|
ทุลักทุเลเล็กน้อยที่ Whistler
เรามาถึงที่ Whislter Village ได้ตอนประมาณพลบค่ำพอดี ฤดูหนาวที่นี่จะมืดเร็วมาก สี่โมงกว่านี่ก็เริ่มจะมืดแล้ว วันศุกร์ที่เราไปถึงนี่อากาศไม่ค่อยดีเอาซะเลย ฝนตกพรำๆ ตลอดเวลา ทำให้การหาทางไปโรงแรมเป็นไปด้วยความทุลักทุเลพอสมควร โรงแรมที่เราจะมาพักนี่แปลกอยู่อย่างนึงคือที่เช็คอินมันดันออกตั้งซะห่างไกลจากตัวโรงแรมเหลือเกิน คือหาตัวโรงแรมได้แล้วก็จริงแต่ต้องไปหาที่เช็คอินก่อนจึงจะขนของเข้าห้องได้ พอเราจัดการเรื่องโรงแรมเสร็จก็รีบเดินไปหาที่เช่าสกีซึ่งอยู่ใกล้กับ Gondola base ตรงเชิงเขา Whislter
อันที่จริงเราจองสกีไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะ แต่อยากจะรีบมาเอาก่อนเพราะว่าวันรุ่งขึ้นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะมาเข้า class ซึ่งก็นัดเอาไว้แล้วเช่นกัน ถ้าไม่มาเอาสกีตอนเย็นก็ต้องมารอเอาในตอนเช้าแทน ในเว็บของเค้าแนะนำว่าให้มาเอาสกีก่อนล่วงหน้าจะดีกว่าเพราะในตอนเช้าจะมีคนมาต่อคิวเยอะมาก เราไม่อยากจะต้องทำอะไรฉุกละหุก (กะว่าจะได้นอนตื่นสายหน่อย) ก็เลยเผื่อเวลาไว้ก่อน รีบมาเอาซะตั้งแต่เนิ่นๆ
ร้านให้เช่าสกีที่วิสเลอร์นี่มีหลายแห่งมากๆ นับดูแล้วเห็นจะมีเกือบยี่สิบร้านได้มั้ง ใหญ่บ้างเล็กบ้าง หรูหราและทันสมัยแตกต่างกันไป บางร้านก็เน้นอุปกรณ์ระดับ high performance ขณะที่บางร้านก็เน้นแบบระดับกลางๆ เป็นหลัก เข้าใจว่าคงจะเป็นเครือข่ายกันอยู่หลายร้านนะ เห็นแต่งร้านออกไปในแนวเดียวกัน ร้านที่เราเลือกไว้อยู่ติดกับเชิงเขาเลยล่ะ ทำเลดีมากเพราะไม่ต้องแบกสกีเป็นระยะทางไกลๆ ข้างร้านสกีเป็นบาร์ขนาดใหญ่ชื่อ Longhorn Saloon ซึ่งเดี๋ยวกะว่าจะมาเล่าให้ฟังว่าร้านนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครรู้แล้วก็เงียบไว้ก่อนละกันนะครับ
พนักงานในร้านสกีส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น อายุไม่น่าจะเกินระดับ high school ไม่ก็มหาลัยปีแรกๆ พวกนี้ทำงานคล่องแคล่วและยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเองดีมาก พูดภาษาอังกฤษออกสำเนียงต่างไปจากแถบมิดเวสต์ที่เราอยู่ คงเป็น canadian accent มั้ง น่าจะใกล้เคียงกับต้นตำรับอังกฤษแท้มากกว่าสำเนียงแบบอเมริกัน ดีเหมือนกัน น่ารักดีไปอีกแบบ และก็ได้ความรู้สึกว่ามาเที่ยวเมืองนอกดี
เค้าจัดสกีขนาด 170 ให้เรานะ ออกจะยาวอยู่เหมือนกัน (หมายเหตุจากผู้เขียน: สกียาวจะเล่นยากกว่าสกีสั้นนะครับ) แต่เด็กคนที่จัดให้ดูท่าทางจะมั่นใจเหลือเกินว่าเราน่าจะเล่นได้ไม่ยากนัก "you will need it once you're up to the bowl" - ยูจะต้องใช้มันแน่ๆ ถ้าขึ้นไปถึง Bowl ข้างบน (Bowl ในที่นี้หมายความถึงส่วนของหุบเขาที่อยู่สูงขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลมากจนไม่มีต้นไม้ขึ้นแล้ว มีแต่หิมะปกคลุมภูเขาอยู่เป็นสีขาวเต็มไปมหด ก็เลยเรียกว่า bowl) ความที่ภูเขาแถวนี้สูงมาก ลักษณะของหิมะก็เลยมีหลายแบบตามระดับความสูง บนยอดเขาจะออกเป็นผงละเอียดเหมือนแป้ง ขณะที่ตรงกลางๆ ภูเขาจะมีหิมะที่หยาบขึ้นมาหน่อย ส่วนหิมะที่ตีนเขาจะเปียกๆ ลื่นๆ และทำให้เล่นสกีได้ยากกว่าและก็เลอะเทอะกว่าด้วย
พอเอาสกีเสร็จก็ได้เวลาขนของเข้าโรงแรมซึ่งอยู่ห่างออกไปนิดนึง ห้องพักในโรงแรมสะดวกสบายมาก เป็นเหมือนอพาร์ตเมนท์เล็กๆ มีห้องครัวในตัวและก็มีห้องนอนแยกออกไปเป็นสัดส่วน มีระเบียงเล็กที่ออกไปนั่งชมภูเขาได้ถ้าไม่กลัวหนาว และก็มีเตาผิงในห้องนั่งเล่นซึ่งทำให้ห้องดูอบอุ่นขึ้นมาหน่อย มีรูปห้องพักให้ดูด้วยนะครับ ที่เห็นนี่เป็นส่วนของห้องนั่งเล่น มีกระเป๋าเสื้อผ้าของเรากองรกๆ อยู่บ้าง
 หลังจากชื่นชมห้องพักได้นิดนึงก็ถึงเวลาสำหรับอาหารเย็น มื้อนี้เรากะว่าจะซื้อเข้ามากินในห้อง จะได้ไม่ต้องไปต่อคิวที่ร้าน และก็ประหยัดกว่าด้วย
ตรงปลายสุดของ Whistler Village มีโซนที่เค้าเรียกว่า Market Place ในนั้นมีซุปเปอร์มาร์เกตขนาดใหญ่อยู่อันนึง ขายของเยอะดี มีพวกบะหมี่สำเร็จรูป ข้าวสาร น้ำปลา ด้วยนะ เราซื้อบะหมี่ถ้วยกลับมาตุนไว้ที่ห้องเหมือนกัน และก็ซื้อพวกแซนด์วิช wrap quiche จะได้ไม่ต้องลงมือทำให้วุ่นวายจนเกินไป
อีกรูปที่เห็นนี่เป็นทางเดินในหมู่บ้านนะครับ เอาไว้จะมาเขียนต่อทีหลัง
Create Date : 25 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 25 มกราคม 2549 13:48:38 น. |
Counter : 427 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตอนต่อมา: ถึงแวนคูเวอร์แล้ว
หลังจากเรามาถึงสนามบินแวนคูเวอร์และผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราก็เดินออกจากเทอร์มินอลมุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์ของบริษัทให้เช่ารถ ซึ่งก็ตั้งอยู่ในอาคารจอดรถฝั่งตรงข้ามกับเทอร์มินอลนี่เอง ลากกระเป๋าเดินทางไปซักห้านาทีก็ถึงแล้วนับว่าใกล้และสะดวกสบายดีมาก บริษัทที่ให้เช่ารถนั้นก็มีเหมือนกับในอเมริกาคือเช่น Avis, Hertz, Alamo, Dollar/National และก็ Budget เราจองผ่านทาง Internet ก็ได้ของที่ Budget นี่แหละที่ราคาถูกที่สุด
ตอนที่มารับรถนี่เริ่มสังเกตได้อย่างนึงว่าแถวนี้ท่าทางจะมีคนจีนอาศัยอยู่เยอะตามคำร่ำลือ ขนาดพนักงานของ Budget ยังเป็นเด็กจีนซะเป็นส่วนใหญ่ หน้าตาผมรูปร่างยังเป็นจีนแท้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่พูดอังกฤษชัดปร๋อแทบไม่มีแอ็กเซนต์เลย อาหมวยคนที่ออกรถให้เรานี่คุยเก่งชะมัด พอรู้ว่าเราจะมุ่งหน้าไปเล่นสกีที่ Whistler ก็พยายามจะเชิญชวนให้เราเช่ารถ SUV ซะให้ได้ นัยว่าเป็นคันใหญ่ขับเคลื่อนสี่ล้อเกาะถนนดีกว่า น่าจะปลอดภัยกว่าในเวลาที่หิมะตกหนักๆ (และก็ราคาแพงกว่าด้วย) แต่ความที่เราเช็คสภาพอากาศและก็สอบถามเรื่องสภาพถนนมาก่อนแล้วก็เลยมั่นใจว่าขับรถเก๋งคันเล็กก็น่าจะปลอดภัยพอ (แถมยังประหยัดตังไปได้อีกเยอะ - อันนี้สำคัญมาก) สุดท้ายก็เลยได้รถเก๋งนิสสันมาคันนึง ขนาดใหญ่มากสำหรับเราที่มีกันแค่สองคน ใส่กระเป๋าเดินทางเข้าไปแล้วยังเหลือเนื้อที่ให้เราทำรกได้อีกเยอะ
 พอรับรถเสร็จก็ถึงได้เวลาขับรถมาราธอน ขั้นแรกพอออกจากสนามบินแล้วเราก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือ สนามบินที่แวนคูเวอร์นี่อยู่ด้านทิศใต้ของเมือง ขณะที่จุดหมายปลายทางที่เราจะไปนั่นอยู่ด้านทิศเหนือ เราก็เลยต้องขับรถผ่านตัวเมืองแวนคูเวอร์ พอออกจากสนามบินเสร็จก็ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่ชื่อ Fraser จากนั้นก็เข้าสู่ตัวเมืองเป็นย่านที่อยู่อาศัย จากนั้นอีกไม่นานนักก็ข้ามสะพานอีกอันนึง คราวนี้ข้าม False Creek ซึ่งเป็นอ่าวแคบยาวขนาดย่อม จากนั้นถนนก็จะตัดเข้าสู่ดาวน์ทาวน์และย่านธุรกิจของเมือง มองเห็นตึกสูงเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วออกแนวฮ่องกงผสมกับกรุงเทพฯ บ้านเรา
ขับรถผ่านย่านธุรกิจได้พักนึงก็เข้าเขตสวนสาธารณะขนาดใหญ่มากชื่อว่า Stanley Park ซึ่งเราจะเก็บเอาไว้มาเที่ยวตอนขากลับนะ ถึงตอนนั้นแล้วจะเล่าให้ฟังอีกทีว่าข้างในสวนมีอะไรให้ดูบ้าง สวนนี่เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล ตรงปลายด้านเหนือสุดเป็นสะพานแขวนขนาดใหญ่ชื่อว่า Lion Gate Bridge ที่ตัดข้ามอ่าว Burrard Inlet ที่ขนาบอยู่ด้านเหนือของเมือง (อ่านแล้วจะงงมั้ยเนี่ย) เอาเป็นว่าเราขับรถทะลุเมืองแวนคูเวอร์จนมาออกนอกเมืองทางด้านเหนือเพื่อจะมาต่อกับทางหลวงที่ชื่อ Sea-to-Sky Highway
 Sea-to-Sky Highway นี่เป็นทางหลวงหลักที่เชื่อมระหว่างเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งด้านตะวันตกของแคนาดา เริ่มจากส่วนที่ติดกับประเทศสหรัฐฯ ผ่านแวนคูเวอร์ วิ่งเลาะเรียบอ่าวฟจอร์ดก่อนจะตัดเข้ามาในแผ่นดิน และก็วิ่งขึ้นเขามาเรื่อยๆ ผ่านเมือง Whistler และก็ลัดเลาะผ่านเทือกเขา Coast Mountain ก่อนจะไปต่อกับทางหลวงหมายเลข 97 ในที่สุด ที่ถนนนี้ถูกเรียกว่า Sea-to-Sky นี้เห็นจะเป็นเพราะถนนนี้วิ่งเลียบทะเลก่อนที่จะผ่านเทือกเขา มีทัศนียภาพข้างทางที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ตอนที่เราไปเที่ยวมานี้รัฐบาลเค้ากำลังปรับปรุงขยายถนนนี้อยู่เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับโอลิมปิคฤดูหนาวในปี 2010 ที่เมืองแวนคูเวอร์จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ถนนนี้มีความสำคัญคือเชื่อมระหว่างแวนคูเวอร์กับวิสต์เลอร์ซึ่งจะใช้สำหรับแข่งขันกีฬาอย่างเช่น สกี ประเภทต่างๆ และก็ Bobsleigh เป็นต้น
น่าเสียดายนิดนึงตอนที่เราขับผ่านคือตอนนั้นเริ่มเป็นเวลาเย็นมากแล้ว แถมอากาศไม่ค่อยดี มีฝนตกและก็ขมุกขมัวตลอดเวลาเลยไม่มีโอกาสได้ชมทิวทัศน์มากนัก แต่ก็พอได้เห็นทะเลและเกาะแก่งต่างๆ สลับกับเทือกเขาและหน้าผารวมถึงน้ำตกที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป เห็นจะเป็นหิมะที่ละลายลงมาจากยอดเขานั่นเอง รูปที่เห็นข้างบนนี้ก็ถ่ายมาจาก Sea-to-Sky Highway นี่แหละ จะเห็นว่ามีรถวิ่งเยอะมาก ต่างก็จะมุ่งหน้าไปเล่นสกีที่Whistler เหมือนกันกับเรา แต่ละคันขับกันเร็วๆ ทั้งนั้นไม่เห็นใจคนที่ไม่คุ้นกับเส้นทางอย่างเราซะเลย
เอาไว้จะมาเขียนต่อละกันนะครับ คราวหน้าคงจะไปถึงสกีรีสอร์ตซะที ยืดมาได้หลายตอนแล้ว 
Create Date : 19 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 19 มกราคม 2549 14:14:46 น. |
Counter : 401 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วันแรก: From MSP to YVR
คณะเดินทางของเรา (ซึ่งมีกันอยู่แค่สองคน) ออกเดินทางจากมินนิอาโปลิสในตอนสายของวันศุกร์ นั่งเครื่องของสายการบินนอร์ทเวสต์ไปยังเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอนเพื่อที่จะไปต่อเครื่องบินเล็กตรงไปยังเมืองแวนคูเวอร์นะ ความที่ไฟลท์ตรงจากมินนิอาโปลิสไปแวนคูเวอร์มันถูกยกเลิกไปเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เราต้องต่อเครื่องทั้งขาไปและขากลับ และก็ทำให้ใช้เวลาเดินทางมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แต่ข้อดีของการต่อเครื่องก็มีบ้างเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็ทำให้ได้เห็นเสี้ยวเล็กๆ ของเมืองที่ต้องไปต่อเครื่องนี่แหละ
 เครื่องบินที่เรานั่งไปนั้นมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ฮาวายล่ะ เค้าแวะพักที่พอร์ตแลนด์ก่อนที่จะบินตรงไปยังโฮโนลูลู ผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็เลยเป็นนักท่องเที่ยวที่จะไปพักผ่อนตากอากาศหลบความหนาวที่ฮาวาย แต่งตัวกันสบายๆ เสื้อผ้าบางๆ จะมีก็แต่เราสองคนนี่แหละที่แต่งตัวซะหนาเตอะ มีทั้งบูททั้งแจ็กเก็ตรุ่มร่ามไปหมด ก็เราจะไปเล่นสกีนี่นา ต้องเตรียมตัวให้พร้อมหน่อย
สนามบินที่พอร์ตแลนด์มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปนัก แต่ทันสมัยและสะอาดเอามากๆ ที่เห็นกระจายอยู่ทั่วเทอร์มินอลคือร้านขายของที่ระลึก ขายหนังสือ และก็ร้านกาแฟ มีร้านอาหารแทรกอยู่เป็นระยะๆ แต่ที่เราชอบมากเห็นจะเป็นมุมทานอาหารที่เค้าจัดเป็นลานกว้าง มีโต๊ะเก้าอี้พร้อม และที่สำคัญคือมีคนเล่นเปียนโนให้ฟังด้วย คนเล่นเป็นลุงแก่มีเครายาว เล่นเปียนโนไปร้องเพลงไป พอเล่นจบเพลงนึงก็หันมาโปรโมทอัลบั้มของแกเองซะทีนึง ไม่รู้ว่าวันนึงจะขายได้กี่แผ่นนะ เรากินข้าวกะนั่งฟังเพลงได้พักนึงพอได้หายเมื่อยจากการเดินทางก็ต้องเดินไปรอเครื่องที่จะไปแวนคูเวอร์ซึ่งจะออกจาก gate ที่อยู่ไกลซะเหลือเกิน
 รูปที่เห็นข้างบนนี่คือเครื่องบินที่นั่งจากมินนิอาโปลิสมาที่พอร์ตแลนด์ รู้สึกว่าจะเป็นโบอิ้ง 757 หรืออะไรนี่แหละ ส่วนเครื่องที่จะพาเราไปยังแวนคูเวอร์นั้นเป็นเครื่องแบบใบพัด นั่งได้ประมาณสามสิบกว่าคนเอง เล็กกว่ารถเมล์แถวบ้านอีก แต่นับว่าบินได้ราบรื่นดีใช้ได้ เสียแต่เสียงใบพัดมันดังไปหน่อยขนาดที่ต้องตะโกนคุยกันถึงจะได้ยิน เราเลยฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือนำเที่ยวกับนั่งดูแผนที่ไปพลางๆ ระยะทางจากพอร์ตแลนด์ไปแวนคูเวอร์มันใกล้นิดเดียวใช้เวลาแค่สี่สิบนาทีก็ถึงแวนคูเวอร์แล้ว
สนามบินแวนคูเวอร์อยู่ติดกับทะเล กัปตันเค้าค่อยๆ ไต่ระดับร่อนลงมาจากด้านทะเล เรียกว่ามีเวลาและระยะทางเหลือเฟือในการลงจอด เราคนโดยสารก็เลยมีเวลาชมวิวมากขึ้นอีกนิด เห็นตัวดาวน์ทาวน์ของแวนคูเวอร์อยู่ด้านทิศเหนือของสนามบิน เลยออกไปอีกหน่อยก็เป็นภูเขาสูง ส่วนทิศใต้เป็นย่านที่อยู่อาศัยสลับการพื้นที่เกษตร มีแม่น้ำใหญ่ผ่านก่อนที่ไหลออกสู่ทะเล
ความที่เครื่องบินเป็นลำเล็กก็เลยจอดให้ผู้โดยสารลงตรงกลางลานจอดนั่นแหละ พอจอดเสร็จก็ให้ท่านผู้โดยสารอย่างเราเดินท่อมๆ เข้าไปยังเทอร์มินอลเองไม่ต้องรอให้เครื่องจอดเทียบหรือรอรถมารับให้เสียเวลา จากนั้นก็ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ออกจะรวบรัดและเรียบง่ายเอามากๆ เข้าใจว่าประเทศแคนาดาเค้าอยากให้คนเข้ามาเที่ยวเยอะๆ ก็เลยไม่เข้มงวดมากมายนักจนเกินความจำเป็น
 จากนั้นเราก็เดินไปรับกระเป๋า ระหว่างทางเราก็สังเกตสนามบินไปด้วย ดูเหมือนว่าลักษณะอาคารของสนามบินที่แวนคูเวอร์นี่จะออกโมเดิร์นกว่าที่พอร์ตแลนและก็ที่มินนิอาโปลิสอยู่เหมือนกัน ที่แวนคูเวอร์นี่เค้าใช้แสงจากธรรมชาติมากเป็นพิเศษ เน้นกระจกใสและก็โชว์โครงสร้างกับท่อน้ำท่อลม ไม่ต้องซ่อนไว้ในฝ้าให้ลำบาก เมืองในเขตหนาวนี่เค้าอยากให้แสงธรรมชาติเข้ามาในอาคารมากๆ เพราะนอกจากจะทำเพิ่มแสงสว่างให้อาคารแล้วยังช่วยในการทำความร้อนอีกด้วย เป็นการประหยัดค่าพลังงานถึงสองอย่างในเวลาเดียวกัน เห็นแล้วนึกถึงสนามบินสุวรรณภูมิของบ้านเรา ตอนแรกที่แบบสถาปัตย์ออกมาใหม่ๆ เมื่อสิบปีที่แล้วนั้นใครเห็นแล้วก็ร้องจ๊ากกันทุกคน ก็ตา เฮลมุทจาห์น คนออกแบบนั้นพี่แกใส่กระจกใสมาซะเต็มอาคาร กะว่าจะโชว์แต่สถาปัตยกรรมของตัวเองแต่ไม่ได้สนใจเลยว่าจะต้องใช้พลังงานมากแค่ไหนในการปรับอุณภูมิในอาคาร ดีนะที่สมาคมวิชาชีพหลายๆ แห่งร่วมกันคัดค้าน เค้าเลยปรับแบบให้ออกมา practical ขึ้นหน่อย
เขียนเกี่ยวกับแวนคูเวอร์อยู่ดีๆ ไหงมาลงที่บ้านเราได้ก็ไม่รู้ เอาไว้ตอนหน้าจะมาเล่าเรื่องการเดินทางต่อก็ละกันนะครับ
Create Date : 17 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 18 มกราคม 2549 12:35:54 น. |
Counter : 305 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เริ่มเรื่อง
เมื่อระหว่างวันที่ 6 ถึง 13 เดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่แถวๆ เมืองแวนคูเวอร์ทางตะวันตกของประเทศแคนาดามาครับ ได้โฉบไปเล่นสกีที่เมืองวิสต์เลอร์ (Whistler) ที่อยู่ใกล้ๆ นั้นด้วย สนุกสนานสมบุกสมบันและสะบักสะบอมอยู่พอสมควร เลยคิดว่าจะเขียนเล่าสู่กันฟังซะหน่อย เผื่อเอาไว้ให้ตัวเองอ่านเมื่อเวลาผ่านไปด้วย เก็บเป็นบันทึกความทรงจำ อะไรทำนองนั้น
ออกตัวไว้ก่อนนะครับว่าสำนวนที่ใช้อาจจะไม่สละสลวยสวิงสวายมากมายนัก อ่านแล้วไม่ถูกใจก็อย่าเพิ่งรีบว่ากันนะครับ ความที่ผู้เขียนเป็นคนรุ่นเก่าและก็มาอยู่ไกลบ้านซะหลายปีแล้ว ภาษาไทยที่ใช้อาจจะออกโบราณไปหน่อย ในบทความชุดนี้ผมจะพยายามใช้ภาษาไทยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้านึกคำไทยไม่ออกจริงๆ คงต้องขอทับศัพท์ภาษาอังกฤษไปก็ละกันนะครับ
Create Date : 17 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 17 มกราคม 2549 7:39:53 น. |
Counter : 252 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|