Group Blog
กุหลาบในเปลวไฟ...บทที่ 7


กุหลาบในเปลวไฟ


บทที่ 7...คณิตยา


กาสลองนอนไม่ได้สติอยู่ในคุกแดงหรืออีกชื่อหนึ่งคุกเลือด เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบนักโทษกีซาลี สภาพสะบักสะบอมอย่างที่ดูออกว่าโดนทรมานมาอย่างหนัก เลือดแห้งเกรอะกรังทั่วใบหน้าคมสันจนดูหน้าเดิมไม่ออก เขาถูกแยกออกมาขังเดี่ยว ต่างจากนักโทษคนอื่นๆ ที่ถูกขังรวม กระนั้นนักโทษคนอื่นๆ ก็ถูกทรมานไม่น้อยไปกว่ากัน เนื่องจากเป็นนักโทษแดนตายกันทั้งหมด

“เอาน้ำราดให้เขาฟื้นสิ” กาเซียหันไปสั่งคนคุมขัง

“ครับ”

น้ำทั้งถังถูกสาดไปเต็มหน้ากาสลอง จากที่นอนไม่ได้สติก็ไอค่อกแค่กแล้วกะพริบตามองผู้มาใหม่ พลันที่เห็นใบหน้าชัดๆ ของกาเซีย เขาก็อุทานว่า “คุณโรส” แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นโรซาลินายืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารของกีซาลี เสื้อสีเขียวลายทางกับกางเกงผ้าอวดเรือนร่างสูงเพรียว

กาเซียขมวดคิ้วกับคำแรกที่หลุดจากปากกาสลอง เธอหันไปคุยกับผู้คุม “ขอฉันอยู่สองต่อสองกับเขาหน่อยนะ อย่าให้ใครผ่านเข้าออกแถวนี้เด็ดขาด”

“จะเป็นอันตรายกับคุณกาเซียหรือเปล่าครับ”

“ไม่หรอก เขาอยู่ในคุกจะมาทำอะไรฉันได้”

“ครับ” อีกฝ่ายรับคำแล้วถอยออกไป

กาเซียเบือนหน้ามา “นายเรียกฉันว่าอะไรนะเมื่อกี้”

“คุณโรส.. คุณชื่อโรซาลินา”

กาเซียนิ่วหน้า อีกคนแล้วหรือที่เรียกเธอว่าโรซาลินา..โรส กาเซียนึกอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “นายหรือเปล่าคนที่เคยถามหาคนชื่อโรสในฐานกุหลาบดำ”

“ครับ คุณโรสจำผมไม่ได้หรือ ผมกามินทร์เพื่อนของสามีคุณไงครับ”

กาเซียชะงัก คงไม่ใช่เพียงแค่ความบังเอิญเสียแล้ว “อย่าบอกนะว่านี่เป็นเหตุผลที่นายปลอมตัวเข้ามาในฐานกุหลาบดำแห่งนี้”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ “อัสมาร์วานให้ผมลอบเข้ามาสืบเรื่องคุณ”

“ไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝงมาด้วยหรือ”

“เรื่องอะไร” กามินทร์นิ่วหน้า

กาเซียไหวไหล่ “ไม่รู้ ถึงถามไง”

“ไม่มีหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่คุณจำผมไม่ได้เลยหรือ ผมเป็นรุ่นพี่มหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกับอัสมาร์ไง ยังเคยจีบคุณแข่งกับเจ้าหมอนั่นเลย”

“ฉันจำไม่ได้หรอก” กาเซียส่ายหน้า

กามินทร์ชะงัก มองโรซาลินาด้วยแววตาพินิจ นัยน์ตาหญิงสาวที่จ้องตอบกลับมาว่างเปล่าราวกับคนแปลกหน้าจริงๆ “คุณสูญเสียความทรงจำหรือคุณโรส” กามินทร์ถามขึ้นในที่สุด

“ฉันไม่ได้สูญเสียความทรงจำ” กาเซียตอบทันควันโดยไม่เสียเวลาคิด

“งั้นคุณจำอดีตอะไรได้บ้าง”

กาเซียอึ้ง

“เห็นไหมคุณก็ตอบไม่ได้” กามินทร์ตอบอย่างได้ที

กาเซียพยายามเรียกความทรงจำ แต่เธอนึกอะไรไม่ออกจริงๆ รู้สึกหงุดหงิดที่พยายามนึกเรื่องในอดีตเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจริง ความทรงจำมีเพียงช่วงสี่ปีหลังเท่านั้น “ใครบอกฉันจำไม่ได้ ฉันจำได้ทั้งหมดนั่นแหละ” เถียงอย่างอยากเอาชนะ

“งั้นบอกผม ก่อนหน้านี้คุณอยู่ที่ไหน”

“ฉันอยู่ที่นี่เติบโตที่นี่”

“คุณเรียนมหาวิทยาลัยไหน” กามินทร์ถามต่อ

“มหาวิทยาลัย..” กาเซียเลียนคำตอบของฟารีดาที่ตอบเธอก่อนหน้านี้

“มั่นใจหรือกาเซีย สมัยเรียนใครเป็นเพื่อนสนิทคุณ?”

กาเซียพยายามนึก

กาสลองมองโรซาลินานิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด เขาก็ยิ้มอย่างผู้ชนะ “เห็นไหมคุณนึกไม่ออก สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดนั่นคือข้อมูลที่ทางนี้พยายามป้อนต่างหาก พวกเขาพยายามทำให้คุณเชื่อว่าเกิดที่นี่ แต่จริงๆ แล้วคุณไม่ได้เกิดที่นี่ คุณเป็นลูกครึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นอังกฤษส่วนอีกครึ่งจะเป็นกีซาลีหรือตะวันออกกลาง ยังไม่รู้แน่ชัด มีแต่คุณคนเดียวที่รู้ แต่ตลอดชีวิตคุณ คุณใช้ชีวิตที่ตะวันออกกลางมาตลอดจนถึงช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คุณถึงไปต่อที่อังกฤษแล้วคุณก็เจอกับอัสมาร์ที่นั่น พวกคุณรักกันแล้วแต่งงานกัน”

กาเซียนิ่วหน้า ตลอดเวลาที่ฟังกาสลองเล่าเธอขมวดคิ้วตลอด กำลังคิดว่าข้อมูลของกาสลองเล่าใกล้เคียงกับที่อัสมาร์บอกเธอ หรือว่าผู้ชายทั้งคู่ไม่ได้โกหกเธอ?

“ทำไมฉันต้องเชื่อนาย มันอาจเป็นข้อมูลที่นายพยายามป้อนให้ฉันเชื่อ” กาเซียย้อน

“ผมจะทำอย่างนั้นทำไม คุณโรส ทำไปแล้วได้อะไรถามหน่อย ผมหวังดีกับคุณนะเพราะงั้นไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกคุณเลย ตอนที่อัสมาร์เจอคุณเมื่อสองปีก่อนเขาดีใจมากที่คุณยังไม่เสียชีวิต”

“งั้นทำไมฉันต้องแยกจากอัสมาร์ ถ้าฉันแต่งงานกับเขาจริง”

“พวกคุณไม่ได้แยกจากกัน แต่คุณเสียชีวิต สี่ปีก่อนมีคนพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้ทุกคนเชื่อว่าคุณเสียชีวิตจริงๆ แล้วพวกผมก็เชื่อ แต่สองปีให้หลังอัสมาร์เจอคุณปรากฏกายที่บ้านผมในงานแต่งงานของกาสมันน้องสาวผม อัสมาร์เชื่อว่าเป็นคุณ ถึงไหว้วานให้ผมปลอมตัวเข้ามาสืบเรื่องคุณ อัสมาร์เกลียดอนาเซียยิ่งกว่าอะไรดีคุณก็รู้ดี แต่เพราะคุณ..หลังอัสมาร์เจอคุณเขาก็ยอมย้ายจากอังกฤษมาอยู่อนาเซียเป็นการถาวร ยอมเข้ามาประจำฐานอนาเซียที่กีซาลีนี่ก็เพื่อออกตามหาคุณ แต่สองปีที่ผ่านมาเราคว้าน้ำเหลว ตราบจนวันนี้ผมถึงได้พบคุณ คุณไปอยู่ที่ไหนมาคุณโรส ทำไมผมไม่เจอคุณเลย”

“จะอยู่ที่ไหนก็ช่างเถอะ ว่าแต่ฉันจะเชื่อนายได้แค่ไหน”

“ผมบอกแล้วผมไม่มีเหตุผลต้องโกหกคุณ ถ้าเรื่องไม่จริงผมคงไม่สามารถเล่าเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้”

“งั้นใครฆ่าฉัน”

“ยังไม่ชัดเจน เพราะตอนแรกพวกเราคิดว่าเป็นอุบัติเหตุแถมเจอกระดูกและแหวนแต่งงานคุณด้วย ทุกคนเลยยิ่งเชื่อกันว่าเป็นคุณ” กามินทร์พูดแล้วมองโรซาลินา ชั่วแวบนัยน์ตาแฝงแววอาวรณ์ก่อนเลือนหายก่อนที่อีกฝ่ายจะทันสังเกต แล้วกามินทร์ก็นิ่วหน้าเมื่อสังเกตเห็นรอยแผลใหม่ๆ บนเนื้อตัวหญิงสาว “นั่นคุณได้รับบาดเจ็บมาหรือคุณโรส..ไปโดนอะไรมา” น้ำเสียงที่ถามอ่อนโยน

“ช่างมันเถอะ” กาเซียตอบอย่างไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอเริ่มลังเลว่าจะเชื่อเขาดีหรือไม่ แต่เธอก็ไม่มีเวลาตรวจสอบนานกว่านั้นเพราะเช้านี้การประชุมหารือเพื่อตัดสินคดีของเขากำลังจะเริ่มขึ้น หากเขาถูกตัดสินโทษล้างสมอง สิ่งที่เธออยากรู้คงไม่มีคำตอบ กาเซียถอนใจเธอตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง

กามินทร์เห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน เขาจึงถามขึ้นว่า “คุณคงไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด” พูดราวกับอ่านใจหญิงสาวได้

“มันยังเร็วเกินไปที่จะตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ”

“บางทีถ้าคุณได้เจออัสมาร์ คุณคงจะเชื่อผม หมอนั่นคงจะดีใจถ้าได้เจอคุณ”

“เราเจอกันแล้ว”

“แล้วเขาว่าไง?” กามินทร์ถามอย่างอยากรู้ แล้วถามต่อว่า “พวกคุณเจอกันที่ไหนอย่างไร อย่าบอกนะว่าเจอในฐานอนาเซีย แล้วคุณก็ได้แผลมาจากที่นั่น”

“ไม่ผิดหรอก” กาเซียตอบแล้วไหวไหล่

“คุณเป็นคนวางระเบิดคลังอาวุธนั่นหรือคุณโรส..”

“เปล่า” กาเซียตอบด้วยแววตาว่างเปล่า

กามินทร์นิ่วหน้า “งั้นพวกคุณไปเจอกันที่ฐานอนาเซียได้อย่างไร เมื่อไหร่”

“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคุณ”

“ตอนที่อัสมาร์เจอคุณว่าไงบ้าง เขาไม่แปลกใจหรือที่คุณยังไม่ตาย ผมว่าหมอนั่นคงดีใจมากว่าไหม เพราะอัสมาร์รักคุณมาก หายใจเข้าออกเป็นคุณทุกนาที นับตั้งแต่คุณตายจากไปเขาก็ไม่เคยเหลียวมองใครออกเลย”

กาเซียนิ่วหน้ากับคำพูดที่ว่าอัสมาร์ไม่เคยเหลียวมองใคร แต่ไม่ได้เอ่ยแสดงความเห็นอะไร เธอว่า “เขาก็พยายามตู่อย่างที่นายว่า แต่ก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ฉันเชื่อได้”

“งั้นง่ายๆ คุณลองนึกดูว่าเหตุการณ์ก่อนช่วงสี่ปีเป็นยังไง คุณจำอะไรได้บ้าง เอาแค่นั้นแล้วตอบคำถามผมคุณโรส คุณนึกอะไรออกบ้างบอกผมสิ” กามินทร์พูดแล้วเว้นระยะให้อีกฝ่ายตอบ แต่กาเซียอึ้งไปนานเขาจึงพูดต่ออย่างได้ทีว่า “เห็นไหมคุณก็นึกอะไรไม่ออก นั่นแปลว่าคุณสูญเสียความทรงจำ และผมขอยืนยันคุณหน้าตาเหมือนโรสราวกับเป็นคนคนเดียวกัน”

“ฉันไม่มีเวลามาเล่นเกมตอบยี่สิบคำถามของนาย แล้วบอกอะไรอย่างนะกาสลอง ฉันไม่ได้ชื่อโรส เพราะงั้นเลิกเรียกฉันว่าโรสเสียที”

“ไม่ให้เรียกว่าโรส แล้วให้เรียกว่าอะไรในเมื่อคุณชื่อโรส”

“ถ้าฉันเป็นผู้หญิงคนนั้นฉันอาจชื่อโรส แต่บังเอิญฉันไม่ใช่ เพราะงั้นเลิกเรียกว่าโรสเสียที”

กามินทร์อ้าปากอย่างคาดไม่ถึง “เป็นไปไม่ได้ คุณจะไม่ใช่โรซาลินาได้ยังไง”

“มันเป็นไปแล้ว ฉันชื่อกาเซีย เป็นลูกสาวของยาหยัง”

กามินทร์ยังอ้าปากอย่างคาดไม่ถึง “กาเซีย?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาว่า “คุณน่ะเองที่ใครๆ ในฐานกุหลาบดำร่ำลือว่าสวยมาก”

กาเซียพยักหน้า เธอรับรู้ด้วยอาการเฉยเมย

“ผมเข้าใจล่ะกาเซีย ถ้าคุณเป็นผู้หญิงคนนั้นจริงๆ คุณก็สวยสมดั่งคำร่ำลือจริงๆ”

“ฉันไม่ได้เข้ามาหานายเพราะเรื่องนี้ เพราะเข้ามาเพราะจะบอกนายว่าตอนนี้พ่อฉันกำลังจะตัดสินคดีนาย นายอยู่ในฐานกุหลาบดำนี้มานานคงรู้แล้วว่าโทษของการปลอมตัวเข้ามามันหนักหนาสาหัสแค่ไหน”

“ล้างสมองกับประหาร” กามินทร์ต่อประโยคกาเซียด้วยอาการเรียบเฉย

กาเซียพยักหน้า เห็นแววตาแน่วแน่ไม่หวั่นไหวของเขาแล้วเธอต้องนึกชมจิตใจเขา นึกดีใจแทนอัสมาร์ที่มีเพื่อนดี เธอว่า “ที่นี่ไม่ได้ป่าเถื่อน ก่อนล้างสมอง จะตรวจสภาพจิตใจคุณ เพราะงั้นควบคุมอารมณ์รักษาสมาธิให้มั่น แล้วคุณจะรอดจากการล้างสมอง” กาเซียพูดแล้วขยับลุก

“คุณช่วยผมทำไม กาเซีย”

“ฉันไม่มีเหตุผลต้องช่วยคุณ มันเป็นข้อมูลธรรมดาๆ ที่ใครก็รู้ได้”

“แต่คงไม่ใช่ข้อมูลสำหรับสมุนระดับล่างแน่..” กามินทร์โต้กาเซีย

กาเซียนิ่งแล้วตอบว่า “ก็อาจจะ ฉันต้องไปแล้วกาสลอง รักษาชีวิตนายให้ดีเรายังต้องพบกันอีก” กาเซียพูดแล้วหันหลังเดินจากไป

“เดี๋ยวกาเซีย ถ้าผมรอดจากการถูกล้างสมองแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น”

ทว่าหญิงสาวไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง.. เธอก้าวออกจากคุกเลือดด้วยท่วงท่าแน่วแน่

.................................................



“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ยาหยังพูดขึ้นเมื่อเห็นกาเซียเดินตรงเข้ามาในห้องเรือนกระจกสีชาทึบแสงซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมแกนนำกุหลาบดำคนสำคัญๆ ผู้ที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยนากาสรี กาลัด ยามิน บุคคลทั้งสามเป็นพี่น้องร่วมบิดาของกาเซีย ส่วนที่เหลือเป็นรัฐมนตรีคนสำคัญๆ ในคณะรัฐบาล ผู้ที่เข้าร่วมประชุมทั้งห้องมียี่สิบเอ็ดคนซึ่งครบองค์ประชุม

เสียงทักดังกังวานของยาหยังทำให้ทุกคนหยุดการประชุม หันไปมองหญิงสาวเป็นตาเดียวกันอย่างสนใจ แต่ละคนมองกาเซียด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน มีทั้งชื่นชมกับความงาม มีทั้งสงสารด้วยเหตุผลบางประการ มีทั้งเขม่นกับความหยิ่งยโสของหญิงสาว ในฐานบัญชาการกุหลาบดำ หญิงสาวมีทั้งมิตรและศัตรู..

“เพิ่งมาถึงค่ะ” กาเซียพูดแล้วทรุดนั่ง เธอได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมแกนนำกุหลาบดำคนสำคัญเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังจากนายกฯ ยาหยังตัดสินใจว่าเธอเก่งกล้าพอจะออกปฏิบัติงานแรกได้

ยาหยังมองสำรวจทั่วตัวบุตรสาว ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลแล้วนิ่วหน้า “ทำไมไม่ไปหาหมอฟาติมาให้ทำแผลก่อน”

“นั่นสิโดนหนักขนาดนี้เลยหรือ” นากาสรีเอ่ยขึ้น เธอเป็นบุตรสาวคนโตของยาหยัง เป็นคนละแม่ของน้องๆ ทั้งสามคน แม่เธอเป็นชาวกีซาลี นากาสรีเป็นสาวใหญ่วัยเกือบสี่สิบแต่ยังไม่แต่งงาน

“เห็นฟาริดาบอกว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บกลับมา แต่พี่ไม่คิดว่าจะหนักหนาถึงเพียงนี้” ยามินพูดแล้วนิ่วหน้า สายตาไล่สำรวจทั่วตัวกาเซีย เนื้อตัวที่โผล่พ้นชายผ้าปรากฏร่องรอยบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาอดจินตนาการใต้ร่มผ้าไม่ได้ว่าจะหนักหนาแค่ไหน ยามินเป็นบุตรชายของยาหยังที่เกิดจากเมียในประเทศตะวันออกกลาง เขาแต่งงานกับหญิงสาวตะวันออกกลางออกไปแล้ว แต่กระนั้นเขายังเทียวไปเทียวมาระหว่างประเทศตะวันออกกลางกับกีซาลี ส่วนกาลัด เป็นลูกสาวที่เกิดจากเมียชาวกีซาลี ปัจจุบันเธอยังโสดและอายุมากกว่ากาเซียเล็กน้อย

“โดนยิงมาด้วยนี่..ใช่ไหม” เสียงกาลัด พี่สาวคนรองเอ่ยขึ้น

“หนักหนาขนาดนี้ ไปหาหมอให้ทำแผลก่อนเถอะหลานเซีย อย่าห่วงทางนี้เลย” รัฐมนตรีท่านหนึ่งเสริมขึ้น หลังจากฟังบทสนทนาของพี่ชายและพี่สาวของกาเซียมาพักหนึ่ง

กาเซียฟังทุกคนแสดงความห่วงใยครู่หนึ่งแล้วเธอก็ส่งสายตาขอบคุณไปรอบโต๊ะ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ขอบคุณที่ทุกคนเป็นห่วงค่ะ แต่ฉันอยากเข้าประชุมด้วยเพราะงั้นประชุมต่อเถอะค่ะ อย่าเป็นห่วงฉันเลย เสร็จจากประชุมแล้วค่อยไปหาหมอก็ยังทัน” กาเซียพูดด้วยน้ำเสียงไม่แสดงความรู้สึก กับคนในครอบครัวเท่านั้นที่เธอจะแทนตัวว่า ‘เซีย’

ยาหยังอึ้ง มองรอบวง เห็นรัฐมนตรีหลายท่านพยักหน้า เขาก็เหลียวกลับมาสบตาบุตรสาวคนเล็ก “ไหวแน่นะยัยเซีย” ยาหยังถามขึ้นอย่างปรานี สายตาที่มองกาเซียห่วงใย เป็นเวลาสี่ปีเต็มที่เขาพยายามฝึกฝนให้บุตรสาวหยิบจับอาวุธเพื่อป้องกันตัว กาเซียเพิ่งเรียนรู้การใช้อาวุธทุกชนิดเป็นเมื่อไม่นานมานี้ จากนั้นเขาก็มอบหมายให้ออกปฏิบัติงานแรก แต่ดูเหมือนงานแรกจะสร้างความบอบช้ำให้กับบุตรสาวเขาพอสมควร สังเกตจากเนื้อตัวที่บัดนี้เต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลต่างๆ กาเซียคงเจ็บมากแต่เธอเข้มแข็ง กาเซียเป็นอย่างนี้ตั้งแต่สี่ปีก่อนที่เขาได้ตัวมาแล้ว

“ค่ะ” กาเซียรับคำสั้นๆ

ยาหยังพยักหน้า “เอาล่ะ..งั้นมาประชุมต่อ เมื่อกี้เราพูดค้างถึงเรื่องของกาสลองซึ่งเป็นสายลับที่อนาเซียส่งตัวมา” ยาหยังอธิบายกาเซีย “เราจับตัวได้ตามแผนที่เซียว่าไว้ก่อนหน้านี้ เวลานี้มันถูกจับขังอยู่ในคุกแดง แต่ไม่ยอมปริปากพูดสักคำ อ้างว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

“จับเขาตรวจด้วยเครื่องโพลีกราฟหรือยัง” กาเซียหมายถึงเครื่องจับเท็จ แม้มันจะไม่ได้ผลถูกต้องเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ปฏิกิริยาทางร่างกายอย่างคร่าวๆ

“เขาเป็นตำรวจเก่า ถึงตรวจไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” รัฐมนตรีคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงเรียบๆ

ยามินเห็นสีหน้ามึนงงของน้องสาว เขาจึงอธิบายว่า “หลังจับตัวได้ พี่ก็ตรวจสอบประวัติเขาอย่างละเอียดพบว่ากาสลองมีชื่อจริงคือกามินทร์ เขาเป็นลูกเศรษฐีตระกูลเก่าของกีซาลี เรียนจบจากอังกฤษและรับราชการเป็นตำรวจอังกฤษมาพักหนึ่ง แล้วย้ายกลับมาเป็นตำรวจที่บ้านเรา”

กาเซียนิ่วหน้า “มีประวัติกาสลองอย่างละเอียดไหมคะ”

“เจ้าสนใจหรือ” ยามินถาม เมื่อเห็นน้องสาวพยักหน้า เขาก็ตอบว่า “ประวัติกามินทร์อยู่ในห้องสมุด พี่ให้ฝ่ายเก็บเอกสาร จัดเก็บประวัติเขาเข้าแฟ้มบัญชีดำแล้ว”

กาเซียพยักหน้า เอ่ยต่อว่า “ยังไงเซียก็อยากนำตัวเขาเข้าเครื่องจับเท็จสักครั้ง”

“แต่มันจะไม่มีประโยชน์นะกาเซีย เชื่อพี่หมอนั่นเป็นตำรวจเขาย่อมรู้วิธีเลี่ยง” ยามินยืนยัน

“ขอเซียลองสักครั้งได้ไหม” แล้วกาเซียก็หันไปมองทุกคนรอบโต๊ะ สีหน้าขอความเห็นใจ ใบหน้าสะสวยของกาเซีย ทำให้แกนนำกุหลาบดำโดยเฉพาะฝ่ายชายใจแข็งไม่พอ หลายรายจึงพยักหน้า แล้วรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ท่านหนึ่งเอ่ยว่า “เอาอย่างที่หลานเซียว่าก็ได้ แต่ยังไงก็ระวังๆ อย่างที่ยามินพูดก็แล้วกัน”

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” กาเซียตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งฟังมาพักหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องตรวจด้วยเครื่องจับเท็จก็ตรวจไป แต่เรื่องโหวตผมว่าควรต้องโหวตวันนี้ จะได้ไม่เสียเวลาหรือทุกคนว่าไง” พูดแล้วเหลียวมองรอบวงอย่างขอคำปรึกษา

ยามินเอ่ยกระซิบกาเซียว่า “เมื่อกี้กำลังถกเรื่องโทษของกาสลองว่าควรจะรับโทษล้างสมองหรือประหารชีวิต”

กาเซียพยักหน้ารับรู้ “แล้วน้ำหนักเอียงไปด้านไหนคะ” กาเซียถามเรียบๆ มองหน้าพี่ชาย ยามินเป็นชายหนุ่มรูปหล่อคมคายราวกับหนุ่มตะวันออกกลาง เรือนร่างเขาสูงใหญ่ราวกับหนุ่มตะวันตก สาวๆ ติดพันเกรียวกราวแต่คะแนนลดฮวบลงเมื่อรู้ว่าเขาแต่งงานกับสาวตะวันออกกลางไปแล้ว

“ก้ำกึ่ง” ยามินกระซิบตอบ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงยาหยังผู้เป็นพ่อเอ่ยต่อว่า

“เอาอย่างนั้นก็ได้ งั้นลงคะแนนลับแล้วกัน ใครอยากให้ล้างสมองก็กดสวิตช์แดง อยากให้โทษประหารก็กดสวิตช์เขียว”

ทุกคนกดสวิตช์ตรงหน้าเพื่อลงคะแนนลับ ไฟสัญญาณไม่ปรากฏให้เห็นต่อหน้าผู้เข้าประชุม แต่จะไปแสดงผลหน้าจอคอมพิวเตอร์ของประธานซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ ยาหยังกดเครื่องหมายให้คำนวณผลการโหวต ชั่วครู่เขาก็ประกาศว่า “ผลคะแนนออกมาแล้ว ปรากฏว่าคะแนนเท่ากัน”

“งั้นท่านยาหยังก็ลงคะแนนตัดสินแล้วกัน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเอ่ยขึ้น

“ไม่ได้ ประธานจะลงคะแนนเมื่อถึงเวลาจำเป็นเท่านั้น” รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเห็นแย้ง พร้อมกับอ้างข้อบังคับในการประชุมแกนนำกุหลาบดำ

“งั้นเราจะเอายังไงกันดีคะ” นากาสรีถามขอความเห็นขึ้น

ยาหยังหันไปทางกาเซีย “งั้นคงต้องให้กาเซียตัดสิน เจ้าจะใช้สิทธิ์ยังไง”

กาเซียคิดว่าไม่ยุติธรรม ถ้าเธอแสดงสิทธิ์ตอนนี้เท่ากับว่าทุกคนจะรู้ทันทีว่าเธอเลือกใช้สิทธิ์ข้างไหน แต่โอกาสอย่างนี้มีไม่มากนัก ถ้าให้โหวตกันใหม่เธอไม่มั่นใจว่าจะมีใครเทคะแนนไปฝั่งโทษประหารชีวิตมากกว่าหรือไม่ กาเซียถอนใจ ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ค่ะ เซียเลือกโทษล้างสมองค่ะ” กาเซียตอบยาหยัง

“มีเหตุผลหรือเปล่าเซีย” ยามินถามขึ้น

“เซียก็คงมีเหตุผลไม่ต่างจากคนอื่นที่เลือกโทษล้างสมองมังคะ กาสลองทำงานรับใช้ที่นี่มานาน แม้เขาจะลอบออกจากที่นี่ไปยังฐานบัญชาการอนาเซีย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นสายสืบให้อนาเซียด้วย อย่าลืมว่าเขาเป็นพลเมืองกีซาลีนะคะ เขาคงไม่ทรยศดินแดนเกิด อีกอย่างเขาลอบออกไปหลังจากที่ระเบิดคลังอาวุธเรียบร้อยแล้ว เพราะงั้นถ้าเป็นการลอบเพื่อไปแจ้งข่าว เขาควรลอบออกไปก่อนที่จะเกิดการระเบิดไม่ดีกว่าหรือคะ ทั้งที่เราก็ปล่อยข่าวนั้นล่วงหน้าตั้งหลายวัน”

“เขาอาจออกไปก่อนหน้านั้นไม่ได้ เพราะระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่เข้มงวด การเข้าออกจึงไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก” นากาสรีเอ่ยแสดงความเห็นขึ้น

“ก็อาจจริง แต่พี่นากาสรีไม่คิดบ้างหรือ สายลับมันควรมีปัญญาเล็ดลอดออกไปได้ ต่อให้ระบบเข้มงวดแค่ไหน ลงว่าเป็นสายลับแล้วต้องหาทางออกไปจนได้ ถ้าแค่นี้ไม่มีปัญญา สมควรแล้วหรือที่จะได้ชื่อว่าเป็นสายลับ ไม่กระจอกไปหน่อยหรือ” กาเซียพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ให้ฟังออกว่าประชดประชัน

“เจ้าพูดก็ถูกกาเซีย แต่เรื่องที่กาสลองเป็นกีซาลีแล้วจะไม่หักหลังพวกเรานี่พี่ขอค้าน กีซาลีที่ฝักใฝ่อนาเซียก็มีออกมาก เจ้าไม่ได้เป็นกีซาลีเต็มตัวอาจไม่เข้าใจ” กาลัดแย้งแล้วมองน้องสาวด้วยสีหน้าท้าทาย

กาเซียนิ่วหน้า “หมายความว่าไงที่เซียไม่ได้เป็นกีซาลีเต็มตัว เซียไม่ได้เกิดที่นี่หรอกหรือ?”

สิ้นคำกาเซียทุกคนเงียบกริบ รัฐมนตรีหลายคนลดสายตาวูบ ไม่กล้าสบตากาเซีย ยาหยังตวัดสายตาไปตำหนิลูกสาวคนรองอย่างรุนแรง แล้วหันไปทางกาเซีย “กาลัดพูดหมายความว่าครึ่งหนึ่งของเจ้าเป็นอังกฤษ เพราะเจ้าเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-กีซาลี เพราะงั้นจะให้เป็นกีซาลีเต็มตัวอย่างกาลัดได้อย่างไร ใช่ไหมกาลัด” ประโยคหลังหันไปขอคำยืนยันจากกาลัด น้ำเสียงเข้มงวด

กาลัดเม้มริมฝีปาก “ก็คงงั้นมังคะ”

กาเซียมองหน้ากาลัดนิ่งๆ แววตาใช้ความคิด แล้วเธอก็ได้ยินนากาสรีถามขึ้นว่า

“แล้วเจ้าจะให้เหตุผลว่าไงที่กาสลองลอบเข้าไปในฐานบัญชาการอนาเซียโดยไม่ให้เรารู้ จะอ้างว่ามีญาติอยู่ที่นั่นหรือ”

“ก็อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ แต่ความหมายของเซียคือ เราควรจะสืบให้รู้แน่ชัดก่อนจะให้โทษประหารใคร กีซาลีไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนนะคะ ที่คิดจะพิพากษาความตายให้ใครแล้วจะให้ได้ง่ายๆ และเซียก็หวังว่าทุกคนจะไม่ได้หวังอย่างนั้นด้วย”

แกนนำกุหลาบดำทุกคนอึ้ง ต่างกระซิบกระซาบกันอะไรบางอย่าง ยาหยังหันไปมองทุกคนรอบโต๊ะตัวยูแห่งนั้น เขาว่า “กาเซียพูดมีเหมือนกัน ในเมื่อยังตัดสินเรื่องโทษกาสลองไม่ได้ ก็เลื่อนการประชุมออกไปแล้วกัน”

“แต่ผลตัดสินออกมาแล้ว จะไม่รับไม่ได้” กาเซียแย้งขึ้น “พ่อกำลังจะไม่เคารพผลตัดสินของที่ประชุมนะ”

อีกคราที่แกนนำกุหลาบดำอึ้งด้วยไม่คิดว่ากาเซียจะกล้าแย้งขึ้น รัฐมนตรีคนหนึ่งเอ่ยว่า “คุณกาเซียพูดถูก การโหวตจบไปแล้ว และเราก็ควรยึดมติที่ประชุม เอาล่ะวันนี้ผมว่าเราจบการประชุมดีกว่า ที่เหลือฝ่ายเลขานุการฯ ก็ไปเขียนรายงานการประชุมมานำเสนอบอร์ดคราวหน้า”

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไปกาเซีย” กาลัดเอ่ยขึ้นเมื่อทุกคนออกไปนอกห้องประชุมหมดแล้ว คงเหลือเพียงยาหยัง และบรรดาลูกๆ ซึ่งกาลัดรีบเรียกตัวน้องสาวไว้ก่อนที่เธอจะออกนอกห้อง

“เซียไม่ได้ฉีก ก็แค่ให้ความเห็นในสิ่งที่ทุกคนถาม” กาเซียตอบเรียบๆ

“แล้วเธอจะให้เหตุผลยังไงที่แย้งข้อสรุปของพ่อ ในเมื่อทั้งหมดนั่นเป็นแผนการของเธอเองทั้งหมด ไม่ว่าเรื่องระเบิดคลังอาวุธ เรื่องการปล่อยข่าว ขาดก็เพียงไม่ได้ไประเบิดเองเท่านั้น” นากาสรีเอ่ยอย่างประชด

“ใช่..เป็นแผนเซีย แต่กาสลองก็ยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย จากนี้ก็ต้องสอบสวนและหาหลักฐานมามัดเขา เซียไม่ได้เข้าข้างเขาแต่เซียไม่ชอบวิธีการให้โทษประหารโดยที่จำเลยยังไม่ยอมสารภาพ”

“คนทำผิดที่ไหนจะมายอมรับสารภาพ นี่มันชีวิตจริงนะ ไม่ใช่บทเรียนในห้องพิพากษาที่เจ้าาเรียนที่อังกฤษกาเซีย” กาลัดพูดอย่างหยามเยาะขึ้น

กาเซียหันขวับไปทางนากาสรีทันที “พี่กาลัดหมายความว่าไง”

กาลัดชะงัก หน้าถอดสีเมื่อรู้ตัวว่าพลาด สายตาทุกคู่มองมาอย่างตำหนิ เธอจึงสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดไม่จา

กาเซียมองรอบห้อง “พี่กาลัดพูดหมายความว่าไง” ถามแล้วไล่สายตามองทีละคน แต่ทุกคนเงียบ กาเซียถามย้ำอีกครั้ง “ที่พี่กาลัดพูดหมายความว่าไง ใครก็ได้ช่วยอธิบายเซียที ไหนว่าเซียเรียนที่กีซาลีมาโดยตลอด”

ยาหยังถอนใจ “จะไปเอานิยมนิยายอะไรกับกาลัด รู้อยู่รายนั่นพูดอะไรเรื่อยเปื่อย พี่เขาก็แค่หยิบยกอังกฤษมาเปรียบเปรยเพราะรู้กันอยู่ว่าที่นั่นมีชื่อเสียงเรื่องกฎหมาย”

กาเซียนิ่วหน้า เหตุผลไม่หนักแน่นพอ แต่เธอไม่รู้ว่าจะแย้งตรงไหน จึงวกไปเรื่องเก่า “แล้วทุกคนคิดว่าเมื่อครู่เซียหักหน้าพ่อหรือ” กาเซียถามแล้วมองหน้าอย่างคาดคั้นทีละคน เช่นเคยทุกคนเงียบกริบ ไม่ตอบ เธอจึงหันไปทางยาหยัง “พ่อคิดว่าเซียหักหน้าพ่อหรือเปล่า”

ยาหยังถอนใจ ถามอย่างนี้ใครจะกล้าตอบตรงๆ “เปล่าหรอก เจ้าไม่ได้หักหน้าพ่อ อย่าคิดมากเลยกาเซีย ว่าแต่เจ้าเป็นยังไงบ้าง รับงานแรกก็โดนหนักเลยหรือ พ่อกำลังคิดว่าถ้าเจ้าไม่กลับมาอีกในวันสองวัน พ่อคงจะนำกองกำลังไปบุกฐานบัญชาการอนาเซียแล้ว”

“เซียไม่เป็นไรหรอกค่ะ” แล้วกาเซียก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนฟังอย่างรวบรัด แต่ข้ามช่วงที่อัสมาร์จูบและเรียกเธอด้วยชื่อโรซาลินา แล้วกาเซียก็สรุปว่า “อย่างที่บอกเซียโดนขังแล้วสุดท้ายก็หาทางหนีรอดกลับมาได้”

“อัสมาร์ทำอะไรเจ้าหรือเปล่า ตอนอยู่ในห้องนอน” ยามินถามขึ้น น้ำเสียงห่วงใยติดหวง

“ไม่หรอกค่ะ จะทำอะไรเซียได้” กาเซียพูดพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ

“แล้วทำไมหมอนั่นต้องจับเจ้าไปขังในห้องนอน” นากาสรีถามขึ้นหลังจากฟังมาชั่วครู่ใหญ่ๆ น้ำเสียงนากาสรีระแวง แววตาที่มองกาเซียก็คมปลาบอย่างพินิจ “มันฟังไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยหรือเปล่ากาเซีย”

“ไม่ทราบค่ะ พยายามถามเขาอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่ตอบ” กาเซียตอบอย่างไม่เดือดร้อนนัก

“พี่ถามจริง อัสมาร์ลวนลามเราหรือเปล่า”

กาเซียยิ้มอย่างอ่อนใจ “เขาไม่ได้มีท่าทีบ้ากามเลยนะคะพี่ยามิน ตรงกันข้ามเขาดูสุภาพบุรุษ” ยกเว้นแต่ตอนที่บีบแขนเธอเท่านั้นแหละ กาเซียต่อประโยคตัวเองในใจ

ไม่ใครกล้าค้านกาเซีย ต่างเงียบกริบ แล้วนากาสรีมองหน้าน้องสาว เธอว่า “แล้วเจ้าได้อะไรมาบ้างกับงานชิ้นแรก..กาเซีย”

กาเซียตอบโดยไม่เสียเวลาคิดว่า “ไม่ได้อะไรเลยค่ะ กำลังจะเซฟข้อมูลลงดิสก์ อัสมาร์ก็เข้ามาพอดี” กาเซียพูดแล้วเว้นระยะ ก่อนกล่าวต่อว่า “แต่เซียพอจะจำได้ว่าในนั้นมีอะไรบ้าง” พูดแล้วเธอก็เดินไปคว้ากระดาษและปากกามาจดในสิ่งที่ตัวเองจำได้ กาเซียเขียนเป็นภาษาอังกฤษลายมืดหวัดแกมบรรจง

ร่างสุนทรพจน์ที่อัสมาร์ขยำทิ้งถังขยะ เป็นร่างที่เขียนด้วยลายมือเป็นภาษาอนาเซีย เป็นภาษาที่เธอไม่ถนัดนัด จึงเลือกที่จะจำแทนการหยิบติดมือมา ตั้งใจจะก๊อปปี้เอาฉบับภาษาอังกฤษจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาแต่อัสมาร์เข้ามาขัดขวางเสียก่อน จึงไม่ทันได้บันทึก แต่กระนั้นเธอกลับคิดว่าโชคเข้าข้างเธอที่ไม่คว้าออกมา เพราะไม่เช่นนั้นฝ่ายอัสมาร์คงรู้แล้วว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายที่เธอลอบเข้าฐานบัญชาการอนาเซียครั้งนี้

ด้วยเธอติดอยู่ที่ห้องนอนอัสมาร์หลายคืน ถ้าหยิบติดมือมา รับรองเขาต้องหาเจอเข้าสักวันแน่!

มือที่ตวัดไปมาไม่สม่ำเสมอด้วยผู้เป็นเจ้าของจดปากกาอย่างไม่ถนัด ยามินเห็นเข้าจึงทักว่า “เป็นอะไรเซีย เขียนไม่ถนัดเพราะเจ็บแผลหรือ?”

“ไม่เป็นไรค่ะ” กาเซียปฏิเสธด้วยความเคยชิน แล้วส่งกระดาษให้พี่ชาย ลายมือกาเซียหวัดแกมบรรจงแต่เป็นระเบียบอ่านง่าย ยามินไล่สายตาอ่านอย่างรวดเร็วแล้วส่งต่อให้ยาหยังและนากาสรี ทั้งคู่อ่านอย่างรวดเร็วเช่นกัน แล้วยาหยังก็พูดขึ้นว่า

“ทำไมได้มาแค่ครึ่งเดียว” ยาหยังท้วง เพราะเนื้อหาไม่สมบูรณ์เหมือนได้มาแค่ครึ่งเดียว

“เซียจำไม่ได้หมด มันเป็นภาษาอนาเซีย”

“บอกแล้วอย่าส่งคุณหนูไปทำงานนี้” นากาสรีเปรยลอยๆ ไม่เจาะจงใคร กาเซียเม้มริมฝีปาก ขณะที่ยาหยังนิ่วหน้า เขาส่งสายตาตำหนิลูกสาวคนโต แล้วเบือนหน้ากลับไปมองลูกสาวคนเล็ก เขาว่า “ไม่เคยมีสมุนกุหลาบดำคนไหนทำงานพลาด ตั้งแต่รับงานแรกหรอกนะกาเซีย”

กาเซียกัดริมฝีปาก “เซียทราบค่ะ จะให้เซียแก้มือยังไงก็ยินดี”

“แกมือแล้วทำให้เรื่องยุ่งยากกว่านี้หรือ”

“นากาสรี!” ยาหยังหันไปส่งสายตาตำหนิ “ถ้าเจ้าจะตำหนิน้องทุกเรื่อง พ่อว่าเปล่าประโยชน์ มีอะไรทำก็ไปทำเถอะ อย่ามาตอกย้ำน้องมันอีกเลย แค่นี้กาเซียก็บอบช้ำพออยู่แล้ว”

นากาสรีเม้มริมฝีปาก สะบัดหน้าแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดไม่จา ยามินมองตามจนลับสายตา เขาส่ายหน้าก่อนจะเบือนสายตาไปมองกาเซีย “อย่าถือสาพี่เจ้าเลยนะกาเซีย”

“ไม่หรอกค่ะพี่ยามิน เซียเข้าใจ” กาเซียตอบยามิน แล้วหันไปทางนายกฯ ยาหยัง “แล้วพ่อจะให้เซียแก้มือยังไงคะ”

“เจ้าจะได้แก้มือแน่กาเซีย พ่อจะบอกเจ้าอีกทีแต่ไม่ใช่ตอนนี้”

ยามินนิ่วหน้า ค้านผู้เป็นพ่อว่า “ที่จริงน้องมันก็ไม่ได้พลาดอะไรมาก สาระที่เขียนมาผมว่าก็ครอบคลุมดี จะให้ครบถ้วนกระบวนความทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าจะพลาด คงในแง่การดูแลตัวเองมากกว่า” ยามินแย้งแล้วหันไปทางกาเซีย “เจ้าสะบักสะบอมมามากกาเซีย พี่ว่ากลับไปพักผ่อนเถอะ แต่ขอชมเจ้าที่เจ็บหนักขนาดนี้ยังยืนอยู่ได้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงล้มคว่ำไปแล้ว เอาล่ะ..หมดหน้าที่เจ้าแล้ว รีบไปหาหมอฟาติมาทำแผลแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้พี่จะคุยกับพ่อเอง”

“ค่ะ..” กาเซียรับคำแล้วเดินออกจากห้องประชุม

“เดี๋ยวกาเซีย”

เสียงยาหยังทำให้เธอหมุนตัวกลับ กาเซียเลิกคิ้วถามด้วยสายตา แล้วเธอก็ได้ยินผู้เป็นพ่อเอ่ยว่า

“พ่ออยากให้เจ้าไปงานยูเอ็นพร้อมพี่ยามินสามเดือนข้างหน้า เตรียมตัวไว้ให้ดี”

“ค่ะ” กาเซียรับคำแล้วเดินจากไป

ยามินรอจนกาเซียเดินออกจากห้องแล้ว จึงเบือนสายตาไปมองยาหยัง “พ่อมีแผนอะไร” ถามอย่างไม่พอใจนักแล้วกล่าวต่อว่า “ผมไม่เห็นด้วยหรอกนะถ้าจะให้กาเซียรับงานอะไรที่เสี่ยงอีก ลำพังปล่อยให้ไปเผชิญหน้ากับอัสมาร์ แค่นี้ก็เสี่ยงพออยู่แล้ว ไม่เห็นหรือน้องมันเจ็บปางตายกลับมาแค่ไหน เซียมันเจ็บนะครับ เพียงแต่ไม่ปริปากบ่นเท่านั้น นี่ถ้าเป็นลูกสาวคนอื่นคงโอดครวญไม่จบไปแล้ว แล้วนี่ยังจะใช้ให้ไปออกงานเวทีโลกอีกหรือ ขอเถอะสมุนคนอื่นๆ ที่เก่งพอๆ กับกาเซียมีถมไป”

ยาหยังจ้องหน้าบุตรชายนิ่งๆ ครู่หนึ่งเขาว่า “คนอื่นอาจเก่งวิชาป้องกันตัวแต่จะไม่ฉลาดเท่ากับกาเซีย เจ้าต้องยอมรับว่ากาเซียมีไหวพริบ น้องเจ้ามันฉลาดเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์”

“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่น้องต้องรับงานเสี่ยงซ้ำๆ ซากๆ”

“การกู้แผ่นดินเกิดกลับคืน ไม่ใช่งานของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคน” ยาหยังแย้งเสียงเรียบ

“แต่กาเซียไม่ใช่ชาวกีซาลี พ่อต้องยอมรับข้อนี้ แม้กาเซียจะได้เชื้อชาติจากพ่อครึ่งหนึ่ง แต่กีซาลีก็ไม่ได้เกิดและเติบโตที่นี่และแม้แต่สัญชาติ เธอก็ยังเป็น..” ยามินเอ่ยชื่อประเทศหนึ่งในแถบตะวันออกกลาง ก่อนว่า “อันที่จริงเราไม่มีสิทธิ์ใช้ประโยชน์จากกาเซียด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามเราควรแจ้งทางนั้นว่าน้องยังไม่ตาย ป่านนี้แม่กับพ่อจริงๆ ของเขาคงห่วงแย่แล้ว”

“หมอนั่นไม่ใช่พ่อของกาเซียนะยามิน พ่อแท้จริงยืนอยู่นี่”

“แต่พ่อไม่เคยดูแลเซีย เพราะงั้นพ่อจะอ้างสิทธิ์ในตัวน้องไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ พ่อกำลังจะแก้ตัวอยู่นี่ไง พ่อจะดูแลกาเซียเอง”

ยามินกลอกตาไปมา อยากจะพูดใส่หน้าผู้เป็นพ่อว่ามันสายไปแล้ว แต่กระนั้นเขาก็พูดไม่ได้ “ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ ผมจะช่วยพ่อหลอกใช้เซียงานนี้เป็นงานสุดท้ายเท่านั้น เสร็จจากงานกู้กีซาลีแล้ว พ่อต้องคืนเซียให้กับครอบครัวเขา เซียอยู่กับพวกเขาก็มีความสุขอยู่แล้ว อย่าดึงน้องมาผจญกับแผ่นดินที่ร้อนระอุเป็นไฟอย่างกีซาลีเลย”

ยาหยังบดกรามแน่น เขาไม่รับปากบุตรชาย แต่พูดไปอีกทางว่า “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงกาเซีย เซียเรียนจบการใช้อาวุธทุก...”

ยามินไม่รอให้ผู้เป็นพ่อพูดจบ เขาพูดต่อว่า “แต่น้องไม่มีประสบการณ์ เพิ่งศึกษาการใช้อาวุธจบก็เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ขืนให้ออกงานเวทีโลกอย่างนั้น น้องมีแต่พังกับพัง”

“ไม่ต้องห่วงกาเซียหัวไว ไม่เห็นหรือสี่ปีสามารถเรียนรู้การใช้อาวุธได้เร็วมาก นี่ถ้าเป็นคนอื่นใช้เวลาศึกษาค่อนชีวิตก็ไม่รู้ว่าจะได้สักครึ่งของกาเซียหรือเปล่า เซียมันไหวพริบดีถึงไม่มีประสบการณ์ก็จะเอาตัวรอดได้ อีกอย่างไม่ต้องห่วง พ่อจะให้นากาสรีและกาลัดตามประกบอีกทาง”

“พ่อประเมินค่าน้องสูงเกินไปแล้ว ถ้าเซียเอาตัวรอดได้ ทำไมถึงถูกยิงสะบักสะบอมมาอย่างนั้น พ่อโหดร้ายกับเซียมากเกินไปแล้ว”

“พ่อไม่ได้โหดร้าย แต่พ่อกำลังบ่มน้องเจ้าให้แกร่งขึ้นต่างหาก อย่าลืมว่าโลกภายนอกกาเซียยังมีศัตรูอีกเยอะทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น จบจากงานนี้รับรองว่าไม่มีใครกล้ารังแกเซียอีกแน่ อีกอย่างเจ้าก็เห็นแล้วว่าเซียแกร่งและเก่งสามารถเอาตัวรอดกลับมาได้ แม้จะพลาดถูกยิงไปบ้างแต่นั่นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนทำงานเสี่ยงอย่างเราๆ ไม่ใช่หรือ พ่อยังยืนยันนะยามินงานสืบราชการลับไม่มีใครเหมาะเท่ากับเซียอีกแล้ว ถ้าไม่ได้เซีย คนที่รับหน้าที่แทนอาจจะจบชีวิตเสียตั้งแต่ในคุกหอคอยงาช้างแล้วนั่นก็ได้ แต่นี่เพราะเป็นเซีย ถึงได้รอดปลอดภัยกลับมา”

“พ่อเอาชีวิตน้องมาเสี่ยงเกินไปเสียแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอัสมาร์ไม่เหลือเยื่อใยกับเซียแล้ว และเลวร้ายกว่านั้นถ้าคนที่อยู่ในฐานบัญชาการอนาเซียคืนนั้นเป็นอัชชาร์ค ไม่ใช่อัสมาร์ อะไรจะเกิดขึ้น พ่อเห็นความเสี่ยงพวกนี้บ้างไหม เห็นไหมว่าพ่อเอาชีวิตน้องไปเสี่ยงแค่ไหน”

“ทำไมพ่อจะไม่ประเมินสถานการณ์ก่อนส่งกาเซียไป เพราะพ่อประเมินและมั่นใจแล้วว่าอัสมาร์ยังมีเยื่อใยกับน้องเจ้า อีกอย่างพ่อเช็คจนแน่ใจว่าในฐานอนาเซีย คืออัสมาร์จริงๆ พ่อถึงส่งน้องเจ้าไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงน่ายามิน อัสมาร์ยังรักกาเซียไม่เคยเปลี่ยน ไม่งั้นมันคงไม่ย้ายมาอยู่อนาเซียทันทีที่เห็นน้องเจ้าเมื่อสองปีก่อนหรอกทั้งที่หมอนั่นเกลียดประเทศนี้ยังกะอะไร”

“ถึงงั้นก็เถอะ พ่อควรห่วงสวัสดิภาพน้องให้มากกว่านี้ ยังไงนั่นก็ลูกพ่อคนหนึ่งเหมือนกัน”

“พ่อรู้ถึงได้ทำอย่างนี้ ยังไงก็เถอะพ่อรู้ขอบเขตของพ่อดีว่าทำอะไรได้แค่ไหน อีกอย่างขอเตือนเลยนะยามินอย่าหลุดเรื่องความสัมพันธ์ของอัสมาร์กับกาเซียออกมาอีก แค่นากาสรีกับกาลัดเผลอพูดมาหลายเรื่องวันนี้ น้องมันก็สงสัยมากพออยู่แล้ว”




..............................................




จบตอน















Create Date : 23 สิงหาคม 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 13:03:07 น.
Counter : 465 Pageviews.

4 comments
  
-พยายามนึกเรื่องในอดีตเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจริง==นึกไม่ออกจริงๆ

-นับตั้งแต่คุณตายจากไปเขาก็ไม่เคยเหลียวมองใครออกเลย==เหลียวมองใครอีกเลย

-เพราะเข้ามาเพราะจะบอกนายว่า==แต่เข้ามาเพราะจะบอกนายว่า

-ฟาริดา==ฟารีดา(ตอนที่แล้วพี่อุ๋ยพิมพ์ว่าชื่อฟารีดาค่ะ)

-กาเซียพูดมีเหมือนกัน==กาเซียพูดมีเหตุผลเหมือนกัน

-"เดี๋ยวอย่าเพิ่งไปกาเซีย" กาลัดเอ่ยขึ้น................"เซียไม่ได้ฉีก ก็แค่ให้ความเห็นในสิ่งที่ทุกคนถาม" กาเซียตอบเรียบๆ===>ทำไมจู่ๆกาเซียก็พูดประโยคนั้นขึ้นมาล่ะคะ มันน่าจะมีคำพูดของกาลัดพูดต่อว่าทำนองกาเซียพูดจาฉีกหน้าพ่อก่อนที่กาเซียจะพูดประโยคนั้นขึ้นมานะคะ

-กาเซียหันขวับไปทางนากาสรีทันที "พี่กาลัดหมายความว่าไง"==กาเซียหันขวับไปทางกาลัดทันที

-ไม่ใช่บทเรียนในห้องพิพากษาที่(เจ้า)เรียน==คำว่าเจ้าที่อุ๋ยพิมพ์สระอาติดกันสองตัว

-"แกมือแล้วทำให้เรื่องยุ่งยากกว่านี้หรือ"==แก้มือ

-แต่กีซาลีก็ไม่ได้เกิดและเติบโตที่นี่==กาเซีย

คำพูดที่ยาหยังพูดกับกาเซียว่าเจ้าอย่างนั้น เจ้าอย่างนี้อ่านแล้วไม่ขัดค่ะแต่ที่พี่ๆทั้งสามคนพูดกับกาเซียว่าเจ้าอ่านแล้วมันขัดๆอย่างไรไม่รู้ค่ะพี่อุ๋ยเหมือนหนังจักรๆวงศ์ๆยังไงไม่รู้ น่าจะเป็นเธอกับพี่หรือเรากับพี่
โดย: mimny IP: 124.157.133.124 วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:21:16:59 น.
  
ขอบคุณน้องมิมนี่จ๊ะ ได้แก้ไขตามที่น้องมิมนี่ว่าแล้ว รวมถึงสรรพนามพี่น้องที่ใช้เรียกนางเอกด้วยจ้า
โดย: คณิตยา IP: 124.120.103.207 วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:23:05:34 น.
  
อยากให้ภาพเบรดกราวค์ เป็นภาพอื่นได้มั้ยค่ะ อ่านไม่ค่อยถนัดเลยน่ะ หรือไม่ก็อยากให้เปลี่ยนสีตัวอักษร เป็นสีขาวก็ได้ อ่านตอนนี้ ปวดตามาก แต่เพราะชอบเรื่องนี้มากค่ะ

อ้อ ถ้ามีรหัสผ่าน ขอรบกวนส่งมาให้ด้วยน่ะค่ะ ขอบอกว่าชอบมาเลยค่ะ
โดย: sofar IP: 203.113.77.73 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:9:27:07 น.
  
คุณ sofar ขอบคุณค่ะ...อุ๋ยได้เปลี่ยนพื้นหลังของบล็อกแล้ว หวังว่าคงอ่านง่ายขึ้นนะคะ ส่วนรหัสบล้อก รบกวนทิ้งอีเมล์ไว้ค่ะ เดี๋ยวพอถึงตอนนั้นจะส่งรหัสไปให้ค่ะ ^ ^
โดย: คณิตยา วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:11:35:37 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments