Group Blog
 
All blogs
 
Minneapolis - Detroit - Paris



เมื่อปลายปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวปารีสกับอัมสเตอร์ดัมมาครับ ตอนนั้นเขียนไดอารี่เก็บรายละเอียดไ้ว้เยอะพอสมควร กะว่าจะเอามาเขียนเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในภายหลัง แต่เวลาไม่ค่อยจะอำนวยเท่าไหร่นัก โครงการเลยไม่ค่อยเดินไปไหนซักที แต่ความที่ว่าพอเขียนไว้บ้าง เลยคิดว่าเอามาโพสต์ไว้ที่นี้ดีกว่า เผื่อใครไปใครมาจะได้อ่านกันบ้าง ถ้ามีเวลาแล้วผมจะเขียนต่อนะครับ

** หมายเหตุ: สรรพนามบุรุษที่หนึ่งในเรื่องจะใช้คำว่า "เรา" นะครับ เพราะเราไปเที่ยวกันสองคน (เท่านั้นเอง)

วันแรก

เราอออกเดินทางจากมินนิอาโปลิสตอนสายของวันเสาร์และก็ไปต่อเครื่องที่เมืองดีทรอยท์ มีช่วงหยุดพักไม่มากนักแต่พอจะเห็นได้ว่าสนามบินดีทร้อยท์จะมีรูปทรงออกเป็นแนวยาว ตัวเทอร์มินอลหลักเป็นเส้นตรง และก็มีรถไฟฟ้าวิ่งรับส่งผู้โดยสายตลอดทางยาวของ corridor สองข้างทางเดินมีร้านค้าร้านอาหารเต็มไปหมด สังเกตได้ว่าร้านอาหารที่ดีทร้อยท์จะหลากหลายกว่าที่มินนิอาโปลิส คงเป็นเพราะดีทร้อยท์มีคนหลายชาติหลายภาษากว่า และก็สนามบินที่ดีทร้อยท์มีจำนวนผู้โดยสารเยอะกว่าที่มินนิอาโปลิสมาก

ตอนแรกเรากะว่าจะมานอนเอาแรงบนเครื่องบินเพราะว่าระยะเวลาบินจากดีทร้อยท์ไปปารีสมันประมาณแปดชั่วโมงกว่าๆ แต่พอเอาเข้าจริงก็ได้นอนบนเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเองเนื่องจากมัวแต่นั่งเล่นเกมกับดูหนังเลยไม่ได้นอนพอดี

ฝนตกพรำๆ ตอนไปถึงที่สนามบิน Paris Charles de Gaulle (CDG) แต่อากาศไม่ได้หนาวเย็นจนเกินไป ออกจะชื้นๆ หน่อยและก็มีเมฆมาก ตอนเครื่องจะแลนดิ้ง เรามองออกไปทางช่องหน้าต่าง มองเห็นต้น cypress เป็นพุ่มเรียวๆ สูงๆ เหมือนที่เห็นในภาพเขียนดูแล้วแปลกตาดี
พิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ CDG ไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยากมากนักเทียบกับที่อเมริกา และก็รวดเร็วมาก เจ้าหน้าที่เค้าถามแค่ว่าจะมาเที่ยวกี่วันและจะเดินทางต่อไปไหนบ้าง แค่นั้นเอง จากนั้นก็ออกมายืนรอ shuttle bus ที่ด้านนอกของเทอร์มินอล เราจอง shuttle bus ผ่านทางอินเตอร์เน็ตมาตั้งแต่ก่อนจะออกเดินทาง คิดว่ามันน่าจะสบายกว่านั่งรถไฟเข้าไปในเมืองด้วยตัวเอง

shuttle bus เป็นรถแวน VW คันใหญ่ นั่งได้ 8 คน เรากะดาวนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ ด้านหลังเป็นนักท่องเที่ยวอเมริกันอีกหกคน ส่วนคนขับท่าทางสุภาพเรียบร้อย หน้าตาออกไปทางอาหรับ พูดภาษาอังกฤษชัดเปรี๊ยะ และก็เหน็บหูฟัง iPod ไปตลอดทาง ปาริสเป็นเมืองใหญ่ มีคนมากมายหลายชาติหลายภาษา เค้าว่ากันว่ามีความหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรมยิ่งกว่าที่ NYC ซะอีก จริงหรือเปล่าคงต้องลองติดตามดู

คนขับวนรถออกจากเขตสนามบินเข้าไฮเวย์ซึ่งมีรถวิ่งเยอะมาก แต่ละคันดูแปลกตาด้วยรูปทรงและก็สีสรร รถที่นี่ส่วนใหญ่คันเล็กดูคล่องแคล่วดี รถแวนของเราวิ่งได้พักนึงก็เข้าเขตเมือง บ้านคนเริ่มหนาแน่นขึ้น มีห้างสรรพสินค้าแบบ big box retail ให้เห็นอยู่ประปราย สลับกับอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมที่กระจายกันอยู่ออกไปตามเนินเขาเตี้ยๆ สองข้างทาง

ความรู้สึกแว่บแรกที่เห็นเขตชานเมืองของปารีสคือ มันคล้ายกรุงเทพฯ ในแง่ของความไม่ค่อยเป็นระเบียบนักของสิ่งปลูกสร้าง คือมีตึกสูงเตี้ยอยู่สลับกันไปหมดและก็หน้าตาไม่ค่อยกลมกลืนกันนัก คือมีทั้งใหม่และเก่าคละกันไป แต่ของปารีสดูจะวางผังเมืองได้ดีกว่าบ้านเรา ขณะที่นิวยอร์คนั้นรูปตึกอาคารส่วนใหญ่จะคล้ายกันคือออกทึมๆ เหมือนกันไปหมด ก็ไม่รู้ว่าอย่างไหนจะดีกว่ากันนะ

จากนั้นรถวิ่งผ่านถนนวงแหวนเข้าสุ่เขตปารีสชั้นใน คราวนี้ตึกรามบ้านช่องจะดูดีขึ้นมาก เค้าน่าจะมีกฏระเบียบห้ามดัดแปลงอาคารเก่านะ เพราะตึกเกือบทั้งหมดจะมีหน้าตาออกไปในทางเดียวกัน และส่วนใหญ่จะมีความสูงไล่เรี่ยกัน ไม่มีตึกสูงมากๆ ให้เห็นเกะกะสายตา รถเราวิ่งผ่านกลางเมืองปารีสได้พักนึงก็ข้ามสะพานไปยังฝั่งซ้ายของแม่น้ำ Saine และอีกไม่นานนัก็ถึงโรงแรมของเรา

โรงแรมของเราอยู่ตรงรอยต่อของเขต Arrondissement ที่ 6 กับ 13 บนถนน St.Marcel ใกล้กับสถานีรถใต้ดิน Le Goublin ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ Saine นับว่าไม่ไกลจากศูนย์กลางของปารีสมากนัก โรงแรมเป็นโรงแรมเล็กๆ หกชั้น มีห้องซักประมาณ 40 ห้องเห็นจะได้ ชั้นล่างเป็น Front Desk และก็มีห้องอาหารเช้าอยู่ด้านหลังออกไปนิดนึง พนักงานต้อนรับที่ Front Desk เป็นหนุ่มน้อยอารมณ์ดี พูดอังกฤษคล่องแคล่วมีแอ็กเซ่นฝรั่งเศสเล็กน้อย ความที่เราไปถึงโรงแรมก่อนเวลา Check-in เค้าเลยแนะนำให้ไปเดินเล่นแถวนั้นก่อนซักหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยกลับมา จะได้รอให้เหมดเข้าไปจัดเตรียมห้องให้ก่อน เราเลยทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ที่โรงแรมและก็ออกเดินเท้าสำรวจบริเวณรอบๆ แถวนั้น กะว่าจะไปหาซื้อตั๋วรถไฟเตรียมไว้จะได้ไม่เสียเวลา เพราะวางแผนไว้แต่แรกแล้วว่าจะไปเดินแถว Montmarte ในบ่ายวันแรกนี้แหละ

สถานีรถใต้ดินอยู่ตรงสี่แยก ใกล้กับโรงแรมมาก เดินแค่ห้านาทีก็ถึงแล้ว ตรงสี่แยกมีร้านค้า ธนาคาร และก็ร้านอาหารเยอะแยะ มีกระทั่งแม็คโดนัลด์และร้านจีน ดูแล้วคงไม่อดตายแน่นอน เราซื้อตั๋วรถไฟเสร็จก็ตัดสินใจเดินเลี้ยวขวาข้ามถนนไปดูตลาดนัดเล็กๆ ที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน มีร้านขายขนนตั้งอยู่เรียงราย สลับกับร้านขายงานศิลปะพวกภาพเขียนหรือรูปปั้นขนาดต่างๆ แต่ไม่ค่อยมีคนเดินดูมากนัก ไม่ไกลจากนั้นมีจตุรัสขนาดย่อมๆ มีนักดนตรีเล่นเพลงโดยใช้แอคคอร์เดียน และก็มีคนจับคู่เต้นรำอยู่หลายคู่เหมือนกัน ความที่ว่าวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ และอากาศดี ท้องฟ้าใสหลังจากฝนตก ก็เลยมีผู้คนออกมาเดินเล่นข้างนอกเยอะ ทำให้บรรยากาศแถวนั้นครึกครื้นไม่น้อย พอเดินเลยออกไปหน่อยถนนกว้างก็กลายเป็นตรอกแคบ ที่เต็มไปด้วยร้านค้า พวกร้านขายเนื้อ ชีสและขนนต่างๆ ดูแล้วรู้สึกว่าย่านนี้น่าจะเป็นตลาดที่คนเมืองเค้ามาซื้อหาอาหารสดกัน ถือถุงใส่ขนมปังฝรั่งเศสก้อนยาวๆ เราเดาเอาว่าไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก

เดินเตร่ไปมาได้ซักพักก็ถึงเวลากลับไปโรงแรม เราได้ห้องบนชั้นสี่อยู่ตรงหัวมุมของถนนเล็กตัดกับถนนใหญ่ St.Marcell มองออกจากระเบียงจะเห็นถนนใหญ่วิ่งออกไปไกล และก็เห็นทัศนียภาพของกรุงปารีสได้ดี นับว่าไม่เลวทีเดียว

ห้องพักมีขนาดเล็กมากถ้าเทียบกับมาตรฐานอเมริกัน วางเตียงคู่ขนาด queen size ลงไปก็เกือบจะเต็มห้องแล้ว มีที่ให้วางกระเป๋าเดินทางอีกนิดหน่อย ฝรั่งอเมริกันมาเห็นเข้าคงมึนไปเหมือนกัน แต่เราว่านี่แหละถือว่าดีแล้ว ใช้เนื้อที่ได้คุ้มค่าดีทุกตารางนิ้ว ในห้องมีตู้เสื้อผ้าขนาดย่อม และโต๊ะทำงานที่หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง และก็มีทีวีแบบจอแบนแขวนอยู่บนผนัง ส่วนห้องน้ำอยู่แยกออกไปอีกทางนึง ห้องน้ำกว้างขวางสะดวกสะบายมาก ผนังและเครื่องสุขภัณฑ์ทาสีขาวล้วนทำให้ดูโปร่งตาขึ้นไปอีก โดยรวมๆ เราว่าเป็นห้องพักที่ดีใช้ได้เลย

หลังจากจัดของเข้าห้องพักเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเที่ยวซะที จุดหมายแรกของเราในวันแรกนี้อยู่ที่ Sacre Couer ในย่าย Mont Marte ทางด้านตอนเหนือของเมือง
เรานั่งนรถไฟใต้ดินจากสถานีแถวที่พัก ผ่านใจกลางเมืองไปต่อสายที่สอง และก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง ใช้เวลาทั้งหมดประมาณครึ่งชั่วโมง เรื่องรถไฟใต้ดิน หรือที่เค้าเรียกกันว่า Metro นี้มีเรื่องประทับใจจะเล่าให้ฟังอีกเยอะ เอาไว้ว่ากันวันหลังละกัน ถ้าไม่ลืมไปซะก่อนนะ

Sacre Couer นี้เป็นโบสถ์ใหญ่สีขาวสร้างมาไม่นานนัก น่าจะประมาณร้อยกว่าปีเท่านั้น ทำเลที่ตั้งสวยมากเพราะอยู่บนเนินสูงซึ่งว่ากันว่าเป็นเนินที่สูงที่สุดในเขตเมืองปารีส ความที่ที่ตั้งอยู่บนที่สูงอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ Sacre Coure มองเห็นได้จากแต่ไกล และในทางกลับกันถ้าไปยืนอยู่ที Sacre Couer ก็จะมองเห็นออกไปรอบๆ ปารีสได้ไกลมากเช่นกัน

Basilique du Sacré-Cœur

จากสถานีรถไฟ เราเดินลัดเลาะขึ้นเนินผ่านถนนเล็กที่มีร้านค้า ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกอยู่เต็มสองข้างทาง มีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ เดินได้พักนึงก็จะถึงบริเวณ plaza ชั้นแรก ตรงนี้เรามีทางเลือกสองทางคือจะนั่งรถรางขึ้นเขาไปจนถึงโบสถ์หรือจะเดินนับขั้นบันไดขึ้นไปเอง (เหมือนกับตรงวันพระธาตุดอยสุเทพที่เชียงใหม่) เราเลือกจะเดินบันไดเพราะเห็นว่ามันไม่ค่อยจะสูงนัก และก็ไม่อยากต้องไปรอคิวขึ้นรถราง

พอเดินขึ้นไปถึงเกือบถึงด้านบนสุด จะมี plaza เล็กๆ อีกอันนึง ติดกับบันไดกว้างที่เป็นทางขึ้นไปสู่ตัวโบสถ์ มีพวกนักดนตรีมาเปิดการแสดงย่อยๆ พวกเล่นกีต้าร์ร้องเพลง คนนั่งฟังกันเต็มขั้นบันไดกว้างที่อยู่ด้านหน้าโบสถ์ จากจุดนี้มองออกไปทางทิศใต้จะเห็นตัวเมืองปารีสไปสุดสายตา มองเห็นหอไอเฟลอยู่ลิบๆ และถ้ามองเลยไปทางขวาอีกนิดจะเห็น La Defence อันเป็นย่านตึกสูงที่อยู่นอกเขตเมืองปารีสออกไปหน่อย มีคนมานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกดินกันเยอะมาก บรรยากาศคงจะโรแมนติคไม่น้อยถ้าไม่ติดที่จำนวนนักท่องเที่ยวมากมายแถวนั้น เราเดินถ่ายรูปอยู่แถวนั้นได้พักนึงอากาศก็เริ่มจะเย็นลง ก็เลยเดินเข้าไปในโบสถ์ดูซะหน่อยว่าข้างในมีอะไร เค้าห้ามถ่ายรูปด้านในนะ นัยว่าเพื่อความเงียบสงบของศาสนสถาน ภายในโบสถ์ถือว่าตกแต่งได้อลังการณ์พอประมาณ และก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวอีกเช่นกัน

Basilique du Sacré-Cœur

เสร็จจากการทัวร์ดูโบสถ์ก็ถึงรายการต่อไป เรานั่งรถไฟอ้อมไปยังทิศตะวันตกของเมืองปารีส จุดหมายของเราคือหอไอเฟลซึ่งอยู่ริมแม่น้ำ Saine ตอนนั้นเริ่มได้เวลาพลบค่ำแล้ว อากาศก็เริ่มจะเย็นลงเรื่อยๆ ขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินมาปุ๊บก็เห็นหอไอเฟลอยู่ไม่ไกลออกไปนัก เดินแค่ไม่เกินสิบนาทีก็ไปถึง พอฟ้ามืดแล้วเค้าจะเปิดไฟประดับหอไอเฟลให้กลายเป็นสีเหลืองทอง สลับกับเปิดไฟระยิบระยับเต็มโครงสร้าง ดูแล้วแปลกตาและสร้างสรรไปอีกแบบ ความที่นักท่องเที่ยวเยอะก็เลยมีพ่อค้านำของที่ระลึกมาขายเต็มไปหมด ที่เห็นมีมากที่สุดเห็นจะเป็นหอไอเฟลจำลองทำจากพลาสติกและก็ติดหลอดไฟไว้ข้างในเป็นสีต่างๆ แต่เท่าที่ดูก็ไม่เห็นจะมีใครซื้อซักเท่าไร เห็นจะมีแต่คนขายเป็นส่วนมาก

DSC_014565

เราเดินถ่ายรูปอยู่ใต้ฐานของหอไอเฟลได้พักใหญ่ๆ ก็ถึงเวลากลับ ตัดสินใจไม่ขึ้นไปด้านบนเพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันแล้ว ประกอบกับอากาศเริ่มจะเย็นลงอย่างรู้สึกได้ชัดเลยคิดว่ากลับโรงแรมไปพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้ยังมีอะไรๆ ให้ดูอีกเยอะ
ขากลับเรานั่งรถไฟจากหอไอเฟลที่อยู่ด้านตะวันตกของเมือง อ้อมลงมาทางใต้แล้วมาต่อรถอีกสายนึงที่สถานี Place d'italie ก็จะถึงโรงแรมตรงย่าน Les Gobelins พอดี

อาหารเย็นสำหรับวันแรกนี้คือบิ๊กแม็กจากแม็กโดนัลด์ที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรมนั่นเอง เมนูไม่ค่อยเหมือนกับที่อเมริกาซะทีเดียวนัก คนขายก็ไม่ค่อยจะพูดภาษาอังกฤษเท่าไหร อาศัยว่าคุณภรรยาเราพอจะพูดฝรั่งเศสได้บ้างเลยเอาตัวรอดไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เราซื้อแล้วเอากลับมากินในห้องที่โรงแรม มองออกไปข้างนอกชมมหานครปารีสยามค่ำคืน ถนน St.Marcel ตรงหน้าโรงแรมก็เปิดโคมไฟถนนสว่างไสวตลอดถนน บรรยากาศดีไม่เลวเลยสำหรับค่ำวันแรกในปารีสของเรา




Create Date : 12 สิงหาคม 2550
Last Update : 12 สิงหาคม 2550 12:16:34 น. 1 comments
Counter : 634 Pageviews.

 
หวัดดีพี่โจ้ มีบล๊อกไม่บอกกันเลยนะ รูปสวยๆทั้งน้าน


โดย: New Brighton วันที่: 12 สิงหาคม 2550 เวลา:13:20:16 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

hvacboy
Location :
Minneapolis, Minnesota United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




www.flickr.com
This is a Flickr badge showing photos in a set called Twin Cities. Make your own badge here.
Friends' blogs
[Add hvacboy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.