชาร์คประสานสายตากับน้องชายไม่ยอมหลบ

“ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”

อัสมาร์ยังคงมองด้วยสายตาเย็นชา แววตาเขาถามโดยไม่พูดออกมา

“กาเซียเป็นใครกันแน่..” อัชชาร์คถามแล้วเขวี้ยงม้วนกระดาษเข้าไปในกรง “ดูซะให้เต็มตาแล้วตอบฉันมาอัสมาร์ว่ากาเซียเป็นใคร”

อัสมาร์เพิ่งสังเกตเห็นว่าคู่แฝดถือม้วนกระดาษมาด้วย เขาหยิบม้วนกระดาษที่ตกอยู่ตรงหน้ามาคลี่ดู แล้วนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ๆ เมื่อเห็นภาพสเกตช์ในมือเป็นภาพของใบหน้าโรซาลินา กรามบดแน่น..

“ตอบฉัน..อัสมาร์ กาเซียเป็นคนเดียวกับโรซาลินาใช่ไหม ผู้หญิงที่ลอบเข้ามาในฐานบัญชาการอนาเซียคือโรซาลินาใช่หรือเปล่า” อัชชาร์เขย่ากรงรุนแรง น้ำเสียงที่ถามเคร่งเครียดและขุ่นมัว

“ฉันไม่รู้” อัสมาร์ตะคอกกลับ

อัชชาร์คเลิกคิ้ว “นายไม่รู้หรืออัสมาร์? งั้นตอบฉันหน่อยสิว่าทำไมนายถึงย้ายกลับมาอยู่อนาเซีย ทำไมถึงเสนอตัวขอมาอยู่ถิ่นทุรกันดารอย่างเมืองกีซาลีนี่ ตอบฉันไอ้น้องชาย ถ้ายังไม่อยากถูกซัดจนหมอบละก็”

อัสมาร์จ้องหน้าคู่แฝด “ถึงนายจะซัดฉันจนหมอบ แต่นายจะไม่ได้อะไรไปจากฉัน เพราะฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น” อัสมาร์ตอบอย่างถือดี แล้วไหวไหล่อย่างยียวน อัสมาร์สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าอัชชาร์คซึ่งบัดนี้โกรธจนลมออกหู

“อ้อ..หรือ” อัชชาร์คลากเสียง “งั้นรับรู้อะไรไว้อย่างนะเจ้าน้องชาย การิมตามไล่ล่ากาเซียไปจนสุดอาณาเขตฐานบัญชาการอนาเซีย พวกเขาต่อสู้กันแล้วการิมก็ทำปืนลั่นไปโดนกาเซีย นายได้ยินไหมอัสมาร์..นังเพศยาคนนั้นถูกยิง ตอนนี้เป็นศพอยู่ชายแดนกีซาลี”

“ไม่จริง!” อัสมาร์ตะเพิดเสียงดัง “นายมันพูดโกหก ไม่มีทางที่กาเซียจะถูกยิง”

อัชชาร์คลอบยิ้มอย่างพอใจ แววตาสะใจเมื่อเห็นน้องชายเต้นเร่าๆ เปล่า..อัสมาร์ไม่ได้แสดงอะไรอย่างนั้น แต่แววตาที่จ้องเขาต่างหาก มันบอกว่ากำลังดิ้นเร่าๆ ทุรนทุรายราวกับจะแดดิ้น

“ไม่จริงงั้นหรือ นายคิดหรือว่ามือปืนอย่างการิมจะมีความปรานี ถ้าคิดอย่างนั้นนายก็มองการิมผิดเสียแล้วเจ้าน้องชาย การิมสู้กับหล่อนแต่เพราะหล่อนเจ็บหนักจากแผลเก่าเลยสู้ไม่ไหว แล้วการิมก็ยิงหล่อนทิ้ง นายได้ยินไหมอัสมาร์ว่าการิมยิงผู้หญิงคนนั้นทิ้งเหมือนหมาข้างถนน” อัชชาร์คมองน้องชายอย่างสะใจ เมื่อเห็นแววตาแดงช้ำแสดงถึงความเจ็บช้ำอย่างรุนแรง

แล้วอัชชาร์คก็พูดต่อว่า “สมุนของยาหยังพยายามเข้ามาช่วยอยู่หรอกนะ แต่มันสู้การิมไม่ไหว เลยถอยร่นไม่เป็นท่าแล้วสุดท้ายมันก็ได้แต่ศพของนังเพศยานั่นกลับไป”

“ไม่!” อัสมาร์ตะโกนก้องแล้วเขย่ากรงรุนแรงราวกับคนคลุ้มคลั่ง น้ำเสียงเขาเจ็บปวดราวกับเสือบาดเจ็บ นักโทษคนอื่นๆ หันมามองตรงๆ อย่างอยากรู้ ไม่มีการเก็บอาการอีกต่อไปจากเดิมที่เงี่ยหูฟังแต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น อัสมาร์ตะคอกว่า “ไม่มีทางที่กาเซียจะตาย ไม่มีใครจะล้มเธอได้ง่ายๆ ได้ยินไหมอัชชาร์ค” อัสมาร์กระชากเสียง ใจเจ็บปวดรุนแรงราวกับมีใครปลิดขั้วหัวใจเมื่อได้ยินว่าหญิงสาวถูกยิงเสียชีวิตแล้ว

“ทำไมจะไม่มีทาง เวลานี้หล่อนล้มคว่ำจนจบชีวิตไปแล้ว รับรู้ไว้เถอะ” อัชชาร์คย้ำอีกครั้ง เขาลอบยิ้มอย่างสะใจกับการที่อัสมาร์ตกหลุมพราง แล้วเขาก็หันไปสั่งผู้คุมขังเสียงดัง “เอาตัวคุณอัสมาร์ออกมา ใส่กุญแจมือแล้วพาไปพบฉันที่ห้องสืบสวน”

อัสมาร์บดกรามแน่น เขาเตะกรงขังป้าบใหญ่อย่างระบายอารมณ์ หลังอัชชาร์คสาวเท้าจากไป ผู้คุมก็เข้ามาเปิดประตูห้องขัง ใส่กุญแจมืออัสมาร์และพาไปยังห้องสืบสวนที่อัชชาร์ครออยู่ พลันที่ไปถึงอัสมาร์ก็เลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าทั้งห้องไม่มีใคร นอกเขากับอัชชาร์ค

อัชชาร์ครอจนผู้คุมปิดประตูแล้วเขาจึงเบือนสายตากลับมาที่น้องชาย อัสมาร์กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน มือถูกใส่กุญแจ เขาเดินไปนั่งหมิ่นเหม่ขอบโต๊ะ เผชิญหน้ากับอัสมาร์ “นายรู้อะไรไหมอัสมาร์ ตอนแรกฉันว่าจะจับนายเข้าเครื่องโพลีกราฟ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันควรจะยกเลิกความคิดนั้น รู้ไหมเพราะอะไร...” อัชชาร์คถามแล้วจ้องไปในนัยน์ตาสีสนิมเหล็กของอัสมาร์ เมื่อเห็นอัสมาร์ไม่ตอบเอาแต่บดกรามแน่น เขาก็พูดต่อว่า “ก็เพราะว่า” อัชชาร์คทอดเสียง “ฉันรู้แล้วว่ากับคนอย่างนายใช้ไม้นวมอย่างนั้นไม่ได้ผลหรอก..”

อัสมาร์เลิกคิ้ว ตอบคู่แฝดด้วยน้ำเสียงยียวนว่า “แล้วนายคิดหรือว่าฉันจะยอมให้นายใช้ไม้แข็งได้ง่ายๆ ฉันก็มีมือมีเท้าเหมือนกันนะ”

อัชชาร์คหัวเราะก้องอย่างชอบใจ พริบตาเดียวก็หยุดกึกราวกับถูกสับสวิชต์ “แล้วนายคิดว่าฉันสั่งผู้คุมใส่กุญแจนายทำเบื้อกอะไร” อัชชาร์คย้อน จ้องน้องชายด้วยแววตาเยาะหยัน

“แล้วนายคิดว่ากุญแจมือแค่นี้ จะหยุดฉันได้ ก็ลองดูสิ” อัสมาร์ย้อนกลับทันควัน

“ผัวะ” อัชชาร์คซัดกลับด้วยหลังมือทันทีที่อัสมาร์พูดจบ “อย่ามาท้าทายฉันอัสมาร์” อัชชาร์คพูดเสียงต่ำในลำคอแล้วจ้องมองอัสมาร์ด้วยแววตาดุดัน

อัสมาร์เบือนหน้ากลับ เลือดซึมมุมปากแต่เขาไม่ได้ดุนลิ้นเพื่อเช็ดมันออก ยิ้มอย่างเป็นต่อคลี่ทั่วริมฝีปากเมื่อเห็นแววตาหวั่นไหวผสมความกลัวของพี่ชาย

อัชชาร์คจ้องใบหน้าที่ยังคงนิ่งเฉยของน้องชายด้วยความรู้สึกเดือดดาล “นายรู้ใช่ไหมว่าโรซาลินายังไม่ตาย”

อัสมาร์เงียบ

“ฉันถามว่านายรู้ใช่ไหมว่าโรซาลินายังไม่ตาย”

อัสมาร์ยังคงไม่ตอบ

“หูแตกรึไงถึงไม่ได้ยินที่ฉันถาม” อัชชาร์คขึ้นเสียงแล้วปล่อยหมัดจะตั้นหน้าน้องชาย แต่อัสมาร์เหวี่ยงเท้าแตะกำปั้นเขาออกทั้งที่นั่งบนเก้าอี้อยู่อย่างนั้น แล้วอัสมาร์เหวี่ยงเท้าอีกข้างขึ้นเตะซอกคอเขา อัชชาร์คเซผงะ ตั้งหลักได้เขาก็ถลาเข้าเตะต่อยอัสมาร์ซึ่งอีกฝ่ายรีบขยับลุกตั้งรับทันที บัดนี้จึงกลายเป็นการตะลุมบอนระหว่างสองพี่น้อง โดยที่ฝ่ายหนึ่งถูกใส่กุญแจมือ ส่วนอีกฝ่ายมือเท้าเป็นอิสระทั้งสองข้าง ต่างผลัดกันเตะผลัดกันหลบ ผลัดกันรุกผลัดกันรับ จนเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ อัชชาร์คจึงสามารถล้มน้องชายลงนอนกับพื้นได้ อัชชาร์คก้าวไปขึ้นคร่อมอัสมาร์ ซัดไปอีกหมัดบนต้นแขนตั้งใจให้โดนบริเวณแผลที่เพิ่งเย็บ เลือดสดๆ ไหลซึมเสื้อเชิ้ต อัชชาร์คกระชากคอเสื้อน้องชายจนอีกฝ่ายกระตุกขึ้นตาม

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน ถ้านายไม่แน่จริง” อัชชาร์คพูดเสียงลอดไรฟัน แล้วจ้องหน้าที่บวมช้ำของน้องชายด้วยแววตาปราศจากความรู้สึก อันที่จริงพวกเขาสะบักสะบอมพอๆ กันเพียงแต่อัชชาร์คได้เปรียบที่ไม่โดนใส่กุญแจและไม่มีแผลเย็บให้เป็นจุดอ่อนเหมือนอย่างอีกฝ่าย เขาจึงเจ็บตัวน้อยกว่าอัสมาร์เล็กน้อย

“นายต่างหากที่ไม่แน่จริงอัชชาร์ค ถ้านายแน่จริงปล่อยกุญแจมือฉันสิ” อัสมาร์ตะคอกกลับ พยายามไม่สนใจกับอาการปวดหนึบบริเวณต้นแขน อยากคิดว่าแผลปริเพราะเขาปวดหนึบเหลือเกิน

“ปล่อยให้โง่สิ” อัชชาร์คตะคอกใส่หน้าน้องชาย “แล้วบอกอะไรให้นะ ถ้านายยังรูดซิบปากเงียบอย่างนี้ ฉันจะซ้อมนายจนกว่าจะตายกันไปข้าง” อัชชาร์คพูดแล้วตะโกนเรียกพลทหารที่อยู่หน้าห้องสืบสวน ตะโกนเรียกสองสามครั้งแล้วพลทหารก็ผลักประตูเข้ามา

“คุณอัชชาร์คเรียกผมหรือครับ” พลทหารสองนายที่เฝ้าอยู่นอกห้องผลักประตูเข้ามาแล้วอึ้ง เมื่อเห็นสภาพของคนทั้งคู่สะบักสะบอมพอๆ กัน แต่อะไรไม่ร้ายเท่าอัชชาร์คกำลังขึ้นคร่อมอัสมาร์ โดยมือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อน้องชาย ส่วนอีกมือกำหมัดพร้อมจะปล่อยกำปั้นออกไปตลอดเวลา

“จับคุณอัสมาร์ไปห้องทรมานชั้นใต้ดิน”

อัสมาร์อึ้ง ขณะที่พลทหารก็อึ้ง ไม่กล้าขยับเท้า จนอัชชาร์คต้องออกคำสั่งอีกคำรบ “ยืนทำเบื้ออะไรอยู่ ฉันสั่งให้มาจับตัวคุณอัสมาร์ไปห้องใต้ดินไง แล้วก็ปิดเรื่องนี้เป็นความลับด้วย”

อัสมาร์กัดฟันกรอด เขาพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟันพูดว่า “นายมันไอ้ลูกหมาอัชชาร์ค”

อัชชาร์คปล่อยหมัดใส่หน้าน้องชายอีกผัวะ...




“ไม่มี” กาเซียพึมพำอย่างหัวเสียเมื่อแหวกๆ แฟ้มเอกสารในตู้เก็บเอกสารลับขนาดสูงใหญ่ตรงหน้าแล้วไม่เจอแฟ้มประวัติของอัสมาร์กับกาสลอง บริเวณที่หญิงสาวกำลังยืนบ่นอย่างหัวเสียอยู่ คือห้องสมุดของฐานบัญชาการกุหลาบดำ

กาเซียอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงผ้าสีเดียวกัน ผมรวบสูงเห็นลำคอระหง ใบหน้าสีชมพูระเรื่อด้วยไอร้อนจากภายนอก ริมฝีปากนุ่มได้รูปสวยกำลังขบเม้มเมื่อไม่สามารถหาสิ่งที่ต้องการ กาเซียเดินไปหายังตู้ถัดไป

“อยู่นี่เอง ใครนะเอามาไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง” กาเซียบ่นอุบอิบเมื่อเจอแฟ้มประวัติของอัสมาร์ที่หมวดหมู่ตัวอักษรเอฟ หญิงสาวเปิดไล่ดูทีล่ะหน้า เนื้อหาในแฟ้มยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แผ่นแรกเป็นรูปอัสมาร์ถ่ายครึ่งท่อน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายราวกับรูปปั้นสำริดกำลังจ้องดูเธอ อุปทานหรือเปล่าที่เธอรู้สึกว่าเขามองมาด้วยนัยน์ตายิ้มกริ่มเจ้าชู้ กาเซียสะบัดศีรษะ จ้องไปในนัยน์ตาสีสนิมเหล็กอีกครั้ง คราวนี้พบว่าแววตาคู่นั้นจ้องเธอมาอย่างดุดันต่างหาก

ดุดันและคมกริบราวกับตาเหยี่ยว!

“คุณเป็นใครกันแน่อัสมาร์..”

