Group Blog
กุหลาบในเปลวไฟ...บทที่ 1


กุหลาบในเปลวไฟ



บทที่ 1



กุหลาบป่า งามเด่น เป็นช่อก้าน
ดอกพลิ้วทาน ลมลู่ คู่เกสร
ดอกยั่วเย้า ลวงล่อ ล้อภมร
ใจรอนรอน ลองลิ้ม กุหลาบในเปลวเพลิง
(กลอน..โดยอนงค์นาง)


2 ปีต่อมา ณ คฤหาสน์ของพล.อ.ชาโต ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศอนาเซีย

อัสมาร์เอามือไพล่หลังขณะยืนมองภาพถ่ายของครอบครัวซึ่งติดอยู่ข้างฝา เป็นภาพถ่ายขนาดใหญ่ถ่ายเมื่อปีกลายโดยนิตยสารชื่อดังแห่งหนึ่งของอนาเซีย นิตยสารเกี่ยวกับครอบครัวขอถ่ายภาพครอบครัวพล.อ.ชาโตขึ้นปก จากนั้นลอร่าก็นำมาติดฝาผนังห้องรับแขก อวดแขกไปใครมา เธอบอกใครต่อใครว่าเธอภูมิใจกับภาพนี้มากที่สุด เพราะสะท้อนสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก

ชายหนุ่มจ้องมองกรอบรูปเบื้องหน้านิ่งๆ เป็นภาพครอบครัวเขาถ่ายอยู่ด้านหน้าของคฤหาสน์หลังนี้ บ้านหลังใหญ่จนเรียกว่าคฤหาสน์ได้นั้น กินเนื้อที่หลายตารางเมตร รอบนอกเป็นสวนหย่อม มีสระน้ำอยู่ตรงกลาง อาคารจอดรถอยู่ด้านหน้า สระน้ำมีทั้งด้านล่างและชั้นสองในส่วนที่เป็นบริเวณพักผ่อนหย่อนใจของลอร่า แล้วอัสมาร์ก็พินิจผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว พล.อ.ชาโตอยู่ในเครื่องแบบทหาร กำลังนั่งถือไปป์อยู่ศาลาริมสระบัว พล.อ.ชาโตยังคงดูหลอเหลาแข็งแรงแม้อายุจะเลยเลขหกไปหลายปี ผมสีดอกเลาช่วยเพิ่มความเกรงขามให้ผู้พบเห็น แววตาคมกริบแฝงความฉลาดและดุดัน จมูกโด่งงองุ้ม ริมฝีปากบาง พล.อ.ชาโตมีรูปร่างสูงใหญ่อย่างคนมีพลานามัยสมบูรณ์ เพราะออกกำลังกายสม่ำเสมอ

แล้วอัสมาร์ก็เลื่อนสายตาไปยังลอร่าซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ลอร่าผู้เป็นแม่เขาอายุเลยเลขห้า แต่ยังคงมีเค้าคางว่าสวยเมื่อวัยสาว เธอเป็นชาวอังกฤษ เป็นบุตรสาวของเจ้าของบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง พบรักกับพล.อ.ชาโตตอนมาเที่ยวอนาเซีย ตลอดเวลาสามสิบกว่าปีที่แต่งงานกับพล.อ.ชาโต เธอวางตัวดีมาโดยตลอด คนภายนอกมองว่าเธอเป็นแม่ศรีเรือน เป็นเมียและแม่ที่ดี แต่อัสมาร์รู้ว่าแม่เขาเป็นอะไรมากกว่านั้น เธออยู่เบื้องหลังการเมืองของพ่อเขา คอยหนุนหลังและเป็นที่ปรึกษาจนพ่อเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอนาเซียได้สำเร็จ และสามารถรักษาตำแหน่งนั้นมาได้จนเกือบยี่สิบปี

ชายหนุ่มพิศดูผู้เป็นแม่ เธอยังสาวและสวยสมกับวัย ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกโกรกอย่างเป็นธรรมชาติ ตาคมซึ้ง จมูกโด่งแหลมและริมฝีปากอิ่ม แม้จะมีรอยย่นใต้ดวงตาและมุมปากยามยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ลดความน่ามองลงเลย ลอร่าเป็นผู้หญิงบอบบางต่างกับผู้หญิงตะวันตกส่วนใหญ่ เพราะเธอรักษาร่างกายให้ดูดีอยู่เสมอ แม่เธอให้เหตุผลว่าเพราะต้องออกสังคมกับพ่อเขาบ่อยๆ จึงต้องดูแลร่างกายให้สมส่วนอยู่เสมอ แล้วอัสมาร์ก็เลื่อนสายตาขึ้นมองตัวเองอยู่ยืนอยู่หลังลอร่าในชุดสูทสีขาว ปีกลายเขายังคงมีผมหยกศกต่างกับตอนนี้ผมยาวระท้ายทอยเพราะไม่ได้ตัดมาหลายเดือน แววตาเขาในรูปดูอิดโรยแฝงความเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ก็แน่ล่ะ.. เขายังตามหาโรซาลินาไม่เจอ จะให้เขาสดชื่นได้อย่างไรไหว

สองปีก่อนหลังจากเขาเจอโรซาลินาที่กีซาลีโดยบังเอิญ เขาก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่อนาเซียตั้งแต่นั้น และได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลอนาเซียโดยการสนับสนุนของพ่อเขาให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และเขาก็ทำเรื่องขอย้ายไปประจำที่ฐานบัญชาการ ‘อนาเซีย’ ณ รัฐกีซาลีเพื่อปราบปรามกุหลาบดำนับแต่นั้น ถึงตอนนี้เขาก็อยู่ประจำที่ฐานแห่งนั้นได้สองปีเต็มแล้ว เขาตัดสินใจไปอยู่ที่กีซาลีก็เพื่อออกตามหาโรซาลินา แต่ทว่าเขาก็คว้าน้ำเหลว

อัสมาร์เหลียวมองผู้ชายที่ยืนติดกัน อัชชาร์ค..ผู้เป็นพี่ชายเขา อัชชาร์คอยู่ในชุดสูทสีดำข่มสีผิวให้ดูขาวขึ้น เขามีหน้าตาเหมือนกับเขาทุกกระเบียดนิ้วเพราะเป็นฝาแฝด คนนอกดูแล้วอาจแยกไม่ออกว่าคนไหนเป็นอัชชาร์คคนไหนเป็นเขา ยกเว้นคนใกล้ชิด อัชชาร์คกับเขาแตกต่างกันที่ริมฝีปาก เขามีริมฝีปากบางกว่าอัชชาร์ค ชายหนุ่มจ้องมองผู้เป็นพี่ชาย รู้สึกเหมือนว่ากำลังจ้องมองตัวเอง อัชชาร์คมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนๆ กับเขา ผมหยักศก ตาคมกริบสีสนิมเหล็ก จมูกโด่งและริมฝีปากหนา เหนือริมฝีปากมีหนวดบางๆ อัชชาร์คเหมือนกับเขาชอบไว้หนวดบางๆ แล้วเขาก็จ้องมองไปในนัยน์ตาของอัชชาร์ค

นายมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อนหรือเปล่า..อัชชาร์ค เขานึกถามในใจ

อัชชาร์คกับเขาห่างกันตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น อายุสิบเจ็ดปีเขาเดินทางไปเรียนที่อังกฤษ ส่วนอัชชาร์คเดินทางไปเรียนที่รัสเซีย แต่เพราะความเป็นคู่แฝดทำให้สามารถเข้าใจและเดาใจอีกฝ่ายได้เสมอ

“ขอโทษคะคุณอัสมาร์ คุณอัชชาร์คให้มาเรียนว่าขอเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงเพราะยังไม่เสร็จธุระค่ะ”

เสียงเด็กรับใช้ที่ดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้อัสมาร์ชะงักหันกลับไปมอง แล้วเขาก็เลิกคิ้ว “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

“สามทุ่มครึ่งค่ะ” เด็กรับใช้ตอบอย่างพาซื่อ ตอบแล้วกุ้มหน้างุด หนีแววตาคมกริบของบุตรชายคนรอง ในใจพลางว่าถ้าไม่ทำตาดุ ก็หล่อบาดใจหรอก..

อัสมาร์ขมวดคิ้ว มองนาฬิกาฝาผนัง “บอกอัชชาร์คหรือเปล่าว่าฉันต้องเร่งออกเดินทางคืนนี้”

“บอกค่ะ”

“บอกแล้วนายนั่นว่าไง ทำไมยังไม่ลงมาอีก”

“ท่านว่าขอเวลาอีกชั่วโมงค่ะ”

อัสมาร์นิ่วหน้าหนักขึ้น “นี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว จะมาขอเวลาอะไรอีก”

เด็กรับใช้เงยหน้ามองอัสมาร์อย่างแหยงๆ แล้วว่า “คุณอัชชาร์คฝากมาบอกว่าถ้าคุณอัสมาร์พูดทำนองคัดค้านอย่างนี้ ก็ให้ตอบไปว่า ‘ก็เพราะว่าดึกดื่นจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ยังจะมารบกวนเวลาอีก’ ท่านให้มาเรียนอย่างนี้ค่ะ” เด็กรับใช้ตอบแล้วทำหน้าหวาดๆ

อัสมาร์บดกรามแน่น “เอาล่ะงั้นไปบอกเจ้านายเจ้าว่าให้ลงมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะขึ้นไปลากคอนายนั่นลงมาเอง”

อีกฝ่ายทำหน้าสยอง แต่ก็ยอมยอบตัวเดินซอยเท้าขึ้นบันไดไปตามคำสั่ง อัสมาร์เหลียวกลับมาสะกดอารมณ์ เขาไม่ค่อยได้กลับมาบ้านบ่อยนัก นอกจากเดือนไหนมีการประชุมหน่วยงานความมั่นคงเพื่อปราบปรามกุหลาบดำเขาจึงเดินทางขึ้นมาประชุมสักครั้ง บ้านหลังนี้พี่ชายเขาจึงครองคนเดียว แถมมักพาคู่นอนที่ไม่ซ้ำหน้ามาค้างอ้างแรมด้วย บ้านหลังนี้มีสามชั้น ชั้นล่างเป็นห้องประชุม ห้องรับแขกและฟิตเนส ส่วนชั้นบนเป็นชั้นของพ่อแม่เขา ส่วนเขากับอัชชาร์คพักอยู่ชั้นสาม

อัสมาร์รออัชชาร์คอย่างใจเย็น ตราบจนผ่านไปเกือบนาที เด็กรับใช้จึงวิ่งซอยเท้ามารายงานว่า “คุณอัสมาร์คะ คุณอัชชาร์คบอกว่าให้รอหนึ่งชั่วโมงค่ะและสั่งห้ามขึ้นไปกวนท่านเด็ดขาด”

อัสมาร์นิ่วหน้า “บอกหมอนั่นหรือเปล่าว่าฉันชักจะเหลืออดแล้ว กำลังจะขึ้นไปลากคอมันด้วยตัวเอง”

เด็กรับใช้ทำหน้าสยดสยอง กลืนน้ำลายลงคอแล้วว่า “หนูไม่กล้าบอกหรอกค่ะ หนูบอกแค่ว่าคุณอัสมาร์เร่งให้ลงไป เพราะไม่งั้นคุณอัชชาร์คคงจะหัก...”

ทว่าอัสมาร์ไม่อยู่ฟังจนจบ เขาเดินลงส้นเท้าขึ้นบันไดไปชั้นสามแล้ว เลี้ยวไปทางปีกซ้ายซึ่งเป็นส่วนที่พักของพี่ชาย ไม่เคาะประตูอย่างที่พึงกระทำ แต่จัดการสะเดาะกุญแจด้วยวิชาที่ร่ำเรียนมาจากโจรในคุก สมัยรับราชการตำรวจที่อังกฤษ คาดหวังอยู่แล้วว่าจะเจออะไรหลังประตู จึงไม่ตกใจกับภาพที่ผู้หญิงเปลือยกายล่อนกำลังขึ้นขย่มพี่ชายเขาบนเตียง ทั้งคู่อาจกำลังเมามันจึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูของเขา อัสมาร์เคาะประตูที่เปิดอ้าอยู่นั้นหลายครั้ง ได้ผลผู้หญิงที่หันหลังให้ประตูเหลียวมามองแล้วร้องกรี๊ดขึ้นทันทีที่เห็นเขา เธอรีบกลิ้งตัวลงจากร่างพี่เขาแล้วรีบฉวยผ้าห่มที่ตกอยู่ข้างเตียงมาพันเนื้อตัว ก่อนจะนอนนิ่งราวกับเสือหมดเขี้ยวเล็บบนเตียงคิงไซด์นั้น

อัสมาร์ไม่ได้เหลือบแลไปทางผู้หญิงหุ่นสวยคนนั้น เขาจำกัดสายตาให้อยู่ที่อัชชาร์คคนเดียวเท่านั้น “ขอโทษที่มาขัดความสำราญของนาย”

อัชชาร์คไม่ได้ตกใจหรือกระอักกระอ่วนกับการที่น้องแฝดโผล่มาขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มนั้น เขามองอัสมาร์ด้วยสายตาเอื่อยๆ อัสมาร์กำลังกอดอกเอนตัวพิงประตูด้วยมาด..ราวกับผู้คุม เขาเลิกคิ้วให้น้องชายอย่างยียวน “นายสะกดคำว่ามารยาทไม่เป็นหรือไงอัสมาร์ หรือว่าไปอยู่กีซาลีเมืองป่าแดนเถื่อนเสียนาน จนจดจำมารยาทเล็กๆ น้อยๆ นี่ไม่ได้ แล้ววิชาตำรวจที่เรียนมาจากอังกฤษ เขาสอนให้สะเดาะกุญแจชาวบ้านอย่างนี้หรือ ฉันนึกว่าเขาสอนให้ใช้แต่กับผู้ร้ายฝ่ายเดียว”

อัสมาร์ไหวไหล่ “ฉันสมัครใจจะใช้ มีอะไรไหม”

“นายนี่มันกวนบาทาไม่เลิกนะอัสมาร์”

“ฉันขอเวลาครึ่งชั่วโมง ลุกขึ้นแต่งตัวอัชชาร์ค แล้วหลังจากนี้นายจะมาหาความสำราญกับใคร ฉันก็ไม่สนใจอีก” อัสมาร์พูดแล้วจ้องมองอัชชาร์คซึ่งเจ้าตัวยังคงเปลือยเปล่าอย่างไม่สะดุ้งสะเทือนกับสายตาเขา

“ฉันหวังว่าเรื่องที่นายจะพูด มันคุ้มค่ากับเวลาที่ฉันต้องเสียไปนะอัสมาร์” อัชชาร์คพูดแล้วลุกขึ้นทั้งที่ยังแก้ผ้าอย่างนั้น เดินโทงๆ ไปคว้าไปคว้าชุดคลุมมาสวม ไม่อายถ้าใครเดินผ่านไปมาประตูที่เปิดอ้าซ่านั้น

“แต่งตัวให้เรียบร้อยอัชชาร์ค ไม่ใช่ชุดคลุมอย่างนั้น”

“สำคัญนักหรือว่าฉันต้องสวมชุดไหน ในเมื่อคุยกับนาย แถมก็แค่ครึ่งชั่วโมง”

“ไม่ใช่แค่กับฉันอัชชาร์ค แต่กับพ่อแล้วก็รัฐมนตรีสี่ห้าคน”

“อะไรนะ” อัชชาร์คอุทานแทบสำลักน้ำลายตัวเอง “ทำไมไม่บอกก่อนหน้านี้ว่าพ่อรออยู่”

“ฉันกำลังบอกอยู่นี่ไง ให้เวลาห้านาทีแต่งตัวให้เรียบร้อยอัชชาร์ค แล้วไปเจอที่ห้องรับรอง” อัสมาร์พูดแล้ว ก็สาวเท้าจากไปทันที

ห้านาทีกะนรกอะไร อย่าว่าแต่นาทีเลย แม้แต่วินาทีเดียวเขาก็ไม่อยากเสีย.. อัชชาร์คบ่นอย่างหงุดหงิด ลัดชุดคลุม หยิบชุดลำลองมาสวมแล้วเดินไปหาสาวสวยบนเตียง “ผมขอเวลานอกครึ่งชั่วโมงนะที่รัก เดี๋ยวกลับมา” พูดแล้วก้มจุมพิตนิ่งนานพร้อมกับสอดมือไปใต้ผ้าห่ม เคล้าคลึงทรวงอกอ้อยอิ่ง

รัสยามันจูบตอบเขาอย่างดูดดื่ม แล้วผละเงยหน้าชะม้ายตาค้อน “รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะเสียการเสียงาน ฉันน่ะเป็นของหวานอยู่ตรงนี้ ไม่หนีไปไหนหรอก”

“แน่นอนที่รัก เดี๋ยวกลับมา รับรองรอบนี้ม้วนเดียวจบไม่มีสะดุดแน่” อัชชาร์คพูดแล้วจูบริมฝีปากเธออย่างรวดเร็ว แล้วจึงก้าวออกจากห้อง



“เจ้ามาสายนะอัชชาร์ค”

พล.อ.ชาโตเอ่ยขึ้นในทันทีที่ลูกชายคนโตก้าวข้ามห้องงาช้างเข้ามา ห้องงาช้างเป็นห้องรับรองสำหรับการหารือเรื่องราวที่สำคัญ

อัชชาร์คได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อทักแล้วชะงัก เอ่ยขอโทษว่า “ผมขอโทษครับ ไม่คิดว่าจะมีประชุมคืนนี้แถมยังมากันมากมาย” อัชชาร์คพูดแล้วก้าวไปทรุดนั่งเก้าอี้ที่ว่างข้างพล.อ.ชาโต

“พ่อจำเป็นต้องเรียกประชุมด่วนเพราะมีการวางระเบิดเกิดขึ้น”

อัชชาร์คชะงัก เหลียวมองทุกคนรอบโต๊ะพบว่ามีใบหน้าเคร่งเครียด การประชุมครั้งนี้มีรัฐมนตรีคนสำคัญๆ เข้าร่วม ไล่ตั้งแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองนายกรัฐมนตรีกำกับหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเขาซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เขาถามว่า “ระเบิดที่ไหน”

“ที่ฐานอนาเซียเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน” พล.อ.ชาโตเป็นคนตอบคำถาม

อัชชาร์คอึ้ง หันขวับไปมองน้องแฝดทันที พบว่าฝ่ายนั้นมีใบหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน ฐานอนาเซียตั้งอยู่ในดินแดนกีซาลี อยู่ทางตอนใต้ของอนาเซีย ราวกับอีกฝ่ายอ่านใจเขาตอบ น้องเขาว่า

“ฉันไม่เป็นไร ขึ้นมาประชุมนี่ก่อน แต่คลังอาวุธเสียหาย”

“คิดเป็นมูลค่าเท่าไหร่”

“ยังอยู่ระหว่างประเมิน” อัสมาร์ตอบ

“โชคดีที่สถาปนิกออกแบบให้คลังอาวุธอยู่ไกลจากฐานบัญชาการ ไม่งั้นเอกสารสำคัญคงถูกทำลาย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเอ่ยขึ้น

จริงๆ แล้วทางเข้าคลังอาวุธค่อนข้างซับซ้อนแต่กระนั้นฝ่ายตรงกันข้ามกลับสามารถเข้าไปวางระเบิดได้ สะท้อนว่าอีกฝ่ายทำการบ้านมาอย่างดี

“คิดว่าเป็นฝีมือใคร กุหลาบดำหรือ” อัชชาร์คถามขึ้น

พล.อ.ชาโตพยักหน้า “ตำรวจพบตรานี้ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ” นายกฯ อนาเซียพูดแล้วยื่นภาพสแกนที่ส่งมาทางแฟกซ์ให้ทุกคนได้ดู มันเป็นตราเหรียญกษาปณ์ที่สลักลวดลายดอกกุหลาบงดงาม

อัชชาร์คมองภาพในมือแล้วอึ้ง มองไปทางน้องชาย เขาเดาว่าฝ่ายนั้นคงเพิ่งได้เห็นเหมือนกัน เพราะอัสมาร์นิ่งอึ้ง เขาหันไปทางรองนายกรัฐมนตรี “พวกมันตั้งใจทำตกไว้หรือ”

“เข้าใจว่าอย่างนั้น”

“กล้าหยามกันขนาดนี้เลยหรือ แล้วทำไมหน่วยข่าวกรองถึงไม่ได้เบาะแสอะไรเลย” อัชชาร์คยิงคำถามไล่บี้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับหน่วยข่าวกรอง อาศัยความเป็นลูกนายกรัฐมนตรี ทำให้ใครๆ ให้ความเกรงใจ

อันที่จริงในสายตาผู้ใหญ่มองว่าอัชชาร์คทำงานเก่งและมีความรับผิดชอบสูง เสียเพียงเรื่องเดียว คือเรื่องผู้หญิง เขานอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า เจ้าชู้จนขึ้นชื่อทำเนียบคาสโนวาแต่เพราะเรื่องนี้ยังไม่ส่งผลกระทบกับการงาน จึงยังไม่มีผู้ใหญ่คนใดเอ่ยปากตักเตือน รัฐมนตรีที่มีลูกหลานผู้หญิงเพียงแต่ห้ามไม่ให้เข้าใกล้เขาเท่านั้น สื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ว่าอัชชาร์คจะมีอนาคตยาวไกล น่าจะเป็นหัวหน้าพรรคต่อจากพล.อ.ชาโต

รองนายกรัฐมนตรีมองอัชชาร์คแล้วว่า “เราได้เบาะแสล่วงหน้า แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวยืนยันว่าการวางระเบิดฐานอนาเซียเป็นข่าวโคมลอย เราจึงเลิกจับตาไปพักหนึ่ง”

“แล้วนายไม่ได้ข่าวคราวอะไรบ้างเลยหรืออัสมาร์” อัชชาร์หันไปทางน้องแฝด น้ำเสียงแฝงความห่วงใย

อัสมาร์ยังคงไม่ได้ยินเสียงอัชชาร์ค ด้วยกำลังพินิจภาพสแกน ลายกุหลาบงดงามตรงหน้าเตือนให้เขานึกถึงลวดลายที่สลักบนด้ามมีดเล่มที่ปักบนแขนเขาเมื่อสองปีก่อน ลวดลายอ่อนช้อยไม่ผิดเพี้ยนกันนี้ มันจึงสะกิดเตือนเขาให้นึกถึงโรซาลินา

เมื่อสองปีก่อนที่เขาถูกโรซาลินาแทงด้วยมีดนั้น อาการสาหัสเพราะมีดอาบยาพิษ แต่กามินทร์เข้าไปช่วยไว้ได้ทัน หากช้าไปเพียงก้าวเดียวเขาอาจจบเสียชีวิตตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้ แต่กระนั้นเขาก็ยังนึกดีใจที่เจอเธอ นึกดีใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่

อา..เรื่องนี้เกี่ยวพันกับโรซาลินาด้วยหรือเปล่านะ.. อัสมาร์คิดอย่างไม่สบายใจ และยังคงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่ได้ยินเสียงถามของอัชชาร์คสักนิด ตราบจนพล.อ.ชาโตเอื้อมมือมาแตะแขน อัสมาร์จึงรู้สึกตัว

“เป็นอะไร เหม่อเชียว” พล.อ.ชาโตถาม

อัสมาร์ยกมือลูบหน้า “เปล่าครับ คุยกันถึงไหนแล้ว”

“อัชชาร์คถามว่าเจ้าไม่ได้ข่าวคราวคนร้ายล่วงหน้าเลยหรือ”

อัสมาร์มองทุกคนรอบวงการประชุมด้วยสายตาขอโทษ ก่อนรายงานว่า “การข่าวผมท่าจะไม่ดีเท่ากับของคุณลุง” อัสมาร์พูดขณะมองรองนายกรัฐมนตรี เขาพูดต่อว่า “สายผมส่งข่าวมาบอกตอนที่ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว แต่ตอนนี้กามินทร์อยู่เคลียร์พื้นที่อยู่”

“กามินทร์?” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทวนคำ

“ครับกามินทร์ เขาเป็นสายที่ผมส่งไปสืบราชการลับที่ฐานกุหลาบดำ”

“เขาเป็นใคร”

หัวข้อบทสนทนาดูจะเปลี่ยนมาเป็นกามินทร์ อัสมาร์หันไปทางรองนายกรัฐมนตรี “เขาเป็นพลเมืองกีซาลีครับ แต่เป็นกีซาลีที่ค่อนข้างฝักใฝ่มาทางเรา ผมรู้จักกับเขาตอนไปเรียนที่อังกฤษ เรารับราชการตำรวจที่อังกฤษมาด้วยกันมาพักหนึ่งก่อนที่เขาจะย้ายกลับมาที่กีซาลี”

“เป็นลูกหลานใคร ทำไมถึงได้ไปเรียนที่อังกฤษด้วย”

“ลูกเศรษฐีเก่าครับ ตระกูลอัลมัน”

“ตระกูลอัลมัน? ที่น้องสาวเขาเพิ่งแต่งงานกับหลานท่านทูตอนาเซีย เป็นข่าวใหญ่โตทางหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อสองปีก่อนหรือเปล่า” อัชชาร์คพูดอย่างนึกขึ้นได้

“ใช่ นั่นล่ะ”

“ไว้ใจได้หรือ ไม่ใช่ไปหักหลังส่งข่าวให้พวกกีซาลี”

“ไม่หรอก ปัญหาประเทศไม่มีผลต่อความสัมพันธ์เขากับฉันแน่”

“ฉันว่านายไม่ควรมอบหมายให้กามินทร์ทำงานการเมือง ไม่งั้นความลับอาจรั่วได้”

“แล้วนายคิดหรือว่าพวกกุหลาบดำจะปล่อยให้ชาวอนาเซียเข้าไปเดินเพ่นพ่านในฐานกุหลาบดำ “

อัชชาร์คอึ้ง

อัสมาร์เสริมว่า “ยาหยังต้องสงสัยแน่ถ้ามีพลเมืองอนาเซียเข้าไปในอยู่ในฐานกุหลาบดำ ที่ผ่านมาสายลับเราถูกเก็บเพราะเขาสงสัยว่าจะเป็นอนาเซียปลอมตัวไป ฉันว่าไม่มีวิธีไหนดีกว่าวิธีนี้แล้ว”

“เรื่องอะไรที่นายส่งกามินทร์ไปสืบ”

อัสมาร์ชะงัก แล้วตอบว่า “การเมือง” เขาตอบได้อย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะเหตุผลหลักใหญ่ที่เขาส่งกามินทร์ไปอยู่ในฐานกุหลาบดำ คือสืบหาโรซาลินา

“ถ้าสืบจริง หมอนั่นต้องกลับมารายงานให้นายรู้แล้วว่าจะมีระเบิดคลังอาวุธ ไม่ใช่มารายงานหลังจากที่ระเบิดแล้ว”

รัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีชะงัก พวกเขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หันมาทางอัสมาร์อย่างรอให้อธิบาย อัสมาร์ถอนใจ “เหตุการณ์ระเบิดคลังอาวุธไม่ใช่ความผิดของกามินทร์นะครับ โอเค กามินทร์อาจทำงานพลาด แต่นั่นไม่ใช่เหตุที่จะมาปรักปรำกามินทร์ได้ว่าเอนเอียงไปข้างโน้น”

“จะยังไงก็เถอะ ฉันขอบอกว่าไม่ไว้ใจเพื่อนนาย”

พล.อ.ชาโตพยักหน้า “พ่อเห็นด้วยกับอัชชาร์คนะ เจ้าไม่ควรจะไว้ใจเพื่อนให้มากนัก แต่การจะไม่ดึงไว้ใกล้ตัวเลยก็อันตราย นัยว่านายนั่นเป็นตำรวจมากด้วยฝีมือด้วยสิ เพราะงั้นดึงไว้ใกล้ตัวเพื่อจับตามอง เอาไว้ใช้งานเผื่อมีประโยชน์วันหน้า แล้วนี่เพื่อนเจ้ารายงานมาหรือยังว่ามีใครเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิดคลังอาวุธบ้าง”

“ไม่มีครับ ไม่มีใครเสียชีวิต”

“เอาล่ะ..งั้นมาต่อเรื่องกุหลาบดำกันเถอะ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเอ่ยขึ้น “ดูจากเหตุการณ์ระเบิดคลังอาวุธเที่ยวนี้ ดูเหมือนมันตั้งใจจะประกาศสงครามกับอนาเซีย ว่าไปแล้วมันปฏิบัติการอุกอาจมาก ลอบทำขณะที่หลานขึ้นมาประชุมที่หน่วยกลาง”

“ผมเห็นด้วย ข้อมูลของหน่วยข่าวกรองบ่งชี้ว่าตลอดสองปีมันกบดานเงียบ แต่นี่เริ่มออกมาเคลื่อนไหว แสดงว่ามันคงพร้อมจะประจัญบานกับเราแล้ว” รองนายกรัฐมนตรีกำกับหน่วยข่าวกรองพูด

“งั้นก็ประกาศสงครามกับมัน พรุ่งนี้พ่อจะเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีด่วน แล้วประกาศภาวะฉุกเฉิน”

“หมายถึงประกาศเคอร์ฟิวหรือ” อัสมาร์นิ่วหน้า

“ใช่..” พล.อ.ชาโตตอบ

“ผมยังไม่อยากให้พ่อทำอะไรรุนแรงลงไปนะครับ หรือคุณลุงคิดกันยังไง อย่างที่ลุงซาบรัสบอก ตลอดสองปีขบวนการกุหลาบดำเงียบมาโดยตลอด การที่ออกมาปรากฏตัวอาจเพราะต้องการเรียกร้องอะไรบางอย่างก็ได้ อาจไม่ได้หมายความว่าต้องการประกาศสงคราม เดี๋ยวผมจะลองเจรจากับพวกเขาดู”

“หลานลองสืบเรื่องนี้ดูก็ได้ ได้ความยังไงแล้วบอกลุง” รองนายกรัฐมนตรีพูด แล้วพันไปทางผู้นำคณะรัฐมนตรี “ผมเห็นด้วยกับหลานนะคุณชาโต อย่าเพิ่งประกาศเคอร์ฟิวตอนนี้เลย ต่างชาติกำลังจับตามอง รอให้สถานการณ์โลกคลี่คลายอีกหน่อย แล้วเราค่อยใช้มาตรการรุนแรงกับพวกกุหลาบดำ”

“ใช่ มันจะโหมเชื้อเพลิงให้เกิดความรุนแรงในกีซาลีได้ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว การใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ผมว่ามันไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกเรื่อง ลองใช้วิธีการของผม ถ้าไม่สำเร็จยังไง พ่อค่อยใช้วิธีการของพ่อผมว่าก็ยังไม่สาย”

“จะใช้วิธีการไหน อัสมาร์”

“วิธีการไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ความรุนแรง”

“คงไม่ใช่การเอาอกเอาใจพวกมันทุกอย่างหรอกนะอัสมาร์” พล.อ.ชาโตดักคอ “พ่อว่าคงต้องทำความเข้าใจกับเจ้าอีกสักครั้งแล้ว พ่อส่งเจ้าไปคุมพวกมัน ไม่ใช่ส่งไปพัฒนากีซาลี ได้ข่าวว่าเจ้าลงไปช่วยพลเมืองกีซาลีให้สามารถทำมาหากินได้” เขาหมายถึงอัสมาร์ลงไปพัฒนาการเกษตรของกีซาลี จนผืนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์มากขึ้น พลเมืองสามารถทำการเกษตรเพาะปลูกได้ผลดี

“แล้วนั่นไม่ใช่เป้าหมายของการปกครองคนหรอกหรือ” อัสมาร์ย้อน จงใจเปลี่ยนคำว่า ‘คุม’ เป็น ‘ปกครอง’ “การทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของการปกครองประชาชนหรอกหรือ ถ้าสิ่งที่พ่อทำเรียกว่าการเมืองนั่น ไม่ได้ตอบโจทย์ที่ผมว่า ผมว่าก็ไม่มีประโยชน์ที่เราจะเล่นการเมือง ผมเองก็คงต้องถึงเวลาต้องทบทวนอุดมการณ์ตัวเองเหมือนกันว่าผมกลับมาทำอะไรที่อนาเซียกันแน่”

“เป้าหมายของพ่อคือผลประโยชน์ของอนาเซีย แต่กีซาลีไม่ใช่อนาเซีย”

“เพราะพ่อยังแบ่งแยกว่านั่นคืออนาเซีย นี่คือกีซาลี ถึงทำให้ผืนแผ่นดินนี้หลวมรวมเป็นประเทศเดียวกันไม่ได้ ถ้าพ่อยังรู้สึกแบ่งแยกอย่างนั้น ผมว่ากีซาลีคงกลืนเข้ากับอนาเซียยาก”

“ก็พวกมันเคยรู้สึกว่าเป็นอนาเซียด้วยหรือเปล่าล่ะ พวกมันไม่เคยคิดสักนิดว่าเป็นอนาเซีย ทั้งที่บรรพบุรุษก็เป็นเลือดสีเดียวกัน แล้วเราก็ช่วยให้ข้าวให้น้ำพวกมันมากว่ายี่สิบปีแต่ไม่เคยรู้สำนึก” อัชชาร์คเอ่ย

“นายกำลังเข้าใจผิดนะอัชชาร์ค คนที่ช่วยให้ข้าวให้น้ำกีซาลีคือยูเอ็นต่างหาก และถ้าถึงวันที่กีซาลีทนไม่ได้กับการที่เรากดขี่ข่มเหง หันไปเรียกร้องให้ยูเอ็นเข้ามาตัดสินปัญหาประเทศ ถึงตอนนั้นฉันก็คงช่วยอะไรไม่ได้”

“เราไม่เคยไปกดขี่ข่มเหงกีซาลีนะอัสมาร์” พล.อ.ชาโตเตือนเสียงเย็นๆ “อย่าปล่อยให้คำพูดไร้สาระพวกนั้นรู้ไปถึงหูสื่อด้วย”

“ไม่หรือ..” อัสมาร์หันไปทางผู้เป็นบิดา “การที่เราปฏิบัติดับเปิ้ลสแตนดาร์ดกับพวกเขา ไม่เรียกว่ากดขี่ข่มเหงหรือ พลเมืองอนาเซียได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย แต่กีซาลีไม่ได้รับสวัสดิการอะไรเลย แถมยังต้องเสียภาษีเท่าๆ กัน ผมยังไม่อยากแฉหรอกนะ แต่ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูยูเอ็น ผมก็ไม่รู้ว่าเราจะแก้ตัวกับพวกเขายังไง”

“เรายอมให้มีตัวแทนกีซาลีเข้ามานั่งในสภาฯ เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนของเขา” พล.อ.ชาโต โต้เสียงเย็น เริ่มรู้สึกกรุ่นบุตรชาย เหตุการณ์ละม้ายสิบกว่าปีก่อนย้อนกลับมาอีกครั้ง ครั้งนั้นบุตรชายเขาก็โต้เถียงเรื่องที่เขาจะนำกองทหารไปบุกโจมตีกีซาลีอย่างนี้

“แค่เสียงเดียว อย่าเรียกว่าตัวแทนเลยดีกว่า มันไม่สมเหตุสมผลเวลายกมือโหวตครั้งใด ก็แพ้ครั้งนั้น”

“นี่นายเป็นตัวแทนอนาเซียหรือกีซาลีกันแน่ อย่าเดือดร้อนแทนกีซาลีให้มากนัก” อัชชาร์คเอ่ยขึ้น

“ฉันกำลังพูดถึงความเป็นธรรมอัชชาร์ค ถ้าเรายังปฏิบัติกับกีซาลีอย่างนี้ รับรองว่าการเรียกร้องจากกีซาลีเกิดขึ้นไม่รู้จบแน่ๆ ถ้าอยากให้ผืนแผ่นนี้สงบ ก็ควรจะมาวางกฏกติกากันใหม่”

“ไม่มีทาง เราต้องทำเพื่อคนส่วนใหญ่ของอนาเซีย ไม่ใช่เพื่อคนเพียงหยิบมือเดียวอย่างกีซาลี ถ้าทำอย่างนั้นจะเรียกว่าสงบได้ยังไง ถึงจุดนั้นพลเมืองอนาเซียลุกขึ้นประท้วงไม่เห็นด้วยอยู่ดี แล้วเจ้าจะตอบประชาชนของเจ้ายังไง อัสมาร์”

“ในระบอบประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่สำคัญก็จริง แต่ก็ต้องไม่หลงลืมเสียงส่วนน้อย เราทำเพื่อคนส่วนใหญ่แต่ก็ต้องไม่ลืมชายตามองคนส่วนน้อยด้วย ดูว่ากรอบกติกาของคนส่วนใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้คนส่วนน้อยด้วยหรือไม่ ถ้าไม่ให้ความสำคัญเลย ผืนแผ่นดินนี้จะอยู่กันอย่างสงบได้อย่างไร เราบอกว่าเราไม่แบ่งแยกอนาเซีย กีซาลี แต่พอเอาเข้าจริง ทุกอย่างแบ่งแยกกันหมด พลเมืองอนาเซียมีสิทธิ์ถือครองที่ดินในกีซาลี แต่พลเมืองกีซาลีไม่มีสิทธิ์ถือครองที่ดินในอนาเซีย ไม่แม้แต่จะเข้าออกอนาเซียได้สะดวก ต้องถือพาสปอร์ตนี่หรือคือความเป็นธรรม”

“เราทำเพื่อความปลอดภัยของพลเมืองอนาเซีย ตราบใดที่เรายังแยกแยะคนดีคนชั่วในกีซาลีออกจากกันไม่ได้ เราก็จำเป็นต้องรักษาความปลอดภัยให้กับพลเมืองอนาเซีย”

รองนายกรัฐมนตรีมองคนโน้นทีคนนี้ที ราวกับลูกบอลที่ถูกโยนกลับไปกลับมา พักใหญ่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมว่าเราอย่ามาเถียงกันเลย เหตุผลของหลานอัสมาร์ก็ฟังขึ้น ส่วนของคุณชาโตกับหลานอัชชาร์คก็มีน้ำหนัก เพราะงั้นพักเรื่องนี้ไว้ เอาเป็นว่าผมจะสั่งหน่วยข่าวกรองสืบเรื่องนี้อีกที ดูสิว่าพวกมันมีจุดหมายอะไรถึงบึ้มคลังอาวุธ”

พล.อ.ชาโตมองบุตรชายคนรองอย่างพินิจ เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าการที่เขายอมกลับมาอยู่อนาเซีย มีเหตุผลเบื้องหลังอะไรหรือไม่ บางทีเขาคงต้องส่งบอดี้การ์ดส่วนตัวไปคุมและสืบเรื่องราวของลูกชาย แล้วเขาก็สรุปขึ้นว่า “เอาล่ะ สรุปว่าพ่อจะให้เวลาเจ้าแก้ปัญหากีซาลีด้วยวิถีทางของเจ้า แต่แค่หนึ่งปีเท่านั้นนะอัสมาร์ ถ้าหลังหนึ่งปีไม่มีอะไรดีขึ้น พ่อจะใช้วิธีการของพ่อในการแก้ปัญหา ถึงเวลานั้นพ่อหวังว่าเจ้าจะไม่ขัดขวาง”



“เดี๋ยวอัสมาร์” พล.อ.ชาโตร้องเรียกขึ้นเมื่อทุกคนออกจากห้องประชุมไปหมดแล้ว คงเหลือเพียงเขากับบุตรชายคนเล็ก

“มีอะไรครับ” อัสมาร์ชะงักมือที่จับลูกบิดประตู หันกลับมามองบิดา

“พ่ออยากรู้ว่าทำไมเจ้ายอมกลับมาอยู่อนาเซีย ดูเหมือนเราจะไม่เคยคุยเรื่องนี้จริงๆ จังๆ กันเลยสินะ นั่งสิพ่ออยากคุยเรื่องนี้”

อัสมาร์เลิกคิ้ว ยอมกลับมาทรุดนั่งเงียบๆ ได้ยินพล.อ.ชาโตพูดต่อไปว่า

“ก่อนหน้านี้พ่อพี่ชายรวมถึงแม่เจ้า พยายามหว่านล้อมให้เจ้ากลับมาอยู่อนาเซียสารพัด แต่เจ้าไม่ยอม แต่อยู่ดีๆ เมื่อสองปีก่อนเจ้าก็เสนอตัวกลับมาเอง จำได้ไหม”

“จำได้ ผมบอกพ่อแล้วว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ลอนดอนอีก ในเมื่อเมียผมตายไปแล้ว”

“ใช่ แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าบอกว่าโรซาลินาเสียชีวิต ถึงไม่มีเหตุผลกลับมาอยู่อนาเซีย เจ้าระแวงว่าพ่อกับอัชชาร์คมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเมียเจ้า”

อัสมาร์เมินหน้าจากพล.อ.ชาโต มองไปทางตู้หนังสือต่างประเทศเรียงราวนับร้อยข้างผนัง

นายกฯ ชาโตพิศบุตรชาย สีหน้าอัสมาร์เรียบเฉย แต่แววตามีร่องรอยเจ็บปวด ดูเหมือนลูกชายเขายังมีบาดแผลจากการเสียชีวิตของโรซาลินา “พ่อไม่อยากพูดถึงเมียเจ้าหรอกนะเพราะตายไปแล้ว แต่ครั้งนี้เลี่ยงไม่ได้ พ่อจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะอัสมาร์ ถึงแม้พ่อไม่ชอบเมียเจ้าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อจะต้องกำจัดเธอ เพราะงั้นเลิกทำอะไรขวางพ่อเสียที”

“พ่อจะบอกว่าพ่อไม่ได้แคร์กับการที่โรสเป็นลูกของยาหยังอย่างนั้นหรือเปล่า” อัสมาร์ย้อน น้ำเสียงเยาะหยัน

“พ่อไม่เถียงว่าพ่อรังเกียจกำเนิดผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อต้องกำจัดเธอนี่ เจ้าไม่มีหลักฐานที่จะปรักปรำพ่อนะเพราะงั้นเลิกมองพ่อผิดๆ อย่างนั้นได้แล้ว”

“ผมยังไม่เคยพูดว่าพ่อกำจัดเธอ” อัสมาร์ย้อนเสียงเรียบ

“เจ้าไม่พูด แต่สีหน้าแววตาเจ้าแสดงออกอัสมาร์” พล.อ.ชาโตพูดแล้วมองบุตรชายอย่างเจ็บปวด ดูเหมือนความสัมพันธ์ของเขากับลูก มีแต่จะเลวร้ายมากขึ้น ต่างมีมุมมองที่สวนทางกันตลอด

“เอาล่ะเรื่องนั้นพอแค่นี้ก็ได้ คราวนี้บอกเหตุผลแท้จริงกับพ่อได้หรือยังว่าทำไมถึงยอมกลับมาอยู่อนาเซีย ทำไมยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงกับกีซาลีอย่างนั้น”

“พ่อหมายถึงอะไร ผมไม่เข้าใจ”

พล.อ.ชาโตมองบุตรชาย “งั้นพ่อจะพูดตรงๆ ทำไมเจ้าถึงขอไปคุมฐานอนาเซียเอง ทั้งที่ไม่มีอะไรสะดวกสบายสักนิด ที่นั่นมีแต่ความลำบากและอันตราย”

“ผมอยากให้ประเทศนี้สงบสุข สำหรับผมกีซาลีก็คืออนาเซีย ผมไม่อยากให้มีการนองเลือดเกิดขึ้นอีก” อัสมาร์ยืนยันคำตอบเดิม

พล.อ.ชาโตหรี่ตา มองอย่างความคิด “เจ้ารู้หรือเปล่าตลอดสองปีที่อยู่กีซาลี แม่เจ้าห่วงเจ้าตลอด กินไม่ได้นอนไม่หลับ อยากให้เจ้ากลับมาอยู่อนาเซียเร็วๆ”

“ผมทราบ เรื่องนั้นผมขอโทษ แต่ผมบอกพ่อแล้วอุดมการณ์ในการเล่นการเมืองของผมไม่เหมือนพ่อ ผมคำถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็นอันดับแรก ส่วนความสะดวกสบายของผมเป็นอันดับรอง”

พล.อ.ชาโตอึ้ง “จะไม่เปลี่ยนใจแน่แล้วใช่ไหม”

“ไม่ครับ” อัสมาร์ยืนยัน

“ถ้าเจ้ายืนยันจะอยู่กีซาลีต่อ งั้นพ่อคงต้องส่งบอดี้การ์ดมือดีที่สุดของพ่อไปคุ้มกันเจ้า”

“ผมไม่ต้องการ” อัสมาร์ปฏิเสธทันควัน แล้วพูดว่า “มันคงตลก ผมเคยเป็นตำรวจแต่กลับต้องขอตำรวจให้มาคุ้มกันตัวเอง”

“บอดี้การ์ดพ่อไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นมือปืน เขาไว้ใจได้และจะดูแลเจ้าได้เป็นอย่างดี”

อัสมาร์จ้องหน้าพล.อ.ชาโต เห็นแววตาแน่วแน่ของผู้เป็นพ่อ เขาก็ถอนใจ “เอาเถอะ ถ้าเป็นความสบายใจของพ่อผมก็ไม่ปฏิเสธ พ่อมีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว”

“เจ้าจะกลับกีซาลีตั้งแต่คืนนี้เลยหรือ”

“ครับ”

“เจ้าควรจะค้างที่บ้านคืนนี้ พรุ่งนี้ค่อยบินกลับ”

“ใช่ มันอันตรายเกินไปที่จะขับเคลื่องบินกลับมืดๆ อย่างนี้อัสมาร์” ลอร่าเปิดประตูผัวะเข้ามาโดยไม่เคาะ แล้วพูดเสริมขึ้น ลูกชายเธอไปไหนมาไหนด้วยการขับเครื่องบินส่วนตัวตลอด ต่างจากคนอื่นๆ ในครอบครัวที่มีกัปตันขับเครื่องบินส่วนตัวให้

อัสมาร์มองไปทางลอร่าแล้วยิ้มอย่างยินดี “แม่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามแล้วมองชุดราตรีของลอร่าอย่างชื่นชม เธอยังคงสาวและสาวในชุดราตรีสีเพลิง ดูปราดเดียวก็มองออกว่าเพิ่งกลับมาจากงานสังคม

“เพิ่งมาถึงลูกรัก มาถึงคนใช้ก็รายงานว่าพ่อเจ้าเรียกเจ้าประชุมดึกดื่น เป็นไงบ้างลูก ไม่ได้เจอกันหลายเดือนเลย คิดถึงจัง” ลอร่าพูดแล้วเดินเข้ามาประคองแก้มสองข้างของลูกชาย จับรับขวัญซ้ายขวาแล้วไปจบที่หน้าผาก อัสมาร์จูบแก้มลอร่าตอบ

“ใครบอกว่าเรียกประชุม ฐานอนาเซียโดนระเบิดต่างหาก”

“โอ้ พระเจ้า” ลอร่าเบิกตาโต หันไปทางผู้เป็นสามี “จริงหรือคะคุณ แล้วนี่ลูกเป็นไงบ้าง”

“ลูกคุณไม่เป็นอะไรหรอก มันนั่งอยู่ตรงนี้ไง แต่ฐานอนาเซียโน่นถูกทำลาย คลังอาวุธถูกระเบิด”

ลอร่าหันมาทางอัสมาร์ “โอ อย่างนี้ไม่ได้การล่ะ อัสมาร์ลูกต้องย้ายขึ้นมาอยู่ที่อนาเซียเลยนะ แม่ห้ามเด็ดขาดไม่ให้อยู่กีซาลี เมืองป่าแดนเถื่อนอย่างนั้นอยู่ไปได้ไงไหว”

อัสมาร์หัวเราะ “ผมดูแลตัวเองได้ครับ เอาล่ะ..ดึกมากแล้วผมกวนพ่อกับแม่แค่นี้ ผมขอตัวกลับกีลาซีไปดูพื้นที่เสียหน่อย”

“ไม่ได้เด็ดขาดลูกรัก นี่มันจะตีเท่าไหร่แล้ว ยังไงแม่ก็ไม่ยอมเด็ดขาด ค้างที่นี่สักคืนแล้วค่อยบินกลับพรุ่งนี้จะเป็นไรไป”

“ไม่เป็นไร ผมเคยชินแล้ว”

“ไม่ได้ แม่ตัดสินใจแล้วเจ้าต้องอยู่ค้างคืนนี้ เอาล่ะ แม่จะไปเตรียมห้องนอนให้ลูก”

อัสมาร์เลิกคิ้ว “ทำไมต้องเตรียม” เขาถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ

“อ้าว ก็พี่ชายลูกพาผู้หญิงมาค้างด้วย แม่รัสยามันอะไรนั่นไง คั่วกับพี่ชายลูกได้หลายเดือนแล้ว ขืนลูกไปนอนห้องติดกัน คงผวาตื่นทั้งคืน” ลอร่าพูดแล้วค้อนประหลับประเหลือกลูกชายคนโตซึ่งไม่ได้อยู่ที่นั้น

อัสมาร์หัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเคยชินแล้ว แม่จำไม่ได้หรืออัชชาร์คพาผู้หญิงมาค้างตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มด้วยซ้ำ ผมเคยชินกับการนอนฟังเสียงหมอนั่นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”




.................................................



จบตอน
















Create Date : 08 สิงหาคม 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 13:00:49 น.
Counter : 817 Pageviews.

4 comments
  
เว็บพี่ณาราเป็นอะไรก็ไม่รู้อ่ะค่ะพี่อุ๋ยเข้าไม่ได้มา2-3วันแล้ว
โดย: mimny IP: 124.157.156.94 วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:3:10:12 น.
  
ตอนนี้มันเข้าได้แล้วนะคะน้องมิมนี่ ^^
โดย: คณิตยา วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:13:44:00 น.
  
ตอนอัสมาร์ถามสาวใช้ว่ากี่โมงแล้วสาวใช้ตอบว่าสามทุ่มครึ่งแล้วบอกอีกว่าอัชชาร์คขอเวลาหนึ่งชั่วโมงอัสมาร์ก็พูดขึ้นมาอีกว่า"นี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้วจะมาของเวลาอะไรอีก" สามทุ่มครึ่งมันก็ห่างจากเที่ยงคืนอยู่หลายชั่วโมงอยู่นะคะพี่อุ๋ย จะเที่ยงคืนมันน่าจะสักห้าทุ่มกว่าๆนะ

-ชายหนุ่มจ้องมองกรอบรูปเบื้องหน้านิ่งๆ เป็นภาพครอบครัวเขาถ่ายอยู่ด้านหน้าของคฤหาสน์หลังนี้.......พล.อ.ชาโตยังคงดู(หลอเหลา)แข็งแรงแม้อายุจะเลยเลขหกไปหลายปี............
:==>หล่อเหลา

-แล้วอัสมาร์ก็เลื่อนสายตาไปยังลอร่าซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ลอร่าผู้เป็นแม่เขาอายุเลยเลขห้าแต่ยังมี(เค้าคาง)ว่าสวยเมื่อวัยสาว.............
:==>เค้าลาง

-ชายหนุ่มพิศดูผู้เป็นแม่ เธอยังสาวและสวยสมกับวัย........แล้วอัสมาร์ก็เลื่อนสายตาขึ้นมองตัวเอง(อยู่ยืนอยู่หลังลอร่า)ในชุดสูทสีขาว ปีกลายเขายังคงมีผม(หยกศก)ต่างกับตอนนี้............
:==>ยืนอยู่หลังลอร่า ;==>หยักศก

-อัสมาร์เหลียวมองผู้ชายที่ยืนติดกัน อัชชาร์ค..ผู้เป็นพี่ชายเขา อัชชาร์คอยู่ในชุดสูทสีดำข่มสีผิวให้ดูขาวขึ้น(เขามีหน้าตาเหมือนกับเขา)ทุกกระเบียดนิ้ว........
:==>เขามีหน้าตาเหมือนกับอัชชาร์ค หรืออัชชาร์คมีหน้าตาเหมือนกับเขาดีกว่าหรือเปล่าคะพี่อุ๋ย ใช้คำว่าเขามีหน้าตาเหมือนกับเขามันงงน่ะค่ะ

-"ฉันหวังว่าเรื่องที่นายจะพูดมันคุ้มค่ากับเวลาที่ฉันต้องเสียไปนะอัสมาร์"อัชชาร์คพูดแล้วลุกขึ้นทั้งที่ยังแก้ผ้าอย่างนั้นเดินโทงๆ(ไปคว้าไปคว้า)ชุดคลุมมาสวม......
:==>ไปคว้าชุดคลุมมาสวม (ไปคว้าซ้ำกันค่ะ)

-ห้านาทีกะนรกอะไร.......อัชชาร์คบ่นอย่างหงุดหงิด(ลัดชุดคลุม)หยิบชุดลำลองมาสวม........
:==>สลัดชุดคลุม

-อัชชาร์คอึ้ง หันขวับไปมองน้องแฝดทันที......ราวกับอีกฝ่ายอ่านใจ(เขาตอบ)น้องเขาว่า
:==>อ่านใจเขาออก

-เมื่อสองปีก่อนที่เขาถูกโรซาลินาแทงด้วยมีดนั้น........หากช้าไปก้าวเดียว(เขาอาจจบเสียชีวิต)ตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้
:==>เขาอาจจบชีวิต

-"หลานลองสืบเรื่องนี้ดูก็ได้ ได้ความยังไงแล้วบอกลุง"รองนายกรัฐมนตรีพูดแล้ว(พัน)ไปทางผู้นำคณะรัฐมนตรี......
:==>หันไปทาง

-"เพราะพ่อยังแบ่งแยกว่านั่นคืออนาเซีย นี่คือกีซาลี ถึงทำให้ผืนแผ่นดินนี้(หลวมรวม)เป็นแผ่นดินเดียวกันไม่ได้
:==>หลอมรวม

-"ไม่หรือ..."อัสมาร์หันไปทางผู้เป็นบิดา "การที่เราปฏิบัติ(ดับเปิ้ล)สแตนดาร์ดกับพวกเขา........
:==>ดับเบิ้ล

-"ฉันกำลังพูดถึงความเป็นธรรมอัชชาร์ค.........ก็ควรจะมาวาง(กฏ)กติกากันใหม่
:==>กฎ

-อัสมาร์เมินหน้าจากพล.อ.ชาโต มองไปทางตู้หนังสือต่างประเทศ(เรียงราว)นับร้อยข้างผนัง
:==>เรียงราย

-พล.อ.ชาโตหรี่ตามองอย่าง(ความคิด).............
:==>ครุ่นคิด

-อัสมาร์มองไปทางลอร่าแล้วยิ้มอย่างยินดี...........เธอยังคง(สาวและสาว)ในชุดสีเพลิง.........
:==>สาวและสวย
โดย: mimny IP: 58.147.120.97 วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:3:34:58 น.
  
ขอบคุณมากๆๆ ค่ะน้องมิมนี่ ^ ^ /แหะๆ แต่เยอะมากคำพูด พี่คิดว่าดูดีแล้วนะเนี่ยก่อนพิมพ์ จุ๊บๆ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
โดย: คณิตยา IP: 203.146.109.82 วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:14:10:02 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments