Group Blog
 
All blogs
 

กลับมาจากเมืองไทยแล้ว

กลับมานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านแล้ว
หลังจากไปเที่ยงกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรได้สัปดาห์นึง
ไม่ได้กลับไปเที่ยวสามปีนี่กรุงเทพฯ เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน
โดยเฉพาะแถวย่านสยาม เพลินจิต สุขุมวิท
คนเยอะ ตึกใหม่ๆ เยอะ ตึกเก่าๆ เอามาปรับปรุงใหม่ก็เยอะ
ละลานตา น่่าตื่นตาตื่นใจ
ขากลับซื้อของฝากให้กับตัวเอง
เป็นหนังสือไทยหลายเล่ม
ว่าจะทยอยอ่าน จะได้ไม่ล้าหลังสังคมไทยมากจนเกินไป

...'til the future..




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2550 3:14:37 น.
Counter : 393 Pageviews.  

ปารีส วันที่สอง


เมื่อปลายปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวปารีสกับอัมสเตอร์ดัมมาครับ ตอนนั้นเขียนไดอารี่เก็บรายละเอียดไ้ว้เยอะพอสมควร กะว่าจะเอามาเขียนเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในภายหลัง แต่เวลาไม่ค่อยจะอำนวยเท่าไหร่นัก โครงการเลยไม่ค่อยเดินไปไหนซักที แต่ความที่ว่าพอเขียนไว้บ้าง เลยคิดว่าเอามาโพสต์ไว้ที่นี้ดีกว่า เผื่อใครไปใครมาจะได้อ่านกันบ้าง ถ้ามีเวลาแล้วผมจะเขียนต่อนะครับ

** หมายเหตุ: สรรพนามบุรุษที่หนึ่งในเรื่องจะใช้คำว่า "เรา" นะครับ เพราะเราไปเที่ยวกันสองคน (เท่านั้นเอง)

วันที่สอง

เราตื่นเช้าแล้วลงไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหารชั้นล่าง รายการอาหารก็มีพวกขนมปังกับแฮมและชีสแบบต่างๆ น้ำผลไม้ โยเกิร์ต ฯลฯ และก็ปิดท้ายด้วยกาแฟ ทั้งหมดนี้เป็นแบบบริการตนเอง ใครอยากกินเท่าไหร่ก็ตักไปเท่านั้น ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นก็กินกันนิดหน่อยพอเป็นพิธี จะมีก็แต่เรานี่แหละที่กินซะเยอะเป็นพิเศษ ก็เรามาท่องเที่ยวทั้งทีต้องกินเอาพลังงานไว้ให้มากหน่อย จะได้เดินเที่ยวได้นานๆ ห้องอาหารนี้มีขนาดเล็ก ต้องนั่งเบียดกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับอึดอัดแต่ประการใด ข้อน่าสนใจที่สังเกตได้จากห้องอาหารคือ ชาวฝรั่งเศสเค้าพูดกันใช้น้ำเสียงค่อยๆ ส่วนนักท่องเที่ยวอเมริกันจะคุยกันเสียงดังไม่ค่อยจะเกรงใจคนอื่นนัก ก็เลยพอจะเข้าใจว่าทำไมชาวบ้านเค้าถึงค่อนข้างจะหมั่นไส้นักท่องเที่ยวอเมริกันกันนัก

เป้าหมายหลักในวันที่สองของเราคือ Musee Du Louvre (พิพิธภัณฑ์ลูฟว์) เรากะกันว่าจะเดินดูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลาหนึ่งวันนี้ เข้าใจกันว่าคงไม่สามารถดูครบทุกมุมทุกห้องแน่ๆ ก็ Lourvre น่ะใหญ่โตซะจะออกขนาดนั้น

เรานั่งรถไฟใต้ดินจากย่านโรงแรมไปถึง Louvre ใช้เวลาประมาณสิบนาที ลอดใต้แม่น้ำ Saine และก็ผ่านสถานีใหญ่อีกสองสามอันก็ถึงแล้ว เรียกว่าสะดวกสบายมาก ตัวสถานีอยู่ด้านข้างพิพิธภัณฑ์ เรียกว่าโผล่ขึ้นมาจากสถานีก็เดินทะลุใต้ตึกเข้าไปยังทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ได้พอดี

Louvre

ลักษณะของตัวอาคารของ Louvre นี่จะอธิบายให้เห็นภาพได้ยากซักหน่อย เพราะความที่มันเป็นกลุ่มอาคารหลายกลุ่มมาประกอบเข้าด้วยกัน ตามปกติแล้วเค้าจะแบ่งเป็นสามส่วนหลัก ส่วนแรกเรียกว่า Sully Wing อยู่ค่อนไปทางด้านตะวันออกสุด มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นลานกว้าง Sully Wing นี้เป็นส่วนที่สร้างเป็นส่วนแรกตั้งแต่สมัยยุคกลาง ก็เกือบๆ จะเจ็ดแปดร้อยปีที่แล้วโน่นแน่ะ ส่วนที่สองเค้าเรียกว่า Richelieu Wing มีลักษณะคล้ายกับตัวอักษร P ตะแคงข้าง แล้วเอาตรงหัวมาประกบเข้ากับมุมนึงของ Sully Wing ตรงกลางของ Richelieu Wing เค้าจัดให้เป็นสวนในร่มมีที่ให้นั่งพักเหนื่อยใตัร่มไม้ และก็เป็นที่รวมของงานปั้นของฝรั่งเศสในยุคต่างๆ มีงานปั้นหินอ่อนสวยๆ เต็มไปหมด อาคาส่วนสุดท้ายเค้าเรียกว่า Denon Wing มีลักษณะคล้ายกับ Richeliue Wing แต่อยู่ตรงกันข้ามกันโดยมี Napoleon Court คั่นอยู่ตรงกลาง Denon Wing นี้ถือว่าเป็นส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Louvre เพราะเป็นที่แสดงงานศิลประดับโลกอยู่หลายชิ้น เช่นภาพโมนาลิซ่า รูปปั้นหินอ่อน Venus de Milo และก็รูปปั้น Winged Victory of Samothrace รวมถึงภาพเขียนดังๆ อีกมากมาย

ตรงกลางระหว่างกลุ่มอาคารทั้งสามนี้เป็นลานกว้างขนาดใหญ่มากเรียกว่า Napoleon Court ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Pyramid กระจกขนาดมหึมา ปิระมิดนี่เค้าออกแบบเอาไว้เป็นทางเข้าหลักของ Louvre คือเราเดินเข้าตัวปิระมิดที่ระดับพื้นดิน แล้วก็ลงบันไดเลื่อนลงไปชั้นล่างซึ่งเค้าจัดให้เป็นส่วนขายตั๋ว ร้านขายของที่ระลึก ร้านหนังสือ และก็ส่วนบริการจิปาถะอย่างอื่นๆ นับว่าได้ประโยชน์ดีมากเพราะเป็นการรวมผู้เข้าชมให้มาเข้าตรงจุดนี้จุดเดียว เป็นผลทำให้นักท่องเที่ยวไม่ไปแออัดกันตรงตัวอาคารหลักอื่นๆ เรียกว่าจัด Traffic Control ได้ง่ายขึ้นมาก ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติได้ด้วย เพราะความที่ปิระมิดทำจากกระจก ทำให้แสงส่องผ่านลงไปถึงชั้นล่างได้ ที่มาที่ไปและก็เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนี่มีกล่าวถึงไว้พอสมควรในนิยายดัง The Da Vinci Code ของอีตาแดนบราวน์ ใครสนใจก็ลองไปหาอ่านกันเองดูละกันนะครับ

DSC_014776

พอลงบันไดเลื่อนไปด้านล่างก็จะเห็น Information Desk อยู่ตรงกลาง และก็ตรงด้านนอกมีเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติหน้าตาเหมือนตู้ ATM ตั้งกระจายอยู่ ใครอยู่ใกล้มุมไหนก็เดินไปซื้อตั๋วจากตรงนั้น เราว่าเป็นไอเดียที่ดีมากเพราะนักท่องเที่ยวจะไม่ไปกระจุกอยู่แค่ที่เดียวตรงเคาน์เตอร์ ตู้ขายตั๋วมีเมนูให้เลือกหลายภาษาทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ สแปนิช เยอรมัน อิตาเลียน ญี่ปุ่น จีน ไม่แน่ใจว่ามีภาษาไทยหรือเปล่านะ ตู้ขายตั๋วที่ว่านี้เราไม่ค่อยได้เห็นในอเมริกามากนัก หรือถ้ามีก็คงยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก

ความที่ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลมาเข้าชม Louvre เค้าก็เลยต้องมีวิธีการจัดการ visitor traffic กันเยอะหน่อย เราเขียนเรื่องนี้เยอะเพราะประทับใจมาก ก่อนมาเที่ยวนี่ทำใจไว้เยอะแล้วว่าต้องรอคิวนานแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ค่อยนานอย่างที่คิด ความที่เค้าบริหารงานกันอย่างมีระบบนั่นเอง อย่างตอนซื้อตั๋วเข้า Louvre นี่เราใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เสร็จเรียบร้อย สมราคาพิพิธภัณฑ์ระดับโลกจริงๆ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเริ่มต้นการทัวร์จากตรงใต้ถุนของปิระมิดนี่แหละ จากตรงนี้จะมีทางให้เลือกไปสี่ทาง ถ้าไปทางเหนือก็จะเป็นส่วนของ Richelieu Wing ทางด้านตะวันออกจะเป็น Sully Wing ด้านใต้จะเป็น Denon Wing และก็ด้านตะวันตกจะเป็นทางออกไปช้อปปิ้งเซนเตอร์เล็กๆ ที่มีปิระมิดคว่ำ Reverse Pyramid ที่โด่งดังมาจากนิยายขายดีของ Dan Brown เรื่อง Da Vinci Code ที่ตอนหลังเอามาทำเป็นภาพยนตร์มี ทอม แฮงค์ เล่นเป็นพระเอกนั่นแหละ พูดถึง Da Vinci Code แล้วมีเกร็ดอีกเล็กน้อย คือที่ Louvre นี่เค้ามี Da Vinci Code Tour ด้วยนะ สำหรับคนที่อินกับนิยายเรื่องนี้น่ะ คือเค้าจะพาไปดูจุดต่างๆ ใน Louvre ที่มีการพูดถึงในนิยาย มีคนไปกับทัวร์นี้เยอะเหมือนกัน

ตอนถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Da Vinci Code นี้ ทางประเทศฝรั่งเศสเค้าเปิดไฟเขียวอำนวยความสะดวกให้กองถ่ายเข้ามาถ่ายทำใน Louvre ได้เต็มที่ เพราะรู้ว่าเป็นการโปรโมทการท่องเที่ยวไปในตัว ซึ่งนับว่าได้ผลดีมาก เพราะหลังจากที่ Da Vinci Code ออกฉาย จำนวนผู้เข้าชม Louvre ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงกับขึ้นชั้นมาเบียดกับแชมป์เก่าตลอดกาลอย่าง British Museum ได้อย่างสูสีน่าดูชม

DSC_014788

กลับมาที่ตะลอนทัวร์ของเราต่อ หลังจากเราซื้อตั๋วเสร็จเราก็รีบเดินกึ่งวิ่งไปยัง Denon Wing ทันที จุดหมายแรกและเป็นอันที่สำคัญที่สุดสำหรับวันนี้คือต้องไปดูภาพโมนาลิซ่าให้ได้ และต้องรีบไปตั้งแต่เช้าด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอกับคลื่นของนักท่องเที่ยวที่ต่างก็ต้องการจะไปดูภาพวาดบรรลือโลกนี้ด้วยเช่นกัน ภาพโมนาลิซ่านี่อยู่บนชั้นสอง ในห้องโถงที่ดูเหมือนจะทำไว้สำหรับแขวนภาพนี้โดยเฉพาะ ตอนที่เราไปถึงยังมีคนชมไม่มากนัก เรียกว่ายังพอเบียดเข้าไปยืนแถวหน้าได้ไม่ยากนัก แต่ก็ไม่สามารถชื่นชมได้อยู่นานนักเพราะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เบียดกันเข้ามายืนแถวหน้าเช่นกัน เสียดายที่เค้าห้ามถ่ายภาพไมีงั้นจะเก็บเอาบรรยากาศมาให้ดูซะหน่อย ตอนนี้ก็ได้แต่เล่าให้ฟังละกัน ภาพโมนาลิซ่านั้นถูกเก็บไว้อยู่หลังกระจกหนามาก และถัดจากกระจกออกมาก็ยังมีราวระดับเอวกันไว้อีกชั้นนึง ทำให้ผู้ชมทำได้แค่ยืนดูอยู่ห่างๆ นัยว่าเพื่อความปลอดภัยของโมนาลิซ่านั่นเอง เรายืนชื่นชมกับภาพวาดได้พักใหญ่ อันที่จริงนอกจากจะดูภาพแล้วยังแบบสังเกตนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ด้วยอย่างเมามัน เอาไว้จะค่อยๆ เล่าให้ฟังในต่อนต่อไปละกันว่ามันเป็นยังไง หลังจากนั้นเราก็รีบเดินไปดูของสำคัญอีกอันนึงที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก คือรูปปั้น Venuse de Milo ซึ่งเป็นหญิงงามไม่มีแขน ตรงนี้เค้าให้ถ่ายรูปได้ ก็เลยมีนักท่องเที่ยวยืนออกันอยู่เยอะมาก ต่างก็พยายามจะเก็บภาพของรูปปั้นสำคัญนี้ไว้ ถัดจากนั้นก็เดินย้อนกลับมาตรง Winged Victory of Samothrace ซึ่งเป็นรูปปั้น อยู่ตรงโถงทางขึ้นบันได จากนั้นก็วกไปดูภาพ Madonna on the Rock ที่มีการกล่าวถึงในเรื่อง Da Vinci Code อีกนั่นแหละ อันที่จริงจะว่าไปแล้ว การที่เราอ่านหนังสือกับดูหนังเรื่องนั้นมาก่อน ทำให้การมาดู Louvre ของเราสนุกและมีจุดหมายขึ้นตั้งเยอะนะเนี่ย

La Pyramide Inversée

ถัดจากนั้นก็เป็นคิวของงานศิลปะที่สำคัญรองๆ ลงไป ซึ่งเราจำไม่ได้แล้วแฮะว่าไปดูอะไรมาบ้างเพราะเค้ามีเยอะเหลือเกิน แต่ที่จำได้อย่างนึงคือเค้าแยกภาพเขียนในยุค Impressionism ออกไปไว้ที่ Musee d’Orsay ซึ่งเป็นอีกพิพิธภัณฑ์นึงต่างหาก อันนั้นก็เป็นอีกจุดหมายนึงในปารีสที่เราตั้งใจจะไปเยี่ยมชมกัน

วันที่สองนี่ฝนตกเกือบทั้งวัน รู้สึกดีมากที่อยู่แต่ใน Museum เพราะถ้าออกไปข้างนอกคงจะทุลักทุเลไม่น้อย ก็ฝนตกในเดือนพฤศจิกายนนี่มันหนาวไม่ใช่เล่นเลยนะ ถึงมันจะไม่ last forever ก็ตามเหอะ (ลอกเนื้อเพลงของ Gun'n Roses เค้ามาน่ะ)
เราออกจาก Louvre ตอนที่เค้าปิดพอดี ออกมาข้างนอกฝนยังตกอยู่ แต่ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ตอนกลางคืนเค้าเปิดไฟประดับปิระมิดกับบริเวณรอบๆ แถวนั้น เราพยายามถ่ายรูปอยู่พักนึงแล้วก็รู้สึกว่าไม่ไหวแฮะ มันหนาวและมีลมแรงเกินไป ประกอบกับมีฝนตกด้วยเลยคิดว่าเลิกดีกว่า ก็เลยเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ และก็นั่งรถไฟกลับโรงแรม

ซื้ออาหารเย็นจากซุปเปอร์มาร์เกตแถวโรงแรม แล้วเอาขึ้นไปกินบนห้องพัก นั่งมองวิวออกไปนอกหน้าต่าง อากาศเย็นนิดหน่อยฝนตกพรำในตอนค่ำที่ปารีส โรแมนติกไม่น้อยเลยครับ

DSC_014783




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2550    
Last Update : 10 ตุลาคม 2550 21:22:15 น.
Counter : 2008 Pageviews.  

มองพม่า


เมื่อเช้านี้ก่อนออกไปทำงานนั่งดูข่าว CNN ได้พักนึง เห็นเค้าพูดถึงเรื่องความวุ่นวายในประเทศพม่าเพื่อนบ้านของเรา มีการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลนำโดยพระสงฆ์ และก็มีข่าวว่าเหตุการณ์เริ่มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วก็ไม่ค่อยน่าสบายใจเท่าไหร่นัก ความที่บ้านเค้าอยู่ใกล้บ้านเรา พอมีเรื่องเกิดขึ้นก็จะมีคนหนีข้ามแดนมาบ้านเรามากขึ้น กลายเป็นปัญหาสังคมให้กับประเทศไทยเราในที่สุด

จากนั้นเราก็เลยลองนั่งค้นข้อมูลใน wikipedia เกี่ยวกับประเทศพม่า กะว่าจะฟื้นฟูความรู้รอบตัวซะหน่อย เพราะความรู้่เดิมที่เรียนมาตอนมัธยมต้นนั้นส่งคืนท่านอาจารย์ไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ในเว็บนั้นเค้ามีแผนภาพทางภูมิศาสตร์ให้ดูแบบคร่าวๆ เราดูแ้ล้วก็ถึงกับอุทานออกมาในใจถึงความอุดมสมบูรณ์ของพม่า มิน่าล่ะไม่ว่าใครต่อใครต่างก็จ้องจะเ้ข้าไปทำูธุรกิจขอสัมปทานกันเป็นแถว ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย จีน หรือแม้แต่คนไทยเราเองก็เถอะ เสียแต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ทางการเมืองเค้าไม่ค่อยราบเรียบนัก ไม่งั้นคงได้เห็นกลุ่มนายทุนเข้าไปในพม่ากันมากกว่านี้




 

Create Date : 27 กันยายน 2550    
Last Update : 27 กันยายน 2550 10:15:26 น.
Counter : 393 Pageviews.  

Minneapolis - Detroit - Paris



เมื่อปลายปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวปารีสกับอัมสเตอร์ดัมมาครับ ตอนนั้นเขียนไดอารี่เก็บรายละเอียดไ้ว้เยอะพอสมควร กะว่าจะเอามาเขียนเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในภายหลัง แต่เวลาไม่ค่อยจะอำนวยเท่าไหร่นัก โครงการเลยไม่ค่อยเดินไปไหนซักที แต่ความที่ว่าพอเขียนไว้บ้าง เลยคิดว่าเอามาโพสต์ไว้ที่นี้ดีกว่า เผื่อใครไปใครมาจะได้อ่านกันบ้าง ถ้ามีเวลาแล้วผมจะเขียนต่อนะครับ

** หมายเหตุ: สรรพนามบุรุษที่หนึ่งในเรื่องจะใช้คำว่า "เรา" นะครับ เพราะเราไปเที่ยวกันสองคน (เท่านั้นเอง)

วันแรก

เราอออกเดินทางจากมินนิอาโปลิสตอนสายของวันเสาร์และก็ไปต่อเครื่องที่เมืองดีทรอยท์ มีช่วงหยุดพักไม่มากนักแต่พอจะเห็นได้ว่าสนามบินดีทร้อยท์จะมีรูปทรงออกเป็นแนวยาว ตัวเทอร์มินอลหลักเป็นเส้นตรง และก็มีรถไฟฟ้าวิ่งรับส่งผู้โดยสายตลอดทางยาวของ corridor สองข้างทางเดินมีร้านค้าร้านอาหารเต็มไปหมด สังเกตได้ว่าร้านอาหารที่ดีทร้อยท์จะหลากหลายกว่าที่มินนิอาโปลิส คงเป็นเพราะดีทร้อยท์มีคนหลายชาติหลายภาษากว่า และก็สนามบินที่ดีทร้อยท์มีจำนวนผู้โดยสารเยอะกว่าที่มินนิอาโปลิสมาก

ตอนแรกเรากะว่าจะมานอนเอาแรงบนเครื่องบินเพราะว่าระยะเวลาบินจากดีทร้อยท์ไปปารีสมันประมาณแปดชั่วโมงกว่าๆ แต่พอเอาเข้าจริงก็ได้นอนบนเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเองเนื่องจากมัวแต่นั่งเล่นเกมกับดูหนังเลยไม่ได้นอนพอดี

ฝนตกพรำๆ ตอนไปถึงที่สนามบิน Paris Charles de Gaulle (CDG) แต่อากาศไม่ได้หนาวเย็นจนเกินไป ออกจะชื้นๆ หน่อยและก็มีเมฆมาก ตอนเครื่องจะแลนดิ้ง เรามองออกไปทางช่องหน้าต่าง มองเห็นต้น cypress เป็นพุ่มเรียวๆ สูงๆ เหมือนที่เห็นในภาพเขียนดูแล้วแปลกตาดี
พิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ CDG ไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยากมากนักเทียบกับที่อเมริกา และก็รวดเร็วมาก เจ้าหน้าที่เค้าถามแค่ว่าจะมาเที่ยวกี่วันและจะเดินทางต่อไปไหนบ้าง แค่นั้นเอง จากนั้นก็ออกมายืนรอ shuttle bus ที่ด้านนอกของเทอร์มินอล เราจอง shuttle bus ผ่านทางอินเตอร์เน็ตมาตั้งแต่ก่อนจะออกเดินทาง คิดว่ามันน่าจะสบายกว่านั่งรถไฟเข้าไปในเมืองด้วยตัวเอง

shuttle bus เป็นรถแวน VW คันใหญ่ นั่งได้ 8 คน เรากะดาวนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ ด้านหลังเป็นนักท่องเที่ยวอเมริกันอีกหกคน ส่วนคนขับท่าทางสุภาพเรียบร้อย หน้าตาออกไปทางอาหรับ พูดภาษาอังกฤษชัดเปรี๊ยะ และก็เหน็บหูฟัง iPod ไปตลอดทาง ปาริสเป็นเมืองใหญ่ มีคนมากมายหลายชาติหลายภาษา เค้าว่ากันว่ามีความหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรมยิ่งกว่าที่ NYC ซะอีก จริงหรือเปล่าคงต้องลองติดตามดู

คนขับวนรถออกจากเขตสนามบินเข้าไฮเวย์ซึ่งมีรถวิ่งเยอะมาก แต่ละคันดูแปลกตาด้วยรูปทรงและก็สีสรร รถที่นี่ส่วนใหญ่คันเล็กดูคล่องแคล่วดี รถแวนของเราวิ่งได้พักนึงก็เข้าเขตเมือง บ้านคนเริ่มหนาแน่นขึ้น มีห้างสรรพสินค้าแบบ big box retail ให้เห็นอยู่ประปราย สลับกับอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมที่กระจายกันอยู่ออกไปตามเนินเขาเตี้ยๆ สองข้างทาง

ความรู้สึกแว่บแรกที่เห็นเขตชานเมืองของปารีสคือ มันคล้ายกรุงเทพฯ ในแง่ของความไม่ค่อยเป็นระเบียบนักของสิ่งปลูกสร้าง คือมีตึกสูงเตี้ยอยู่สลับกันไปหมดและก็หน้าตาไม่ค่อยกลมกลืนกันนัก คือมีทั้งใหม่และเก่าคละกันไป แต่ของปารีสดูจะวางผังเมืองได้ดีกว่าบ้านเรา ขณะที่นิวยอร์คนั้นรูปตึกอาคารส่วนใหญ่จะคล้ายกันคือออกทึมๆ เหมือนกันไปหมด ก็ไม่รู้ว่าอย่างไหนจะดีกว่ากันนะ

จากนั้นรถวิ่งผ่านถนนวงแหวนเข้าสุ่เขตปารีสชั้นใน คราวนี้ตึกรามบ้านช่องจะดูดีขึ้นมาก เค้าน่าจะมีกฏระเบียบห้ามดัดแปลงอาคารเก่านะ เพราะตึกเกือบทั้งหมดจะมีหน้าตาออกไปในทางเดียวกัน และส่วนใหญ่จะมีความสูงไล่เรี่ยกัน ไม่มีตึกสูงมากๆ ให้เห็นเกะกะสายตา รถเราวิ่งผ่านกลางเมืองปารีสได้พักนึงก็ข้ามสะพานไปยังฝั่งซ้ายของแม่น้ำ Saine และอีกไม่นานนัก็ถึงโรงแรมของเรา

โรงแรมของเราอยู่ตรงรอยต่อของเขต Arrondissement ที่ 6 กับ 13 บนถนน St.Marcel ใกล้กับสถานีรถใต้ดิน Le Goublin ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ Saine นับว่าไม่ไกลจากศูนย์กลางของปารีสมากนัก โรงแรมเป็นโรงแรมเล็กๆ หกชั้น มีห้องซักประมาณ 40 ห้องเห็นจะได้ ชั้นล่างเป็น Front Desk และก็มีห้องอาหารเช้าอยู่ด้านหลังออกไปนิดนึง พนักงานต้อนรับที่ Front Desk เป็นหนุ่มน้อยอารมณ์ดี พูดอังกฤษคล่องแคล่วมีแอ็กเซ่นฝรั่งเศสเล็กน้อย ความที่เราไปถึงโรงแรมก่อนเวลา Check-in เค้าเลยแนะนำให้ไปเดินเล่นแถวนั้นก่อนซักหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยกลับมา จะได้รอให้เหมดเข้าไปจัดเตรียมห้องให้ก่อน เราเลยทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ที่โรงแรมและก็ออกเดินเท้าสำรวจบริเวณรอบๆ แถวนั้น กะว่าจะไปหาซื้อตั๋วรถไฟเตรียมไว้จะได้ไม่เสียเวลา เพราะวางแผนไว้แต่แรกแล้วว่าจะไปเดินแถว Montmarte ในบ่ายวันแรกนี้แหละ

สถานีรถใต้ดินอยู่ตรงสี่แยก ใกล้กับโรงแรมมาก เดินแค่ห้านาทีก็ถึงแล้ว ตรงสี่แยกมีร้านค้า ธนาคาร และก็ร้านอาหารเยอะแยะ มีกระทั่งแม็คโดนัลด์และร้านจีน ดูแล้วคงไม่อดตายแน่นอน เราซื้อตั๋วรถไฟเสร็จก็ตัดสินใจเดินเลี้ยวขวาข้ามถนนไปดูตลาดนัดเล็กๆ ที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน มีร้านขายขนนตั้งอยู่เรียงราย สลับกับร้านขายงานศิลปะพวกภาพเขียนหรือรูปปั้นขนาดต่างๆ แต่ไม่ค่อยมีคนเดินดูมากนัก ไม่ไกลจากนั้นมีจตุรัสขนาดย่อมๆ มีนักดนตรีเล่นเพลงโดยใช้แอคคอร์เดียน และก็มีคนจับคู่เต้นรำอยู่หลายคู่เหมือนกัน ความที่ว่าวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ และอากาศดี ท้องฟ้าใสหลังจากฝนตก ก็เลยมีผู้คนออกมาเดินเล่นข้างนอกเยอะ ทำให้บรรยากาศแถวนั้นครึกครื้นไม่น้อย พอเดินเลยออกไปหน่อยถนนกว้างก็กลายเป็นตรอกแคบ ที่เต็มไปด้วยร้านค้า พวกร้านขายเนื้อ ชีสและขนนต่างๆ ดูแล้วรู้สึกว่าย่านนี้น่าจะเป็นตลาดที่คนเมืองเค้ามาซื้อหาอาหารสดกัน ถือถุงใส่ขนมปังฝรั่งเศสก้อนยาวๆ เราเดาเอาว่าไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก

เดินเตร่ไปมาได้ซักพักก็ถึงเวลากลับไปโรงแรม เราได้ห้องบนชั้นสี่อยู่ตรงหัวมุมของถนนเล็กตัดกับถนนใหญ่ St.Marcell มองออกจากระเบียงจะเห็นถนนใหญ่วิ่งออกไปไกล และก็เห็นทัศนียภาพของกรุงปารีสได้ดี นับว่าไม่เลวทีเดียว

ห้องพักมีขนาดเล็กมากถ้าเทียบกับมาตรฐานอเมริกัน วางเตียงคู่ขนาด queen size ลงไปก็เกือบจะเต็มห้องแล้ว มีที่ให้วางกระเป๋าเดินทางอีกนิดหน่อย ฝรั่งอเมริกันมาเห็นเข้าคงมึนไปเหมือนกัน แต่เราว่านี่แหละถือว่าดีแล้ว ใช้เนื้อที่ได้คุ้มค่าดีทุกตารางนิ้ว ในห้องมีตู้เสื้อผ้าขนาดย่อม และโต๊ะทำงานที่หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง และก็มีทีวีแบบจอแบนแขวนอยู่บนผนัง ส่วนห้องน้ำอยู่แยกออกไปอีกทางนึง ห้องน้ำกว้างขวางสะดวกสะบายมาก ผนังและเครื่องสุขภัณฑ์ทาสีขาวล้วนทำให้ดูโปร่งตาขึ้นไปอีก โดยรวมๆ เราว่าเป็นห้องพักที่ดีใช้ได้เลย

หลังจากจัดของเข้าห้องพักเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเที่ยวซะที จุดหมายแรกของเราในวันแรกนี้อยู่ที่ Sacre Couer ในย่าย Mont Marte ทางด้านตอนเหนือของเมือง
เรานั่งนรถไฟใต้ดินจากสถานีแถวที่พัก ผ่านใจกลางเมืองไปต่อสายที่สอง และก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง ใช้เวลาทั้งหมดประมาณครึ่งชั่วโมง เรื่องรถไฟใต้ดิน หรือที่เค้าเรียกกันว่า Metro นี้มีเรื่องประทับใจจะเล่าให้ฟังอีกเยอะ เอาไว้ว่ากันวันหลังละกัน ถ้าไม่ลืมไปซะก่อนนะ

Sacre Couer นี้เป็นโบสถ์ใหญ่สีขาวสร้างมาไม่นานนัก น่าจะประมาณร้อยกว่าปีเท่านั้น ทำเลที่ตั้งสวยมากเพราะอยู่บนเนินสูงซึ่งว่ากันว่าเป็นเนินที่สูงที่สุดในเขตเมืองปารีส ความที่ที่ตั้งอยู่บนที่สูงอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ Sacre Coure มองเห็นได้จากแต่ไกล และในทางกลับกันถ้าไปยืนอยู่ที Sacre Couer ก็จะมองเห็นออกไปรอบๆ ปารีสได้ไกลมากเช่นกัน

Basilique du Sacré-Cœur

จากสถานีรถไฟ เราเดินลัดเลาะขึ้นเนินผ่านถนนเล็กที่มีร้านค้า ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกอยู่เต็มสองข้างทาง มีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ เดินได้พักนึงก็จะถึงบริเวณ plaza ชั้นแรก ตรงนี้เรามีทางเลือกสองทางคือจะนั่งรถรางขึ้นเขาไปจนถึงโบสถ์หรือจะเดินนับขั้นบันไดขึ้นไปเอง (เหมือนกับตรงวันพระธาตุดอยสุเทพที่เชียงใหม่) เราเลือกจะเดินบันไดเพราะเห็นว่ามันไม่ค่อยจะสูงนัก และก็ไม่อยากต้องไปรอคิวขึ้นรถราง

พอเดินขึ้นไปถึงเกือบถึงด้านบนสุด จะมี plaza เล็กๆ อีกอันนึง ติดกับบันไดกว้างที่เป็นทางขึ้นไปสู่ตัวโบสถ์ มีพวกนักดนตรีมาเปิดการแสดงย่อยๆ พวกเล่นกีต้าร์ร้องเพลง คนนั่งฟังกันเต็มขั้นบันไดกว้างที่อยู่ด้านหน้าโบสถ์ จากจุดนี้มองออกไปทางทิศใต้จะเห็นตัวเมืองปารีสไปสุดสายตา มองเห็นหอไอเฟลอยู่ลิบๆ และถ้ามองเลยไปทางขวาอีกนิดจะเห็น La Defence อันเป็นย่านตึกสูงที่อยู่นอกเขตเมืองปารีสออกไปหน่อย มีคนมานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกดินกันเยอะมาก บรรยากาศคงจะโรแมนติคไม่น้อยถ้าไม่ติดที่จำนวนนักท่องเที่ยวมากมายแถวนั้น เราเดินถ่ายรูปอยู่แถวนั้นได้พักนึงอากาศก็เริ่มจะเย็นลง ก็เลยเดินเข้าไปในโบสถ์ดูซะหน่อยว่าข้างในมีอะไร เค้าห้ามถ่ายรูปด้านในนะ นัยว่าเพื่อความเงียบสงบของศาสนสถาน ภายในโบสถ์ถือว่าตกแต่งได้อลังการณ์พอประมาณ และก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวอีกเช่นกัน

Basilique du Sacré-Cœur

เสร็จจากการทัวร์ดูโบสถ์ก็ถึงรายการต่อไป เรานั่งรถไฟอ้อมไปยังทิศตะวันตกของเมืองปารีส จุดหมายของเราคือหอไอเฟลซึ่งอยู่ริมแม่น้ำ Saine ตอนนั้นเริ่มได้เวลาพลบค่ำแล้ว อากาศก็เริ่มจะเย็นลงเรื่อยๆ ขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินมาปุ๊บก็เห็นหอไอเฟลอยู่ไม่ไกลออกไปนัก เดินแค่ไม่เกินสิบนาทีก็ไปถึง พอฟ้ามืดแล้วเค้าจะเปิดไฟประดับหอไอเฟลให้กลายเป็นสีเหลืองทอง สลับกับเปิดไฟระยิบระยับเต็มโครงสร้าง ดูแล้วแปลกตาและสร้างสรรไปอีกแบบ ความที่นักท่องเที่ยวเยอะก็เลยมีพ่อค้านำของที่ระลึกมาขายเต็มไปหมด ที่เห็นมีมากที่สุดเห็นจะเป็นหอไอเฟลจำลองทำจากพลาสติกและก็ติดหลอดไฟไว้ข้างในเป็นสีต่างๆ แต่เท่าที่ดูก็ไม่เห็นจะมีใครซื้อซักเท่าไร เห็นจะมีแต่คนขายเป็นส่วนมาก

DSC_014565

เราเดินถ่ายรูปอยู่ใต้ฐานของหอไอเฟลได้พักใหญ่ๆ ก็ถึงเวลากลับ ตัดสินใจไม่ขึ้นไปด้านบนเพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันแล้ว ประกอบกับอากาศเริ่มจะเย็นลงอย่างรู้สึกได้ชัดเลยคิดว่ากลับโรงแรมไปพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้ยังมีอะไรๆ ให้ดูอีกเยอะ
ขากลับเรานั่งรถไฟจากหอไอเฟลที่อยู่ด้านตะวันตกของเมือง อ้อมลงมาทางใต้แล้วมาต่อรถอีกสายนึงที่สถานี Place d'italie ก็จะถึงโรงแรมตรงย่าน Les Gobelins พอดี

อาหารเย็นสำหรับวันแรกนี้คือบิ๊กแม็กจากแม็กโดนัลด์ที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรมนั่นเอง เมนูไม่ค่อยเหมือนกับที่อเมริกาซะทีเดียวนัก คนขายก็ไม่ค่อยจะพูดภาษาอังกฤษเท่าไหร อาศัยว่าคุณภรรยาเราพอจะพูดฝรั่งเศสได้บ้างเลยเอาตัวรอดไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เราซื้อแล้วเอากลับมากินในห้องที่โรงแรม มองออกไปข้างนอกชมมหานครปารีสยามค่ำคืน ถนน St.Marcel ตรงหน้าโรงแรมก็เปิดโคมไฟถนนสว่างไสวตลอดถนน บรรยากาศดีไม่เลวเลยสำหรับค่ำวันแรกในปารีสของเรา




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2550    
Last Update : 12 สิงหาคม 2550 12:16:34 น.
Counter : 635 Pageviews.  

ไม่ได้อัพเดทบล็อกซะนาน


ไม่ได้แวะมาทำบล็อกนี้ซะนาน กลับมาเขียนอะไรเล่นๆ ดูหน่อยดีกว่า ไม่ังั้นเดี่ยวจะถูก foreclosure

วันนี้ไปกินขนมจีบซาละเปามาครับ เืมืองที่ผมอยู่ไม่ค่อยจะมีชุมชนชาวจีนมากมายนัก ทั้งๆ ที่เป็นเมืองใหญ่พอใช้ได้เลย ดังนั้นก็เลยไม่่ค่อยมีร้านอาหารจีนดีๆ ให้เลือกมากนัก และแต่ละร้านที่มีอยู่ก็มีลูกค้าแน่นเป็นประจำ

ร้านที่ไปวันนี้อยุ่ออกไปทางด้านทิศตะวันตกของดาวน์ทาวน์ ขับรถออกไปซักเกือบๆ สิบนาที เรียกว่าไม่ไกลจนเิิกินไปนัก เป็นร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่นัก วันธรรมดาขายอาหารจีน ส่วนวันสุดสัปดาห์เค้าจะขายขนมจีบซาละเปาเป็นพิเศษ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวจีน หรือชาวเอเซียที่พักอาศัยอยู่ชานเมืองด้านตะวันตกของมินนิอาโปลิส และก้มีฝรั่งอเมริกันบ้างประปราย

กินอิ่มเสร็จแล้วก็เอารถไปล้างต่อที่ร้านล้างรถที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก ร้านนี้ำดำเนินการโดยชาวเม็กซิกันเกือบทั้งหมด พวกนี้ำทำงานเร็ว และบริการดีเหลือหลาย แค่ขับรถเข้าไปจอดและก็เืลือกรายการที่ต้องการ จากนั้นก็เดินไปจ่ายตัง และก็รอรับรถได้เลย ใช้เวลาัทั้งหมดไม่เกินสิบห้านาที

เขียนไปเขียนมาแล้วก็ยังหาสาระหรือประเด็นสำคัญไม่ได้ซะที งั้นก็จบซะดื้อๆ ตรงนี้ละกัน

สวัสดี




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2550 3:38:46 น.
Counter : 361 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

hvacboy
Location :
Minneapolis, Minnesota United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




www.flickr.com
This is a Flickr badge showing photos in a set called Twin Cities. Make your own badge here.
Friends' blogs
[Add hvacboy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.