Group Blog
 
All blogs
 
ปารีส วันที่สอง


เมื่อปลายปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวปารีสกับอัมสเตอร์ดัมมาครับ ตอนนั้นเขียนไดอารี่เก็บรายละเอียดไ้ว้เยอะพอสมควร กะว่าจะเอามาเขียนเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในภายหลัง แต่เวลาไม่ค่อยจะอำนวยเท่าไหร่นัก โครงการเลยไม่ค่อยเดินไปไหนซักที แต่ความที่ว่าพอเขียนไว้บ้าง เลยคิดว่าเอามาโพสต์ไว้ที่นี้ดีกว่า เผื่อใครไปใครมาจะได้อ่านกันบ้าง ถ้ามีเวลาแล้วผมจะเขียนต่อนะครับ

** หมายเหตุ: สรรพนามบุรุษที่หนึ่งในเรื่องจะใช้คำว่า "เรา" นะครับ เพราะเราไปเที่ยวกันสองคน (เท่านั้นเอง)

วันที่สอง

เราตื่นเช้าแล้วลงไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหารชั้นล่าง รายการอาหารก็มีพวกขนมปังกับแฮมและชีสแบบต่างๆ น้ำผลไม้ โยเกิร์ต ฯลฯ และก็ปิดท้ายด้วยกาแฟ ทั้งหมดนี้เป็นแบบบริการตนเอง ใครอยากกินเท่าไหร่ก็ตักไปเท่านั้น ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นก็กินกันนิดหน่อยพอเป็นพิธี จะมีก็แต่เรานี่แหละที่กินซะเยอะเป็นพิเศษ ก็เรามาท่องเที่ยวทั้งทีต้องกินเอาพลังงานไว้ให้มากหน่อย จะได้เดินเที่ยวได้นานๆ ห้องอาหารนี้มีขนาดเล็ก ต้องนั่งเบียดกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับอึดอัดแต่ประการใด ข้อน่าสนใจที่สังเกตได้จากห้องอาหารคือ ชาวฝรั่งเศสเค้าพูดกันใช้น้ำเสียงค่อยๆ ส่วนนักท่องเที่ยวอเมริกันจะคุยกันเสียงดังไม่ค่อยจะเกรงใจคนอื่นนัก ก็เลยพอจะเข้าใจว่าทำไมชาวบ้านเค้าถึงค่อนข้างจะหมั่นไส้นักท่องเที่ยวอเมริกันกันนัก

เป้าหมายหลักในวันที่สองของเราคือ Musee Du Louvre (พิพิธภัณฑ์ลูฟว์) เรากะกันว่าจะเดินดูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลาหนึ่งวันนี้ เข้าใจกันว่าคงไม่สามารถดูครบทุกมุมทุกห้องแน่ๆ ก็ Lourvre น่ะใหญ่โตซะจะออกขนาดนั้น

เรานั่งรถไฟใต้ดินจากย่านโรงแรมไปถึง Louvre ใช้เวลาประมาณสิบนาที ลอดใต้แม่น้ำ Saine และก็ผ่านสถานีใหญ่อีกสองสามอันก็ถึงแล้ว เรียกว่าสะดวกสบายมาก ตัวสถานีอยู่ด้านข้างพิพิธภัณฑ์ เรียกว่าโผล่ขึ้นมาจากสถานีก็เดินทะลุใต้ตึกเข้าไปยังทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ได้พอดี

Louvre

ลักษณะของตัวอาคารของ Louvre นี่จะอธิบายให้เห็นภาพได้ยากซักหน่อย เพราะความที่มันเป็นกลุ่มอาคารหลายกลุ่มมาประกอบเข้าด้วยกัน ตามปกติแล้วเค้าจะแบ่งเป็นสามส่วนหลัก ส่วนแรกเรียกว่า Sully Wing อยู่ค่อนไปทางด้านตะวันออกสุด มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นลานกว้าง Sully Wing นี้เป็นส่วนที่สร้างเป็นส่วนแรกตั้งแต่สมัยยุคกลาง ก็เกือบๆ จะเจ็ดแปดร้อยปีที่แล้วโน่นแน่ะ ส่วนที่สองเค้าเรียกว่า Richelieu Wing มีลักษณะคล้ายกับตัวอักษร P ตะแคงข้าง แล้วเอาตรงหัวมาประกบเข้ากับมุมนึงของ Sully Wing ตรงกลางของ Richelieu Wing เค้าจัดให้เป็นสวนในร่มมีที่ให้นั่งพักเหนื่อยใตัร่มไม้ และก็เป็นที่รวมของงานปั้นของฝรั่งเศสในยุคต่างๆ มีงานปั้นหินอ่อนสวยๆ เต็มไปหมด อาคาส่วนสุดท้ายเค้าเรียกว่า Denon Wing มีลักษณะคล้ายกับ Richeliue Wing แต่อยู่ตรงกันข้ามกันโดยมี Napoleon Court คั่นอยู่ตรงกลาง Denon Wing นี้ถือว่าเป็นส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Louvre เพราะเป็นที่แสดงงานศิลประดับโลกอยู่หลายชิ้น เช่นภาพโมนาลิซ่า รูปปั้นหินอ่อน Venus de Milo และก็รูปปั้น Winged Victory of Samothrace รวมถึงภาพเขียนดังๆ อีกมากมาย

ตรงกลางระหว่างกลุ่มอาคารทั้งสามนี้เป็นลานกว้างขนาดใหญ่มากเรียกว่า Napoleon Court ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Pyramid กระจกขนาดมหึมา ปิระมิดนี่เค้าออกแบบเอาไว้เป็นทางเข้าหลักของ Louvre คือเราเดินเข้าตัวปิระมิดที่ระดับพื้นดิน แล้วก็ลงบันไดเลื่อนลงไปชั้นล่างซึ่งเค้าจัดให้เป็นส่วนขายตั๋ว ร้านขายของที่ระลึก ร้านหนังสือ และก็ส่วนบริการจิปาถะอย่างอื่นๆ นับว่าได้ประโยชน์ดีมากเพราะเป็นการรวมผู้เข้าชมให้มาเข้าตรงจุดนี้จุดเดียว เป็นผลทำให้นักท่องเที่ยวไม่ไปแออัดกันตรงตัวอาคารหลักอื่นๆ เรียกว่าจัด Traffic Control ได้ง่ายขึ้นมาก ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติได้ด้วย เพราะความที่ปิระมิดทำจากกระจก ทำให้แสงส่องผ่านลงไปถึงชั้นล่างได้ ที่มาที่ไปและก็เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนี่มีกล่าวถึงไว้พอสมควรในนิยายดัง The Da Vinci Code ของอีตาแดนบราวน์ ใครสนใจก็ลองไปหาอ่านกันเองดูละกันนะครับ

DSC_014776

พอลงบันไดเลื่อนไปด้านล่างก็จะเห็น Information Desk อยู่ตรงกลาง และก็ตรงด้านนอกมีเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติหน้าตาเหมือนตู้ ATM ตั้งกระจายอยู่ ใครอยู่ใกล้มุมไหนก็เดินไปซื้อตั๋วจากตรงนั้น เราว่าเป็นไอเดียที่ดีมากเพราะนักท่องเที่ยวจะไม่ไปกระจุกอยู่แค่ที่เดียวตรงเคาน์เตอร์ ตู้ขายตั๋วมีเมนูให้เลือกหลายภาษาทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ สแปนิช เยอรมัน อิตาเลียน ญี่ปุ่น จีน ไม่แน่ใจว่ามีภาษาไทยหรือเปล่านะ ตู้ขายตั๋วที่ว่านี้เราไม่ค่อยได้เห็นในอเมริกามากนัก หรือถ้ามีก็คงยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก

ความที่ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลมาเข้าชม Louvre เค้าก็เลยต้องมีวิธีการจัดการ visitor traffic กันเยอะหน่อย เราเขียนเรื่องนี้เยอะเพราะประทับใจมาก ก่อนมาเที่ยวนี่ทำใจไว้เยอะแล้วว่าต้องรอคิวนานแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ค่อยนานอย่างที่คิด ความที่เค้าบริหารงานกันอย่างมีระบบนั่นเอง อย่างตอนซื้อตั๋วเข้า Louvre นี่เราใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เสร็จเรียบร้อย สมราคาพิพิธภัณฑ์ระดับโลกจริงๆ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเริ่มต้นการทัวร์จากตรงใต้ถุนของปิระมิดนี่แหละ จากตรงนี้จะมีทางให้เลือกไปสี่ทาง ถ้าไปทางเหนือก็จะเป็นส่วนของ Richelieu Wing ทางด้านตะวันออกจะเป็น Sully Wing ด้านใต้จะเป็น Denon Wing และก็ด้านตะวันตกจะเป็นทางออกไปช้อปปิ้งเซนเตอร์เล็กๆ ที่มีปิระมิดคว่ำ Reverse Pyramid ที่โด่งดังมาจากนิยายขายดีของ Dan Brown เรื่อง Da Vinci Code ที่ตอนหลังเอามาทำเป็นภาพยนตร์มี ทอม แฮงค์ เล่นเป็นพระเอกนั่นแหละ พูดถึง Da Vinci Code แล้วมีเกร็ดอีกเล็กน้อย คือที่ Louvre นี่เค้ามี Da Vinci Code Tour ด้วยนะ สำหรับคนที่อินกับนิยายเรื่องนี้น่ะ คือเค้าจะพาไปดูจุดต่างๆ ใน Louvre ที่มีการพูดถึงในนิยาย มีคนไปกับทัวร์นี้เยอะเหมือนกัน

ตอนถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Da Vinci Code นี้ ทางประเทศฝรั่งเศสเค้าเปิดไฟเขียวอำนวยความสะดวกให้กองถ่ายเข้ามาถ่ายทำใน Louvre ได้เต็มที่ เพราะรู้ว่าเป็นการโปรโมทการท่องเที่ยวไปในตัว ซึ่งนับว่าได้ผลดีมาก เพราะหลังจากที่ Da Vinci Code ออกฉาย จำนวนผู้เข้าชม Louvre ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงกับขึ้นชั้นมาเบียดกับแชมป์เก่าตลอดกาลอย่าง British Museum ได้อย่างสูสีน่าดูชม

DSC_014788

กลับมาที่ตะลอนทัวร์ของเราต่อ หลังจากเราซื้อตั๋วเสร็จเราก็รีบเดินกึ่งวิ่งไปยัง Denon Wing ทันที จุดหมายแรกและเป็นอันที่สำคัญที่สุดสำหรับวันนี้คือต้องไปดูภาพโมนาลิซ่าให้ได้ และต้องรีบไปตั้งแต่เช้าด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอกับคลื่นของนักท่องเที่ยวที่ต่างก็ต้องการจะไปดูภาพวาดบรรลือโลกนี้ด้วยเช่นกัน ภาพโมนาลิซ่านี่อยู่บนชั้นสอง ในห้องโถงที่ดูเหมือนจะทำไว้สำหรับแขวนภาพนี้โดยเฉพาะ ตอนที่เราไปถึงยังมีคนชมไม่มากนัก เรียกว่ายังพอเบียดเข้าไปยืนแถวหน้าได้ไม่ยากนัก แต่ก็ไม่สามารถชื่นชมได้อยู่นานนักเพราะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เบียดกันเข้ามายืนแถวหน้าเช่นกัน เสียดายที่เค้าห้ามถ่ายภาพไมีงั้นจะเก็บเอาบรรยากาศมาให้ดูซะหน่อย ตอนนี้ก็ได้แต่เล่าให้ฟังละกัน ภาพโมนาลิซ่านั้นถูกเก็บไว้อยู่หลังกระจกหนามาก และถัดจากกระจกออกมาก็ยังมีราวระดับเอวกันไว้อีกชั้นนึง ทำให้ผู้ชมทำได้แค่ยืนดูอยู่ห่างๆ นัยว่าเพื่อความปลอดภัยของโมนาลิซ่านั่นเอง เรายืนชื่นชมกับภาพวาดได้พักใหญ่ อันที่จริงนอกจากจะดูภาพแล้วยังแบบสังเกตนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ด้วยอย่างเมามัน เอาไว้จะค่อยๆ เล่าให้ฟังในต่อนต่อไปละกันว่ามันเป็นยังไง หลังจากนั้นเราก็รีบเดินไปดูของสำคัญอีกอันนึงที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก คือรูปปั้น Venuse de Milo ซึ่งเป็นหญิงงามไม่มีแขน ตรงนี้เค้าให้ถ่ายรูปได้ ก็เลยมีนักท่องเที่ยวยืนออกันอยู่เยอะมาก ต่างก็พยายามจะเก็บภาพของรูปปั้นสำคัญนี้ไว้ ถัดจากนั้นก็เดินย้อนกลับมาตรง Winged Victory of Samothrace ซึ่งเป็นรูปปั้น อยู่ตรงโถงทางขึ้นบันได จากนั้นก็วกไปดูภาพ Madonna on the Rock ที่มีการกล่าวถึงในเรื่อง Da Vinci Code อีกนั่นแหละ อันที่จริงจะว่าไปแล้ว การที่เราอ่านหนังสือกับดูหนังเรื่องนั้นมาก่อน ทำให้การมาดู Louvre ของเราสนุกและมีจุดหมายขึ้นตั้งเยอะนะเนี่ย

La Pyramide Inversée

ถัดจากนั้นก็เป็นคิวของงานศิลปะที่สำคัญรองๆ ลงไป ซึ่งเราจำไม่ได้แล้วแฮะว่าไปดูอะไรมาบ้างเพราะเค้ามีเยอะเหลือเกิน แต่ที่จำได้อย่างนึงคือเค้าแยกภาพเขียนในยุค Impressionism ออกไปไว้ที่ Musee d’Orsay ซึ่งเป็นอีกพิพิธภัณฑ์นึงต่างหาก อันนั้นก็เป็นอีกจุดหมายนึงในปารีสที่เราตั้งใจจะไปเยี่ยมชมกัน

วันที่สองนี่ฝนตกเกือบทั้งวัน รู้สึกดีมากที่อยู่แต่ใน Museum เพราะถ้าออกไปข้างนอกคงจะทุลักทุเลไม่น้อย ก็ฝนตกในเดือนพฤศจิกายนนี่มันหนาวไม่ใช่เล่นเลยนะ ถึงมันจะไม่ last forever ก็ตามเหอะ (ลอกเนื้อเพลงของ Gun'n Roses เค้ามาน่ะ)
เราออกจาก Louvre ตอนที่เค้าปิดพอดี ออกมาข้างนอกฝนยังตกอยู่ แต่ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ตอนกลางคืนเค้าเปิดไฟประดับปิระมิดกับบริเวณรอบๆ แถวนั้น เราพยายามถ่ายรูปอยู่พักนึงแล้วก็รู้สึกว่าไม่ไหวแฮะ มันหนาวและมีลมแรงเกินไป ประกอบกับมีฝนตกด้วยเลยคิดว่าเลิกดีกว่า ก็เลยเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ และก็นั่งรถไฟกลับโรงแรม

ซื้ออาหารเย็นจากซุปเปอร์มาร์เกตแถวโรงแรม แล้วเอาขึ้นไปกินบนห้องพัก นั่งมองวิวออกไปนอกหน้าต่าง อากาศเย็นนิดหน่อยฝนตกพรำในตอนค่ำที่ปารีส โรแมนติกไม่น้อยเลยครับ

DSC_014783


Create Date : 10 ตุลาคม 2550
Last Update : 10 ตุลาคม 2550 21:22:15 น. 2 comments
Counter : 2008 Pageviews.

 

เราไปมาเมื่อสองปีที่แล้ว
ติดใจมากค่ะ แม้ว่าจะพูดกับเค้าไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม
ตั้งแต่นั้นมา ตั้งใจว่าจะมาเรียนต่อที่นี่ให้ได้

ฝันใกล้เป็นจริงแล้วววว...


โดย: อาราเล่ตัวกลม&แก้มป่อง วันที่: 10 ตุลาคม 2550 เวลา:13:40:32 น.  

 
มาดูรูปสวยๆค่ะ ฟ้อนท์เล็กอ่านไม่ไหว


โดย: เป๋อน้อย วันที่: 10 ตุลาคม 2550 เวลา:17:59:30 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

hvacboy
Location :
Minneapolis, Minnesota United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




www.flickr.com
This is a Flickr badge showing photos in a set called Twin Cities. Make your own badge here.
Friends' blogs
[Add hvacboy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.