กาเซียถามอย่างเหม่อลอย แล้วเกลี่ยปลายนิ้วไปไล้ริมฝีปากของอัสมาร์โดยไม่รู้ตัว พลันที่รู้สึกตัวพวงแก้มก็สุกปลั่ง พระเจ้า..ริมฝีปากสวยราวอิสตรี เตือนใจให้เธอนึกถึงคืนที่เขาจูบ กาเซียรีบผลักความคิดออกไป เธอพลิกไปหน้าที่สองซึ่งเป็นประวัติของอัสมาร์

อัสมาร์เป็นชื่อในภาษาอนาเซีย แปลว่าชายหนุ่มที่เฉลียวฉลาด เขาเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-อนาเซีย แม่ชื่อลอร่าเป็นชาวอังกฤษ ส่วนพ่อเป็นชาวอนาเซียชื่อว่าพล.อ.ชาโต ตำแหน่งปัจจุบันคือหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี เขามีพี่ชายฝาแฝดหนึ่งคนชื่อว่าอัชชาร์ค อัสมาร์มีบุคลิกเงียบขรึม ต่างกับผู้เป็นพี่ชายที่ร่าเริงและเจ้าชู้

ชีวิตวัยเด็กอยู่ที่อนาเซียตราบจนแผ่นดินอนาเซียร้อนระอุด้วยปัญหาการเมือง เขาจึงขอพ่อกับแม่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ แล้วใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเรื่อยมา ตราบจนเรียนจบก็เข้าทำงานในหน่วนสืบราชการลับของอังกฤษ เป็นตำรวจสายสืบที่มากด้วยฝีมือ จากนั้นในหน้าถัดมาเป็นประวัติการทำงานและประวัติการนำสืบคดีต่างๆ ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาจนได้รับความไว้วางใจให้คุ้มกันผู้นำประเทศคนสำคัญๆ เวลามีการประชุมระดับโลกที่อังกฤษ

ถัดจากประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงาน ก็เป็นรายละเอียดการใช้ชีวิตประจำวันที่เป็นอยู่ ซึ่งบอกเล่าว่าเขากลับเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีของอนาเซียเมื่อไหร่ รับผิดชอบงานอะไรบ้าง และแต่ละวันเขามีตารางเวลาการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง เช้าออกกำลังกายกี่โมง เที่ยงมาเข้าทำงานที่ฐานบัญชาการตราบจนถึงค่ำก็จมอยู่ในห้องสมุด แล้วหน้าถัดมาก็บอกถึงกีฬาและงานอดิเรกที่เขาชื่นชอบ นอกจากนี้ยังพูดถึงอาวุธที่ชายหนุ่มชำนาญและเชี่ยวชาญ ตลอดจนจุดอ่อนจุดแข็งของเขา

นั่นคือทั้งหมดที่แฟ้มประวัติพูดถึง ซึ่งเป็นข้อมูลเดิมที่เธอเคยอ่านก่อนออกปฏิบัติการงานแรก เป็นข้อมูลที่ไม่ได้ระบุถึงภรรยาของอัสมาร์ ในแฟ้มไม่ได้บอกสักนิดว่าเขามีเมียแล้ว กาเซียขมวดคิ้วมุ่น นึกถามตัวเองว่าตกลงแล้วผู้หญิงที่ชื่อโรซาลินามีตัวตนอยู่จริงๆ หรือเปล่า ถามตัวเองแล้วก็ไม่ได้คำตอบ กาเซียพยายามคิดว่าเธอเคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อนหรือไม่ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก มันไม่มีอะไรคลับคล้ายคลับคลาในหัวเลย สมองเธอขาวโพลนกับกระดาษสีขาวว่างเปล่าเมื่อพูดถึงโรซาลินา

กาเซียขมวดคิ้วมุ่น เริ่มสับสนว่าใครโกหกเธอกันแน่ ระหว่างอัสมาร์กับครอบครัวฝ่ายเธอ?

กาเซียเดินไปเสียบแฟ้มอัสมาร์เข้าที่เดิมในหมวดหมู่ที่ถูกต้อง แล้วเดินไปไล่หารายชื่อกาสลองต่อ เธอพบว่ากาสลองจัดวางอยู่ในหมวดหมู่ที่ถูกต้อง ดึงแฟ้มออกมาเปิดดูหน้าแรก พบรูปภาพกาสลองถ่ายครึ่งท่อนเหมือนกับแฟ้มของอัสมาร์ ใบหน้าที่จ้องมองเธอมาคมคายและคมเข้ม ผมตัดเกรียน แล้วเธอก็พิศเครื่องหน้าของกาสลอง ตาคมเข้มสีนิล จมูกโด่งตรงและริมฝีปากหนาแต่ได้รูป คางเหลี่ยมมีรอยบุ๋ม รูปหน้าเหลี่ยมคมเข้มผมตัด

‘..คุณจำผมไม่ได้เลยหรือ ผมเป็นรุ่นพี่มหาวิทยาลัย รุ่นเดียวกับอัสมาร์ไง ยังเคยจีบคุณแข่งกับเจ้าหมอนั่นเลย’

คำพูดของกาสลองลอยเข้ามาในหัว เขาบอกว่าเขาชื่อกามินทร์ เป็นเพื่อนสนิทของอัสมาร์ กาเซียรีบเปิดหน้าถัดไปเพื่ออ่านประวัติของกาสลองทันที

กาสลอง..สายลับของอนาเซีย ชื่อจริงคือ กามินทร์เป็นชาวกีซาลี เกิดและเติบโตที่กีซาลี มีน้องสาวหนึ่งคนชื่อว่ากาสมันซึ่งปัจจุบันแต่งงานออกเรือนไปแล้วกับหลานของท่านทูตอนาเซีย กามินทร์เป็นลูกของเศรษฐีตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งของกีซาลี ชีวิตความเป็นอยู่ตั้งแต่เด็กจนโตจึงมีความสะดวกสบาย ร่าเริงขี้เล่นแต่ก็เอาจริงเอาจังกับชีวิต หลังจบการศึกษาระดับมัธยมในเมืองกีซาลี ก็เดินทางไปศึกษาต่อที่อังกฤษในมหาวิทยาลัยเดียวกับอัสมาร์ พวกเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันจนพูดได้ว่าเป็นเงาตามตัวของกันและกัน หลังเรียนจบทั้งคู่ก็ไปเป็นตำรวจในหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ จากนั้นกามินทร์ก็กลับมาเป็นตำรวจรับใช้แผ่นดินกีซาลี

กาเซียพลิกหน้าถัดไป นึกลุ้นให้มีชื่อโรซาลินาในแฟ้มประวัติ เพื่อยืนยันความมีอยู่จริงของผู้หญิงคนนั้น บรรทัดถัดไปในแฟ้มนั้นพูดว่า สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในอังกฤษ เขาเคยผิดใจกับอัสมาร์เรื่องจีบผู้หญิงคนเดียวกัน ข้อมูลไม่ชัดเจนว่าใครเจอผู้หญิงคนนั้นก่อนกัน แต่ที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็เลือกและแต่งงานกับอัสมาร์ไป ทำให้กามินทร์เข็ดหลาบกับความรักตั้งแต่นั้น เขาคบหาผู้หญิงไม่เลือกหน้าแต่ไม่เคยจริงใจกับใคร ว่ากันว่ากามินทร์ยังเจ็บปวดกับความรักครั้งนั้นและไม่เคยลืมผู้หญิงคนนั้นอีกเลย

กาเซียเงยหน้า พระเจ้า...ในแฟ้มพาดพิงถึงการแต่งงานของอัสมาร์จริงๆ นี่แปลว่าอัสมาร์แต่งงานแล้วจริงๆ หรือ แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน ใช่โรซาลินาหรือเปล่า กาเซียนึกถามตัวเอง มีคำถามผุดขึ้นมามากมายแต่เธอก็หาคำตอบไม่ได้ และที่สำคัญเธอนึกอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น..โรซาลินา

ครั้งหน้าถ้าเธอเจออัสมาร์ เธอจะขอดูรูปผู้หญิงคนนั้นจากเขา..

เธอพลิกแฟ้มหน้าถัดไปอ่าน ซึ่งในแฟ้มพูดถึงงานอดิเรกที่กามินทร์ชื่นชอบ รวมถึงอาวุธที่เขาถนัด จากนั้นเป็นการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของเขา กาเซียอ่านไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าสุดท้ายแล้วเธอก็เงยหน้า คิ้วขมวดมุ่นอย่างพยายามนึกทบทวน ถ้าเธอเป็นโรซาลินาอย่างที่อัสมาร์และกามินทร์ว่าจริง เธอก็ต้องนึกอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นออกบ้าง หรืออย่างน้อยก็ต้องนึกถึงอัสมาร์และกามินทร์ออก แต่ความเป็นจริงคือ เปล่าเลย เธอไม่สามารถนึกใครออกทั้งสิ้น

แล้วกาเซียก็นิ่วหน้าเมื่อเริ่มปวดหัวจิ๊ด เธอมักเป็นอย่างนี้เสมอเวลาพยายามนึกทบทวนอะไรแล้วนึกไม่ออก ก็จะปวดหัวรุนแรงจนแทบจะระเบิด แฟ้มตกจากมือเมื่อกาเซียเซถลาไปเกาะตู้เพื่อพยุงตัว โรคปวดหัวรุนแรงกำเริบ และเวลานี้ก็ไม่มียาอยู่ใกล้ตัว กาเซียตาปรือและเธอก็ทรุดฮวบลงกองกับพื้น




“กาเซียเป็นใครบอกมา” อัชชาร์คถามคาดคั้น แล้วประเคนกำปั้นใส่โหนกแก้มอัสมาร์ บริเวณที่เขากำลังยืนซ้อมอัสมาร์คือ ห้องทรมานนักโทษชั้นใต้ดิน มันเป็นห้องเก็บเสียงเมื่อพูดอะไรออกไป เสียงจะดังกังวานกลับมาเพิ่มความขลังให้กับสถานที่นั้น ทั่วทั้งห้องมีอัชชาร์คกับอัสมาร์สองคน ส่วนพลทหาร..หลังจากที่จับอัสมาร์ขึงตรึงด้วยโซ่ตรวนที่แขนทั้งด้านแล้วก็ถูกอัชชาร์คไล่ออกไป

อัสมาร์เบือนหน้ากลับมา หน้าเขาปูดโปนและบวมช้ำ และเสื้อเชิ้ตเปรอะไปด้วยเลือด เขากัดฟันพูดว่า “ถ้านายแน่จริง แฟร์ๆ กับฉันหน่อยอัชชาร์ค ถอดโซ่ตรวนให้กับฉัน” อัสมาร์พูด น้ำเสียงกระหืดกระหอบเล็กน้อย

“แน่นอน แต่หลังจากนายบอกเรื่องของกาเซียแล้ว”

“ฉันไม่รู้” อัสมาร์ตะคอก “ถึงนายจะซ้อมฉันจนตายฉันก็บอกอะไรนายไม่ได้ เพราะฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น”

“แล้วทำไมนายจับหล่อนมาขังไว้ในห้องนอน” อัชชาร์คตะคอกถามกลับ

“ก็ฉันทนเห็นพวกอนาเซียอย่างนายปฏิบัติกักขฬะกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ได้ไง” อัสมาร์ย้อนกลับด้วยน้ำเสียงเผ็ดร้อน “ถึงจะเป็นผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่กาเซีย ฉันก็จะช่วยอย่างนั้น”

อัชชาร์คหรี่ตา “นายใจอ่อนกับศัตรูเกินไปแล้ว อัสมาร์”

“เพราะฉันไม่ไร้หัวใจเหมือนนายไง” อัสมาร์โต้กลับ

อัชชาร์คกัดฟันกรอด “ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะมีเหตุผลแค่นั้นที่ช่วยกาเซีย บอกฉันทำไมกาเซียถึงหน้าเหมือนโรซาลินา”

“ฉันจะรู้หรือ!”

“กาเซียคือโรซาลินาใช่หรือเปล่า” อัชชาร์คตะเพิดถามต่อ

“มันจะใช่ได้ไงในเมื่อโรสตายไปแล้ว เธอตายไปตั้งแต่สี่ปีก่อน” อัสมาร์พูดด้วยเสียงเจ็บช้ำ

“ไม่จริง!” อัชชาร์คตะคอกกลับราวกับคนคลุ้มคลั่ง “นายโกหกฉัน..อัสมาร์ ไม่มีทางที่ผู้หญิงสองคนจะหน้าเหมือนกันราวกับโขกมาจากพิมพ์เดียวกันทั้งที่ไม่ใช่คู่แฝดอย่างนั้น”

“ฉันไม่รู้! ถ้ากาเซียใช่โรสแล้วทำไมเธอถึงฆ่าฉัน..อัชชาร์ค นายตรองให้ดีถ้ากาเซียเป็นเมียฉันจริง เธอจะแทงฉันทำไม”

อัชชาร์คมีแววตาหวั่นไหวเมื่อคิดตามคำพูดน้องชาย

อัสมาร์มองท่าทีนั้นออก เขาพูดต่อว่า “สองปีก่อนที่ฉันเจอกาเซีย เธอก็จะฆ่าฉันอย่างนี้”

นัยน์ตาอัชชาร์ครำลึกถึงเหตุการณ์สองปีก่อนได้ น้องชายเขาถูกมีดอาบยาพิษแทงที่แขนด้วยฝีมือของสมุนกุหลาบดำนางหนึ่ง “งั้นแปลว่าเพราะผู้หญิงคนนั้น นายถึงยอมเสนอตัวมาอยู่ที่กีซาลีนี่” อัชชาร์คพูดอย่างสรุป เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เพราะผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนโรซาลินา น้องชายเขาจึงย้ายกลับมาอยู่อนาเซียและขอมาอยู่ที่ฐานบัญชาการอนาเซีย ณ กีซาลี เพื่อสืบหาเรื่องราวของหล่อน เห็นแววตาอัสมาร์มองมาอย่างกังขา เขาจึงขยายความว่า “สองปีก่อนที่นายเห็นกาเซียครั้งแรก นายเห็นว่าหล่อนหน้าเหมือนเมียนาย ก็เลยขอย้ายกลับมาอยู่อนาเซียเพื่อสืบหาเรื่องราวหล่อน อย่างนั้นใช่หรือเปล่าอัสมาร์”

อัสมาร์อึ้ง ไม่ตอบคำพี่ชาย

อัชชาร์คจ้องหน้าน้องชาย แล้วถามเสียงเย้ยหยันว่า “แล้วผลเป็นไงล่ะ อุตส่าห์ลงทุนส่งเพื่อนตำรวจฝีมือดีที่สุดอย่างกามินทร์ไปสืบเรื่องกาเซียถึงรังยาหยังแล้วได้ผลเป็นไง ผู้หญิงคนนั้นใช่โรซาลินาหรือเปล่า” อัชชาร์คถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

อัสมาร์ขมวดคิ้ว “ทำไมนายถึงเกลียดเมียฉันนัก”

อัชชาร์คชะงัก ขยับตัวอย่างระวังมากขึ้น “ฉันไม่ได้เกลียดเมียนาย”

“แล้วทำไมนายถึงทำเสียงดูถูกโรสอย่างนั้น ถามหน่อยเมียฉันไปทำอะไรให้นายเจ็บใจ ไปเหยียบหัวแม่เท้านายหรือ ถึงได้เป็นเดือดเป็นแค้นนัก”

“ผัวะ” สิ้นคำอัสมาร์ อัชชาร์คก็ซัดน้องชายด้วยหลังมือดังผัวะ หากคราวนี้อัสมาร์ไม่ปล่อยให้คู่แฝดกระทำฝ่ายเดียว เขาตรึงข้อมือกับโซ่เพื่อพยุงตัวแล้วกระโดดเตะอัชชาร์คป้าบใหญ่ จนฝ่ายนั้นกระเด็นก้มกับพื้น อัสมาร์รู้สึกปวดหนึบบริเวณแขนแต่เขาพยายาม อัชชาร์คเช็ดเลือดมุมปาก เขาตวัดตามองน้องชายด้วยแววตาเจ็บแค้น

“นายมันหลงเมียรักเมียยิ่งกว่าญาติพี่น้อง”

อัสมาร์หรี่ตา “อย่าเอาความเป็นญาติมาอ้างมั่วๆ อัชชาร์ค ถึงฉันจะรักโรสแค่ไหนแต่ไม่เคยไร้เหตุผลกับครอบครัวเหมือนอย่างนาย”

“ฉันมันไร้เหตุผลยังไง” อัชชาร์คถามกลับทันควัน น้ำเสียงขึงเครียด

“นายเกลียดโรส กะอีแค่กำเนิดของโรสว่าจะใช่ลูกของนายกฯ ยาหยังหรือเปล่า แค่นี้นายก็เกลียดชังโรสแล้ว ทั้งที่ประวัตินั่นยังไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ”

“ยาหยังเป็นศัตรูกับพ่อเรานะ เพราะงั้นลูกหลานมันก็ต้องเป็นศัตรูของเราด้วย” อัชชาร์คย้อน เขากัดฟันกรอด

“แล้วไง พ่อส่วนพ่อ ลูกหลานส่าวนลูกหลานมันเกี่ยวพันกันยังไง ทำไมไม่มองที่การกระทำ นายจะเกลียดลูกหลานคนอื่นๆ ของยาหยังฉันไม่ว่าเลยนะ เพราะยอมรับว่าพวกเขาอาจจะก่อเรื่องปั่นป่วนอนาเซีย แต่กับโรส ถามหน่อยเธอไปทำอะไรให้อนาเซีย ตลอดชีวิตเธอแทบไม่เคยได้ยินชื่อประเทศอนาเซียด้วยซ้ำ แต่นายยังหาเหตุเกลียดเธอจนได้”

“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้เกลียดเมียนาย”

“งั้นถามหน่อย ความเป็นความตายของกาเซียสำคัญยังไง ทำไมนายต้องให้ความสำคัญกับมันนัก”

“ก็เพราะหล่อนเป็นสมุนกุหลาบดำ ยังไงสมุนกุหลาบดำก็ต้องตายทุกคน”

อัสมาร์อึ้งแล้วเขาก็ถามต่อว่า “แล้วถ้ากาเซียเป็นโรซาลินา ถ้าเธอเป็นเมียฉันเป็นน้องสะใภ้นายจริงๆ นายจะยังคิดกำจัดเธออยู่อีกเหรือเปล่าอัชชาร์ค” อัสมาร์ถามน้ำเสียงเข้มงวด

อัชชาร์คชะงัก “นี่นายกำลังจะบอกอะไรฉัน นายจะสารภาพใช่ไหมว่ากาเซียคือโรซาลินา”

“ฉันไม่ได้สารภาพอะไรทั้งนั้น ทำไมนายต้องบีบบังคับให้กาเซียเป็นคนคนเดียวกับเมียฉันนัก ฉันแค่สุมมติ จะเป็นไปได้ยังไงที่กาเซียจะคนเดียวกับโรสในเมื่อเมียฉันตายไปแล้ว”

“นั่นสิฉันก็ว่า แต่ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงหน้าเหมือนเมียนายนัก”

“ไม่รู้ นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังสงสัย แต่จะบอกอะไรให้อย่างนะอัชชาร์ค ถึงกาเซียจะใช่โรสหรือไม่ นายก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องเธอ ใครก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องทั้งนั้น ถ้าจะแตะ ต้องข้ามศพฉันไปก่อน”

อัชชาร์คอึ้ง “นี่นายจะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงขนาดนั้นเลยหรืออัสมาร์ แค่ผู้หญิงคนเดียวนี่น่ะแถมยังเป็นสมุนกุหลาบดำด้วย“

“จะกุหลาบดำหรือไม่กุหลาบดำฉันไม่สนทั้งนั้น สำหรับฉันอย่าเอาเรื่องประเทศชาติมาอ้างดีกว่า มันก็แค่ผลประโยชน์ของคนเพียงกลุ่มเดียว ไม่ใช่ของส่วนรวม”

อัชชาร์คชะงักอีกคำรบ “นายดูท่าจะชอบแม่กาเซียคนนั้น เพราะหล่อนหน้าเหมือนโรซาลินาหรือ” อัชชาร์คถามด้วยน้ำเสียงปราศจากความรู้สึก เป็นครั้งแรกที่เขาถามเพราะอยากรู้จริงๆ

อัสมาร์อึ้งเขานิ่งคิดชั่วครู่แล้วตอบว่า “ก็อาจจะ.. แต่ยังไงฉันเตือนนายแล้วนะอัชชาร์คอย่ายุ่งกับกาเซียเด็ดขาด และบอกกับลูกน้องนายทุกคนด้วย ห้ามแตะต้องเธอ”

“ขอพ่อก่อนสิ” อัชชาร์คย้อน

อัสมาร์ขมวดคิ้ว “มันเกี่ยวกับพ่อตรงไหน” ถามแล้วมองหน้าอัชชาร์ค “หรือว่า..” เสียงหายไปในลำคออย่างคิดอะไรได้บางอย่าง “เป็นคำสั่งพ่อใช่ไหมให้กำจัดโรส”

“นายจะบ้าหรือไงอัสมาร์ กล่าวหาพ่ออย่างนั้น”

“แล้วทำไมนายกับพ่อถึงเดือดร้อนนักกับความเป็นความตายของเมียฉัน”

“เดือดร้อนยังไง” อัชชาร์คถามอย่างระวัง

“ถ้าไม่เดือดร้อน ถามหน่อยทำไมนายต้องวิ่งโร่มาถามฉันว่ากาเซียคือโรสหรือเปล่า นายตกใจแทบช็อกใช่ไหมที่เห็นกาเซียหน้าเหมือนเมียฉัน ใช่ไหม..อัชชาร์ค นายตกใจใช่ไหมที่เห็นว่าโรสยังมีชีวิตอยู่” น้ำเสียงอัสมาร์ที่ถามคัดคั้น

“ไม่ใช่!” อัชชาร์คปฏิเสธเสียงเร็วระรัวทันที “อย่าเพ้อเจ้อน่าอัสมาร์ ทำไมฉันต้องตกใจถ้าเมียนายจะยังมีชีวิตอยู่ ฉันไม่สนหรอกนะว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีชีวิตอยู่หรือไม่”

อัสมาร์มองคู่แฝดอย่างพินิจ “นั่นสิ ทำไมนายต้องมาสนใจกับเรื่องของเมียฉันทำไมใช่ไหม และฉันก็หวังว่านายจะหมายความตามนั้นนะอัชชาร์ค ฉันหวังว่านายจะดีใจไปกับฉันถ้าวันหนึ่งฉันค้นพบว่าโรสยังไม่ตาย” อัสมาร์ถามอย่างหยั่งความรู้สึกอัชชาร์ค

อัชชาร์คนิ่วหน้า “นี่หมายความว่าเมียนายยังไม่ตายใช่ไหม”

“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น แค่เผื่อ..”

แต่เขาไม่ชอบการเผื่อของน้องชายเลยให้ตายสิ.. อัชชาร์คนึกสบถอย่างไม่สบอารมณ์ เริ่มกังขารำไรว่าเมื่อสี่ปีก่อนเขาอาจทำงานพลาด แต่นั่นล่ะ..โรซาลินาจะหนีออกมาจากรถที่ไฟลุกท่วมคันคันนั้นได้อย่างไร เขาไม่เข้าใจจริงๆ อัชชาร์คถามน้องชายว่า “ตกลงว่านายยังไม่รู้ใช่ไหมว่ากาเซียคือโรซาลินาหรือเปล่า”

อัสมาร์ส่ายหน้า “ไม่..ฉันยังไม่รู้” เขาโกหกพี่ชาย อัสมาร์นิ่วหน้าเมื่อเห็นสีหน้าโล่งใจของพี่ชาย เขาคิดว่าเขาตาไม่ฝาดแน่ อัชชาร์คโล่งใจเมื่อได้ยินว่ากาเซียไม่ใช่โรซาลินา แต่..ทำไมอัชชาร์คต้องนึกกลัวกับการมีชีวิตอยู่ของโรซาลินาขนาดนั้น? อัสมาร์คิดอย่างไม่เข้าใจนัก “แล้วตกลงกาเซียถูกการิมยิงหรือเปล่า”

“เปล่า แค่ปะทะกันแต่ไม่โดนยิง”

“แล้วทำไมนายต้องโกหกว่าเธอถูกยิง” อัสมาร์ถามเสียงรัวเร็ว ในใจนึกโล่งอกที่หญิงสาวไม่ได้เป็นอะไร หากเขาก็ดีใจได้ไม่นานเมื่ออัชชาร์คพูดต่อว่า

“ก็แค่อยากทดสอบนายว่าห่วงใยหล่อนแค่ไหน แล้วฉันก็ได้คำตอบแล้วว่านายห่วงใยหล่อนมากจริงๆ แต่ถึงแม้การิมไม่ได้ยิงหล่อน ข่าวแว่วว่าหล่อนเจ็บหนักปางตายพอๆ กันเพราะหล่อนกระโดดข้ามรั้วเหล็กหนีการิมพลาด รั้วเหล็กครูดแผ่นหลัง นายก็รู้ว่ารั้วเหล็กของฐานบัญชาการอนาเซียแหลมคมแค่ไหน เพราะงั้นถึงไม่โดนการิมยิง สภาพหล่อนก็เจ็บหนักปางตายพอๆ กับถูกยิงนั่นแหละ”

อัสมาร์หน้าเผือดสีในทันทีที่ฟังพี่ชายพูดจบ พระเจ้า.. ความห่วงใยภรรยาเข้ามาเกาะกุมหัวใจจนกระพือให้เขานึกอยากโลดแล่นไปหาหญิงสาวถึงรังของยาหยัง

โรส.. คุณอย่าเป็นอะไรนะ




..............................................




จบตอน












Create Date : 26 สิงหาคม 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 13:03:50 น.
Counter : 442 Pageviews.

2 comment
กุหลาบในเปลวไฟ...บทที่ 8


กุหลาบในเปลวไฟ


บทที่ 8...คณิตยา


อาคารพยาบาลของฐานบัญชาการมีอุปกรณ์เครื่องมือทันสมัยไม่ต่างจากโรงพยาบาลชั้นนำของเมืองอนาเซีย ตอนที่กาเซียเดินทางไปถึงพ.ญ.ฟาติมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ฟาติมาให้กาเซียเข้าไปนอนในเครื่องเอกซเรย์แล้วปิดฝาครอบ เครื่องเอกซเรย์มีลักษณะคล้ายอุโมงค์ยาวขนาดตัวคน การเอกซเรย์เป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับสมุนกุหลาบดำทุกคนเพราะกฎของที่นี่คือ เมื่อกลับจากฐานบัญชาการอนาเซียแล้วต้องเข้าตรวจทุกคนด้วยเครื่องเอกซเรย์ เป็นการตรวจหาสิ่งผิดปกติและผลกระทบทางร่างกายที่อาจโดนฝ่ายศัตรูกระทำ

พ.ญ.ฟาติมาใช้เวลาตรวจร่างกายกาเซียกว่าครึ่งชั่วโมง จากนั้นพาเข้าห้องจิตวิทยา นำเข้าเครื่องทดสอบสภาวะจิตใต้สำนึก มันเป็นเครื่องที่นักวิทยาศาสตร์ของกีซาลีคิดค้นขึ้นมาเอง ยังไม่มีการวางตลาดจำหน่าย เครื่องดังกล่าวจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและว่างเปล่า เกิดความไว้วางใจตามมา ฟาติมาหลอกสอบถามสองสามคำถามเพื่อทดสอบสภาวะจิตใต้สำนึก ช่วงหนึ่งกาเซียลืมตัว เผลอลืมควบคุมความคิด ฟาติมาจึงพบความคิดอันวุ่นวายยุ่งเหยิงในหัวหญิงสาว นางนิ่วหน้า

“คุณกำลังเครียดกับอะไรอยู่หรือเปล่าคะคุณกาเซีย ความคิดคุณดูยุ่งเหยิงเชียว” หมอฟาติมาพูดแล้วจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์

กาเซียตอบด้วยอาการเฉยเมย “เปล่านี่”

อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและอัตราการหายใจกลับมาเป็นปกติ กระนั้นพ.ญ.ฟาติมาก็ยังคงพินิจหญิงสาวด้วยอาการระแวง “คุณคงไม่ว่าถ้าฉันจะขอตรวจด้วยเครื่องโพลีกราฟอีกครั้ง”

“คุณหมอคิดว่าฉันโกหกหรือ” กาเซียนิ่วหน้า

“เปล่าค่ะ แค่อยากตรวจปฏิกิริยาทางร่างกายของคุณให้แน่ใจ”

“แล้วมันต่างกันตรงไหน” น้ำเสียงกาเซียขุ่นเคือง

หมอฟาติมาไม่ตอบ แต่หยิบสายยางที่อัดอากาศแล้วมารัดรอบอกและช่องท้องของกาเซีย มันเป็นอุปกรณ์เพื่อจับอัตราการเต้นของหัวใจ ตามมาด้วยแถบวัดความดันโลหิตพันรอบต้นแขนของกาเซียแล้วต่อเข้ากับเครื่องโพลีกราฟดิจิตอล ก่อนจะสอดปลายนิ้วข้างซ้ายสองนิ้วเข้ากับแถบรัดบนจานเครื่องวัดกระแสไฟฟ้า เพื่อดูเหงื่อซึ่งเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า พ.ญ.ฟาติมาก้าวไปทรุดนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ เริ่มพูดคุยด้วยคำถามทั่วๆ ไปสองสามคำถามเพื่อดูภาวะปกติของอัตราการต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อัตราการหายใจ และการเปลี่ยนแปลงกระแสคลื่นไฟฟ้าที่ชั้นผิวหนัง จากนั้นฟาติมาถามว่า

“คุณคิดยังไงกับอัสมาร์”

“พ่อรู้หรือเปล่าว่าคุณหมอจับฉันเข้าเครื่องจับเท็จ”

“คุณรู้สึกพิเศษกับเขาใช่ไหม”

“ฉันถามว่าพ่ออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่ไหม พ่อใช่ไหมเป็นคนสั่งให้คุณจับฉันเข้าเครื่องจับเท็จ”

พ.ญ.ฟาติมากลายเป็นคนหมดสมาธิเสียเอง เธอเหลียวไปมองกาเซีย “ฉันทำตามกฎของ’กุหลาบดำ’ที่นี่เพราะงั้นกรุณาให้ความร่วมมือด้วยค่ะ ตอบคำถามฉันด้วยค่ะคุณกาเซีย คุณคิดยังไงกับเขา”

“ฉันไม่มีความรู้สึกอะไรกับเขาทั้งนั้น”

“ได้ข่าวว่าเขาจับตัวคุณไปขังไว้ในห้องนอน เขาทำอะไรคุณหรือเปล่า”

“เปล่า”

“คุณคิดว่าเขาจะรู้จุดประสงค์ที่คุณลอบเข้าไปในฐานบัญชาการอนาเซียหรือไม่”

“ฉันไม่รู้”

“คุณคิดยังไงกับเขา” หมอฟาติมาวกกลับมาสู่คำถามเดิม

“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้คิดยังไงกับเขา”

“แล้วเขาคิดยังไงกับคุณ”

“ฉันจะไปรู้ความคิดเขาได้ไง”

“เขาคิดจะฆ่าคุณบ้างหรือเปล่า”

“เปล่า”

“เขาพูดคุยอะไรกับคุณบ้างตลอดสามวันที่จับคุณไปขังอยู่ในห้องนอน”

“เขาไม่ได้พูดคุยอะไร แค่พยายามเค้นเหตุผลที่ฉันลอบเข้าไปในฐานบัญชาการอนาเซีย”

“เค้นด้วยวิธีไหน”

“ปากไง..ไม่ถามด้วยปากแล้วจะได้คำตอบหรือ”

“เขาทำร้ายคุณหรือเปล่า ทรมานคุณหรือเปล่า”

“เปล่า”

“คุณเกลียดเขาไหม”

“เปล่า”

“คุณคิดว่าคุณสมควรเกลียดเขาไหมในเมื่อเขาเป็นศัตรูของกีซาลี”

“แล้วเป็นคุณ จะเกลียดเขาไหมล่ะ”

“อย่ามาย้อน ตอบคำถามฉันคุณกาเซีย”

“ไม่ ฉันไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้น”

“งั้นถ้ามีโอกาส คุณจะไม่ฆ่าเขา?”

“แล้วมันเกี่ยวกับภารกิจที่ฉันรับไปทำตรงไหน”

“ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ” พ.ญ.ฟาติมาตอบอย่างใจเย็นแล้วส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้ามาปลดอุปกรณ์จากตัวกาเซีย “เสร็จแล้ว คุณเข้าไปทำแผลกับหมอคามินได้เลยค่ะ”

กาเซียเม้มริมฝีปากแน่น เดินออกจากห้องจิตวิทยาโดยไม่พูดไม่จา ฟาติมามองตามจนหญิงสาวอายุอ่อนคราวลูกเดินจากไปแล้ว เธอจึงเบือนสายตากลับมามองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า จังหวะนั้นนายกฯ ยาหยังก็ผลักประตูกระจกเข้ามา เธอสั่งปริ้นซ์ผลการตรวจโดยเครื่องโพลีกราฟแล้วยื่นส่งให้ยาหยัง

“ได้ผลการตรวจมาแล้วค่ะ คุณคงเห็นแล้วว่าเธอฉุนแค่ไหน”

ยาหยังพยักหน้า เขาลอบดูบุตรสาวจากห้องติดกัน “ผลออกมาว่าไง ผมอ่านกราฟไม่เป็น”

ฟาติมามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ยาหยังเป็นชายสูงอายุผมสีดอกเลา ยังหนุ่มแน่นและมีเค้าว่าหล่อเหลาเมื่อยามหนุ่ม เขาเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและหัวหน้าขบวนการกุหลาบดำ ขบวนการนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อแยกดินแดนกีซาลีออกจากประเทศอนาเซียโดยเฉพาะ และเนื่องจากศาสนาของกีซาลีอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคน ยาหยังจึงมีภรรยามากมาย

“งั้นก่อนจะตีความเรื่องกราฟ ฉันรายงานเรื่องสุขภาพของคุณกาเซียก่อนนะคะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า พ.ญ.ฟาติมาจึงพูดว่า “ร่างกายคุณกาเซียปลอดภัยเป็นปกติทุกอย่าง ภายนอกอาจบอบช้ำ แต่ภายในไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรเลย แผลที่ถูกยิงก็ผ่านการผ่าตัดที่ประณีตแต่บวมช้ำเล็กน้อย ตรวจดูแล้วไม่มีการฝังชิพอยู่ใต้ผิวหนัง เข้าใจว่าใช้เวลาอีกไม่มีวันแผลคงแห้งสนิทและคงแทบดูไม่ออกว่าผ่านการผ่าตัดมาก่อน อันนี้คงต้องชมเชยฝีมือของหมออนาเซีย” ฟาติมาพูดขณะเงยหน้ามองยาหยัง เห็นยาหยังพยักหน้ารับรู้ ฟาติมาก็รายงานต่อว่า

“ส่วนสภาพจิตใจของเธอ ผลจากเครื่องตรวจสภาวะจิตใต้สำนึก พบว่าสภาวะจิตใต้สำนึกของเธอยังเป็นปกติ อาจมีความคิดยุ่งเหยิงบ้างแต่อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อความทรงจำ แต่เพื่อความมั่นใจฉันได้นำตัวเธอเข้าตรวจด้วยเครื่องโพลีกราฟซึ่งได้ผลอย่างที่คุณเห็น” ฟาติมาพูดแล้วชี้ไปที่กราฟประกอบ “กราฟสองเส้นบนสุดแสดงถึงอัตราการหายใจ ถัดมาความนำไฟฟ้าจากเหงื่อที่ปลายนิ้ว และเส้นสุดท้ายคือความดันโลหิตหรืออัตราการเต้นของหัวใจ”

“แล้วผลออกมาเป็นไง ไอ้เส้นที่แกว่งไปมาสามสี่แถวนี่น่ะ”

“เส้นกราฟแกว่งไปมาในระดับที่สูงกว่าค่าของภาวะปกติของเธอ นั่นแปลว่าคุณกาเซียตกอยู่ภายใต้ภาวะอึดอัดอาจจะเครียดและกดดันเมื่อถูกถามถึงเรื่องของอัสมาร์ แต่การตอบคำถามภายใต้ภาวะความเครียดที่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่าต้องพูดไม่จริงเสมอไป” ฟาติมาพูดแล้วมองหน้ายาหยัง

ยาหยังนิ่วหน้า “หมายความว่าไงผมไม่เข้าใจ คุณพูดวกไปวนมาจนผมมึนไปหมดแล้ว สรุปว่าลูกสาวผมจำอัสมาร์ได้หรือเปล่า สั้นๆ แค่นี้ที่ผมต้องการรู้”

“เครื่องโพลีกราฟบอกว่าเธอรู้สึกเครียดเวลาถูกถามถึงอัสมาร์”

“งั้นแปลว่าเซียเริ่มสะกิดใจเรื่องของอัสมาร์ใช่ไหม”

“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น เครื่องโพลีกราฟมันไม่สามารถอ่านได้ลึกซึ้งขนาดนั้นหรอกนะคะ มันบอกได้แค่ปฏิกิริยาทางร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเวลาที่คุณกาเซียพยายามปกปิดความรู้สึกภายใน”

“ผมรู้ว่าเครื่องโพลีกราฟไม่สามารถอ่านผลได้ลึกซึ้งขนาดนั้น แต่คุณเป็นนักจิตสรีรวิทยานะคุณฟาติมา เพราะงั้นคุณต้องรู้ ต้องตีความปฏิกิริยาทางร่างกายของเธอได้ และด้วยเหตุนี้ผมถึงไหว้วานให้คุณรับหน้าที่ตรวจร่างกายกาเซียในวันนี้ ผมยืนยันว่าคุณต้องตีความปฏิกิริยาทางร่างกายของกาเซียได้ และผมก็เชื่อในการวินิจฉัยของคุณ”

ฟาติมาถอนใจ “ฉันจะลองดูก็ได้ค่ะแต่ไม่รับรองนะคะว่าจะถูกต้องแม่นยำร้อยเปอร์เซนต์” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ฟาติมาก็พูดต่อว่า “ถ้าให้ฉันวิเคราะห์จากเส้นกราฟ ประกอบกับการสังเกตจากท่าทางเธอ ฉันว่าเธอยังจำอัสมาร์ไม่ได้ แต่คงจะเริ่มสะกิดใจกับอะไรบางอย่าง เข้าใจว่าเรื่องของอัสมาร์คงไปรบกวนจิตใจเธอบ้าง ปฏิกิริยาทางร่างกายจึงออกมาในรูปของการต่อต้านและยียวนอย่างนั้น แต่ในบางช่วงเธอดูท้อๆ นะคะ ฉันก็บอกไม่ถูกว่าท้ออะไรแต่น้ำเสียงเธอบอกฉันอย่างนั้น”

“หรือกาเซียจะเริ่มหวั่นไหวกับอัสมาร์” ยาหยังนึกถึงคำตอบของกาเซียตอนที่ถูถามว่าเกลียดอัสมาร์หรือไม่ซึ่งลูกสาวเขาก็ตอบว่าไม่

“อันนี้ฉันไม่แน่ใจจริงๆ ค่ะ อัสมาร์หล่ออย่างที่เสียงเล่าลือว่าปานเทพบุตรจริงๆ หรือคะ?”

ยาหยังถอนใจ “ก็หน้าตาดี แต่ปัญหาคือฉันหวังว่ากาเซียจะไม่ผูกพันกับอัสมาร์มากขนาดนั้น ไม่งั้นเธอคงเจ็บปวดถ้ารู้ความจริงว่าใครเป็นคนฆ่า”

“อย่างที่บอกเรื่องของอัสมาร์ เป็นแค่การคาดคะเนของฉัน ฉันยังไม่รู้คำตอบจริงๆ หรอกค่ะ ว่าเธอคิดยังไงกับอัสมาร์”

“ไม่เป็นไร ได้แค่นี้ก็เป็นประโยชน์มากแล้ว อ้อ..มีอีกเรื่องที่ผมอยากรบกวนคุณ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้ ยาหยังก็พูดต่อว่า “ผมจะส่งอีกคนมาให้คุณตรวจ”

“ใครคะ”

“กาสลองสายลับของอนาเซีย ผลประชุมออกมาแล้วเมื่อเช้า หมอนั่นถูกโหวตให้ล้างสมอง วานคุณทดสอบสภาวะจิตใต้สำนึกมันก่อน จะล้างสมอง มันปากแข็งมาก ถามอะไรก็ไม่ตอบ ยังไงก็วานล้วงความลับจากมันให้ได้มากที่สุดก่อนจะล้างสมองมัน”

“ได้ค่ะ” ฟาติมารับคำ

ยาหยังพยักหน้า เขาเอ่ยขอบคุณแล้วเดินจากไป พลันที่เดินมาถึงมุมตึกก็ชะงักเมื่อเห็นกาเซียดเดินออกมาจากห้องทำแผลทั่วไป ลูกสาวเขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนอวดเรือนร่างสูงเพรียวหากสมส่วน แล้วเขาก็พินิจใบหน้ารูปไข่ กาเซียได้เลือดผสมจากผู้เป็นแม่เชื้อสายอังกฤษครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งจากเขา จึงเป็นส่วนผสมที่เหมาะเจาะลงตัวระหว่างตะวันตกและตะวันออกเฉียงใต้ เธอสวยคมเฉี่ยว ตาคมจมูกโด่ง ริมฝีปากบาง และมีเรือนร่างสูงโปร่งราวกับนางแบบ

นับตั้งแต่สี่ปีก่อนที่กาเซียเข้ามาอยู่ในฐานบัญชาการกุหลาบดำ เขายังไม่เคยเห็นเธอหัวเราะเต็มเสียงสักครั้ง บุคลิกของเธอที่เห็นจนเจนตาคือเงียบขรึม ไม่ค่อยยิ้ม เขาไม่รู้ว่าตลอดเวลากว่ายี่สิบปีที่เธออยู่ในตะวันออกกลาง จะยิ้มยากเหมือนตอนที่อยู่ที่นี่หรือไม่ แต่จากการสืบประวัติ เขาพบว่าเธอยิ้มง่ายร่าเริงซึ่งดูจะขัดกับเวลานี้ลิบลับ

ยาหยังมองแขนเชิ้ตพับเหนือหัวไหล่ อวดผ้ากอซพันต้นแขน “เป็นไงบ้างเซีย” ถามเสียงอ่อนโยน

กาเซียไม่ตอบในทันที เธอเหลียวไปมองทิศทางที่ยาหยังเพิ่งละจากมา.. ห้องจิตวิทยา แล้วจึงหันมาสบตายาหยัง “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ที่ติดใจคือ พ่อสั่งให้หมอฟาติมาจับเซียเข้าเครื่องจับเท็จหรือคะ”

“ไม่ใช่อย่างที่เซียคิดหรอก”

“งั้นเป็นยังไงคะ ช่วยอธิบายเซียหน่อย ถ้าไม่เชื่อใจเซียจะทำยังไงหรือคะ จะจับเซียล้างสมองเหมือนอย่างที่เคยทำมาน่ะหรือ”

“เซีย!” ยาหยังอุทาน “ทำไมเจ้าพูดงั้นล่ะ”

“ตกใจที่เซียพูดความจริงหรือคะ เซียรู้มานานแล้วเพียงแต่ไม่ได้พูดเท่านั้น แต่หนนี้เซียบอกก่อนนะคะ เซียจะไม่ยอมถูกจับล้างสมองง่ายๆ เหมือนอย่างสองปีก่อนอีก”

“ไม่มีใครคิดจะทำอย่างนั้นกับเจ้าหรอกนะกาเซีย”

กาเซียจ้องหน้ายาหยังอย่างค้นหาความจริง “ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะค่ะ และเซียก็หวังว่าทุกคนในฐานบัญชาการกุหลาบดำจะพูดความจริงกับเซีย” กาเซียพูดทิ้งท้ายแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ยาหยังมองตามหลังด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก นึกถามตัวเองว่ากาเซียรู้ได้อย่างไร แล้วยาหยังก็ถามตัวเองวนกลับไปกลับมาว่าคิดถูกหรือไม่ที่ส่งกาเซียไปให้อัสมาร์...

........................................................



“หมอมั่นใจหรือว่านี่คือคนร้ายที่ลอบเข้ามาในฐานบัญชาการอนาเซีย”

อัชชาร์คถามอย่างตกใจ ตามองภาพสเกตช์ในมืออย่างแทบไม่เชื่อสายตา น.พ.คีราบอกรูปพรรณสัณฐานคนร้ายให้กับแผนกสืบสวนแล้ว และบัดนี้ภาพสเกตช์จากจอคอมพิวเตอร์ก็ถูกถ่ายสำเนาออกมาอยู่ในมือเขา อัชชาร์คยังคงจ้องภาพในมืออย่างตกตะลึง ด้วยเป็นใบหน้าของโรซาลินาชัดๆ

ผู้หญิงสวยอย่างหาตัวจับยากคนนั้น เขาจำได้ติดตาไม่ลืมแน่..

ภายหลังการิมกลับมารายงานว่าไม่สามารถจับตัวกาเซียได้เนื่องจากสมุนของกุหลาบดำเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน พวกเขาก็ย้ายมาหารือที่แผนกสืบสวนทันที เพื่อจะดูใบหน้าคนร้ายจากภาพสเกตช์

“มั่นใจครับ คนร้ายที่ลอบเข้ามาในฐานอนาเซีย หน้าตาอย่างนี้จริงๆ” น.พ.คีรายืนยัน

อัชชาร์คอึ้ง พล.อ.ชาโตเห็นลูกชายยังจ้องตาค้าง ก็เอ่ยปากขอดูบ้าง “อัชชาร์คไหนส่งภาพสเกตช์มาให้พ่อดูสิ” เห็นภาพในมือแล้วเขาก็ตาค้างไปด้วยอีกคน “พระเจ้า..” พล.อ.ชาโตอุทานได้เพียงคำเดียว

การิมเห็นทั้งคู่ตกใจเขาก็รีบคว้าภาพสเกตช์มาดู เป็นภาพสเกตช์ของผู้หญิงที่มีใบหน้าสะสวยอ่อนหวาน ใบหน้ารูปไข่ ตาโตคม จมูกโด่งและริมฝีปากบางรูปกระจับ การิมเงยหน้ายืนยัน “คนนี้แหละครับกาเซีย ไม่ผิดตัวแน่ ว่าแต่มีอะไรหรือครับ?”

“นั่นมันโรซาลินาชัดๆ”

“โรซาลินา?” การิมทวนคำ เลิกคิ้ว

อัชชาร์คพยักหน้า “ใช่ โรซาลินาเมียของเจ้าอัสมาร์มัน”

การิมเบิกตาโตอย่างตกตะลึง ขณะที่น.พ.คีราตาค้าง แล้วการิมก็อุทานว่า “อะไรนะครับ?”

“นายได้ยินไม่ผิดหรอกการิม นั่นมันโรซาลินาเมียของอัสมาร์ชัดๆ”

“แต่ผู้หญิงคนนี้คือกาเซียจริงๆ นะครับ” น.พ.คีรายืนยัน

“เดี๋ยว..” การิมโบกมือห้าม สีหน้าทบทวนความจำ “ผมได้ยินคุณอัสมาร์เรียกผู้หญิงคนนั้นว่าโรส”

อัชชาร์คและพล.อ.ชาโต ชะงักตัวแข็งทื่อทันที อัชชาร์คกัดฟันกรอด เขาว่า “งั้นคงไม่ผิดตัวแล้ว โรซาลินาชื่อเล่นว่าโรส”

“งั้นเข้าเค้า” การิมสรุป “เพราะท่าทีคุณอัสมาร์ดูห่วงใยผู้หญิงคนนั้นมากผิดปกติ ตอนรู้ว่าผมจับหล่อนไปขังไว้ในคุกหอคอย ทหารเล่าว่าเขาโกรธจัดแล้วรีบไปช่วยหล่อนออกมาทันที ถึงว่าคุณอัสมาร์ดูแลหล่อนอย่างดี คอยดูแลไม่ให้พวกเราเข้าไปทำอะไรหล่อนในห้องเขาด้วย”

การที่อัสมาร์ห่วงใยกาเซียและพยายามเลี่ยงที่จะตอบคำถามใดๆ เกี่ยวกับกาเซีย มันมาสรุปลงเอยตรงนี้เอง กาเซียคือโรซาลินา ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมน้องชายเขาถึงมีพฤติกรรมแปลกๆ เป็นเพราะกาเซียคือโรซาลินานี่เอง ‘เมีย’ คำนี้อธิบายพฤติกรรมน้องเขาได้ทั้งหมด

ว่าแต่ ทำไมโรซาลินาถึงไม่ตาย.. เบือนหน้าไปทางพล.อ.ชาโต ทางนั้นก็กำลังจ้องเขามาเช่นกัน สายตาผู้เป็นพ่อ อัชชาร์คอ่านได้ว่า ‘หมายความว่าสี่ปีก่อนเจ้าทำงานพลาดหรืออัชชาร์ค’

นั่นสิ..สี่ปีก่อนเขาทำงานพลาดหรือ อัชชาร์คนึกถามตัวเอง แทบไม่อยากเชื่อว่าเขาทำงานพลาด ในเมื่อเขาตรวจสอบดีแล้วว่ารถระเบิดไฟลุกท่วมแล้วเขาจึงออกไปจากที่เกิดเหตุ..

การิมเห็นทุกคนนิ่งอึ้ง เขาถามว่า “แต่ผมได้ข่าวว่าเมียคุณอัสมาร์ตายไปแล้วไม่ใช่หรือครับ ตายในอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสี่ปีก่อน” การิมพูดอย่างคนที่รู้เหตุการณ์เบื้องหน้าเบื้องหลังบ้าง

“ก็น่าเป็นอย่างนั้น” อัชชาร์คสรุปสั้นๆ

“งั้นทำไมหล่อนถึงมาปรากฏตัวที่นี่” การิมถามอย่างไม่เข้าใจ นิ่วหน้าอย่างขบคิด

อัชชาร์คอึ้งอย่างตอบไม่ได้ พล.อ.ชาโตเห็นกิริยานั้นของบุตรชาย เขาจึงเอ่ยว่า

“เอาล่ะพวกคุณทั้งคู่ออกไปก่อน ผมขอคุยอะไรกับอัชชาร์คหน่อย” พล.อ.ชาโตเอ่ยแล้ว รอจนการิม น.พ.คีราและพนักงานแผนกสืบสวนเดินไปจากห้องแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่มันหมายความว่ายังไงอัชชาร์ค ทำไมโรซาลินาถึงยังไม่ตาย สี่ปีก่อนเจ้าทำงานพลาดหรือ”

“ผมไม่ทราบ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดนะครับ อย่างที่ผมโทรไปรายงานพ่อตอนนั้น รถระเบิดโรซาลินาก็อยู่ในรถนั้น”

“มีการสับเปลี่ยนตัวหรือเปล่า”

“จะสับเปลี่ยนตัวตอนไหน ในเมื่อผมตรวจจนแน่ใจแล้วว่าโรซาลินาอยู่ในรถคนนั้น ถึงได้ลงมือจัดการแล้วผมเฝ้าดูจนมั่นใจว่ารถระเบิดไฟลุกท่วมทั้งคันแล้วนะครับ ถึงได้ขับจากไป”

แล้วอัชชาร์คนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น สี่ปีก่อนเมื่อเขากับพล.อ.ชาโตขัดขวางชีวิตคู่ของอัสมาร์และบุตรสาวยาหยังไม่ได้ ตอนนั้นยาหยังก่อกวนอนาเซียอย่างหนักโดยใช้ขบวนการกุหลาบดำก่อเหตุการณ์ไม่สงบ สร้างความปั่นป่วนให้กับอนาเซีย จนสถานการณ์ทางการเมืองของพล.อ.ชาโตย่ำแย่เกือบหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนื่องจากฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาโจมตี พล.อ.ชาโต จึงสั่งการให้เขาจัดการขั้นเด็ดขาดกับโรซาลินาเพื่อตลบหลังเอาคืนยาหยัง

อัชชาร์คนึกถึงเหตุการณ์ไฟลุกท่วมรถโรซาลินาคราวนั้น เขากระแทกรถหล่อนจนไปชนกับโขดหิน รถพลิกคว่ำไฟลุกท่วมคัน ไฟแดงลุกท่วมท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ เขาขับออกไปไกลขึ้นสู่เนินเขาสูงแล้วส่องกล้องทางไกลลงมาดู เห็นรถระเบิดไหม้เป็นจุล เขาจึงโทรศัพท์ไปรายงานพล.อ.ชาโต แล้วรอดูเหตุการณ์อีกระยะเห็นอัสมาร์ขับรถกลับมากู้ซากรถแล้ว เขาจึงขับรถจากไป

ตลอดเวลาโรซาลินาอยู่ในสายตาเขาตลอดแล้วจะมีการสับเปลี่ยนตัวตอนไหน? อัชชาร์คนึกถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจจริงๆ

“ถ้าเจ้ามั่นใจว่าจัดการหล่อนไม่เหลือซากจริงๆ แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้ปรากฏตัวหลอกหลอนอยู่ที่นี่ หล่อนเป็นผีหรือไง” พล.อ.ชาโตถามอย่างประชด

“ผมก็สงสัยเหมือนกัน ขอผมถามอะไรอัสมาร์เขาหน่อย ผมไม่เชื่อนะครับว่าหมอนั่นจะไม่รู้อะไรเลย ไม่งั้นมันคงไม่ย้ายกลับมาอยู่อนาเซียอย่างถาวร แถมยังขอมาอยู่ที่กีซาลีนี่อีก”

พล.อ.ชาโตอึ้ง คำพูดของบุตรชายคนโตน่าคิด เพราะเขาก็สงสัยเรื่องนี้มานานแล้วว่าทำไมอัสมาร์ถึงขอมาประจำอยู่ที่กีซาลีทั้งที่ครั้งหนึ่งลูกชายเขาลั่นปากว่าเกลียดการเมืองและจะไม่กลับมาอยู่อนาเซียเด็ดขาด หรือว่า..ลูกชายเขากลับมาช่วยโรซาลินา ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่รัฐมนตรีของอนาเซีย คอยช่วยเหลือหล่อน? พล.อ.ชาโตถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ

“เอาล่ะ งั้นต้องฝากเจ้าแล้วอัชชาร์ค เพราะพ่อคงออกหน้าเรื่องนี้เต็มที่นักไม่ได้แล้ว สืบเค้นอัสมาร์ให้ได้ความจริงมากที่สุด ลอบทำอย่าให้ใครรู้ พ่ออยากรู้ว่ากาเซียเป็นโรซาลินาจริงๆ ใช่ไหม หล่อนไปไงมาไงถึงมาอยู่ในฐานบัญชาการกุหลาบดำในชื่อกาเซียได้ แล้วสั่งให้สายสืบในฐานกุหลาบดำสืบเรื่องราวผู้หญิงที่กาเซียนั่นด้วย สืบว่าเป็นใครมาจากไหนทำไมถึงเข้าไปอยู่ในฐานบัญชาการกุหลาบดำได้ และเกี่ยวข้องกับยาหยังยังไง สืบมาให้หมด เอาความจริงมาอย่างละเอียด”

อัชชาร์คพยักหน้า “แล้วกับอัสมาร์ ถ้ารู้ความจริงแล้วให้ทำยังไง”

“ยังไม่ต้องทำอะไร รอดูก่อนว่าน้องชายเจ้าจะยอมพูดแค่ไหน”

“ผมคงต้องขอพ่อ ผมจะใช้วิธีการของผมในการเค้นความจริงจากอัสมาร์ พ่อคงไม่ว่าอะไร”

พล.อ.ชาโตอึ้ง “ยั้งมือไว้บ้าง ยังไงมันก็น้องเจ้าอัชชาร์ค”

อัชชาร์คพยักหน้า “ผมคงต้องจับอัสมาร์เข้าเครื่องโพลีกราฟด้วย”

“เครื่องนั้นใช้กับอัสมาร์ไม่ได้ผลหรอก โดยเฉพาะคนเคยเป็นตำรวจเก่าอย่างนั้นด้วยแล้ว”

“ผมอยากลอง ยังไงเราก็ต้องอาศัยเครื่องนั้นช่วยสแกนปฏิกิริยาของอัสมาร์เบื้องต้น”

พล.อ.ชาโตถอนใจ “เอาเถอะ พ่ออนุญาต แต่ยังไงก็ต้องทำเป็นความลับ ให้คนรู้น้อยที่สุด พ่อไม่รู้ว่าในฐานบัญชาการนี้มีคนของเราแค่ไหน ถ้ารู้ไปถึงหูคนนอกจะลำบาก”

“ครับผมจะระวัง แล้วกับโรซาลินา พ่อจะให้จัดการยังไง”

“ให้รู้แน่ชัดก่อนว่าโรซาลินาคือกาเซียจริงๆ ถึงเวลานั้นแล้วมาคิดกันอีกที”

“เราน่าจะให้สายในฐานบัญชาการกุหลาบดำเก็บมันซะ”

“มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นน่ะสิอัชชาร์ค ถ้าง่ายป่านนี้ลูกสาวลูกชายของไอ้ยาหยังคงตายไปหมดแล้ว แต่นี่มันใส่เขี้ยวเล็บให้กับลูกๆ ทุกคน เราจะประมาทให้มันไหวตัวไม่ได้หรอก โดยเฉพาะหลังจากเจ้าทำพลาดเรื่องของโรซาลินา” พล.อ.ชาโตพูดแล้วจ้องหน้าบุตรชาย “คราวนี้เราต้องระมัดระวังให้มากขึ้น นี่ถ้าอัสมาร์รู้ว่าเป็นฝีมือเรา พ่อก็ไม่อยากคิดต่อนะว่าอัสมาร์จะว่ายังไง พ่อไม่อยากให้สัมพันธภาพของพ่อกับอัสมาร์กลับไปสู่สภาพเดิมนะอัชชาร์ค ถ้าเป็นอย่างนั้นพ่อคงยอมรับไม่ได้”




..............................................




จบตอน















Create Date : 25 สิงหาคม 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 13:03:29 น.
Counter : 397 Pageviews.

2 comment
กุหลาบในเปลวไฟ...บทที่ 7


กุหลาบในเปลวไฟ


บทที่ 7...คณิตยา


กาสลองนอนไม่ได้สติอยู่ในคุกแดงหรืออีกชื่อหนึ่งคุกเลือด เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบนักโทษกีซาลี สภาพสะบักสะบอมอย่างที่ดูออกว่าโดนทรมานมาอย่างหนัก เลือดแห้งเกรอะกรังทั่วใบหน้าคมสันจนดูหน้าเดิมไม่ออก เขาถูกแยกออกมาขังเดี่ยว ต่างจากนักโทษคนอื่นๆ ที่ถูกขังรวม กระนั้นนักโทษคนอื่นๆ ก็ถูกทรมานไม่น้อยไปกว่ากัน เนื่องจากเป็นนักโทษแดนตายกันทั้งหมด

“เอาน้ำราดให้เขาฟื้นสิ” กาเซียหันไปสั่งคนคุมขัง

“ครับ”

น้ำทั้งถังถูกสาดไปเต็มหน้ากาสลอง จากที่นอนไม่ได้สติก็ไอค่อกแค่กแล้วกะพริบตามองผู้มาใหม่ พลันที่เห็นใบหน้าชัดๆ ของกาเซีย เขาก็อุทานว่า “คุณโรส” แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นโรซาลินายืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารของกีซาลี เสื้อสีเขียวลายทางกับกางเกงผ้าอวดเรือนร่างสูงเพรียว

กาเซียขมวดคิ้วกับคำแรกที่หลุดจากปากกาสลอง เธอหันไปคุยกับผู้คุม “ขอฉันอยู่สองต่อสองกับเขาหน่อยนะ อย่าให้ใครผ่านเข้าออกแถวนี้เด็ดขาด”

“จะเป็นอันตรายกับคุณกาเซียหรือเปล่าครับ”

“ไม่หรอก เขาอยู่ในคุกจะมาทำอะไรฉันได้”

“ครับ” อีกฝ่ายรับคำแล้วถอยออกไป

กาเซียเบือนหน้ามา “นายเรียกฉันว่าอะไรนะเมื่อกี้”

“คุณโรส.. คุณชื่อโรซาลินา”

กาเซียนิ่วหน้า อีกคนแล้วหรือที่เรียกเธอว่าโรซาลินา..โรส กาเซียนึกอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “นายหรือเปล่าคนที่เคยถามหาคนชื่อโรสในฐานกุหลาบดำ”

“ครับ คุณโรสจำผมไม่ได้หรือ ผมกามินทร์เพื่อนของสามีคุณไงครับ”

กาเซียชะงัก คงไม่ใช่เพียงแค่ความบังเอิญเสียแล้ว “อย่าบอกนะว่านี่เป็นเหตุผลที่นายปลอมตัวเข้ามาในฐานกุหลาบดำแห่งนี้”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ “อัสมาร์วานให้ผมลอบเข้ามาสืบเรื่องคุณ”

“ไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝงมาด้วยหรือ”

“เรื่องอะไร” กามินทร์นิ่วหน้า

กาเซียไหวไหล่ “ไม่รู้ ถึงถามไง”

“ไม่มีหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่คุณจำผมไม่ได้เลยหรือ ผมเป็นรุ่นพี่มหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกับอัสมาร์ไง ยังเคยจีบคุณแข่งกับเจ้าหมอนั่นเลย”

“ฉันจำไม่ได้หรอก” กาเซียส่ายหน้า

กามินทร์ชะงัก มองโรซาลินาด้วยแววตาพินิจ นัยน์ตาหญิงสาวที่จ้องตอบกลับมาว่างเปล่าราวกับคนแปลกหน้าจริงๆ “คุณสูญเสียความทรงจำหรือคุณโรส” กามินทร์ถามขึ้นในที่สุด

“ฉันไม่ได้สูญเสียความทรงจำ” กาเซียตอบทันควันโดยไม่เสียเวลาคิด

“งั้นคุณจำอดีตอะไรได้บ้าง”

กาเซียอึ้ง

“เห็นไหมคุณก็ตอบไม่ได้” กามินทร์ตอบอย่างได้ที

กาเซียพยายามเรียกความทรงจำ แต่เธอนึกอะไรไม่ออกจริงๆ รู้สึกหงุดหงิดที่พยายามนึกเรื่องในอดีตเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจริง ความทรงจำมีเพียงช่วงสี่ปีหลังเท่านั้น “ใครบอกฉันจำไม่ได้ ฉันจำได้ทั้งหมดนั่นแหละ” เถียงอย่างอยากเอาชนะ

“งั้นบอกผม ก่อนหน้านี้คุณอยู่ที่ไหน”

“ฉันอยู่ที่นี่เติบโตที่นี่”

“คุณเรียนมหาวิทยาลัยไหน” กามินทร์ถามต่อ

“มหาวิทยาลัย..” กาเซียเลียนคำตอบของฟารีดาที่ตอบเธอก่อนหน้านี้

“มั่นใจหรือกาเซีย สมัยเรียนใครเป็นเพื่อนสนิทคุณ?”

กาเซียพยายามนึก

กาสลองมองโรซาลินานิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด เขาก็ยิ้มอย่างผู้ชนะ “เห็นไหมคุณนึกไม่ออก สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดนั่นคือข้อมูลที่ทางนี้พยายามป้อนต่างหาก พวกเขาพยายามทำให้คุณเชื่อว่าเกิดที่นี่ แต่จริงๆ แล้วคุณไม่ได้เกิดที่นี่ คุณเป็นลูกครึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นอังกฤษส่วนอีกครึ่งจะเป็นกีซาลีหรือตะวันออกกลาง ยังไม่รู้แน่ชัด มีแต่คุณคนเดียวที่รู้ แต่ตลอดชีวิตคุณ คุณใช้ชีวิตที่ตะวันออกกลางมาตลอดจนถึงช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คุณถึงไปต่อที่อังกฤษแล้วคุณก็เจอกับอัสมาร์ที่นั่น พวกคุณรักกันแล้วแต่งงานกัน”

กาเซียนิ่วหน้า ตลอดเวลาที่ฟังกาสลองเล่าเธอขมวดคิ้วตลอด กำลังคิดว่าข้อมูลของกาสลองเล่าใกล้เคียงกับที่อัสมาร์บอกเธอ หรือว่าผู้ชายทั้งคู่ไม่ได้โกหกเธอ?

“ทำไมฉันต้องเชื่อนาย มันอาจเป็นข้อมูลที่นายพยายามป้อนให้ฉันเชื่อ” กาเซียย้อน

“ผมจะทำอย่างนั้นทำไม คุณโรส ทำไปแล้วได้อะไรถามหน่อย ผมหวังดีกับคุณนะเพราะงั้นไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกคุณเลย ตอนที่อัสมาร์เจอคุณเมื่อสองปีก่อนเขาดีใจมากที่คุณยังไม่เสียชีวิต”

“งั้นทำไมฉันต้องแยกจากอัสมาร์ ถ้าฉันแต่งงานกับเขาจริง”

“พวกคุณไม่ได้แยกจากกัน แต่คุณเสียชีวิต สี่ปีก่อนมีคนพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้ทุกคนเชื่อว่าคุณเสียชีวิตจริงๆ แล้วพวกผมก็เชื่อ แต่สองปีให้หลังอัสมาร์เจอคุณปรากฏกายที่บ้านผมในงานแต่งงานของกาสมันน้องสาวผม อัสมาร์เชื่อว่าเป็นคุณ ถึงไหว้วานให้ผมปลอมตัวเข้ามาสืบเรื่องคุณ อัสมาร์เกลียดอนาเซียยิ่งกว่าอะไรดีคุณก็รู้ดี แต่เพราะคุณ..หลังอัสมาร์เจอคุณเขาก็ยอมย้ายจากอังกฤษมาอยู่อนาเซียเป็นการถาวร ยอมเข้ามาประจำฐานอนาเซียที่กีซาลีนี่ก็เพื่อออกตามหาคุณ แต่สองปีที่ผ่านมาเราคว้าน้ำเหลว ตราบจนวันนี้ผมถึงได้พบคุณ คุณไปอยู่ที่ไหนมาคุณโรส ทำไมผมไม่เจอคุณเลย”

“จะอยู่ที่ไหนก็ช่างเถอะ ว่าแต่ฉันจะเชื่อนายได้แค่ไหน”

“ผมบอกแล้วผมไม่มีเหตุผลต้องโกหกคุณ ถ้าเรื่องไม่จริงผมคงไม่สามารถเล่าเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้”

“งั้นใครฆ่าฉัน”

“ยังไม่ชัดเจน เพราะตอนแรกพวกเราคิดว่าเป็นอุบัติเหตุแถมเจอกระดูกและแหวนแต่งงานคุณด้วย ทุกคนเลยยิ่งเชื่อกันว่าเป็นคุณ” กามินทร์พูดแล้วมองโรซาลินา ชั่วแวบนัยน์ตาแฝงแววอาวรณ์ก่อนเลือนหายก่อนที่อีกฝ่ายจะทันสังเกต แล้วกามินทร์ก็นิ่วหน้าเมื่อสังเกตเห็นรอยแผลใหม่ๆ บนเนื้อตัวหญิงสาว “นั่นคุณได้รับบาดเจ็บมาหรือคุณโรส..ไปโดนอะไรมา” น้ำเสียงที่ถามอ่อนโยน

“ช่างมันเถอะ” กาเซียตอบอย่างไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอเริ่มลังเลว่าจะเชื่อเขาดีหรือไม่ แต่เธอก็ไม่มีเวลาตรวจสอบนานกว่านั้นเพราะเช้านี้การประชุมหารือเพื่อตัดสินคดีของเขากำลังจะเริ่มขึ้น หากเขาถูกตัดสินโทษล้างสมอง สิ่งที่เธออยากรู้คงไม่มีคำตอบ กาเซียถอนใจเธอตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง

กามินทร์เห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน เขาจึงถามขึ้นว่า “คุณคงไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด” พูดราวกับอ่านใจหญิงสาวได้

“มันยังเร็วเกินไปที่จะตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ”

“บางทีถ้าคุณได้เจออัสมาร์ คุณคงจะเชื่อผม หมอนั่นคงจะดีใจถ้าได้เจอคุณ”

“เราเจอกันแล้ว”

“แล้วเขาว่าไง?” กามินทร์ถามอย่างอยากรู้ แล้วถามต่อว่า “พวกคุณเจอกันที่ไหนอย่างไร อย่าบอกนะว่าเจอในฐานอนาเซีย แล้วคุณก็ได้แผลมาจากที่นั่น”

“ไม่ผิดหรอก” กาเซียตอบแล้วไหวไหล่

“คุณเป็นคนวางระเบิดคลังอาวุธนั่นหรือคุณโรส..”

“เปล่า” กาเซียตอบด้วยแววตาว่างเปล่า

กามินทร์นิ่วหน้า “งั้นพวกคุณไปเจอกันที่ฐานอนาเซียได้อย่างไร เมื่อไหร่”

“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคุณ”

“ตอนที่อัสมาร์เจอคุณว่าไงบ้าง เขาไม่แปลกใจหรือที่คุณยังไม่ตาย ผมว่าหมอนั่นคงดีใจมากว่าไหม เพราะอัสมาร์รักคุณมาก หายใจเข้าออกเป็นคุณทุกนาที นับตั้งแต่คุณตายจากไปเขาก็ไม่เคยเหลียวมองใครออกเลย”

กาเซียนิ่วหน้ากับคำพูดที่ว่าอัสมาร์ไม่เคยเหลียวมองใคร แต่ไม่ได้เอ่ยแสดงความเห็นอะไร เธอว่า “เขาก็พยายามตู่อย่างที่นายว่า แต่ก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ฉันเชื่อได้”

“งั้นง่ายๆ คุณลองนึกดูว่าเหตุการณ์ก่อนช่วงสี่ปีเป็นยังไง คุณจำอะไรได้บ้าง เอาแค่นั้นแล้วตอบคำถามผมคุณโรส คุณนึกอะไรออกบ้างบอกผมสิ” กามินทร์พูดแล้วเว้นระยะให้อีกฝ่ายตอบ แต่กาเซียอึ้งไปนานเขาจึงพูดต่ออย่างได้ทีว่า “เห็นไหมคุณก็นึกอะไรไม่ออก นั่นแปลว่าคุณสูญเสียความทรงจำ และผมขอยืนยันคุณหน้าตาเหมือนโรสราวกับเป็นคนคนเดียวกัน”

“ฉันไม่มีเวลามาเล่นเกมตอบยี่สิบคำถามของนาย แล้วบอกอะไรอย่างนะกาสลอง ฉันไม่ได้ชื่อโรส เพราะงั้นเลิกเรียกฉันว่าโรสเสียที”

“ไม่ให้เรียกว่าโรส แล้วให้เรียกว่าอะไรในเมื่อคุณชื่อโรส”

“ถ้าฉันเป็นผู้หญิงคนนั้นฉันอาจชื่อโรส แต่บังเอิญฉันไม่ใช่ เพราะงั้นเลิกเรียกว่าโรสเสียที”

กามินทร์อ้าปากอย่างคาดไม่ถึง “เป็นไปไม่ได้ คุณจะไม่ใช่โรซาลินาได้ยังไง”

“มันเป็นไปแล้ว ฉันชื่อกาเซีย เป็นลูกสาวของยาหยัง”

กามินทร์ยังอ้าปากอย่างคาดไม่ถึง “กาเซีย?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาว่า “คุณน่ะเองที่ใครๆ ในฐานกุหลาบดำร่ำลือว่าสวยมาก”

กาเซียพยักหน้า เธอรับรู้ด้วยอาการเฉยเมย

“ผมเข้าใจล่ะกาเซีย ถ้าคุณเป็นผู้หญิงคนนั้นจริงๆ คุณก็สวยสมดั่งคำร่ำลือจริงๆ”

“ฉันไม่ได้เข้ามาหานายเพราะเรื่องนี้ เพราะเข้ามาเพราะจะบอกนายว่าตอนนี้พ่อฉันกำลังจะตัดสินคดีนาย นายอยู่ในฐานกุหลาบดำนี้มานานคงรู้แล้วว่าโทษของการปลอมตัวเข้ามามันหนักหนาสาหัสแค่ไหน”

“ล้างสมองกับประหาร” กามินทร์ต่อประโยคกาเซียด้วยอาการเรียบเฉย

กาเซียพยักหน้า เห็นแววตาแน่วแน่ไม่หวั่นไหวของเขาแล้วเธอต้องนึกชมจิตใจเขา นึกดีใจแทนอัสมาร์ที่มีเพื่อนดี เธอว่า “ที่นี่ไม่ได้ป่าเถื่อน ก่อนล้างสมอง จะตรวจสภาพจิตใจคุณ เพราะงั้นควบคุมอารมณ์รักษาสมาธิให้มั่น แล้วคุณจะรอดจากการล้างสมอง” กาเซียพูดแล้วขยับลุก

“คุณช่วยผมทำไม กาเซีย”

“ฉันไม่มีเหตุผลต้องช่วยคุณ มันเป็นข้อมูลธรรมดาๆ ที่ใครก็รู้ได้”

“แต่คงไม่ใช่ข้อมูลสำหรับสมุนระดับล่างแน่..” กามินทร์โต้กาเซีย

กาเซียนิ่งแล้วตอบว่า “ก็อาจจะ ฉันต้องไปแล้วกาสลอง รักษาชีวิตนายให้ดีเรายังต้องพบกันอีก” กาเซียพูดแล้วหันหลังเดินจากไป

“เดี๋ยวกาเซีย ถ้าผมรอดจากการถูกล้างสมองแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น”

ทว่าหญิงสาวไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง.. เธอก้าวออกจากคุกเลือดด้วยท่วงท่าแน่วแน่

.................................................



“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ยาหยังพูดขึ้นเมื่อเห็นกาเซียเดินตรงเข้ามาในห้องเรือนกระจกสีชาทึบแสงซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมแกนนำกุหลาบดำคนสำคัญๆ ผู้ที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยนากาสรี กาลัด ยามิน บุคคลทั้งสามเป็นพี่น้องร่วมบิดาของกาเซีย ส่วนที่เหลือเป็นรัฐมนตรีคนสำคัญๆ ในคณะรัฐบาล ผู้ที่เข้าร่วมประชุมทั้งห้องมียี่สิบเอ็ดคนซึ่งครบองค์ประชุม

เสียงทักดังกังวานของยาหยังทำให้ทุกคนหยุดการประชุม หันไปมองหญิงสาวเป็นตาเดียวกันอย่างสนใจ แต่ละคนมองกาเซียด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน มีทั้งชื่นชมกับความงาม มีทั้งสงสารด้วยเหตุผลบางประการ มีทั้งเขม่นกับความหยิ่งยโสของหญิงสาว ในฐานบัญชาการกุหลาบดำ หญิงสาวมีทั้งมิตรและศัตรู..

“เพิ่งมาถึงค่ะ” กาเซียพูดแล้วทรุดนั่ง เธอได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมแกนนำกุหลาบดำคนสำคัญเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังจากนายกฯ ยาหยังตัดสินใจว่าเธอเก่งกล้าพอจะออกปฏิบัติงานแรกได้

ยาหยังมองสำรวจทั่วตัวบุตรสาว ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลแล้วนิ่วหน้า “ทำไมไม่ไปหาหมอฟาติมาให้ทำแผลก่อน”

“นั่นสิโดนหนักขนาดนี้เลยหรือ” นากาสรีเอ่ยขึ้น เธอเป็นบุตรสาวคนโตของยาหยัง เป็นคนละแม่ของน้องๆ ทั้งสามคน แม่เธอเป็นชาวกีซาลี นากาสรีเป็นสาวใหญ่วัยเกือบสี่สิบแต่ยังไม่แต่งงาน

“เห็นฟาริดาบอกว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บกลับมา แต่พี่ไม่คิดว่าจะหนักหนาถึงเพียงนี้” ยามินพูดแล้วนิ่วหน้า สายตาไล่สำรวจทั่วตัวกาเซีย เนื้อตัวที่โผล่พ้นชายผ้าปรากฏร่องรอยบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาอดจินตนาการใต้ร่มผ้าไม่ได้ว่าจะหนักหนาแค่ไหน ยามินเป็นบุตรชายของยาหยังที่เกิดจากเมียในประเทศตะวันออกกลาง เขาแต่งงานกับหญิงสาวตะวันออกกลางออกไปแล้ว แต่กระนั้นเขายังเทียวไปเทียวมาระหว่างประเทศตะวันออกกลางกับกีซาลี ส่วนกาลัด เป็นลูกสาวที่เกิดจากเมียชาวกีซาลี ปัจจุบันเธอยังโสดและอายุมากกว่ากาเซียเล็กน้อย

“โดนยิงมาด้วยนี่..ใช่ไหม” เสียงกาลัด พี่สาวคนรองเอ่ยขึ้น

“หนักหนาขนาดนี้ ไปหาหมอให้ทำแผลก่อนเถอะหลานเซีย อย่าห่วงทางนี้เลย” รัฐมนตรีท่านหนึ่งเสริมขึ้น หลังจากฟังบทสนทนาของพี่ชายและพี่สาวของกาเซียมาพักหนึ่ง

กาเซียฟังทุกคนแสดงความห่วงใยครู่หนึ่งแล้วเธอก็ส่งสายตาขอบคุณไปรอบโต๊ะ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ขอบคุณที่ทุกคนเป็นห่วงค่ะ แต่ฉันอยากเข้าประชุมด้วยเพราะงั้นประชุมต่อเถอะค่ะ อย่าเป็นห่วงฉันเลย เสร็จจากประชุมแล้วค่อยไปหาหมอก็ยังทัน” กาเซียพูดด้วยน้ำเสียงไม่แสดงความรู้สึก กับคนในครอบครัวเท่านั้นที่เธอจะแทนตัวว่า ‘เซีย’

ยาหยังอึ้ง มองรอบวง เห็นรัฐมนตรีหลายท่านพยักหน้า เขาก็เหลียวกลับมาสบตาบุตรสาวคนเล็ก “ไหวแน่นะยัยเซีย” ยาหยังถามขึ้นอย่างปรานี สายตาที่มองกาเซียห่วงใย เป็นเวลาสี่ปีเต็มที่เขาพยายามฝึกฝนให้บุตรสาวหยิบจับอาวุธเพื่อป้องกันตัว กาเซียเพิ่งเรียนรู้การใช้อาวุธทุกชนิดเป็นเมื่อไม่นานมานี้ จากนั้นเขาก็มอบหมายให้ออกปฏิบัติงานแรก แต่ดูเหมือนงานแรกจะสร้างความบอบช้ำให้กับบุตรสาวเขาพอสมควร สังเกตจากเนื้อตัวที่บัดนี้เต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลต่างๆ กาเซียคงเจ็บมากแต่เธอเข้มแข็ง กาเซียเป็นอย่างนี้ตั้งแต่สี่ปีก่อนที่เขาได้ตัวมาแล้ว

“ค่ะ” กาเซียรับคำสั้นๆ

ยาหยังพยักหน้า “เอาล่ะ..งั้นมาประชุมต่อ เมื่อกี้เราพูดค้างถึงเรื่องของกาสลองซึ่งเป็นสายลับที่อนาเซียส่งตัวมา” ยาหยังอธิบายกาเซีย “เราจับตัวได้ตามแผนที่เซียว่าไว้ก่อนหน้านี้ เวลานี้มันถูกจับขังอยู่ในคุกแดง แต่ไม่ยอมปริปากพูดสักคำ อ้างว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

“จับเขาตรวจด้วยเครื่องโพลีกราฟหรือยัง” กาเซียหมายถึงเครื่องจับเท็จ แม้มันจะไม่ได้ผลถูกต้องเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ปฏิกิริยาทางร่างกายอย่างคร่าวๆ

“เขาเป็นตำรวจเก่า ถึงตรวจไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” รัฐมนตรีคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงเรียบๆ

ยามินเห็นสีหน้ามึนงงของน้องสาว เขาจึงอธิบายว่า “หลังจับตัวได้ พี่ก็ตรวจสอบประวัติเขาอย่างละเอียดพบว่ากาสลองมีชื่อจริงคือกามินทร์ เขาเป็นลูกเศรษฐีตระกูลเก่าของกีซาลี เรียนจบจากอังกฤษและรับราชการเป็นตำรวจอังกฤษมาพักหนึ่ง แล้วย้ายกลับมาเป็นตำรวจที่บ้านเรา”

กาเซียนิ่วหน้า “มีประวัติกาสลองอย่างละเอียดไหมคะ”

“เจ้าสนใจหรือ” ยามินถาม เมื่อเห็นน้องสาวพยักหน้า เขาก็ตอบว่า “ประวัติกามินทร์อยู่ในห้องสมุด พี่ให้ฝ่ายเก็บเอกสาร จัดเก็บประวัติเขาเข้าแฟ้มบัญชีดำแล้ว”

กาเซียพยักหน้า เอ่ยต่อว่า “ยังไงเซียก็อยากนำตัวเขาเข้าเครื่องจับเท็จสักครั้ง”

“แต่มันจะไม่มีประโยชน์นะกาเซีย เชื่อพี่หมอนั่นเป็นตำรวจเขาย่อมรู้วิธีเลี่ยง” ยามินยืนยัน

“ขอเซียลองสักครั้งได้ไหม” แล้วกาเซียก็หันไปมองทุกคนรอบโต๊ะ สีหน้าขอความเห็นใจ ใบหน้าสะสวยของกาเซีย ทำให้แกนนำกุหลาบดำโดยเฉพาะฝ่ายชายใจแข็งไม่พอ หลายรายจึงพยักหน้า แล้วรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ท่านหนึ่งเอ่ยว่า “เอาอย่างที่หลานเซียว่าก็ได้ แต่ยังไงก็ระวังๆ อย่างที่ยามินพูดก็แล้วกัน”

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” กาเซียตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งฟังมาพักหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องตรวจด้วยเครื่องจับเท็จก็ตรวจไป แต่เรื่องโหวตผมว่าควรต้องโหวตวันนี้ จะได้ไม่เสียเวลาหรือทุกคนว่าไง” พูดแล้วเหลียวมองรอบวงอย่างขอคำปรึกษา

ยามินเอ่ยกระซิบกาเซียว่า “เมื่อกี้กำลังถกเรื่องโทษของกาสลองว่าควรจะรับโทษล้างสมองหรือประหารชีวิต”

กาเซียพยักหน้ารับรู้ “แล้วน้ำหนักเอียงไปด้านไหนคะ” กาเซียถามเรียบๆ มองหน้าพี่ชาย ยามินเป็นชายหนุ่มรูปหล่อคมคายราวกับหนุ่มตะวันออกกลาง เรือนร่างเขาสูงใหญ่ราวกับหนุ่มตะวันตก สาวๆ ติดพันเกรียวกราวแต่คะแนนลดฮวบลงเมื่อรู้ว่าเขาแต่งงานกับสาวตะวันออกกลางไปแล้ว

“ก้ำกึ่ง” ยามินกระซิบตอบ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงยาหยังผู้เป็นพ่อเอ่ยต่อว่า

“เอาอย่างนั้นก็ได้ งั้นลงคะแนนลับแล้วกัน ใครอยากให้ล้างสมองก็กดสวิตช์แดง อยากให้โทษประหารก็กดสวิตช์เขียว”

ทุกคนกดสวิตช์ตรงหน้าเพื่อลงคะแนนลับ ไฟสัญญาณไม่ปรากฏให้เห็นต่อหน้าผู้เข้าประชุม แต่จะไปแสดงผลหน้าจอคอมพิวเตอร์ของประธานซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ ยาหยังกดเครื่องหมายให้คำนวณผลการโหวต ชั่วครู่เขาก็ประกาศว่า “ผลคะแนนออกมาแล้ว ปรากฏว่าคะแนนเท่ากัน”

“งั้นท่านยาหยังก็ลงคะแนนตัดสินแล้วกัน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเอ่ยขึ้น

“ไม่ได้ ประธานจะลงคะแนนเมื่อถึงเวลาจำเป็นเท่านั้น” รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเห็นแย้ง พร้อมกับอ้างข้อบังคับในการประชุมแกนนำกุหลาบดำ

“งั้นเราจะเอายังไงกันดีคะ” นากาสรีถามขอความเห็นขึ้น

ยาหยังหันไปทางกาเซีย “งั้นคงต้องให้กาเซียตัดสิน เจ้าจะใช้สิทธิ์ยังไง”

กาเซียคิดว่าไม่ยุติธรรม ถ้าเธอแสดงสิทธิ์ตอนนี้เท่ากับว่าทุกคนจะรู้ทันทีว่าเธอเลือกใช้สิทธิ์ข้างไหน แต่โอกาสอย่างนี้มีไม่มากนัก ถ้าให้โหวตกันใหม่เธอไม่มั่นใจว่าจะมีใครเทคะแนนไปฝั่งโทษประหารชีวิตมากกว่าหรือไม่ กาเซียถอนใจ ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ค่ะ เซียเลือกโทษล้างสมองค่ะ” กาเซียตอบยาหยัง

“มีเหตุผลหรือเปล่าเซีย” ยามินถามขึ้น

“เซียก็คงมีเหตุผลไม่ต่างจากคนอื่นที่เลือกโทษล้างสมองมังคะ กาสลองทำงานรับใช้ที่นี่มานาน แม้เขาจะลอบออกจากที่นี่ไปยังฐานบัญชาการอนาเซีย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นสายสืบให้อนาเซียด้วย อย่าลืมว่าเขาเป็นพลเมืองกีซาลีนะคะ เขาคงไม่ทรยศดินแดนเกิด อีกอย่างเขาลอบออกไปหลังจากที่ระเบิดคลังอาวุธเรียบร้อยแล้ว เพราะงั้นถ้าเป็นการลอบเพื่อไปแจ้งข่าว เขาควรลอบออกไปก่อนที่จะเกิดการระเบิดไม่ดีกว่าหรือคะ ทั้งที่เราก็ปล่อยข่าวนั้นล่วงหน้าตั้งหลายวัน”

“เขาอาจออกไปก่อนหน้านั้นไม่ได้ เพราะระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่เข้มงวด การเข้าออกจึงไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก” นากาสรีเอ่ยแสดงความเห็นขึ้น

“ก็อาจจริง แต่พี่นากาสรีไม่คิดบ้างหรือ สายลับมันควรมีปัญญาเล็ดลอดออกไปได้ ต่อให้ระบบเข้มงวดแค่ไหน ลงว่าเป็นสายลับแล้วต้องหาทางออกไปจนได้ ถ้าแค่นี้ไม่มีปัญญา สมควรแล้วหรือที่จะได้ชื่อว่าเป็นสายลับ ไม่กระจอกไปหน่อยหรือ” กาเซียพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ให้ฟังออกว่าประชดประชัน

“เจ้าพูดก็ถูกกาเซีย แต่เรื่องที่กาสลองเป็นกีซาลีแล้วจะไม่หักหลังพวกเรานี่พี่ขอค้าน กีซาลีที่ฝักใฝ่อนาเซียก็มีออกมาก เจ้าไม่ได้เป็นกีซาลีเต็มตัวอาจไม่เข้าใจ” กาลัดแย้งแล้วมองน้องสาวด้วยสีหน้าท้าทาย

กาเซียนิ่วหน้า “หมายความว่าไงที่เซียไม่ได้เป็นกีซาลีเต็มตัว เซียไม่ได้เกิดที่นี่หรอกหรือ?”

สิ้นคำกาเซียทุกคนเงียบกริบ รัฐมนตรีหลายคนลดสายตาวูบ ไม่กล้าสบตากาเซีย ยาหยังตวัดสายตาไปตำหนิลูกสาวคนรองอย่างรุนแรง แล้วหันไปทางกาเซีย “กาลัดพูดหมายความว่าครึ่งหนึ่งของเจ้าเป็นอังกฤษ เพราะเจ้าเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-กีซาลี เพราะงั้นจะให้เป็นกีซาลีเต็มตัวอย่างกาลัดได้อย่างไร ใช่ไหมกาลัด” ประโยคหลังหันไปขอคำยืนยันจากกาลัด น้ำเสียงเข้มงวด

กาลัดเม้มริมฝีปาก “ก็คงงั้นมังคะ”

กาเซียมองหน้ากาลัดนิ่งๆ แววตาใช้ความคิด แล้วเธอก็ได้ยินนากาสรีถามขึ้นว่า

“แล้วเจ้าจะให้เหตุผลว่าไงที่กาสลองลอบเข้าไปในฐานบัญชาการอนาเซียโดยไม่ให้เรารู้ จะอ้างว่ามีญาติอยู่ที่นั่นหรือ”

“ก็อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ แต่ความหมายของเซียคือ เราควรจะสืบให้รู้แน่ชัดก่อนจะให้โทษประหารใคร กีซาลีไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนนะคะ ที่คิดจะพิพากษาความตายให้ใครแล้วจะให้ได้ง่ายๆ และเซียก็หวังว่าทุกคนจะไม่ได้หวังอย่างนั้นด้วย”

แกนนำกุหลาบดำทุกคนอึ้ง ต่างกระซิบกระซาบกันอะไรบางอย่าง ยาหยังหันไปมองทุกคนรอบโต๊ะตัวยูแห่งนั้น เขาว่า “กาเซียพูดมีเหมือนกัน ในเมื่อยังตัดสินเรื่องโทษกาสลองไม่ได้ ก็เลื่อนการประชุมออกไปแล้วกัน”

“แต่ผลตัดสินออกมาแล้ว จะไม่รับไม่ได้” กาเซียแย้งขึ้น “พ่อกำลังจะไม่เคารพผลตัดสินของที่ประชุมนะ”

อีกคราที่แกนนำกุหลาบดำอึ้งด้วยไม่คิดว่ากาเซียจะกล้าแย้งขึ้น รัฐมนตรีคนหนึ่งเอ่ยว่า “คุณกาเซียพูดถูก การโหวตจบไปแล้ว และเราก็ควรยึดมติที่ประชุม เอาล่ะวันนี้ผมว่าเราจบการประชุมดีกว่า ที่เหลือฝ่ายเลขานุการฯ ก็ไปเขียนรายงานการประชุมมานำเสนอบอร์ดคราวหน้า”

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไปกาเซีย” กาลัดเอ่ยขึ้นเมื่อทุกคนออกไปนอกห้องประชุมหมดแล้ว คงเหลือเพียงยาหยัง และบรรดาลูกๆ ซึ่งกาลัดรีบเรียกตัวน้องสาวไว้ก่อนที่เธอจะออกนอกห้อง

“เซียไม่ได้ฉีก ก็แค่ให้ความเห็นในสิ่งที่ทุกคนถาม” กาเซียตอบเรียบๆ

“แล้วเธอจะให้เหตุผลยังไงที่แย้งข้อสรุปของพ่อ ในเมื่อทั้งหมดนั่นเป็นแผนการของเธอเองทั้งหมด ไม่ว่าเรื่องระเบิดคลังอาวุธ เรื่องการปล่อยข่าว ขาดก็เพียงไม่ได้ไประเบิดเองเท่านั้น” นากาสรีเอ่ยอย่างประชด

“ใช่..เป็นแผนเซีย แต่กาสลองก็ยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย จากนี้ก็ต้องสอบสวนและหาหลักฐานมามัดเขา เซียไม่ได้เข้าข้างเขาแต่เซียไม่ชอบวิธีการให้โทษประหารโดยที่จำเลยยังไม่ยอมสารภาพ”

“คนทำผิดที่ไหนจะมายอมรับสารภาพ นี่มันชีวิตจริงนะ ไม่ใช่บทเรียนในห้องพิพากษาที่เจ้าาเรียนที่อังกฤษกาเซีย” กาลัดพูดอย่างหยามเยาะขึ้น

กาเซียหันขวับไปทางนากาสรีทันที “พี่กาลัดหมายความว่าไง”

กาลัดชะงัก หน้าถอดสีเมื่อรู้ตัวว่าพลาด สายตาทุกคู่มองมาอย่างตำหนิ เธอจึงสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดไม่จา

กาเซียมองรอบห้อง “พี่กาลัดพูดหมายความว่าไง” ถามแล้วไล่สายตามองทีละคน แต่ทุกคนเงียบ กาเซียถามย้ำอีกครั้ง “ที่พี่กาลัดพูดหมายความว่าไง ใครก็ได้ช่วยอธิบายเซียที ไหนว่าเซียเรียนที่กีซาลีมาโดยตลอด”

ยาหยังถอนใจ “จะไปเอานิยมนิยายอะไรกับกาลัด รู้อยู่รายนั่นพูดอะไรเรื่อยเปื่อย พี่เขาก็แค่หยิบยกอังกฤษมาเปรียบเปรยเพราะรู้กันอยู่ว่าที่นั่นมีชื่อเสียงเรื่องกฎหมาย”

กาเซียนิ่วหน้า เหตุผลไม่หนักแน่นพอ แต่เธอไม่รู้ว่าจะแย้งตรงไหน จึงวกไปเรื่องเก่า “แล้วทุกคนคิดว่าเมื่อครู่เซียหักหน้าพ่อหรือ” กาเซียถามแล้วมองหน้าอย่างคาดคั้นทีละคน เช่นเคยทุกคนเงียบกริบ ไม่ตอบ เธอจึงหันไปทางยาหยัง “พ่อคิดว่าเซียหักหน้าพ่อหรือเปล่า”

ยาหยังถอนใจ ถามอย่างนี้ใครจะกล้าตอบตรงๆ “เปล่าหรอก เจ้าไม่ได้หักหน้าพ่อ อย่าคิดมากเลยกาเซีย ว่าแต่เจ้าเป็นยังไงบ้าง รับงานแรกก็โดนหนักเลยหรือ พ่อกำลังคิดว่าถ้าเจ้าไม่กลับมาอีกในวันสองวัน พ่อคงจะนำกองกำลังไปบุกฐานบัญชาการอนาเซียแล้ว”

“เซียไม่เป็นไรหรอกค่ะ” แล้วกาเซียก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนฟังอย่างรวบรัด แต่ข้ามช่วงที่อัสมาร์จูบและเรียกเธอด้วยชื่อโรซาลินา แล้วกาเซียก็สรุปว่า “อย่างที่บอกเซียโดนขังแล้วสุดท้ายก็หาทางหนีรอดกลับมาได้”

“อัสมาร์ทำอะไรเจ้าหรือเปล่า ตอนอยู่ในห้องนอน” ยามินถามขึ้น น้ำเสียงห่วงใยติดหวง

“ไม่หรอกค่ะ จะทำอะไรเซียได้” กาเซียพูดพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ

“แล้วทำไมหมอนั่นต้องจับเจ้าไปขังในห้องนอน” นากาสรีถามขึ้นหลังจากฟังมาชั่วครู่ใหญ่ๆ น้ำเสียงนากาสรีระแวง แววตาที่มองกาเซียก็คมปลาบอย่างพินิจ “มันฟังไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยหรือเปล่ากาเซีย”

“ไม่ทราบค่ะ พยายามถามเขาอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่ตอบ” กาเซียตอบอย่างไม่เดือดร้อนนัก

“พี่ถามจริง อัสมาร์ลวนลามเราหรือเปล่า”

กาเซียยิ้มอย่างอ่อนใจ “เขาไม่ได้มีท่าทีบ้ากามเลยนะคะพี่ยามิน ตรงกันข้ามเขาดูสุภาพบุรุษ” ยกเว้นแต่ตอนที่บีบแขนเธอเท่านั้นแหละ กาเซียต่อประโยคตัวเองในใจ

ไม่ใครกล้าค้านกาเซีย ต่างเงียบกริบ แล้วนากาสรีมองหน้าน้องสาว เธอว่า “แล้วเจ้าได้อะไรมาบ้างกับงานชิ้นแรก..กาเซีย”

กาเซียตอบโดยไม่เสียเวลาคิดว่า “ไม่ได้อะไรเลยค่ะ กำลังจะเซฟข้อมูลลงดิสก์ อัสมาร์ก็เข้ามาพอดี” กาเซียพูดแล้วเว้นระยะ ก่อนกล่าวต่อว่า “แต่เซียพอจะจำได้ว่าในนั้นมีอะไรบ้าง” พูดแล้วเธอก็เดินไปคว้ากระดาษและปากกามาจดในสิ่งที่ตัวเองจำได้ กาเซียเขียนเป็นภาษาอังกฤษลายมืดหวัดแกมบรรจง

ร่างสุนทรพจน์ที่อัสมาร์ขยำทิ้งถังขยะ เป็นร่างที่เขียนด้วยลายมือเป็นภาษาอนาเซีย เป็นภาษาที่เธอไม่ถนัดนัด จึงเลือกที่จะจำแทนการหยิบติดมือมา ตั้งใจจะก๊อปปี้เอาฉบับภาษาอังกฤษจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาแต่อัสมาร์เข้ามาขัดขวางเสียก่อน จึงไม่ทันได้บันทึก แต่กระนั้นเธอกลับคิดว่าโชคเข้าข้างเธอที่ไม่คว้าออกมา เพราะไม่เช่นนั้นฝ่ายอัสมาร์คงรู้แล้วว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายที่เธอลอบเข้าฐานบัญชาการอนาเซียครั้งนี้

ด้วยเธอติดอยู่ที่ห้องนอนอัสมาร์หลายคืน ถ้าหยิบติดมือมา รับรองเขาต้องหาเจอเข้าสักวันแน่!

มือที่ตวัดไปมาไม่สม่ำเสมอด้วยผู้เป็นเจ้าของจดปากกาอย่างไม่ถนัด ยามินเห็นเข้าจึงทักว่า “เป็นอะไรเซีย เขียนไม่ถนัดเพราะเจ็บแผลหรือ?”

“ไม่เป็นไรค่ะ” กาเซียปฏิเสธด้วยความเคยชิน แล้วส่งกระดาษให้พี่ชาย ลายมือกาเซียหวัดแกมบรรจงแต่เป็นระเบียบอ่านง่าย ยามินไล่สายตาอ่านอย่างรวดเร็วแล้วส่งต่อให้ยาหยังและนากาสรี ทั้งคู่อ่านอย่างรวดเร็วเช่นกัน แล้วยาหยังก็พูดขึ้นว่า

“ทำไมได้มาแค่ครึ่งเดียว” ยาหยังท้วง เพราะเนื้อหาไม่สมบูรณ์เหมือนได้มาแค่ครึ่งเดียว

“เซียจำไม่ได้หมด มันเป็นภาษาอนาเซีย”

“บอกแล้วอย่าส่งคุณหนูไปทำงานนี้” นากาสรีเปรยลอยๆ ไม่เจาะจงใคร กาเซียเม้มริมฝีปาก ขณะที่ยาหยังนิ่วหน้า เขาส่งสายตาตำหนิลูกสาวคนโต แล้วเบือนหน้ากลับไปมองลูกสาวคนเล็ก เขาว่า “ไม่เคยมีสมุนกุหลาบดำคนไหนทำงานพลาด ตั้งแต่รับงานแรกหรอกนะกาเซีย”

กาเซียกัดริมฝีปาก “เซียทราบค่ะ จะให้เซียแก้มือยังไงก็ยินดี”

“แกมือแล้วทำให้เรื่องยุ่งยากกว่านี้หรือ”

“นากาสรี!” ยาหยังหันไปส่งสายตาตำหนิ “ถ้าเจ้าจะตำหนิน้องทุกเรื่อง พ่อว่าเปล่าประโยชน์ มีอะไรทำก็ไปทำเถอะ อย่ามาตอกย้ำน้องมันอีกเลย แค่นี้กาเซียก็บอบช้ำพออยู่แล้ว”

นากาสรีเม้มริมฝีปาก สะบัดหน้าแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดไม่จา ยามินมองตามจนลับสายตา เขาส่ายหน้าก่อนจะเบือนสายตาไปมองกาเซีย “อย่าถือสาพี่เจ้าเลยนะกาเซีย”

“ไม่หรอกค่ะพี่ยามิน เซียเข้าใจ” กาเซียตอบยามิน แล้วหันไปทางนายกฯ ยาหยัง “แล้วพ่อจะให้เซียแก้มือยังไงคะ”

“เจ้าจะได้แก้มือแน่กาเซีย พ่อจะบอกเจ้าอีกทีแต่ไม่ใช่ตอนนี้”

ยามินนิ่วหน้า ค้านผู้เป็นพ่อว่า “ที่จริงน้องมันก็ไม่ได้พลาดอะไรมาก สาระที่เขียนมาผมว่าก็ครอบคลุมดี จะให้ครบถ้วนกระบวนความทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าจะพลาด คงในแง่การดูแลตัวเองมากกว่า” ยามินแย้งแล้วหันไปทางกาเซีย “เจ้าสะบักสะบอมมามากกาเซีย พี่ว่ากลับไปพักผ่อนเถอะ แต่ขอชมเจ้าที่เจ็บหนักขนาดนี้ยังยืนอยู่ได้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงล้มคว่ำไปแล้ว เอาล่ะ..หมดหน้าที่เจ้าแล้ว รีบไปหาหมอฟาติมาทำแผลแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้พี่จะคุยกับพ่อเอง”

“ค่ะ..” กาเซียรับคำแล้วเดินออกจากห้องประชุม

“เดี๋ยวกาเซีย”

เสียงยาหยังทำให้เธอหมุนตัวกลับ กาเซียเลิกคิ้วถามด้วยสายตา แล้วเธอก็ได้ยินผู้เป็นพ่อเอ่ยว่า

“พ่ออยากให้เจ้าไปงานยูเอ็นพร้อมพี่ยามินสามเดือนข้างหน้า เตรียมตัวไว้ให้ดี”

“ค่ะ” กาเซียรับคำแล้วเดินจากไป

ยามินรอจนกาเซียเดินออกจากห้องแล้ว จึงเบือนสายตาไปมองยาหยัง “พ่อมีแผนอะไร” ถามอย่างไม่พอใจนักแล้วกล่าวต่อว่า “ผมไม่เห็นด้วยหรอกนะถ้าจะให้กาเซียรับงานอะไรที่เสี่ยงอีก ลำพังปล่อยให้ไปเผชิญหน้ากับอัสมาร์ แค่นี้ก็เสี่ยงพออยู่แล้ว ไม่เห็นหรือน้องมันเจ็บปางตายกลับมาแค่ไหน เซียมันเจ็บนะครับ เพียงแต่ไม่ปริปากบ่นเท่านั้น นี่ถ้าเป็นลูกสาวคนอื่นคงโอดครวญไม่จบไปแล้ว แล้วนี่ยังจะใช้ให้ไปออกงานเวทีโลกอีกหรือ ขอเถอะสมุนคนอื่นๆ ที่เก่งพอๆ กับกาเซียมีถมไป”

ยาหยังจ้องหน้าบุตรชายนิ่งๆ ครู่หนึ่งเขาว่า “คนอื่นอาจเก่งวิชาป้องกันตัวแต่จะไม่ฉลาดเท่ากับกาเซีย เจ้าต้องยอมรับว่ากาเซียมีไหวพริบ น้องเจ้ามันฉลาดเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์”

“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่น้องต้องรับงานเสี่ยงซ้ำๆ ซากๆ”

“การกู้แผ่นดินเกิดกลับคืน ไม่ใช่งานของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคน” ยาหยังแย้งเสียงเรียบ

“แต่กาเซียไม่ใช่ชาวกีซาลี พ่อต้องยอมรับข้อนี้ แม้กาเซียจะได้เชื้อชาติจากพ่อครึ่งหนึ่ง แต่กีซาลีก็ไม่ได้เกิดและเติบโตที่นี่และแม้แต่สัญชาติ เธอก็ยังเป็น..” ยามินเอ่ยชื่อประเทศหนึ่งในแถบตะวันออกกลาง ก่อนว่า “อันที่จริงเราไม่มีสิทธิ์ใช้ประโยชน์จากกาเซียด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามเราควรแจ้งทางนั้นว่าน้องยังไม่ตาย ป่านนี้แม่กับพ่อจริงๆ ของเขาคงห่วงแย่แล้ว”

“หมอนั่นไม่ใช่พ่อของกาเซียนะยามิน พ่อแท้จริงยืนอยู่นี่”

“แต่พ่อไม่เคยดูแลเซีย เพราะงั้นพ่อจะอ้างสิทธิ์ในตัวน้องไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ พ่อกำลังจะแก้ตัวอยู่นี่ไง พ่อจะดูแลกาเซียเอง”

ยามินกลอกตาไปมา อยากจะพูดใส่หน้าผู้เป็นพ่อว่ามันสายไปแล้ว แต่กระนั้นเขาก็พูดไม่ได้ “ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ ผมจะช่วยพ่อหลอกใช้เซียงานนี้เป็นงานสุดท้ายเท่านั้น เสร็จจากงานกู้กีซาลีแล้ว พ่อต้องคืนเซียให้กับครอบครัวเขา เซียอยู่กับพวกเขาก็มีความสุขอยู่แล้ว อย่าดึงน้องมาผจญกับแผ่นดินที่ร้อนระอุเป็นไฟอย่างกีซาลีเลย”

ยาหยังบดกรามแน่น เขาไม่รับปากบุตรชาย แต่พูดไปอีกทางว่า “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงกาเซีย เซียเรียนจบการใช้อาวุธทุก...”

ยามินไม่รอให้ผู้เป็นพ่อพูดจบ เขาพูดต่อว่า “แต่น้องไม่มีประสบการณ์ เพิ่งศึกษาการใช้อาวุธจบก็เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ขืนให้ออกงานเวทีโลกอย่างนั้น น้องมีแต่พังกับพัง”

“ไม่ต้องห่วงกาเซียหัวไว ไม่เห็นหรือสี่ปีสามารถเรียนรู้การใช้อาวุธได้เร็วมาก นี่ถ้าเป็นคนอื่นใช้เวลาศึกษาค่อนชีวิตก็ไม่รู้ว่าจะได้สักครึ่งของกาเซียหรือเปล่า เซียมันไหวพริบดีถึงไม่มีประสบการณ์ก็จะเอาตัวรอดได้ อีกอย่างไม่ต้องห่วง พ่อจะให้นากาสรีและกาลัดตามประกบอีกทาง”

“พ่อประเมินค่าน้องสูงเกินไปแล้ว ถ้าเซียเอาตัวรอดได้ ทำไมถึงถูกยิงสะบักสะบอมมาอย่างนั้น พ่อโหดร้ายกับเซียมากเกินไปแล้ว”

“พ่อไม่ได้โหดร้าย แต่พ่อกำลังบ่มน้องเจ้าให้แกร่งขึ้นต่างหาก อย่าลืมว่าโลกภายนอกกาเซียยังมีศัตรูอีกเยอะทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น จบจากงานนี้รับรองว่าไม่มีใครกล้ารังแกเซียอีกแน่ อีกอย่างเจ้าก็เห็นแล้วว่าเซียแกร่งและเก่งสามารถเอาตัวรอดกลับมาได้ แม้จะพลาดถูกยิงไปบ้างแต่นั่นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนทำงานเสี่ยงอย่างเราๆ ไม่ใช่หรือ พ่อยังยืนยันนะยามินงานสืบราชการลับไม่มีใครเหมาะเท่ากับเซียอีกแล้ว ถ้าไม่ได้เซีย คนที่รับหน้าที่แทนอาจจะจบชีวิตเสียตั้งแต่ในคุกหอคอยงาช้างแล้วนั่นก็ได้ แต่นี่เพราะเป็นเซีย ถึงได้รอดปลอดภัยกลับมา”

“พ่อเอาชีวิตน้องมาเสี่ยงเกินไปเสียแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอัสมาร์ไม่เหลือเยื่อใยกับเซียแล้ว และเลวร้ายกว่านั้นถ้าคนที่อยู่ในฐานบัญชาการอนาเซียคืนนั้นเป็นอัชชาร์ค ไม่ใช่อัสมาร์ อะไรจะเกิดขึ้น พ่อเห็นความเสี่ยงพวกนี้บ้างไหม เห็นไหมว่าพ่อเอาชีวิตน้องไปเสี่ยงแค่ไหน”

“ทำไมพ่อจะไม่ประเมินสถานการณ์ก่อนส่งกาเซียไป เพราะพ่อประเมินและมั่นใจแล้วว่าอัสมาร์ยังมีเยื่อใยกับน้องเจ้า อีกอย่างพ่อเช็คจนแน่ใจว่าในฐานอนาเซีย คืออัสมาร์จริงๆ พ่อถึงส่งน้องเจ้าไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงน่ายามิน อัสมาร์ยังรักกาเซียไม่เคยเปลี่ยน ไม่งั้นมันคงไม่ย้ายมาอยู่อนาเซียทันทีที่เห็นน้องเจ้าเมื่อสองปีก่อนหรอกทั้งที่หมอนั่นเกลียดประเทศนี้ยังกะอะไร”

“ถึงงั้นก็เถอะ พ่อควรห่วงสวัสดิภาพน้องให้มากกว่านี้ ยังไงนั่นก็ลูกพ่อคนหนึ่งเหมือนกัน”

“พ่อรู้ถึงได้ทำอย่างนี้ ยังไงก็เถอะพ่อรู้ขอบเขตของพ่อดีว่าทำอะไรได้แค่ไหน อีกอย่างขอเตือนเลยนะยามินอย่าหลุดเรื่องความสัมพันธ์ของอัสมาร์กับกาเซียออกมาอีก แค่นากาสรีกับกาลัดเผลอพูดมาหลายเรื่องวันนี้ น้องมันก็สงสัยมากพออยู่แล้ว”




..............................................




จบตอน















Create Date : 23 สิงหาคม 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 13:03:07 น.
Counter : 465 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments