Group Blog
กุหลาบในเปลวไฟ...บทนำ


กุหลาบในเปลวไฟ



บทนำ


‘อัสมาร์...น้องข้าจะแต่งงาน..’

เพราะคำพูดของกามินทร์ผู้เป็นเพื่อนรัก ทำให้เขาต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลจากเกาะอังกฤษกลับมายังอนาเซียแผ่นดินเกิด เพื่อมาร่วมงานแต่งงานของกาสมันผู้เป็นน้องสาวของเพื่อน อัสมาร์เกลียดแผ่นดินนี้จับจิต โดยเฉพาะผู้ปกครองแผ่นดิน เนื่องจากเหตุผลหลายๆ อย่าง มันทำให้เขาทิ้งแผ่นดินเกิดไปตั้งรกรากที่ลอนดอนเป็นเวลาหลายปี

สิบห้าปีก่อนเขาคัดค้านกับการที่พล.อ.ชาโต นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพ่อเขาบุกรุกดินแดนกีซาลี เพื่อยึดมาเป็นรัฐหนึ่งของอนาเซีย แม้สมัยนั้นรัฐบาลอนาเซียจะให้การหนุนหลังอย่างเปิดเผย แต่สำหรับเขาแล้วมองว่าเป็นการปล้นแผ่นดินเพื่อนบ้าน

กีซาลีเป็นดินแดนทางทางใต้ของอนาเซีย ห้าร้อยกว่าปีก่อนตกอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกส ภายหลังได้รับเอกราชไม่นาน พล.อ.ชาโต ก็นำกองทหารไปยึดกีซาลีจากประธานาธิบดีอัลกาติและนายกฯ ยาหยัง สมัยนั้นประธานาธิบดีและนายกฯ ยาหยัง ยังอ่อนแอ และมีกองกำลังที่ไม่เข้มแข็งทำให้เพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่พ่อเขาอย่างง่ายดาย

พล.อ.ชาโตใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถบุกยึดกีซาลีมาได้สำเร็จ และประกาศให้เป็นรัฐหนึ่งของอนาเซียในเวลาต่อมา พร้อมกับยินยอมให้รูปแบบการปกครองของกีซาลีแตกต่างจากรัฐอื่นๆ โดยรัฐกีซาลียังคงมียาหยังเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อลดกระแสการต่อต้านจากพลเมืองกีซาลี แต่จากเหตุการณ์บุกยึดกีซาลีครั้งนั้น ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะพลเมืองผู้บริสุทธิ์ของทั้งสองประเทศ เขาจึงมองการกระทำของผู้เป็นพ่อว่าเหี้ยมโหดและป่าเถื่อน

ด้วยเหตุที่ขวางหูขวางตากับการเมืองอนาเซียช่วงนั้น ในวัยสิบเจ็ดปีซึ่งเป็นช่วงรอยต่อของการศึกษาต่อมหาวิทยาลัย เขาจึงเลือกไปเรียนที่อังกฤษ และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกับญาติทางแม่ จนสำเร็จการศึกษาและรับราชการเป็นตำรวจอังกฤษ ตลอดเวลาที่อยู่ต่างประเทศ เขาเลี่ยงการรับรู้ปัญหาการเมืองภายในอนาเซียตลอดมา แม้ว่าพล.อ.ชาโต และอัชชาร์ค จะพยายามอีเมลไปแจ้งข่าวสารเป็นระยะๆ ก็ตาม

ช่วงแรกที่เขามาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ พล.อ.ชาโต ไม่เห็นด้วยและพยายามขัดขวาง แต่ที่สุดขัดลอร่าผู้เป็นแม่เขาไม่ได้ เนื่องจากแม่เขาเข้าข้างเขาเต็มที่ สุดท้ายพล.อ.ชาโตจึงต้องปล่อยให้เขามาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ ตราบจนวันนี้เป็นเวลาสิบห้าปีแล้ว..เป็นเวลาสิบห้าปีที่เขาไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลย ต่างกับกามินทร์ ภายหลังจบการศึกษาด้านตำรวจ ก็กลับมารับใช้บ้านเมืองด้วยการเป็นตำรวจที่บ้านเกิด.. กีซาลี

บริเวณที่อัสมาร์ยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยคือ สวนหย่อมด้านหลังของคฤหาสน์กามินทร์ พ่อแม่กามินทร์เสียชีวิตหมดแล้ว คงทิ้งไว้เพียงทรัพย์สินและคฤหาสน์หลังงามให้กับกามินทร์และน้องสาวดูต่างหน้า งานแต่งงานของกาสมันจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมเกียรติ ด้วยเจ้าบ่าวเป็นถึงหลานของท่านทูตอนาเซีย ช่วงเช้าจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์ไปแล้ว ช่วงเย็นจึงเป็นงานเลี้ยง และเนื่องจากตระกูลกามินทร์ เป็นตระกูลใหญ่โตในกีซาลี เขาจึงเชิญคนใหญ่คนใตทั้งหมดในกีซาลีมาร่วมงาน ซึ่งมีทั้งท่านทูต นักการเมือง ข้าราชการทหาร ตำรวจ และบริษัทห้างร้าน บัดนี้คฤหาสน์ที่กว้างใหญ่จึงดูเล็กลงในพริบตา

เขาอึดอัดกับแขกที่มากหน้าหลายตานั้น หลายคนไม่รู้จักเขาแต่พอเห็นนามสกุลที่เขาลงทะเบียนตอนเข้างาน เขาก็กลายเป็นจุดสนใจนับแต่นั้น บางคนแค่มองไม่ถาม แต่บางคนเข้ามาถามไถ่ชวนคุย และเมื่อได้รับคำตอบว่าเขาเป็นลูกของพล.อ.ชาโต ปฏิกิริยาของทุกคนก็แตกต่างกันไป มีทั้งทึ่งชื่นชม มีทั้งกลัวเกรงและบางรายถึงกับแสดงออกทางสีหน้าว่าเกลียดชังไม่ปิดบัง เขาชินเสียแล้วกับการที่พลเมืองกีซาลีจะเกลียดชังพ่อเขา เพราะสิ่งที่พ่อเขาทำกับพลเมืองกีซาลีมีมากมายเหลือเกิน

เสียงเพลงสากลหวานใสเข้ากับงานดังลอดออกมาจากคฤหาสน์ แต่ทว่าอัสมาร์ไม่ได้รับรู้ เขาไม่แม้แต่จะรับรู้คฤหาสน์หลังงามที่ตกแต่งอย่างน่ารักรับกับงานแต่งงานนั้นด้วย ด้วยสายตาคมกริบสีสนิมกำลังทอดมองไปไกลยังภูเขาเบื้องหน้า ภูเขานั้นอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา ดูจากระยะไกลอย่างนี้เห็นภูเขาทอดตัวต่อจากผืนแผ่นดินกีซาลีที่แห้งแล้งไปจนจดขอบฟ้าสีคราม

กีซาลี เป็นดินแดนแห้งแล้งไร้ซึ่งสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ดูแล้วช่างไม่เข้ากับความเป็นเกาะของกีซาลีเหลือเกิน ความแห้งแล้งส่วนหนึ่ง เกิดจากประเทศล่าอาณานิคมบุกยึด ตักตวงเอาผลประโยชน์แล้วเหลือทิ้งไว้เพียงซากความอุดมสมบูรณ์ ฝนไม่ตกตามฤดูกาลมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากป่าไม้ถูกโค่นทำลายเพื่อนำไปทำการค้าพาณิชย์ พลเมืองกีซาลีส่วนใหญ่ยากจน ยิ่งเมื่อถูกปกครองอย่างอยุติธรรมจากพ่อเขา พลเมืองกีซาลีก็ยิ่งลำบากและยากจนหนักขึ้น มีเพียงพลเมืองระดับบนเท่านั้นจะมีฐานะดีอย่างครอบครัวกามินทร์ แต่ก็มีเพียงหยิบมือเดียวของแผ่นดินกีซาลีแห่งนี้

อนาเซียเป็นประเทศเกาะ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรแห่งหนึ่งทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนดินแดนกีซาลี อยู่ทางตอนใต้ติดกับผืนแผ่นดินอนาเซีย ที่จริงรัฐบาลกีซาลีและพลเมืองกีซาลีพยายามต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชกลับคืนมาจากอนาเซียตลอดสิบห้าปี แต่ดูเหมือนไม่เคยสำเร็จสักครั้ง ลุกขึ้นมาต่อกรครั้งใดเป็นต้องพ่ายแพ้แก่ทหารของพ่อเขาคราวนั้น ยิ่งพลเมืองกีซาลีดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้รับอิสรภาพเร็วเท่าใด ก็ดูเหมือนยิ่งถูกปรามอย่างหนักมากเท่านั้น และทำความลำบากให้กับพลเมืองกีซาลีมากขึ้น ด้วยทุกครั้งที่กีซาลีลุกขึ้นมาต่อกร ทางการอนาเซียก็จะตัดความช่วยเหลือทางด้านอาหาร

กระนั้นตอนนี้นับเป็นเวลาสองปีแล้วที่กีซาลีไม่เคยลุกขึ้นมาต่อกร พวกเขาสงบราวกับเสื้อไร้เล็บ แต่สื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นความสงบก่อนจะมีพายุ ฉะนั้นดูเป็นคลื่นใต้น้ำที่รอวันประทุเสียมากกว่า

อัสมาร์มองสภาพแวดล้อมรอบตัว ก่อนลงความเห็นด้วยความชิงชังว่าผืนแผ่นดินที่แห้งแล้ง ส่วนหนึ่งเกิดจากน้ำมือของพ่อเขา มันจึงเป็นสาเหตุให้เขาเกลียดการเมืองอนาเซีย จนไม่อยากกลับมารับใช้ประเทศบ้านเกิด หากไม่ติดว่ากาสมันแต่งงานแล้วละก็ เขาคงยังไม่คิดกลับมาเหยียบแผ่นดินนี้

“ออกมาทำอะไรข้างนอก ทำไมไม่ไปสนุกข้างใน ทุกคนกำลังถามหา” เสียงทุ้มของกามินทร์ดังขึ้น ตำรวจหนุ่มพูดแล้วก็มองหน้าเพื่อนรัก อัสมาร์ในวัยสามสิบสองอยู่ในชุดสูทสีเข้ม เขาเป็นลูกครึ่งอนาเซียอังกฤษ รูปร่างเขาสูงใหญ่ไม่ต่างจากหนุ่มตะวันตก แผงอกกว้างบึกบึนช่วงขายาวแข็งแกร่งเนื่องจากออกกำลังกายสม่ำเสมอ อัสมาร์มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย จนถูกสาวๆ วิจารณ์ลับหลังว่าหล่อเหลาดังรูปปั้นสำริด ผิวเขาขาวราวกับผิวผู้หญิง ผมยาวหยักศก ใบหน้าคมสันมีนัยน์ตาคมเข้มสีสนิมเหล็ก คิ้วดกหนา จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากบางราวอิสตรี เหนือริมฝีปากมีไรหนวดจางๆ และคางบุ๋ม เสริมให้ใบหน้านั้นคมคายชวนมองมากขึ้น

เสียงทุ้มทางด้านหลัง ทำให้อัสมาร์เหลียวไปมอง เพื่อนเขาหล่อเหลาผึ่งผายอยู่ในชุดสูทสีดำทิ้งเครื่องแบบสีกากีของตำรวจ แม้จะอยู่ในชุดไหน ท่วงท่าอันน่าเกรงขามก็ดูจะไม่ทิ้งไปจากบุคลิกของกามินทร์ เขารู้ว่านับตั้งแต่เพื่อนกลับมารับราชการที่กีซาลีสองปี กามินทร์สร้างผลงานให้กับกรมตำรวจกีซาลีค่อนข้างมาก จนชื่อเสียงโด่งดังไปถึงอังกฤษ

คดีที่เพื่อนเขาจับฆาตกรฆ่าสังหารลูกของท่านทูตอังกฤษตอนมาเที่ยววันหยุดพักร้อนที่กีซาลี สร้างชื่อเสียงให้กับกามินทร์อย่างมาก สื่อในประเทศและนอกประเทศประโคมข่าวจนทำให้เพื่อนเขาดูเป็นอัศวินขี่ม้าขาว นอกจากนี้การปราบจราจลในกีซาลีซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งก็สร้างผลงานให้กับเพื่อนเขาอย่างมาก จนสื่อมวลชนจับตามองว่าน่าจะเป็นตัวเต็งขึ้นสู่ตำแหน่งสารวัตรของรัฐกีซาลีในเร็ววัน

“มีอะไรถึงตามหาข้า” อัสมาร์ย้อนถามเพื่อน

ด้านหลังกามินทร์คือคฤหาสน์หลังงาม รอบคฤหาสน์ซึ่งไกลออกไปเป็นโยชน์คือผืนแผ่นดินแห้งแล้ง ทั้งหมดนี้เป็นอะไรที่ขัดกัน คฤหาสน์หลังงามกับสวนหย่อมขนาดใหญ่รอบคฤหาสน์ กับผืนแผ่นดินแห้งแล้งที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา

“ทำไมไม่เข้าไปข้างใน ทุกคนเขาถามหานาย” กามินทร์ตอบแล้วทอดสายตามองใบหน้าคมสันของเพื่อน อัสมาร์ได้ชื่อว่าเพื่อนเป็นเพื่อนตายเพียงคนเดียวของเขา พวกเขาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตั้งแต่สมัยรับราชการตำรวจที่อังกฤษ จนบัดนี้เขากลับมาทำงานที่บ้านเกิดสองปี แต่พบว่าไม่อาจหาใครที่จริงใจและหวังดีกับเขาจริงจังเหมือนอย่างอัสมาร์ได้

อัสมาร์ได้ชื่อว่าเก็บงำความรู้สึกเก่ง หลายครั้งที่เขาพบว่าเขาอ่านใจเพื่อนไม่ออก อย่างเวลานี้เพื่อนมองเขานิ่งๆ โดยไม่พูดไม่จา เขาก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคิดอะไรในใจ... นัยน์ตาสีสนิมเหล็กคู่นั้นยากจะหยั่งความรู้สึกได้จริงๆ อัสมาร์พูดน้อย จนถูกเพื่อนๆ ในกลุ่มตั้งฉายาว่าเสือยิ้มยาก ยิ่งสองปีหลังที่โรซาลินาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เขาก็แทบไม่เห็นรอยยิ้มของอัสมาร์อีกเลย ดูเหมือนรอยยิ้มและความสุขของเพื่อนเขาจะเลือนหายไปพร้อมๆ กับภรรยาสาวสวย

ก็ไม่แปลกหรอกที่อัสมาร์จะรักภรรยามาก จนแม้เธอตายจากไปแต่เพื่อนเขาก็ยังไม่ลืมเลือน ก็ในเมื่อโรซาลินาสวยขนาดนั้น หญิงสาวเป็นรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัย ทันทีที่ก้าวเข้าไปเรียนเธอก็เป็นดาวเด่นในสายตาหนุ่มๆ ทันที ใครๆ ต่างหมายปองเธอ ไม่เว้นแม้แต่เขา ก็ตามจีบแข่งกับอัสมาร์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะโรซาลินาไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครจะมองข้ามได้ง่ายๆ เธอเป็นลูกของเจ้าพ่อบ่อน้ำมันในตะวันออกกลาง สวยอ่อนหวานและบอบบางจนถูกใครๆ ล้อว่าเป็นสาวน้อยไฮโซ แต่โรซาลินาก็วางตัวดีมาโดยตลอด ไม่เคยข้องแวะกับผู้ชายคนไหน เว้นแต่อัสมาร์ที่เธอยอมไปไหนมาไหนด้วย แต่ก็อยู่ในสายตาของพี่เลี้ยงหรือไม่ก็เพื่อนๆ ตลอดมา กระทั่งเธอจบมหาวิทยาลัย อัสมาร์จึงขอแต่งงาน ทั้งคู่ใช้ชีวิตสามีภรรยาได้เพียงปีเดียว โรซาลินาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต นับจากนั้นเพื่อนเขาก็ครองตัวโสดไม่เคยเหลือบแลสาวใดอีกเลย

ก่อนแต่งงาน อัสมาร์มีเสน่ห์น่าคลั่งไคล้ในกลุ่มสาวๆ เขาเคยได้ยินพวกผู้หญิงลงพนันขันต่อเรื่องพาอัสมาร์ขึ้นเตียง แต่อัสมาร์ก็ไม่เคยสนใจ ก่อนเจอโรซาลินา เพื่อนเขายังเที่ยวผู้หญิงบ้าง แต่หลังจากเจอหญิงสาวแล้ว เพื่อนเขาก็ไม่เคยนอนกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย นัยว่ากลัวโรซาลินาจะไม่สบายใจ ความเป็นหนุ่มเนื้อหอมของอัสมาร์ เป็นที่ระบือไกล ไม่เว้นแม้แต่กาสมันผู้เป็นน้องสาวเขา กาสมันชอบอัสมาร์ทันทีที่เห็นรูปถ่ายเพื่อนเขาที่ถ่ายในงานเลี้ยงรุ่น น้องเขาติดใจถึงขนาดบินมาขอเยี่ยมเขาเพื่อดูหน้าอัสมาร์รูมเมทเขา เรื่องนี้เขาเองก็เพิ่งมารู้ความจริงหลังจากที่น้องสาวตัวดีสารภาพแล้ว แต่เป็นการสารภาพหลังจากที่อัสมาร์แต่งงานกับโรซาลินาแล้ว น้องสาวเขาสูญเสียอัสมาร์ไปอย่างหลุดลอยจึงต้องการให้เขาช่วยเหลือ แต่เขาจะช่วยอะไรได้ในเมื่อทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว

อัสมาร์มองเพื่อนนิ่งๆ แล้วตอบว่า “อยากสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก ข้างในร้อนอบอ้าว คนมากเกินไป”

กามินทร์ถอนหายใจ “งานแต่งก็งี้แหละ ยังไม่คุ้นอีกหรือ นายเองก็ผ่านการแต่งมาแล้ว”

“เหมือนกันที่ไหน งานข้าเชิญแต่เพื่อนสนิทๆ”

กามินทร์อึ้ง อัสมาร์มีปัญหากับทางบ้าน งานแต่งงานของเพื่อนเขาไม่ได้รับการยอมรับจากคนในครอบครัว เนื่องจากไม่อาจยอมรับลูกสะใภ้อย่างโรซาลินาได้ จึงไม่มีใครมาร่วมงาน ยกเว้นเพียงเพื่อนสนิท “นายมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” ถามแล้วก็มองหน้าเพื่อน

“เปล่านี่ ข้าสบายดี ถามทำไม”

“ไม่รู้สิ แววตานายดูหมองๆ มีอะไรปิดบังอยู่หรือเปล่า เราคบหากันมานานนะอัสมาร์ ทำไมมีอะไรไม่บอกข้า”

อัสมาร์เมินหลบสายตาเพื่อน เขามองไปทางภูเขาหัวโล้นไกลสุดลูกหูลูกตา พลางว่า “เปล่าไม่มีอะไรหรอก นายอย่ามากังวลกับเรื่องข้าเลย ก็แค่ไม่สบายใจนิดหน่อยที่ไม่ได้แวะไปเยี่ยมครอบครัว” ปลายเสียงแผ่วเบาอย่างซ่อนความรู้สึกไม่มิด

“ถ้าไม่สบายใจ ก็แวะไปเยี่ยมพวกท่านก่อนเดินทางกลับลอนดอนสิ” กามินทร์แนะ รู้นิสัยเพื่อนว่าค่อนข้างขวางโลกอยู่สักหน่อย ลงว่าไม่ชอบอะไรก็จะฝังใจอยู่อย่างนั้น อย่างเรื่องต่อต้านพล.อ.ชาโตบุกยึดกีซาลี เพื่อนเขาก็ประท้วงอย่างหนักเพื่อให้พ่อเขาล้มเลิกความคิด แต่เมื่อต่อต้านไม่ได้ เพื่อนเขาก็ประชดด้วยการเดินทางไปเรียนไกลยังอังกฤษแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่นั่นไม่เดินทางกลับมาอีกเลย ไม่แม้แต่กลับมาเยี่ยมบ้านยามปิดภาคเรียน เพราะต้องการเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพล.อ.ชาโต การกลับมาร่วมงานแต่งงานของกาสมันครั้งนี้ก็เช่นกัน เขารู้ว่าอัสมาร์บินตรงมายังกีซาลีทันที โดยไม่ยอมเสียเวลาแวะเปลี่ยนเครื่องที่เมืองหลวงอนาเซีย เนื่องจากไม่อยากแวะเยี่ยมครอบครัว

“ไม่ล่ะ” อัสมาร์ปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด “ข้าไม่อยากกลับไปถูกเซ้าซี้ให้กลับมาอยู่บ้าน” เขาหมายถึงกลับมาอยู่ประเทศบ้านเกิด ช่วงหลังพล.อ.ชาโตและอัชชาร์คโทรศัพท์ไปเซ้าซี้ให้เขากลับมาช่วยงานการเมืองถี่ขึ้น แม้เขาจะปฏิเสธอย่างไร ดูเหมือนไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจทางนั้นได้ โดยเฉพาะช่วงสองปีให้หลังที่ภรรยาเขาเสียชีวิตลง สองคนนั้นก็เซ้าซี้เขาหนักขึ้น แต่อัสมาร์รู้ว่าไม่มีอะไรมาทำลายปณิธานเขาได้ ลงว่าตัดสินใจไม่แล้ว.. ก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจเขาได้เด็ดขาด ยิ่งเมื่อไม่มีโรซาลินาด้วยแล้ว เดิมเขาตั้งใจพาภรรยามาทำความรู้จักกับครอบครัว เพราะเชื่อว่าถ้าพวกเขาได้รู้จักโรซาลินาจริงๆ พวกเขาจะหลงรักหญิงสาวเหมือนที่เขารักเธอ แต่เมื่อพบว่าครอบครัวเองอาจเป็นคนลงมือฆ่าเธอ เขาก็ไม่นึกอยากกลับมาเหยียบอนาเซียอีกเลย

“นายกลัวอะไรกันแน่อัสมาร์ กลัวที่ต้องอยู่ช่วยการเมือง หรือกลัวที่ต้องอยู่อนาเซีย” กามินทร์ย้อนถามกลับ มีผลให้อัสมาร์อึ้งไปเล็กน้อย

“ฉันไม่ชอบการเมือง” อัสมาร์ตอบหลังจากใช้ความคิดตรองคำตอบครู่หนึ่ง

“ฉันว่าทางพ่อนายคงไม่ยอม ยิ่งตอนนี้การเมืองเริ่มระอุ รัฐบาลอนาเซียมีคลื่นใต้น้ำ ฝ่ายค้านจ้องโค่นล้มพ่อนาย แล้วยังจะขบวนการก่อการร้ายกุหลาบดำจ้องจะเรียกร้องเอกราชกลับคืน ถ้าพ่อนายไม่มีแขนขาที่ไว้ใจได้ พ่อนายจะลำบาก”

“ฉันไม่สนหรอกนะกามินทร์ อย่างมากพ่อก็ถูกปรับเป็นฝ่ายค้าน เวลานี้ฉันใช้ชีวิตอย่างปกติอย่างนี้ก็ดีแล้ว”

“ด้วยการเป็นตำรวจรับใช้อังกฤษน่ะหรือ” กามินทร์ย้อนถามเพื่อน

อัสมาร์ไม่ตอบ

กามินทร์แกล้งถอนหายใจดังๆ ให้เพื่อนได้ยิน เขาว่า “นายน่าจะออกมาจากสิ่งแวดล้อมเก่าๆ ได้แล้วนะอัสมาร์ ชีวิตนายจะได้สดชื่นขึ้น การรักเมียเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าต้องจมปลักอยู่แต่อดีต มองไปทางไหนก็เจอแต่ข้าวของของเธอ จะทำอะไรก็เจอแต่กลิ่นอายของเธอ มันจะทำให้นายลืมอดีตไม่ลง”

“ใครว่าข้าอยากลืมอดีต” อัสมาร์สวนทันควัน “ข้ารักโรส ไม่เคยคิดจะลืมเธอ”

“แต่นายจมปลักกับอดีตมาสองปีแล้วนะ มันนานพอแล้วอัสมาร์”

“เรื่องโรสไม่เคยมีอะไรพอสำหรับข้า”

กามินทร์อยากโต้นักว่า ‘ถ้าอย่างนั้นกาสมันก็คิดถูกแล้วที่ไม่รอนาย’ อยากย้อนออกไปอย่างนั้น แต่รู้ว่าทำอย่างนั้นแล้วเพื่อนเขาคงตอกกลับมาอย่างเจ็บแสบ เพราะรู้กันอยู่ว่าอัสมาร์ไม่เคยคิดกับน้องเขาเป็นอื่น นอกจากในฐานะน้อง มีแต่น้องเขาที่เป็นฝ่ายรักอัสมาร์อยู่ข้างเดียว เขาเองก็เคยเตือนน้องสาวมาแล้วหลายครั้งว่าเพื่อนเขาไม่มีหัวใจให้ใคร แต่ดูเหมือนน้องสาวเขาไม่สนใจที่จะรับฟัง

“คุณโรสคงเสียใจถ้ารู้ว่านายทิ้งอนาคตไว้กับอดีต”

“ข้าไม่ได้ทิ้งอะไรไว้กับอะไรทั้งนั้น สิ่งที่ข้าทำอยู่ก็แค่ใส่ใจกับความรู้สึกเธอ คิดว่าเธอจะเจ็บปวดสักแค่ไหนถ้าข้าเอาผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่เธอ”

“ก็นั่นแหละ นายไม่รู้หรอกว่าพลาดอะไรในชีวิตไปบ้างอัสมาร์ มีผู้หญิงดีๆ รอเข้ามาในชีวิตนายมากมายขอแค่นายเปิดใจ แต่วันนี้นายไม่ให้โอกาสใครเลยแม้กระทั่งตัวนายเอง ไหนๆ คุณโรสก็เสียชีวิตไปแล้ว ทำไมนายไม่ลองเปิดใจให้ผู้หญิงคนอื่นบ้าง ข้าไม่ได้ขอให้นายลืมคุณโรสนะอัสมาร์ ขอแค่นายเปิดโอกาสให้ตัวเองเพื่อเรียนรู้คนอื่นๆ บ้าง”

“แล้วนายล่ะกามินทร์ ทำมาพูดดี ทีกับตัวเองนายเปิดใจให้ใครเอง ดูวันนี้สินายมีใครอยู่ข้างตัวบ้าง ก็เปล่าเลย”

“ก็เพราะยังไม่มีใครที่ถูกใจ แต่ข้าไม่ได้ปิดโอกาสตัวเองเหมือนอย่างนายหรอกนะอัสมาร์ ข้าเปิดใจรับทุกคนเพียงแต่ยังไม่มีใครที่ถูกใจก็เท่านั้น”

“ถึงงั้นก็เถอะ สำหรับข้าไม่ต้องการ ข้าไม่ต้องการให้ใครมาแทนที่โรส และไม่มีใครสามารถมาแทนที่เธอได้ด้วย”

“นายทำอย่างนี้คิดหรือว่าคุณโรสจะดีใจ นายทำเพราะต้องการลงโทษตัวเองใช่ไหมอัสมาร์ การตายของคุณโรสไม่ใช่ความผิดของนายนะ หยุดปรักปรำตัวเองได้แล้ว มันเป็นอุบัติเหตุ”

อัสมาร์บดกรามแน่น “ถ้าวันนั้นข้าไม่ไปหาอัชชาร์ค โรสก็คงไม่ตาย”

“ยังไงก็ไม่ใช่ความผิดนาย เลิกลงโทษตัวเองได้แล้ว แล้วก็ไม่ใช่ความผิดพี่ชายนายด้วย เลิกระแวงสักที”

“นายไม่เข้าใจ..” อัสมาร์พูดแล้วหยุดแค่นั้น บอกตัวเองว่ามีประโยชน์อะไรไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ ในเมื่ออดีตมันผ่านมาแล้ว โรซาลินาเสียชีวิตไปแล้ว อีกอย่างกามินทร์ก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง เพราะงั้นถึงพูดไปเขาก็คงไม่เข้าใจ

สามปีก่อนที่เขาจะแต่งงานกับโรซาลินา ครอบครัวเขาโดยเฉพาะพล.อ.ชาโตและอัชชาร์คพยายามขัดขวางเขากับโรซาลินามาโดยตลอด แม้จะแต่งงานกันแล้ว พ่อเขากับพี่ชายเขาก็ยังพยายามจับพวกเขาแยกออกจากกัน โดยอ้างประวัติที่คลุมเครือของโรซาลินามาเป็นข้ออ้าง อ้างว่าโรซาลินาเป็นลูกสาวของยาหยัง จึงไม่อาจรับมาเป็นคนในครอบครัวในฐานะลูกสะใภ้และน้องสะใภ้ได้ ส่วนพ่อที่อยู่ตะวันออกกลางของโรซาลินา พวกเขาอ้างว่าเป็นเพียงพ่อเลี้ยงของหญิงสาวเท่านั้น

“ข้าไม่เข้าใจยังไง” กามินทร์ถาม

“ช่างมันเถอะ”

“ไม่แน่.. นี่อาจเป็นสาเหตุให้นายไม่อยากอยู่อนาเซียก็ได้ใช่ไหม ไม่ใช่สาเหตุเรื่องการเมืองหรอกอัสมาร์” กามินทร์แสร้งเย้าเพื่อนแหย่ ที่จริงเขาก็ไม่ถึงกับอยากให้เพื่อนหาผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่โรซาลินา เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เพราะอัสมาร์รักภรรยามาก เพียงแต่อยากให้อัสมาร์หาความกระชุ่มกระชวยใส่ตัวเองบ้าง ซึ่งจะมีอะไรดีไปกว่าการออกไปเที่ยวกับผู้หญิง ชีวิตทุกวันนี้ของอัสมาร์ดูจะเหี่ยวเฉาไร้ชีวิตชีวา เพื่อนเขาเหมือนหุ่นยนต์ไร้ชีวิตจิตใจไปทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว

“นายหมายความว่าไงกามินทร์”

“ก็หมายความว่านายอาจโกรธแค้นครอบครัวที่ไม่ยอมรับคุณโรส ก็เลยประท้วงด้วยการไม่กลับมาอยู่ช่วยครอบครัวที่อนาเซียน่ะสิ”

“ไม่ใช่” อัสมาร์ปฏิเสธทันควัน

“งั้นเพราะอะไร นายถึงไม่อยากกลับมาอยู่อนาเซีย”

“ก็เพราะข้าไม่ชอบการเมืองน่ะสิ” อัสมาร์ตอบแล้วมองเมินจากเพื่อน เหลือบแลไปทางคฤหาสน์ทางด้านหลัง จังหวะนั้นสายตาจึงปะทะเข้ากับสายตาเศร้าสร้อยของเจ้าของนัยน์ตาสีนิล เจ้าตัวกำลังอยู่ในชุดงานเลี้ยงเรียบง่ายแต่หรูหรา แต่สิ่งที่ขัดตายิ่งกว่าคือใบหน้าสวยแต่งแต้มราวกับเทพธิดานั้นกำลังซีดเผือดไร้ซึ่งวี่แววของความสุข ดูแล้วไม่เหมือนเจ้าสาวที่รอเวลาเข้าหอ แต่ดูเหมือนเจ้าสาวที่กำลังถูกส่งตัวไปประหัตประหารมากกว่า

สายตานิ่งอึ้งของเพื่อนทำให้กามินทร์หันไปมองตาม เห็นน้องสวายืนหน้าซีดอยู่ตรงประตู ใบหน้าไร้ซึ่งสีเลือดของกาสมันบอกเป็นนัยว่าหญิงสาวคงเข้ามาได้ยินอะไรไปพักใหญ่แล้ว

“กาสมันเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” กามินทร์ถามขึ้น

กาสมันไม่ตอบ แต่จ้องมองผู้ชายที่ตัวเองรัก เป็นความรักที่แอบคลั่งไคล้มานาน ดูจะนานตราบเท่าชีวิตแต่งงานของอีกฝ่ายก็ว่าได้ เธอรักอัสมาร์และเฝ้ารอให้เขาหันมามองเธออย่างผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่อย่างน้องสาว แต่ฝันนั้นดูจะเลื่อนลอยห่างไกลออกไปทุกที อัสมาร์วางเธอในฐานะน้องสาวมาตลอด ยิ่งกว่านั้นเขาไม่เคยเหลียวแลผู้หญิงคนไหนนอกจากโรซาลินาผู้หญิงที่แสนโชคดีคนนั้น เพราะแม้เธอจากไปไกล แต่เธอก็กุมหัวใจเขาไปด้วย

ใจเจ้ากรรมรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่รัก แต่เธอก็ไม่อาจหยุดรักเขาได้ ยังคงรักและภักดีอยู่นั่นเอง ตราบจนวันที่โรซาลินาประสบอุบัติเหตุ เธอก็คาดหวังว่าอัสมาร์จะหันมามองเธอ แต่เปล่าเลย..เขาก็ยังคงมั่นคงรักโรซาลินาอยู่นั่นเอง ที่สุดเธอต้องเป็นฝ่ายเลิกราไปเอง หญิงสาวตัดสินใจรับคำขอแต่งงานของหลานท่านทูตที่มาติดพัน เนื่องจากไม่อาจเฝ้ารอเขาโดยที่ไม่มีความหวังอีกต่อไป


“พี่อัสมาร์คะ ขอกาสมันคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”

กาสมันเรียกขึ้นก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากสวนหลังบ้าน ทำให้อัสมาร์ชะงักเท้า ซึ่งพลอยทำให้กามินทร์ชะงักเท้าตามไปด้วยเช่นกัน

“พี่กามินทร์คะ ขอน้องคุยกับพี่อัสมาร์หน่อยนะคะ” กาสมันหันไปทางพี่ชาย

กามินทร์มองน้องสาว เห็นทำท่าเหมือนมีเรื่องสำคัญจะคุยกับอัสมาร์ เขาจึงหันไปทางเพื่อน เห็นว่าฝ่ายนั้นไม่ปฏิเสธ เขาจึงหันกลับมาพยักหน้าให้น้องสาว ส่งสายตาห่วงใยก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ

“พี่กามินทร์ไปแล้ว คราวนี้เรามาพูดเปิดอกได้สักที”

“...” อัสมาร์เลิกคิ้วแทนคำตอบ ท่วงท่านั้นไม่รู้เลยว่าได้แก่ให้เกิดความหวั่นไหวแก่อีกฝ่ายเพียงใด นัยน์ตาคมของอัสมาร์สามารถหลอมละลายสาวๆ ให้ตัวอ่อนปวกเปียกได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว

“จริงหรือพี่อัสมาร์ ที่พี่บอกว่าไม่อาจให้ผู้หญิงคนไหนมาแทนที่เมียพี่ได้”

อัสมาร์ไม่ตอบ เขาเมินจากนัยน์ตาคาดคั้นไปมองนอกรั้วคฤหาสน์แทน มีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่แถวประตูรั้วเหล็กแต่เขาไม่ทันสังเกต

“พี่ดูรักเมียพี่มากนะคะ”

“แน่นอน ก็เธอเป็นเมียพี่” ปากตอบแต่ตาเริ่มเพ่งมองสิ่งมีชีวิตที่ชะโงกหน้าอยู่แถวรั้วนั้น เริ่มรู้สึกผิดสังเกตกับชุดสีดำ มางานแต่งงานแต่สวมชุดดำ ดูจะผิดกาลเทศะไปหน่อย

กาสมันหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะเธอกร่อยจนรู้สึกได้ “น่าอิจฉาเธอนะคะ แม้ตายไปแล้วยังเอาความรักพี่จากไปด้วย”

อัสมาร์นิ่วหน้า เมื่อสิ่งมีชีวิตนั้นถอยห่างออกไป เขาหันกลับมามองกาสมัน “ความตายมันไม่อาจพรากความรักได้หรอกนะกาสมัน อาจฟังดูไร้สาระแต่นี่คือสิ่งที่พี่เรียนรู้จากชีวิตจริง พี่รักโรสและพี่จะรักเธอไปตลอดชีวิต พี่จะไม่มีวันหาผู้หญิงคนไหนมาแทนที่เธอเด็ดขาด”

กาสมันเม้มเรียวปาก หน้าซีด แววตาแดงก่ำอย่างคนพยายามกลั้นน้ำตา “ผู้หญิงคนนั้นคงปลื้มหรอกนะที่พี่ภักดีกับวิญญาณเธอขนาดนี้ ทำไมนะ..ทำไมตายไปจากโลกนี้แล้วยังตามมาหลอกหลอนฉันอีก” กาสมันพูดแล้วเหลียวมองไปรอบกาย ราวกับต้องการสื่อสารกับใครบางคนที่อยู่บริเวณนั้น

อัสมาร์นิ่วหน้า “อย่าใช้คำพูดดูถูกเมียพี่อย่างนั้นกาสมัน โรสไม่ได้หลอกหลอนเจ้า แต่คนที่หลอกหลอนคือตัวเจ้าเองต่างหากกาสมัน”

กาสมันเม้มปากแน่น “การแต่งงานของกาสมันครั้งนี้ ก็ไม่มีความหมายกับพี่สินะ”

“แน่นอนมีความหมายแน่ พี่เคยบอกเจ้าแล้วว่าพี่จะดีใจมากถ้าเจ้าจะโตเป็นฝั่งเป็นฝา”

“แต่กาสมันไม่ต้องการอย่างนั้น กาสมันอยากให้พี่มองกาสมันเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง กาสมันทำอย่างนี้ก็เพื่อให้พี่หึงนะ”

อัสมาร์ชะงักอย่างคาดไม่ถึง เขามองกาสมันตรงๆ แม้สื่อมวลชนจะวิพากษ์วิจารณ์ว่านักแสดงสาวคนนี้สวยซึ้งอย่างหาตัวจับยาก แต่น่าแปลกเขาไม่เคยมองกาสมันในแง่นั้นเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามองกาสมันในแง่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นยิ่งเห็นนัยน์ตาคมซึ้งของเธอมันยิ่งเตือนใจให้เขาคิดถึงโรซาลินา

อา.. เขาคิดถึงภรรยาเหลือเกิน

“เจ้าไม่ควรพูดอย่างนั้นกาสมัน เจ้าบ่าวเจ้ามาได้ยินจะไม่เหมาะ”

กาสมันเม้มปาก น้ำตาไหลพรากอย่างอดกลั้นไม่อยู่ ชาตินี้ไม่อาจสมหวังในรักกับเขาได้ ชาติหน้าถ้ามีจริง ก็ขอให้เขาเป็นฝ่ายรักเธอ แล้วเธอจะสลัดทิ้งอย่างไม่ไยดี

อัสมาร์เห็นน้ำตาของอีกฝ่ายก็ใจอ่อน เดินไปเช็ดให้ด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างเบามือ “อย่าร้องไห้กาสมัน นี่มันงานมงคลของเจ้านะ”

“ก็พี่อัสสมาร์ใจร้าย ไม่เคยแยแสเลยว่ากาสมันจะเป็นจะตายยังไง” กาสมันพูดแล้วคว้าผ้าเช็ดหน้าจากมือเขาไปสั่งน้ำมูก

อัสมาร์ถอนใจ “ความรักฉันคนรักมันไม่ยืนยาวเท่าความรักฉันพี่น้องหรอกนะกาสมัน”

“แล้วทำไมความรักพี่กับเมียพี่ถึงยืนยาวล่ะ ขนาดเมียพี่ตายไปแล้ว พี่ก็ยังเฝ้ารักเธอ” กาสมันโต้กลับราวเด็กเกเร

อัสมาร์ถอนใจ “เจ้าทำตัวยังกะเด็กไม่ยอมโตกาสมัน ทั้งที่กำลังจะออกเรือนอยู่แล้ว” อัสมาร์พูดแล้วโคลงศีรษะไปมา

“กาสมันจะเลิกรักพี่ก็ได้ แต่กาสมันขออะไรอย่างได้ไหม”

อัสมาร์เลิกคิ้ว ท่วงท่าระแวง “อะไร”

“กาสมันอยากให้พี่จูบนะคะ ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย แล้วกาสมันจะไม่กวนพี่อีกเลย”

อัสมาร์อึ้งอย่างคิดไม่ถึง “เจ้ากำลังขออะไรรู้ตัวบ้างหรือเปล่ากาสมัน นี่มันงานแต่งงานของเจ้านะ คนที่เจ้าสมควรขอคือผู้ชายที่อยู่ในบ้านเจ้าต่างหาก”

กาสมันเม้มปาก หน้าชาราวกับถูกตบหน้า ทำท่าจะโต้เขาแต่เสียงขยับของรั้วประตูทำให้เธอหันไปมอง ในจังหวะเดียวกับที่อัสมาร์เหลียวไปมองเช่นกัน แขกไม่ได้รับเชิญกำลังกระโดดข้ามรั้วเหล็กสูงเกือบสองเมตร ปลายเท้าสะบัดโดนปลายเหล็กแหลม ก่อให้เกิดเสียงฉีกขาดของชายผ้ากางเกงดังแควก อัสมาร์ชะงักอย่างใช้ความคิด เมื่อครู่แขกในชุดดำยังคงอยู่นอกประตูรั้ว หากเพียงพริบตาเดียวกลับโผล่มาในบ้านและเวลานี้กำลังจะกระโดดข้ามรั้วหนีออกไป แล้วจังหวะที่หญิงสาวเหลียวกลับมามองก่อนจะผลุบตัวหายไปนั้น อัสมาร์ก็ต้องตกตะลึงตาค้างกับใบหน้าสวยหวานนั้น ไม่ปล่อยให้ตัวเองตกตะลึงนาน อัสมาร์รีบออกวิ่งตามทันที

“เดี๋ยวพี่อัสมาร์” กาสมันรีบส่งเสียงห้ามแต่ไม่ทันแล้ว ด้วยบัดนี้อัสมาร์วิ่งกระโดดข้ามรั้วเหล็กตามออกไปติดๆ เขากระโจนออกไปแทบจะในทันทีที่เห็นหน้าของแขกไม่ได้รับเชิญนั้น

พระเจ้า.. กาสมันกระซิบเสียงแผ่ว เธอเองยังรู้สึกตกตะลึงกับใบหน้าแขกคนนั้น


“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป”

อัสมาร์วิ่งกวดไปติดๆ พร้อมกับส่งเสียงเรียกให้หยุด เขาวิ่งผ่านซอยคฤหาสน์ของกามินทร์ ตัดผ่านท้องนาและมุ่งสู่เส้นทางที่ตรงไปยังเขื่อนตามผู้หญิงข้างหน้าไปติดๆ

ผู้ที่ถูกไล่กวดรีบตวัดหมวกไอ้โม่งคลุมปิดหน้าพร้อมกับออกวิ่งไม่ลดละฝีเท้า สายเกินกว่าจะตำหนิความสับเพร่าและความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง หญิงสาวออกวิ่งเต็มที่พยายามไม่ตื่นกลัวกับการที่มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ออกวิ่งตาม จุดมุ่งหมายเธอคือปากทางเขื่อน ซึ่งมีคนติดตามรออยู่

“ฉันบอกให้หยุดไง ไม่ได้จะจับตัวเธอ แต่มีเรื่องจะคุยด้วย” อัสมาร์ตะโกนออกไป พยายามจะวิ่งให้ทันคนข้างหน้า แต่พบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนัก น่าแปลกรูปร่างผอมบางออกอย่างนั้นแต่กลับวิ่งได้เร็วราวกับนักกีฬามาราธอน แถมบางคราวยังสามารถกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางได้สูงอีกด้วย แต่จะเป็นโชคเข้าข้างหรือดวงเข้าช่วยเขาก็ยากจะเดา เมื่ออยู่ดีๆ ก็มีรถจิ๊บวิ่งมาตัดหน้าตรงทางแยกที่ผู้หญิงกำลังจะวิ่งไปถึงพอดี หญิงสาวไม่ทันมองเพราะหันมามองเขาพอดี แต่เขาเห็นรถจิ๊บเต็มตา ความรู้สึกกลัวสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปอีกครั้ง จึงทำให้เขาพุ่งตัวออกไปอย่างไม่ติดชีวิต

อัสมาร์กระโจนไปถึงตัวหญิงสาวได้ก็กระชากเธอให้พ้นวิถีทางรถ จังหวะเดียวกันนั้นรถจิ๊บก็ส่งเสียงเบรกดังเอี๊ยดสนั่นหวั่นไหว ก่อนจะส่งเสียงด่าขรมแล้วขับจากไป อัสมาร์กลิ้งลุนๆ ตกลงไปในไหล่ทางเบื้องล่างโดยที่อ้อมกอดยังคงตระกองกอดหญิงสาวกระชับแน่น เขาได้ยินเสียงสบถรัวยาวจากคนในอ้อมแขน จึงลดสายตาลงมองอย่างห่วงใย

“เป็นไงบ้าง” ถามขึ้นหลังจากหยุดกลิ้งแล้ว ถามแล้วก็มองนัยน์ตาคมซึ้งที่โผล่พ้นหมวกไหมพรมอย่างห่วงใย หมวกไหมพรมปิดทั้งศีรษะโผล่เพียงนัยน์ตาสวยคมสองข้าง

กาเซียสบถยาวเหยียดกับเนื้อตัวที่กระแทกเข้ากับไหล่ทาง แม้จะมีร่างเขารองรับและคงจะเจ็บกว่าเธอ แต่กระนั้นเธอก็ยังรู้สึกขัดยอกอยู่ดี เงยขวับขึ้นมองเขาอย่างดุดัน แต่ต้องชะงักกับใบหน้าคมคายตรงหน้า บ้าชะมัด..เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หวั่นไหวเพียงแค่เห็นหน้าผู้ชายหล่อ แต่กระนั้นเธอต้องยอมรับว่าเขาหล่อคมสันจริงๆ น่าจะไปเป็นพระเอกหนังมาดเข้มสักเรื่องแทนที่จะมาวิ่งไล่จับเธออยู่อย่างนี้ แล้วไหนจะลูกตาสีสนิมเหล็กคู่นั้นอีก มองเธอราวกับจะให้หลอมละลาย

พระเจ้า.. กาเซียรู้สึกหวั่นไหว

อัสมาร์อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายยังตกตะลึง ถอดหมวกไอ้โม่งออกอย่างถือวิสาสะ

พระเจ้า..อย่างที่เขาคิด อัสมาร์อุทานแล้วครางแผ่วเบา “โรส” หลุดปากออกไปอย่างตกตะลึงแล้วจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจเป็นเธอ แต่เมื่อเป็นเธอจริงๆ เขากลับตาค้างอย่างคาดไม่ถึง

“พระเจ้า.. คุณยังไม่ตายใช่ไหมโรส คุณยังไม่ตายใช่ไหม” อัสมาร์พร่ำถามประโยคเดิมกลับไปกลับมา ตามองใบหน้าคมหวานรูปหัวใจตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ โรซาลินายังคงสวยคมกับเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มเหมือนเดิม คิ้วดกหนาเป็นคันศร นัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้ม แก้มนวลสีแดงระเรื่อ จมูกโด่งตรงปลายรั้นรับกับคางบุ๋ม สิ่งที่แตกต่างไปบ้างคือทรงผม เดิมมันเคยยาวสลวย บัดนี้ถูกดัดเป็นลอนใหญ่ดูเซ็กซี่ขึ้น แล้วอัสมาร์ก้มมองเรียวปากนุ่มอย่างอดใจไม่อยู่ เพิ่งรู้ว่าตัวเองโหยหากลีบปากคู่นั้นเพียงใด ใคร่อยากจะลดศีรษะลงไปลิ้มรสเพื่อดูว่าจะยังหอมหวานและให้ความรู้สึกเหมือนไวน์ชั้นเลิศอยู่อีกหรือไม่ คิดแล้วชายหนุ่มก็นึกอยากทวงคืนความรู้สึกเก่าๆ ยามที่มีเธออยู่ค้างกาย

“โรสผมดีใจจริงๆ ที่คุณยังไม่ตาย”

“นายพูดบ้าอะไร” กาเซียกระชากเสียง แล้วผลักอกเขาเพื่อให้ตัวเองหลุดเป็นอิสระจากอ้อมกอดเขา แต่อ้อมแขนเขาก็แข็งแรงดั่งขุนผา มันไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด แถมยังกอดรัดเอวเธอกระชับแน่นขึ้นด้วย

คำพูดของกาเซียดูเหมือนไม่ผ่านหูอัสมาร์ เพราะเขายังคงพร่ำพรรณนาต่อไปว่า “คุณมาอยู่ที่กีซาลีได้กี่ปีแล้วโรส คุณมาอยู่ที่ได้ยังไงไหนว่าคุณเสียชีวิตในอุบัตเหตุ ไม่สิ..ผมก็เห็นคุณเสียชีวิตในอุบัติเหตุคราวนั้น แล้วนี่คุณมาโผล่ที่นี่ได้ไงโรส แล้วสองปีที่ผ่านมาคุณหายไปไหน ไหนบอกผมสิโรสว่าคุณหายไปไหนมา รู้ไหมมันทำให้ผมแทบคลั่งเมื่อคิดว่าสูญเสียคุณไปแล้วจริงๆ ผมคิดว่าคุณตายไปแล้วโรส ไม่คิดว่าคุณจะยังอยู่ มารอผมที่นี่ ทำไมถึงไม่ติดต่อไปหาผมเลย ผมรอคุณอยู่ที่ลอนดอนตลอดเวลา โรสผมดีใจเหลือเกินที่คุณยังไม่ตาย ผมคิดถึงคุณ”

อัสมาร์พร่ำพรรณนาโดยไม่ได้สังเกตว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ผ่านโสตประสาทของหญิงสาวที่อยู่ใต้ล่างเขาสักนิด เธอยังคงจ้องมองกลับมาด้วยสายตาว่างเปล่าราวคนแปลกหน้า ชั่วครู่ก็หลุดเสียงกระด้างว่า “ออกไปจากตัวฉัน”

เขาชะงัก ดูเป็นครั้งแรกที่สมองเริ่มซึมซับคำพูดกาเซีย “ทำไมพูดอย่างนั้น” ใจจริงอยากถามภรรยาว่าทำไมถามเสียงเข้มอย่างนั้นมากกว่า แต่ยังไม่กล้าถามด้วยวิสัยเกรงใจกันมาแต่ไหนแต่ไร

“จะออกไปจากตัวฉันหรือไม่ออก” น้ำเสียงกาเซียเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ

อัสมาร์ก้มมองภรรยา “คุณไม่สบายหรือเปล่า ยอดรัก“ ถามแล้วอังหน้าผากภรรยาอย่างห่วงใย

กาเซียปัดมือเขาออกอย่างไว้ตัวทันที แล้วเธอก็ทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงด้วยการผลักอกเขาออกอย่างแรง อัสมาร์ไม่ทันระวังตัวจึงกระเด็นกลิ้งตกจากตัวเธอ แต่เขาเหนี่ยวเอวหญิงสาวไว้ได้ทัน “จะไปไหนโรส เราจะกลับลอนดอนด้วยกัน”

“ปล่อยเอวฉัน” กาเซียจ้องหน้าอีกฝ่ายราวกับจะเผาให้เป็นจุล พลางแกะมือเขาออกจากเอว เวลานี้ใครมาเห็นภาพพวกเธอคงรู้สึกขำเพราะคนทั้งคู่ล้มลงไปในพงหญ้าอย่างไม่เป็นท่า ฝ่ายหนึ่งพยายามสลัดแต่อีกฝ่ายพยายามยื้อยึดฉุดกระชาก แล้วกาเซียก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อเธอมาแต่ไกล หญิงสาวจึงดิ้นสลัดเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ

“ไม่ปล่อยโรส ผมรักคุณนะ คุณจะจากผมไปไหนอีก”

“นายนี่ท่าจะพูดไม่รู้เรื่อง ฉันบอกว่าปล่อย ถ้าขืนนายยังยื้อตัวฉันไว้ นายเป็นเจ็บตัวแน่”

อัสมาร์มองภรรยาอย่างพิศวง แล้วใบหน้าคมสันก็คลี่ยิ้มหวาน แววตาแสดงความรักใคร่ไม่ปิดบัง แววตาเขาแทบทำให้กาเซียหลอมละลายโดยที่เขาไม่รู้ตัว กาเซียสะบัดหน้า ขณะที่เขาเอ่ยว่า “คุณกำลังเล่นตลกอะไรอัลไลลา”

หญิงสาวหน้าแดงแม้จะพูดภาษาอนาเซียได้ไม่เก่งนัก แต่คำง่ายๆ อย่างอัลไลลา ทำไมเธอจะไม่รู้ความหมายว่าแปลว่าเมียรัก “เล่นตลกอย่างนี่ไง” กาเซียตอบแล้วถองเขาด้วยปลายศอก สปริงตัวลุกอย่างรวดเร็ว ท่วงท่าลุกเหินเป็นไปอย่างคล่องแคล่วว่องไวบ่งบอกว่าผ่านการฝึกปรือมาอย่างดี

อัสมาร์พยายามกลั้นความรู้สึกเจ็บ เขาทรงตัวลุก เอื้อมไปคว้ามือบาง “โรสจะไปไหนอีก อย่าทิ้งผมไป”

“หยุดเรียกฉันว่าโรสได้แล้ว ถ้าขืนนายยังพูดไม่รู้เรื่อง คราวนี้ฉันสั่งสอนนายแน่ๆ”

“เอาสิ..คุณกล้าทำร้ายผัวตัวเองได้ลงคอก็เอาเลย”

กาเซียชะงัก มองเขาตาค้าง ยอดรักบ้างล่ะ อัลไลลาบ้างล่ะ คราวนี้มาผัว อืม..เห็นทีเธอจะทนไม่ไหวแล้ว กาเซียหลุดปากมาคำหนึ่งแปลว่ารำคาญในภาษากีซาลี แล้วเธอก็กระชากเสียงอย่างหงุดหงิดว่า “นายนี่มันพูดไม่รู้เรื่อง น่ารำคาญจริงๆ” พูดแล้วก็เหวี่ยงปลายเท้าเตะก้านคอเขา

ปลายเท้ายกได้สูงถึงปลายคางอัสมาร์ แต่เขาพลิ้วตัวหลบ ชายหนุ่มพยายามไม่ตอบโต้ เอาแต่ปัดป้อง

“ฉันเตือนนายแล้วนะ นายมันแส่หาเรื่องเอง” กาเซียพูดพลางออกหมัด กำปั้นหญิงสาวหนักหน่วงไม่มีออมแรง ทั้งเท้าทั้งหมัดปล่อยใส่เขาไม่ยั้ง อัสมาร์เบี่ยงตัวหลบ พลางปัดป้อง แต่กระนั้นก็ยังพลาด โดนกำปั้นหญิงสาวไปเต็มๆ เมื่อสู้ไม่ไหวหรืออีกนัยหนึ่งไม่อยากสู้ เขาจึงร้องขึ้นว่า

“โรส..นี่ผมสามีคุณนะ หยุดได้แล้ว ผมไม่อยากทำร้ายคุณ”

“หยุดหรือ” กาเซียย้อนคำเขาแล้วรัวกำปั้นใส่โหนกแก้มเขาไม่ยั้ง

อัสมาร์ตัดสินใจตะครุบตัวอีกฝ่าย พยายามจะจับมือหญิงสาวไพล่ไว้ข้างหลังให้ได้ จึงเกิดความชุมมุนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเกิดขึ้น สุดท้ายล้มลงไปกองกับหญ้าด้วยกันทั้งสองคน โดยอัสมาร์ทาบทับอยู่ข้างบน เธอพยายามดิ้นขลุกขลักแต่เขาจับมือไปไพล่ไว้เหนือศีรษะ ตาต่อตาประสานกันโดยไม่มีใครยอมหลบใคร หญิงสาวจ้องมองเขาอย่างดุดัน ขณะที่อัสมาร์มองหญิงสาวอย่างอ่อนโยนแฝงความรักใคร่

“โรส..ไหนบอกผมสิ ทำไมถึงฤทธิ์เยอะขนาดนี้”

กาเซียงอเข่ากระแทกกลางลำตัวเขาแทนคำตอบ อัสมาร์นิ่วหน้าแต่ยังพยายามข่มอาการจุก ขณะว่า “กะจะเอากันให้ตายไปข้างใช่ไหม”

กาเซียยังไม่พูด แต่โน้มตัวไปงับจมูกเขา

อัสมาร์สะดุ้งโหยง เขาสบถยาวเหยียดแต่เธอยังคงกัดไม่ยอมปล่อย อัสมาร์ไม่มีทางเลือกเขาลดมือข้างหนึ่งลงมาสัมผัสเนินอกหญิงสาว แล้วว่า “เอาสิโรส ถ้าคุณยังกัดไม่ยอมปล่อย ผมจับอกคุณไม่ปล่อยเหมือนกัน” อัสมาร์พูดแล้วทาบฝ่ามือลงบนทรวงอกราวกับยืนยันคำพูด ทรวงอกหญิงสาวผลิขยายออกตอบรับสัมผัสเขา ปฏิกิริยานั้นทำให้อัสมาร์ยิ้มกริ่ม มองไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอย่างเจ้าชู้ “หน้าอกคุณยังจำสัมผัสผมได้ คุณว่าไหมยอดรัก และคุณก็ยังคงอวบอิ่มพอดีกับมือผม”

กาเซียอ้าปากค้าง เป็นผลให้จมูกเขาหลุดจากคมฟันเธอ กาเซียจ้องมองเขาราวกับจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง อัสมาร์ผู้ชายที่เธออ่านประวัติจนจำขึ้นใจ ไม่ใช่คนเจ้าชู้ปากถึงมือถึงอย่างนี้ “เอามือนายออกไปจากตัวฉัน” กาเซียเน้นเสียงทีละคำ

“ถ้าผมบอกว่า..” อัสมาร์ลากเสียง ก่อนว่า “ไม่ล่ะ” พร้อมกับยืนยันคำพูด เขาเลื่อนมือไปสัมผัสหน้าอกอีกข้างอย่างท้าทาย

กาเซียใบหน้าแดงก่ำอย่างรู้สึกถูกสบประมาท “ไอ้คนกักขฬะ”

อัสมาร์แกล้งเบิ่งตาโต “ด่าสามีตัวเองหรือโรส”

“ฉันไม่ได้ชื่อโรส หยุดเรียกด้วยชื่อบ้าๆ นั่นเสียที” กาเซียแผดเสียงอย่างอดกลั้นไม่อยู่

อัสมาร์ชะงัก “ขำ..ถ้าคุณไม่ได้ชื่อโรสแล้วคุณจะชื่ออะไรอัลไลลา จะบอกว่าไม่ใช่เมียผมว่างั้นเถอะ” อัสมาร์แกล้งถาม “จะบอกอะไรให้นะยอดรัก ผมนอนกับคุณมาหนึ่งปีเต็ม หลับตาก็จินตนาการออกหมดแล้วว่ารูปร่างคุณเป็นยังไง ไฟฝ้าราคีอยู่ตรงไหน ถึงขนาดนี้แล้วจะว่าไม่ใช่เมีย แล้วมันเรียกว่าอะไรโรซาลินา จะบอกว่าแค่คู่นอนอย่างนั้นหรือ”

“ผัวะ” กาเซียตอบรับคำพูดเขาด้วยการตั๊นไปที่ใบหน้า หญิงสาวสะบัดมือออกจากมือเขา แล้วชกครึ่งปากครึ่งจมูก เรียกเลือดมุมปากซิบๆ ทันตาเห็น “นี่คือคำตอบสำหรับการดูถูกผู้หญิงของนาย”

อัสมาร์เบือนหน้ากลับมามองหญิงสาว เช็ดเลือดมุมปากแววตาร้อนแรง ใจนึกสงสัยว่าเธอไปเรียนวิชาป้องกันตัวมาจากไหนเพราะอดีตเธอไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย แม้กระทั่งเรื่องยิงปืนที่เขาเคี่ยวเข็ญให้หนักหนา

“เราคงต้องคุยกันยาวแล้วโรส เห็นทีผมคงต้องเตือนความจำคุณแล้วว่าคุณอยู่ในฐานะไหน” เขาพูดแล้วทำท่าลดศีรษะลงไปจูบริมฝีปากนุ่ม แต่ต้องชะงักค้างเมื่อเงาของมีดคมกริบกระทบเข้านัยน์ตา

เธอล้วงมีดมาจากไหนและตอนไหน เขาไม่ทันสังเกต พระเจ้า..ไวยังกะปรอท

“ลองคุยกับไอ้นี่ของฉันก่อนแล้วกัน” กาเซียพูดแล้วจ่อปลายมีดกับลำคอเขา มีดคมกริบส่องประกายวาววับ กาเซียจ้องตาเขา เห็นแววลังเลหวั่นไหวในนัยน์ตาสีสนิมเหล็กวูบหนึ่งก่อนเลือนหายกลายมาเป็นความนิ่งสงบเหมือนเดิม

“คุณกล้าหรือโรส”

กาเซียกดด้ามมีดลงบนคอเขาแทนคำพูด

อัสมาร์หน้าเผือดสีวูบหนึ่ง เมื่อรู้สึกได้ถึงอาการเจ็บแสบบริเวณลำคอที่โดนคมมีด เขานิ่วหน้า

“คราวนี้ก็ลงจากตัวฉัน ถ้ายังไม่อยากถูกเชือดคอ” กาเซียพูดเสียงต่ำในลำคออย่างเตือน

อัสมาร์แบมือขึ้นสองข้าง ทำท่ายอมแพ้ เขากลิ้งตัวลงจากตัวเธอ อีกฝ่ายขยับลุก เขาอาศัยจังหวะหญิงสาวเผลอเอื้อมมือจะไปกระชากมีด แต่อีกฝ่ายเร็วกว่า เธอหันมาปักมือลงบนต้นแขนเขาทันที อัสมาร์หน้าเผือดสีทันที มองแขนที่มีมีดปักอยู่อย่างคาดไม่ถึง เขาเหลียวไปมองหญิงสาวซึ่งบัดนี้สปริงตัวลุกยืนเรียบร้อยแล้ว

แววตาเขาต่อว่าโดยไม่มีคำพูด แต่กาเซียอ่านสายตานั้นออก เธอพูดเสียงเย็นๆ ว่า “ฉันเตือนนายแล้ว” แววตากาเซียไม่มีความสงสาร แล้วจังหวะนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อกาเซียแว่วมาแต่ไกล เธอเหลียวมองตามเสียงเมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ แล้วเธอก็เบือนกลับมามองเขาซึ่งบัดนี้นอนกุมแขนข้างที่ถูกคมมีด “นายยังดวงดีนะอัสมาร์ คราวหน้าที่เราเจอกัน นายจะไม่ดวงแข็งเหมือนวันนี้แน่”

“เดี๋ยว..” ทว่าไม่ทันเมื่อทันทีที่หญิงสาวพูดจบ ก็วิ่งผละหายไปทันที ไม่กี่วินาทีก็หายลับไปจากสายตา เธอว่องไวราวปีศาจในทะเลทรายหากคราวเดียวกันกลับเยือกเย็นเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง อัสมาร์หลับตาอย่างรู้สึกสะบักสะบอม ยังไม่กล้าดึงมีดออกเพราะกลัวว่าเลือดจะไหลออกมามากกว่านี้ ถามตัวเองว่าหญิงสาวรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ภรรยาเขา

ไม่สิ..เธอต้องรู้จักชื่อเขาอยู่แล้ว เพราะเธอคือภรรยาเขา หน้าตาอย่างนั้นทำไมเขาจะจำไม่ได้ เพียงแต่ทำไมเธอถึงทำท่าเหมือนจำเขาไม่ได้ ไม่ใช่แค่จำไม่ได้..แต่ดูเหมือนไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลยต่างหาก.. อัสมาร์แก้ความคิดตัวเอง แล้วหลับตาอย่างอ่อนระโหย

โรส.. อัสมาร์รำพึงแล้วสติดับวูบ ก่อนที่สติจะดับวูบเขาพลันได้ยินเสียงตะโกนเรียกของกามินทร์ แต่ทว่าเขาไม่มีแรงตอบ

“อัสมาร์ นายอยู่ที่ไหนนะ!”

.................................................


จบตอน















Create Date : 08 สิงหาคม 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 12:59:51 น.
Counter : 568 Pageviews.

3 comments
  
เปลี่ยนชื่อจากยามันเป็นกีซาลีเหรอคะพี่อุ๋ย แต่มิมนี่ว่าที่อัสมาร์คพูดกับกามินทร์ว่าข้า หรือพูดกับกาสมันว่าเจ้ามันแปลกๆนะคะ ถ้าพูดกับกามินทร์น่าจะเป็นนายกับฉัน พูดกับกาสมันน่าจะเป็นพี่กับเธอมากกว่านายกับข้าหรือเจ้ากับพี่(ความเห็นส่วนตัวค่ะ)

-"ไม่ล่ะ" อัสมาร์ปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด"ข้าไม่อยากกลับไปถูกเซ้าซี้ให้กลับมาอยู่บ้าน"........................แต่เมื่อพบว่า(ครอบครัวเอง)อาจเป็นคนลงมือฆ่าเธอ เขาก็ไม่นึกอยากกลับมาเหยียบอนาเซียอีกเลย
:==>เป็นครอบครัวตัวเอง หรือครอบครัวของเขาเองหรือเปล่าคะ

-"ฉันบอกให้หยุดไง ไม่ได้จะจับตัวเธอ แต่มีเรื่องจะคุยด้วย" อัสมาร์ตะโกนออกไป...............ความรู้สึกกลัวสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปอีกครั้ง จึงทำให้เขาพุ่งตัวออกไปอย่าง(ไม่ติดชีวิต)
:==>อย่างไม่คิดชีวิต

-คำพูดของกาเซียดูเหมือนไม่ผ่านหูอัสมาร์ เพราะเขายังคงพร่ำพรรณนาต่อไปว่า"คุณมาอยู่ที่กีซาลีได้กี่ปีแล้วโรส (คุณมาอยู่ที่ได้ยังไง)ไหนว่าคุณเสียชีวิตใน(อุบัตเหตุ).............โรสผมดีใจเหลือเกินที่คุณยังไม่ตาย ผมคิดถึงคุณ"
:==>คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ;==>อุบัติเหตุ

-อัสมาร์พร่ำพรรณนาโดยไม่ได้สังเกตว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ผ่านโสตประสาทของหญิงสาวที่อยู่(ใต้ล่างเขา)สักนิด............."ออกไปจากตัวฉัน"
:==>ใต้ร่างเขา
มิมนี่ขอย่อเอามาเฉพาะส่วนที่ผิดนะคะไม่ได้ยกมาทั้งหมดเหมือนก่อนแฮะแบบว่าขี้เกียจพิมพ์
โดย: mimny IP: 58.147.120.97 วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:1:40:33 น.
  
ลืมอีกย่อหน้าอ่ะ
-"พระเจ้า..คุณยังไม่ตายใช่ไหมโรส คุณยังไม่ตายใช่ไหม"อัสมาร์พร่ำถามประโยคเดิมกลับไปกลับมา.............คิดแล้วชายหนุ่มก็นึกอยากทวงคืนความรู้สึกเก่าๆยามที่มีเธออยู่(ค้างกาย)
:==>ข้างกาย
โดย: mimny IP: 58.147.120.97 วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:1:54:56 น.
  
ขอบคุณมากค่ะน้องมิมนี่ อืม แปลว่าน้องมิมนี่ต้องพิมพ์ทุกตัวเลยหรือคะ..รู้สึกผิดจัง.. แค่พิมพ์สามสี่คำที่ผิดแล้วพี่จะเซิร์ทหาเจอเองค่ะ ไม่ต้องพิมพ์ทั้งหมดก็ได้ ขอบคุณมากๆ ค่ะ..

ป.ล.1 รู้สึกอายจังบางคำง่ายๆ ยังสะกดผิด ค้างกาย แหะๆ..สงสัยจะเบลอสุดๆ
ป.ล.2 เรื่องสรรพนามแทนชื่อ พี่ได้แก้ไขตามที่น้องมิมนี่ว่าทุกอย่างค่ะ..

หวังว่าเรื่องนี้จะได้พิมพ์เดือนมีนาฯ นี้ แล้วจะส่งให้หนังสือให้น้องมิมนี่นะคะ ^ ^ แล้วพอใกล้ถึงช่วงนั้นจะขอที่อยู่น้องมิมนี่อีกทีค่ะ ^ ^
โดย: คณิตยา IP: 203.146.109.109 วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:14:42:03 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments