Group Blog All Blog
|
สาวไฮเปอร์หัวใจติส : ติสสอง *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * “ทางนี้พู่ หาอะไรกินก่อน เดี๋ยวออกไปแล้วอาจจะไม่มีเวลา” ตรีภพกวักมือเรียกพู่กันที่เดินลงบันไดจากชั้นบนลงมา “ยังไม่มีใครลงมาหรือคะ” พู่กันนั่งลงตรงโต๊ะเดียวกันกับพี่ตรีและเหลียวมองหาคนอื่นๆ ของชมรม “ลงมาบ้างแล้วโน่นไง กำลังตักอาหารกันอยู่ และก็ทยอยลงมาอีกก็มี” พู่กันมองตามมือที่ชี้ไปตรงมุมอาหารที่อยู่ไม่ห่างจากที่นั่ง โรงแรมที่มาพักเป็นโรงแรมไม่ได้หรูหราระดับห้าดาว ถ้าให้เกรดจริงๆนะจะอยู่ที่สองสามดาวเท่านั้น หากแต่เน้นเรื่องความสะอาดมากกว่าเพราะไม่มีกลิ่นอับชื้นและจัดวางสิ่งของได้อย่างเรียบร้อย ที่บริการอาหารลูกค้าที่เข้ามาพักจึงเป็นแบบเรียบง่ายมีทั้งอาหารตามสั่งและสำเร็จรูปที่ทำเสร็จแล้ววางเรียงรายให้เลือกชี้เอาว่าจะเอากี่อย่าง เรียกง่ายๆ ก็คือข้าวราดแกงนั่งเองเสียแต่ว่าอาหารยังอุ่นน่ารับประทานมิได้วางแบเอาไว้เหมือนตามข้างถนนหรือร้านค้าทั่วๆ ไป ท้องพู่กันเริ่มอุทรขึ้นมาบ้างแล้ว “งั้น พู่ไปสั่งอาหารก่อนนะคะ รู้สึกหิวเหมือนกัน” “ถูกต้องแล้วกองทัพต้องเดินด้วยท้อง พอไปถึงที่จริงๆ อาจจะไม่มีเวลาก็ได้แม้หิวก็ตาม” “เป็นไปตามนั้นคะ” หนุ่มใหญ่ส่ายหน้ากับคำพูดกวนๆมองตามพู่กันเดินไปที่ซุ้มอาหาร ร่างบางอยู่ในกางเกงยีนกับเสื้อยืดที่เพ้นท์เอง ระยะหลังมานี้พู่กันเพ้นท์เสื้อใส่เอง หญิงสาวคิดได้ว่ามันเป็นการตลาดที่ไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณา เพราะเธอเป็นฟรีเซนเตอร์เสียเอง และมันก็ขายได้เสียด้วยสิ สมาชิกชมรมลงมาจนครบ บ้างก็นั่งดื่มกาแฟบ้างก็ทานอาหาร แก้มใสเดินถือจานอาหารมานั่งข้างๆพู่กัน สองสาวนั่งทานอาหารเงียบๆ แก้มบุ๋มแยกตัวไปนั่งอีกโต๊ะ หางตาคอยชำเลืองมองดูแก้มใสที่นั่งโต๊ะเดียวกับพู่กัน ออกจะน้อยใจเหมือนกันที่น้องสาวไม่ติดตามตนเหมือนทุกครั้ง ทั้งๆเธอเป็นฝ่ายปฏิเสธคำชวนของแก้มใสที่จะไปนั่งทานด้วยกัน ตรีภพเรียกประชุมก่อนออกเดินทางไปที่จุดประสบเหตุ แจ้งให้สมาชิกทราบขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือและคนในพื้นที่ที่ต้องติดต่อประสาน การแจกจ่ายของและการเตือนให้รู้ถึงอันตรายการลงพื้นที่ให้ทราบอย่างทั่วถึงกัน พี่หนูนาแจกป้ายชื่อชมรมสำหรับแขวนคอจะได้รู้ว่ามาจากหน่วยไหน สะดวกทั้งเจ้าหน้าที่และทีมอื่น ๆ อันเป็นเข้าใจร่วมกันว่ามาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย “คืนนี้คงแค่ไปดูก่อนว่าความเสียหายอยู่ในระดับไหน เราจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง อุปสรรคการลงพื้นที่คือมันเป็นตอนกลางคืนไม่สะดวก เราจะไปดูแล้วค่อยกลับมาวางแผนกัน ตอนนี้ขอแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มประสานงานก็จะเป็นพวกผู้หญิงกับกลุ่มผู้ชายที่จะลงพื้นที่กับเจ้าหน้าที่” เมื่อไปถึงศูนย์อำนวยการ ทีมประสานงานเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ โดยแจ้งวัตถุประสงค์ของชมรมที่เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ในเวลาเดียวกันพวกผู้ชายเข้าไปดูภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จากภาพถ่ายบ้างจากข้อมูลจากรายงานบ้า นำมาเป็นข้อมูลประกอบเพื่อหารือกันในกลุ่มต่อไป ทั้งหมดจึงกลับมาตั้งหลัก ใช้ห้องพักของพี่ตรีเป็นที่ประชุม “ที่คุยกันมาทั้งหมด ก็ตามนั้นนะใครมีคำถามอะไร ถามได้” “ของบริจาคที่พวกเรานำมาส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าและอาหารแห้งเท่านั้น ตอนนี้ถามถึงว่าอะไรสำคัญที่สุดน่าจะเป็นปากท้องของผู้ประสบภัย มากกว่าเครื่องนุ่งห่ม ดูเหมือนครั้งนี้เราจะช่วยเหลือได้ไม่เต็มที่นะสิคุณตรี” ลุงนาถเอ่ยขึ้นตามจริง “เป็นเช่นนั้นจริงๆครับลุงนาถ เพราะแพลนของพวกเราคือขึ้นเหนือ จึงเตรียมแต่พวกเครื่องนุ่งห่มกันเป็นหลัก ส่วนอาหารที่เตรียมไปก็จะเป็นอาหารแห้งให้ชาวบ้านเก็บไว้กินได้ แต่ใช่ว่าเราจะมาเสียเที่ยวนะครับ กลับไปนี่เราจะไประดมทุนเพื่อกลับมาช่วยเหลือชาวบ้านอีกครั้ง” “เพิ่มเติมอีกนิดนะคะ หนูนามีเพื่อนอยู่จังหวัดใกล้ๆนี้เอง พรุ่งนี้จะมาสมทบกับทีมเรา คิดว่าน่าจะมีอาหารมาเยอะเหมือนกัน อาจจะช่วยได้อีกแรง” พี่หนูนาพูดเสริมขึ้นมา ทุกคนพยักหน้ารับรู้ การประชุมเสร็จสิ้นต่างฝ่ายแยกย้ายกันไปพักผ่อน พู่กันเดินเข้าห้องก่อนใคร คว้าเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ เพียงไม่นานหญิงสาวออกมาพร้อมกับความสดชื่นเตรียมตัวที่จะกระโดดขึ้นโซฟา ถ้าไม่ได้ยินเสียงของแก้มบุ๋มพูดขึ้นก่อน “พู่กัน เธอแน่ใจแล้วที่จะนอนตรงโซฟา” “แน่ใจสิ เธอสองพี่น้องจะได้สบายแบบไม่นอนเบียดกันไง” “ยังไงจะว่าพวกฉันสองคนเอาเปรียบเธอไม่ได้นะ” “ไม่คิดหรอก พู่สมัครใจที่จะนอนที่ตรงนี้ ไม่ว่ากันนะ ถ้าพู่จะขอนอนก่อน” พูดจบร่างบางที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีหม่นคอร่นตัวเก่งเอนตัวลงบนโซฟาเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ของตัวเองคลุมขาเอาไว้แล้วหันหลังให้ โดยไม่สนใจว่าคนที่คุยด้วยยังยืนอยู่ด้วยหรือเปล่า จึงไม่เห็นสายตาหมิ่นมุมปากแบะนิดๆของแก้มบุ๋ม.... ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับคนที่ชอบทำนิสัยแย่ๆใส่ พู่กันคิดแบบนี้ พอเอาเข้าจริงๆ ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมา พู่กันต้องเข้าห้องน้ำคนสุดท้าย แก้มบุ๋มเข้าใช้ห้องน้ำเป็นคนแรกทำเหมือนเป็นของส่วนตัว กว่าจะกลับออกมาได้ใช้เวลาร่วมชั่วโมง แก้มใสขอเข้าต่อเพราะปวดท้องเข้าห้องน้ำแต่ก็ใช้เวลาไม่นานออกมาพร้อมกับส่งยิ้มเจื่อนๆ อย่างเกรงใจ พู่กันต้องทำเวลาทุบสถิติในการอาบน้ำแต่งตัว แต่กระนั้นก็ยังลงมาช้ากว่าใครอีกตามเคยมีสายตาแปลกหลายคู่มองมาหนึ่งในจำนวนนั้นคือรอยยิ้มสะใจของแก้มบุ๋ม “ไอ้พู่นอนตื่นสายหรือไง” พี่หนูนาทักก่อนเมื่อเห็นรอยยิ้มขอโทษกราดเข้ามาในกลุ่ม พู่กันพยักหน้าไม่ได้ตอบประการใดเมื่อมากันครบแล้วต่างทยอยกันออกไปขึ้นรถ ขณะที่พู่กันจะกระโดดขึ้นท้ายรถแต่ถูกเรียกให้ขึ้นรถลุงนาถเสียก่อน หมดหนทางปฏิเสธเพราะพี่หนูนาดึงแขนให้ขึ้นรถโดยไม่ต้องรอให้มีการชวนรอบสอง หลังจากที่เข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว “มานี่พี่มีเรื่องถามเราหน่อย” “ถามเรื่องอะไรคะพี่หนูนา” “พู่กันถูกแก้มบุ๋มแกล้งรู้ตัวหรือเปล่า” “แกล้ง? แกล้งยังไง และทำไมคะ” “อ้าว ก็พอแก้มบุ๋มลงมา ชีก็เริ่มพูดประมาณว่าลงมาก่อนใคร พูดถึงพู่ว่ายังไม่ตื่นนอนมัวนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ ปลุกก็ไม่ตื่นซะงั้น” “อ้าว ไหงพูดหมาๆอย่างนี้ล่ะ พวกเราตื่นพร้อมๆกันนั่นแหละ แต่พู่ต้องอาบน้ำคนสุดท้าย ไอ้ที่ลงมาช้าก็เพราะเค้านั่นแหละเข้าห้องน้ำเป็นชั่วโมงเลย แก้มใสเองก็ต้องรีบอาบเพราะกลัวพู่ลงมาสาย ” พู่กันพูดอย่างเหลืออดกับพฤติกรรมน่าเกลียดของแก้มบุ๋มทำตัวเป็นต้นเหตุทำให้ตนลงมาสายแล้วยังเที่ยวโพนทนาในเรื่องไม่จริง เป็นครั้งแรกที่พี่หนูนาหันมองใบหน้าคมหวานอย่างพิจารณา ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “มีอะไรกันหรือเปล่า” “จะมีได้ไง ปกติก็ไม่ค่อยได้คุยกัน” พู่กันค้านด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ “ศรศิลป์ ไม่กินกันมั้ง” ลุงนาถเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ฟังทั้งสองคุยกัน ในขณะที่ตายังมองไปทางถนน พู่กันเงยหน้ามองลุงนาถทางกระจกพร้อมกับคิดตาม ภายในรถเงียบเสียงลง คำพูดลุงนาถยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของพู่กัน พี่หนูนาหันไปมองซีกหน้าด้านข้างของพู่กัน แม้ผิวพรรณไม่ได้ขาวหยวก แต่ก็ดูเนียนจนอยากสัมผัส คิ้วโก่งเรียวธรรมชาติ ของจริงแน่นอนเพราะไม่เห็นร่องรอยการตกแต่ง ขนตาหนายาวเป็นแพนั้นถ้าปัดมาสคาร่าเสียหน่อยคงจะงอนงาม จมูกโด่งไม่มากรับกับริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อธรรมชาติ ผิวหน้ารู้ได้ทันทีว่าเจ้าหล่อนทาแต่แป้งเด็ก นี่แหละมั้งเค้าเรียกว่าเด็กติส ดูเจ้าหล่อนแต่งตัวสิ เสื้อยืดสีชมพูเพ้นท์ตัวการ์ตูนด้านหน้าเสื้อเป็นหัวช้างด้านหลังเป็นตูดช้างมีหางซะด้วย กางเกงขายาวห้าส่วนรองเท้าผ้าใบเตรียมลุยเต็มที่ คิดกลับไปว่าถ้าแก้มบุ๋มกับพู่กันศรศิลป์ไม่กินกันก็น่าจะเป็นเพราะพู่กันสวยคมดูดีกว่าอาหมวยอย่างแก้มบุ๋มนั่นเอง *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚ ถุงยังชีพถูกรวบรวมนำมากองรวมกันต่อไปจะต้องมีการแบ่งสรรไปตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในถุงก็จะประกอบด้วย เครื่องอุปโภคบริโภค พู่กันรับอาสาเป็นคนประสานงานเธอนำเอกสารจากกองอำนวยการระบุถึงการให้ความช่วยเหลือไปถึงระดับไหน หมู่บ้านใดบ้างที่ได้รับความช่วยเหลือไปแล้วและจุดไหนที่ยังเข้าไปไม่ถึง ตรีภพเดินเรื่องขอเข้าไปดูพื้นที่จริงกับเจ้าหน้าที่เพื่อสำรวจความเสียหาย หาข้อมูลจะได้ให้ความช่วยเหลือในระดับต่อไป กลุ่มถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มสมาชิกชายออกไปกับเจ้าหน้าที่ทางเรือและรถบางส่วน ฝ่ายหญิงให้ดูแลเข้าของที่นำมาบริจาคและคอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยเบื้องต้น พี่หนูนากำลังโทรศัพท์แว่วดังมาเหมือนกับว่ากำลังบอกทางให้ใครทราบว่าตอนนี้สมาชิกชมรมเพื่อเพื่อนอยู่ตรงไหน “ตอนนี้ฉันอยู่ข้างในอาคาร ห่างจากกองอำนวยการมาด้านหลัง แก้วบอกคนขับให้เข้ามาในโรงเรียนประจำจังหวัดนะ รู้จักใช่ไหม เค้าตั้งเป็นศูนย์อำนวยการ แต่ฉันบอกทางไม่ถูกหรอกเพิ่งเคยมา เออ ๆ ๆ แล้วมาด้วยรถอะไรล่ะ อ๋อ ๆ ๆ เดี๋ยวจะให้น้องเค้ารอรับนะ” พู่กันกำลังแยกถุงยังชีพออกมากองไว้ตามพื้นที่ เพราะจะมีคนมารับเอาไป จำนวนสิ่งของที่รวบรวมมาก็ไม่น้อยแต่ก็เหมือนจะไม่มากเพียงพอแจกจ่ายอย่างทั่วถึง อีกมุมสองสาวพี่น้องแก้มบุ๋มกับแก้มใสกำลังเช็คจำนวนข้าวกล่องที่จะให้เจ้าหน้าที่นำไปแจกจ่าย หนูนาเดินดูน้องๆทำงาน เห็นว่างานที่พู่กันทำน่าจะเสร็จก่อนแก้มบุ๋มและแก้มใสจึงเดินเข้าไปสั่งการให้พู่กันออกไปรับทีมที่มาจากภูเก็ต “ไอ้พู่ ถ้าเสร็จแล้วเดินไปหน้ากองอำนวยการหน่อยนะ เพื่อนพี่ที่มาจากภูเก็ตกำลังจะมาถึง จะให้มาสมทบกันที่ตรงนี้แหละ” “คะพี่หนูนา แล้วเค้ามาด้วยรถอะไร พู่จะได้เข้าไปถามได้ถูกคัน” “รถตู้สีขาว” “แล้วเพื่อนพี่ชื่ออะไรล่ะ เดี๋ยวทักคนผิดขายหน้าแย่” “ชื่อเก็จแก้วจ๊ะ” ถุงสุดท้ายถูกวางเรียบร้อย พู่กันเดินออกไปหน้าศูนย์อำนวยการ แล้วเธอต้องอ้าปากค้างเพราะรถที่กำลังขับเข้ามาและที่จอดใหญ่เป็นรถตู้สีขาว หญิงสาวใช้ไหวพริบนิดหน่อยคือดูป้ายทะเบียนภูเก็ต ก่อนจะทำเสียงฮึมฮัมอยู่ในลำคอเพราะทะเบียนรถภูเก็ตมีมากกว่าหนึ่งคันนั่นเอง หญิงสาวยืนดูรถอย่างชั่งใจว่าควรจะเป็นคันไหน ข้างหน้ามีรถตู้กำลังวิ่งเข้ามาตรงมาที่เธอยืนอยู่บนฟุตบาท ป้ายทะเบียนรถภูเก็ต หลังคารถเต็มไปด้วยสัมภาระ หญิงสาวคิดในใจว่าน่าจะเป็นคันนี้แหละ พู่กันรอให้รถจอดสนิท คนในรถทยอยกันออกมา หญิงสาวมองหาเพื่อนพี่หนูนา คาดคะเนหน้าตาวัยน่าจะใกล้เคียงกัน แต่ยังไม่ทันจะทักทายพี่หนูนาก็ส่งเสียงมาแต่ไกล “กะแล้วไอ้พู่ ว่าแกต้องยืนงงเป็นไก่ตาแตกแหงๆ” “ก็ไม่เชิงคะ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าคันไหน ฟันธงว่าคันนี้แน่ๆ นั่นไงคะพวกเค้ากำลังลงจากรถพอดี” “ไหนดูซิ เออแกเก่ง นั่นไงเพื่อนพี่” พี่หนูนาบอกพู่กันพร้อมกับยกมือทักทายเพื่อนสาวทันที “แก้ว ๆ ทางนี้” ตามสายตาพู่กันแล้ว เพื่อนที่ชื่อแก้วของพี่หนูนา ท่าทางจะดูอ่อนวัยกว่าพี่หนูนาสองสามปี อาจจะเป็นเพราะทรงผมและการแต่งตัว “ไอ้พู่ไหว้พี่แก้วเพื่อนพี่สิ ..นี่พี่เก็จแก้ว” พีหนูนาสะกิดพู่กันให้ไหว้เพื่อนรัก “สวัสดีคะ” พู่กันยกมือไหว้เพื่อนพี่หนูนา เก็จแก้วยกมือไหว้ตอบส่งยิ้มตามด้วยถามชื่อตามมารยาทที่พึงมีต่อผู้น้อย “สวัสดีจ๊ะ ชื่อพู่หรือจ๊ะ” “เค้าชื่อพู่กัน นี่แหละอาร์ทตัวแม่เลยล่ะเธอ” พี่หนูนาเสริมอย่างยียวน ทำเอาพู่กันหัวเราะขำมากกว่าจะถือโกรธเพราะเธอรู้นิสัยพี่หนูนา “โหยยย พี่หนูนานินทากันให้ได้ยินเลยนะคะ” “ก็พู่กัน จบศิลปะมาไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่เรียกอาร์ทตัวแม่แล้วจะให้บอกว่าไงล่ะจ๊ะแม่ติสจ๋า” พี่หนูนาตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เอื้อมมือจับสองแก้มใสของพู่กันเขย่าไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว “ไม่เอาล่ะคะพี่พาคุณแก้วไปที่หน่วยก่อนเหอะ ตรงนี้มันร้อน” พู่กันพูดพร้อมกับเช็ดป้อย ๆ ที่แก้มสองข้าง เธอไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะมันดูหวานไป แต่พี่หนูนามักจะแสดงความเอ็นดูต่อเธอแบบนี้เสมอทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ชอบก็ตาม “ดีเหมือนกัน ถ้าเอาของลงหมดแล้ว ยังงั้นพี่จะให้พวกผู้ชายมาช่วยขนของนะ เราไปคุยกันที่หน่วยดีกว่าเพื่อน” “พู่จะอยู่ตรงนี้ก่อนเผื่อพี่ๆเขามาจะได้รู้ว่าเป็นรถคันไหน” พู่กันเดินไปท้ายรถตู้หลังจากที่พี่หนูนากับเพื่อนๆเดินกลับไปที่หน่วย เห็นว่ากำลังทยอยขนของลงจากท้ายรถเกือบหมดแล้ว คนร่างสูงกำลังชโงกหน้าสำรวจดูว่ามีของหลงเหลือในรถหรือเปล่า จนแน่ใจว่าหมดแล้วจึงได้หมุนตัวหันกลับมา สิ่งที่ทำให้พู่กันตกใจเมื่อฝาท้ายรถตู้ปิดลงมากระแทกลงบนศีรษะที่ยังไม่พ้นรัศมี แม้เสียงไม่ดังมากแต่คงแรงไม่น้อยเพราะร่างสูงที่หันมานั้นซวนเซทีเดียว เพียงไม่นานมีของเหลียวไหลเป็นทางจากศีรษะของชายหนุ่ม “คุณ คุณคะ เจ็บมากไหม ขอโทษนะคะมานั่งตรงนี้ก่อน” พู่กันกระโดดเข้าไปหาร่างสูงอย่างรีบร้อนไม่ได้คิดอะไรมากกว่าความเป็นห่วงคนเจ็บยิ่งเห็นเลือดไหลอาบแก้มคมสัน จนลืมสังเกตว่าชายหนุ่มเอาแต่จ้องหน้าเธอเขม็งด้วยความประหลาดใจปนไม่แน่ใจแวบหนึ่งในแววตาสีน้ำตาลเข้มนั้น มือบางตวัดแขนคนเจ็บพยุงพามานั่งชิดเสา หญิงสาวล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงวางโป๊ะซับกดลงบนแผลที่มีเลือดไหลออกมา “คุณไหวไหม เอามือนี่กดผ้าบนบาดแผลไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันมา” พู่กันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ววิ่งไปที่กองอำนวยการที่อยู่ไม่ไกลเพื่อไปขออุปกรณ์ทำแผลโดยมีสายตาของชายหนุ่มตามไปเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เจ้าตัวก็ตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร คนเจ็บบอกให้คนที่เหลือเอาของบริจาคล่วงหน้าไปก่อน เพียงไม่กี่นาทีหญิงสาวกลับมาพร้อมเครื่องปฐมพยาบาล แววตาไหวยามมองมือที่กดบาดแผลอยู่ พู่กันลดกวาดสายตามองหน้าคนเจ็บแล้วมีความคิดแวบเข้ามาในสมอง ผู้ชายคนนี้หน้าตาหล่อเข้มทีเดียวล่ะ ยังดีนะที่ไม่ได้เป็นแผลที่หน้า แต่ถึงจะมี อาจจะต้องเย็บหลายเข็มมันคงไม่ทำให้ความหล่อลดลง เผลอๆจะเท่ห์อีกเป็นกอง พู่กันกระพริบตาอีกครั้งเรียกสมาธิตัวเองกลับมา เอ่ยกับคนเจ็บเบา อย่างอ่อนโยน “เออคุณนั่งพิงเสาก็ได้นะ หน้ามืดบ้างหรือเปล่า” “เปล่าครับ” เสียงทุ้มตอบมาโดยสายตายังมองใบหน้าพยาบาลจำเป็นไม่คลาดคลา “งั้นก็ดีแล้วเดี๋ยวฉันขอดูแผลคุณก่อนนะ เลือดยังไหลอยู่เลย ถ้าแผลใหญ่คุณก็ต้องไปหาหมอ แต่ถ้าไม่มากก็ต้องไปหาหมออยู่ดี อ้า...ยังไงดีล่ะ..คือฉันไม่ใช่หมอ” หลังจากที่บอกคนเจ็บน้ำเสียงเริ่มแผ่ว พู่กันรู้สึกถึงเหงื่อชื้นที่มือและแผ่นหลังของตัวเอง ทำไมหายใจติดขัด ใจสั่นตาพร่าพิกล เธอกำลังจะเป็นลม โอ้ยตาย...นี่เธอตื่นเต้นเห็นคนบาดเจ็บจนลืมไปว่าเธอเห็นเลือดที่ไหลเป็นทางยาวแบบนี้ไม่ได้ สติที่เหลือน้อยเต็มทีบอกตัวเองให้ทรุดนั่งแล้วเอนตัวพิงกับเสาต้นเดียวกันกับที่ชายหนุ่มพิงอยู่ ดวงหน้าซีดเผือดหลับตา พยายามหายใจลึกๆอาการคลื่นเหียรอาเจียรจะได้ทุเลา เขากำลังแปลกใจกับอาการของหญิงสาว มองตามร่างบางกำลังทรุดตัวลงนั่งข้างๆเขา เกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวกันแน่ ร่างหนาเอี้ยวตัวดูใบหน้าที่ซีดเผือดเปลือกตาปิดลงมีเหงื่อผุดขึ้นที่ตรงหน้าผากและไรผม ชายหนุ่มอุทานเบา ๆ “เป็นลมหรือนี่” คนเจ็บเปลี่ยนสถานะเป็นบุรุษพยาบาลทันที รีบประคองร่างพยาบาลจำเป็นนอนลงให้หนุนตักเขาเพื่อจะได้ปฐมพยาบาลได้ถนัด เขาเลิกสนใจบาดแผลตัวเองรื้อค้นสำลีและแอมโมเนีย หยดน้ำที่มีกลิ่นฉุนเพียงเล็กน้อยลงบนสำลี มือใหญ่กวัดไกวบริเวณจมูกเล็กๆ สายตาเข้มมองดูหน้ารูปไข่ซีดเผือด ดวงตาปิดสนิทขนตาหนาแผ่ขยาย คิ้วโก่งเรียวสวย จมูกโด่งเป็นสันพองาม ริมฝีปากอิ่มสวยซีดเซียว รู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ป้ายที่เธอแขวนเป็นของชมรมเพื่อเพื่อน ทีมอาสาที่พี่สาวของเขาเล่าประวัติให้ฟัง ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเจอที่ไหน..... ที่ไหนกันนะ..... ชายหนุ่มครุ่นคิด เป็นเวลาเดียวกันพี่หนูนาเดินกลับมาดูพู่กันอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เห็นหายไปนานทั้งๆที่ของบริจาคขนไปที่หน่วยหมดแล้ว ครั้นพอเห็นร่างบางนอนราบศีรษะหนุนอยู่บนตักน้องชายของเพื่อนรู้สึกตกใจจนต้องทักด้วยเสียงอันดัง “อ้าวเฮ้ยไอ้พู่...พู่กัน..เป็นอะไรไป พู่กัน..อ้าวแล้วนั่นพรหมเป็นอะไรทำไมเลือดเต็มหน้าแบบนี้” เสียงคุ้นๆ แว่วอยู่ไกลลิบในโสตประสาทของพู่กัน สติเธอเริ่มคืนมาบ้างเพราะกลิ่นแอมโมเนียกวัดแกว่งส่งกลิ่นฉุนพัดผ่านปลายจมูกเธออยู่ไม่ห่าง สายตาคมเข้มจ้าจัดยามที่มองใบหน้าหญิงสาว หัวใจบีบตัวแรงเหมือนถูกกระชากให้ตื่นจากฝันเมื่อได้ยินชื่อของหญิงสาวจากปากผู้มาใหม่ พู่กัน... ใช่เธอคนเมื่อวันก่อนหรือเปล่า ชื่อแบบนี้มันคงมีไม่มาก ถ้าเธอเป็นพี่พู่กันของอั๋น มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุดที่มาเจอหญิงสาวที่นี่ นั่นสิทำไมถึงได้คุ้นตาพยายามนึกว่าเคยเห็นที่ไหนยามที่เห็นหน้าเธอครั้งแรก “หวัดดีครับพี่หนูนา เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยฮะ ฝาท้ายรถตูปิดลงมากระแทกใส่หัวผม แล้วคุณคนนี้กำลังช่วยปฐมพยาบาลผมอยู่ดีๆ เกิดเป็นลมขึ้นมาฮะ” “โธ่....ไอ้พู่เอ้ย... สงสัยเป็นห่วงคนเจ็บ จนลืมไปว่าตัวเองกลัวเลือด เห็นเลือดไหลทะลักแบบนี้ทีไรมันเป็นลมทุกที” “อย่างนี้นี่เอง” เก็จพรหมครางอยู่ในลำคอแล้วกัมสำรวจดูดวงหน้าขาวซีดที่มีสีสันขึ้นมาบ้างแล้ว เปลือกตาขยุกขยิกเริ่มหรี่ขึ้นมองไปรอบๆ ตัว สายตาผ่านใบหน้าพี่หนูนาแล้วมองขึ้นสู่ที่สูง พู่กันกระพริบตางงๆสบตาเข้มที่มองก่อนหญิงสาวปิดตาลงอีกครั้งแล้วต้องลืมตาโพลงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังหนุนตักคนแปลกหน้าอยู่ หญิงสาวผลุดลุกขึ้นทำหน้างง สีหน้าเรื่อออกสีชมพูแทนที่ความซีดเผือดไปเสียสิ้น เสียงพี่หนูนาทำให้เธอใจชื้นรีบหันไปตามเสียงที่ได้ยิน “เดี๋ยว ๆ ไอ้พู่ใจเย็น ลุกนั่งเร็วๆ เดี๊ยวก็ได้เป็นลมอีกรอบหรอก” “ตายจริง พู่เป็นลมจริงๆ หรือคะ พู่ขอโทษคะ แทนที่จะช่วยคนเจ็บดันเป็นซะเอง” “เรานี่น๊า ลืมไปว่ากลัวเลือดล่ะสิ” “จริงด้วย พู่เห็นฝาท้ายรถตู้ ตกลงมากระแทกหัวคุณคนนี้ แล้ว เออ..เออ..คุณเป็นยังไงบ้างคะ ฉันไม่ได้เรื่องจริงๆ แทนที่จะช่วยกลับเป็นภาระให้อีก” พู่กันมองดูหน้าชายหนุ่มแต่ไม่พยายามมองขึ้นสูงไปมากกว่านั้นเพราะกลัวจะเป็นลมอีกหน คราบเลือดยังคงเกรอะกรังบนหน้าเข้ม ถึงตอนนี้เลือดได้หยุดไหลแล้ว บอกตัวเองว่ามันน่าอายอย่างมากที่เป็นลมต่อหน้าคนแปลกหน้าแถมเป็นคนเจ็บที่ควรดูแลแต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องมาดูแลเธอเสียนี่ เจ้าหน้าที่พยาบาลเข้ามาดูบาดแผลชายหนุ่มเบื้องต้นแล้วพาขึ้นรถไปโรงพยาบาลเพราะบาดแผลเปิดกว้างจำเป็นต้องเย็บปิดปากแผล พู่กันเดินตามพี่หนูนากลับหน่วย ร่างบางทรุดนั่งบนเก้าอี้ในใจยังโมโหตัวเองที่ไปนอนหนุนตักคนแปลกหน้า นี่ถ้าแม่รู้คงบ่นสามคืนสี่วันไม่จบชัวร์ ต่อไปต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ มันน่านัก พู่กันคิดก่นด่าตัวเองอยู่คนเดียว “พู่กันหิวหรือยัง แก้มใสเอาข้าวกลางวันมาให้ ทานเลยดีกว่ากำลังร้อน ๆ” ข้าวกล่องยื่นตรงหน้า กลิ่นอาหารโชยเข้าจมูก พู่กันเหลือบดูหน้าหวานของแก้มใสแล้วส่ายหน้าไปมา ยิ้มบางตอบแทนน้ำใจของเพื่อนสาว “แก้มใสทานก่อนเถอะ พู่ยังไม่หิวเหมือนเพิ่งกินไปอยู่เลย” “เหมือนกันเลย ว่าแต่พู่กันไม่สบายหรือเปล่าหน้าซีด ๆ” “เปล่า... ไม่ได้เป็นอะไร สบายดี พู่ว่าเราไปช่วยพี่ๆเขาแพคถุงยังชีพดีกว่า” พู่กันลุกหนีแก้มใสที่เข้ามาคุยอย่างสนิทสนม เดินเข้าหากลุ่มขณะกำลังช่วยกันแพคของบริจาคใส่ในถุงยังชีพเตรียมแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยต่อ เดิมของบริจาคที่นำมาจากภูเก็ตยังอยู่ในกล่องจำต้องแกะออกมาแล้วนำไปใส่ถุงมีทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคคละๆกัน “ไงหายหรือยัง” พี่หนูนากระซิบถาม หลังจากที่ร่างบางทรุดนั่งข้าง ๆ “หายแล้วคะ อย่าเอ็ดไปนะคะ พู่ขายหน้า” น้ำเสียงโทนเดียวกันกระซิบกลับมา “เออรู้น่า พี่ไปรู้มาอีกว่ารายนั้นเย็บตั้งสิบเข็มเชียว” พี่หนูนารายงานผลให้หญิงสาวทราบ “ถือว่าซวยไปคะ” น้ำเสียงเรียบจนคนชวนคุยมองหน้า แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ ไม่คิดจะพูดต่อเพราะดูท่าว่าคนข้างๆ ไม่อยากจะพูดถึงอีก ความที่เป็นศิษย์สถาบันเดียวกัน ทำกิจกรรมร่วมกันมานานพอจะรู้จักนิสัยใจคอของพู่กันเป็นอย่างดี หนูนาจึงหันไปคุยกับเก็จแก้วเรื่องการให้ความช่วยเหลือในวันถัดไป จากที่ได้ยินพู่กันคิดว่าทีมอาสาเพื่อเพื่อนน่าจะอยู่ในพื้นที่ประสบภัยประมาณ 3-4 วัน เสียงคุยกระหนุงกระหนิงระหว่างเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานไม่ได้ช่วยให้พู่กันรู้สึกดีไปด้วย อาการเซ็งเริ่มก่อตัวเมื่อต้องคอยตอบคำถามหรือฟังเสียงแก้มใสที่นั่งข้าง ๆ อยู่ตลอดเวลา แม้จะพยายามคิดไปในทางที่ดีว่าแก้มใสเป็นคนมีอัธยาศัยดี แต่เธออยากจะมีเวลาส่วนตัวจัดระเบียบความคิดของตัวเองบ้างไม่ใช่คอยปั้นหน้าเสแสร้งเออออห่อหมกกับท่าทางจี๋จ๋าของแก้มใส อาการนอยของพู่กันอยู่ในสายตาพี่หนูนาความจริงมันก็น่าเซ็งอยู่หรอกเพราะแก้มใสพูดเป็นต่อยหอยไม่เว้นช่วงให้คนฟังได้หายใจขนาดคนปกติยังรู้สึกรำคาญ แล้วอย่างไอ้พู่มีหรือหน้าจะไม่เหมือนกินบอระเพ็ด รุ่นพี่พู่กันแอบอมยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นพู่กันก้มหน้าแอบลอบถอนหายใจ...... *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚ ภาพปุยเมฆสีเทากำลังลอยไหลมารวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้า พู่กันเงยหน้ามองฟ้าพลางคิดอย่างหนักใจว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกห่าใหญ่แน่นอน ดูจากเมฆที่ลอยต่ำและกลิ่นฝนที่ใกล้เข้ามา ยังไม่ทันจะลุกไปไหนฝนก็เทกระหน่ำลงมาพร้อมกับลมพัดแรงทำให้เข้าของในอาคารปลิวว่อน หนึ่งในนั้นคือเอกสารที่อยู่ในตะกร้า พู่กันโผลุกขึ้นไล่ตะครุบกระดาษที่กำลังจะปลิวออกนอกอาคาร สายฟ้าแลบแปลบปลาบหยุดเท้าพู่กันชะงักงันนอกจากกลัวเลือดแล้วเธอยังกลัวสายฟ้าแลบเสียงฟ้าร้องเป็นที่สุด “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยพู่ด้วย” พู่กันอุทานออกมาเบาๆแล้วทรุดนั่งตัวงอยกมือปิดหูหลับตาปี๋เมื่อเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องปล่อยให้สายฝนสาดใส่จนตัวเปียกโชก มีมือใหญ่ดึงร่างบางให้เข้ามาในอาคารก่อนที่จะเปียกฝนไปมากกว่านี้ “คุณ คุณเปียกหมดแล้ว” เสียงทุ้มทักเข้ามาในโสตประสาทในช่วงเวลาที่หวาดกลัว พู่กันเงยหน้ามองดูคนที่ดึงเธอเข้ามาในอาคารนายคนนี้อีกแล้ว เจอทีไรซวยทุกทีพู่กันคิดพลางเหลียวมองรอบตัวหาคนอื่นๆ ต่างกำลังวุ่นวายกับข้าวของที่ปลิวตามแรงลม ร่างบางลุกขึ้นโดยเร็วเพื่อไปช่วยอีกแรง กว่าจะเรียบร้อยเล่นเอาเหนื่อยกันแทบทุกคน “โอยยยย...แทบตายอะไรจะขนาดนั้นลมหนอลม” พี่หนูนาใช้มือทุบขาทุบน่องตัวเองให้หายเมื่อยปากไม่วายบ่นทั้งๆที่ยังหอบไม่หาย โดยมีพู่กันนั่งข้างๆตัว หางตาของคนอาบน้ำมาก่อนรู้ว่าหญิงสาวต้องการที่พึ่ง อาจเป็นเพราะวันนี้เธอเจอเรื่องแต่เรื่องแย่ ๆกับตัวเอง มืออันอบอุ่นตบบ่าลูบหลังสาวรุ่นน้องเรียกขวัญให้กลับมาไม่จำเป็นต้องมีคำพูดแต่สายตาที่มองสบกันนั้นก็เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ไม่วายกระเซ้าหญิงสาว “ไม่เป็นไรนะ วันนี้ไม่ใช่วันของแกว่ะพู่” “ฟังพูดเหมือนพู่เจอซะน่วมงั้นแหละ แต่จะพูดไปก็สนุกดีนะพี่ พู่ไม่ได้วิ่งออกกำลังกายแบบนี้นานแล้ว ตอนที่ไล่ตระครุบกระดาษเอย กล่องเอย มันเหมือนกำลังไล่จับหมาจับแมวเลย ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกเลยพี่” “สนุกของแกไปคนเดียวเหอะ ทีไอ้ตอนฟ้าแลบฟ้าร้องไมแกไม่วิ่งหนีฝนวะลงไปนั่งปล่อยให้ฝนสาดอยู่ได้ นี่ถ้าไม่ได้นายพรหมช่วยดึงมาคงได้ถูกฟ้าผ่าอยู่ตรงนั้นแหงๆๆ” “ก็อยากจะวิ่งอยู่หรอกแต่ขามันก้าวไม่ออก พู่กลัวฟ้าร้องฟ้าแลบนี่ ฝนฟ้าที่นี่น่ากลัวจัง” พู่กันทำหน้าสยองเมื่อพูดถึงเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปหยกๆ “นี่ ๆ ตะกี้นะ ฉันกำลังนึกว่ากำลังถ่ายทำ MV นางเอกกลัวฟ้าแลบฟ้าร้องให้พระเอกมาช่วยซะอีก” “ไหงพี่หนูนาพูดเข้ ๆ แบบนี้อะ พู่เสียหายนะ นายคนนั้นโผล่มาตอนไหนพู่ยังไม่รู้เลย” “เขาชื่อพรหม” “ไม่ได้ถามเลยยย พู่ขอไปดูเอกสารดีกว่า ไม่รู้ว่าเปียกเสียหายมากหรือเปล่า” พู่กันลุกขึ้นโดยไม่รอว่าพี่หนูนาจะกล่าวอะไรต่อไป ร่างบางเดินไปที่ตะกร้าเก็บเอกสาร หยิบมันติดมือไปนั่งตรงมุมห้องแล้วหันหลังให้กับทุกคน ทำงานคนเดียวเงียบ ๆ ชายหนุ่มคนที่พี่หนูนาพูดถึงกำลังมองแผ่นหลังบอบบางของพู่กันอยู่เงียบ ๆ ภายใต้แว่นดำ เขาปฏิเสธที่จะนอนพักอยู่ที่รูมสวีทที่พี่สาวเปิดไว้ให้กับโรงแรมดังห้าดาวในตัวเมืองสุราษฏร์ เพียงแค่อยากรู้จักว่าเธอเป็นใคร ด้วยนิสัยที่อยากได้อะไรก็ต้องได้จึงไม่อยากให้คาใจ บวกกับโชคชะตาพาให้เขามาเจอเธอที่นี่ ความจริงแล้วเขาไม่ควรจะมานั่งตรงนี้ในวันนี้ หากไม่ใช่เพื่อนนักธุรกิจจากสวิสที่มีกำหนดการนัดคุยเรื่องธุรกิจติดธุระด่วนขอเลื่อนเดินทางมาเมืองไทยออกไปเป็นอาทิตย์หน้า ทำให้ตารางเวลามีช่องว่างขึ้นมาทันที แค่ต้องการคั่นเวลาที่ว่างลงให้มีประโยชน์ดีกว่านั่งเฉยๆ ชายหนุ่มคิด ทั้งทนการชักชวนครั้งแล้วครั้งเล่าจากเก็จแก้วที่อยากให้เขาได้รู้จักการทำสาธารณะกุศลดูบ้าง *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚ “ไอ้พู่นี่ของชอบแกเลย เอ้ากินเข้าไปเยอะ ๆ ผอมเชียวแก” พี่หนูนานั่งใกล้พู่กันใช้ตะเกียบคีบหมูกรอบให้รุ่นน้องอย่างรู้ใจ เก็จพรหมมองหมูกรอบวางบนข้าวเหลือบดูใบหน้าเปื้อนยิ้มแทนขอบคุณแล้วยิ่งแน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันกับพี่พู่กันของอั๋น “พี่พู่ชอบข้าวหมูกรอบมาก มานั่งทีไรสั่งทุกที” “นี่ด้วยคะพู่กัน แก้มใสตักไข่เจียวให้ ดูสิปากแดงหมดแล้วทานอะไรคะถึงได้เผ็ดขนาดนี้” แก้มใส ตักไข่เจียวสีเหลืองกรอบน่าทานให้อีกคน ในขณะที่พู่กันหน้าแดงปากแดงจากความเผ็ดร้อนของน้ำพริกกุ้งเสียบ อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารรสชาดของคนใต้ใช้ได้ทีเดียวยกเว้นเรื่องความเผ็ดที่พู่กันแขยง เธอไม่ชอบของเผ็ดทุกชนิด ขนาดส้มตำเธอยังต้องบอกแม่ค้าใส่พริกเม็ดเดียว ในหมู่เพื่อนๆทุกคนจะรู้ใจด้วยการสั่งจานแยกให้เพื่อนสาวคนนี้ “น้ำพริกกุ้งเสียบอร่อยมากเลยเสียแต่ว่าเผ็ดไปหน่อย” เผ็ดไปหน่อยของพู่กันคือเหงื่อไหลข้างแก้มเนียน มือบางยกมือซับหน้าด้วยกระดาษเช็ดปาก ยกน้ำเปล่าตามเกือบหมดแก้ว หมูกรอบชิ้นน้อยเข้าปากแก้เผ็ดเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เก็จพรหมนั่งข้างเก็จมณีตรงข้ามกับพี่หนูนาและพู่กัน ดูเหมือนชายหนุ่มจะรับประทานอาหารเงียบ ๆ แต่ยังมีคนแอบเห็นชายหนุ่มคอยเหลือบดูหญิงสาวตรงหน้าบ่อย ๆ โดยที่เขาและคนถูกมองไม่รู้ตัว “อาหารมื้อนี้ต้องขอบคุณคุณแก้วนะครับที่มีน้ำใจพามาเลี้ยง อาหารถูกปากมากเลยครับ ดูสิฮะแต่ละคนข้าวเกลี้ยงจานเลย” พี่ตรีภพเป็นฝ่ายเอ่ยขอบคุณเจ้าภาพอาหารมื้ออร่อยแทนสมาชิกในกลุ่ม “แค่บอกว่าอาหารมื้อนี้ถูกปากคนพามาก็ปลื้มแล้วล่ะคะ ความจริงอาหารคนใต้รสจัดออกร้อนแรง แก้วก็ยังนึกกลัวทุกคนจะทานไม่ได้เหมือนกันนะคะ” “ก็คงจะมีแต่ไอ้พู่นี่แหละ ดูสิคะ ปากแก้มมันยังแดงอยู่เลย ใช่ไหมไอ้พู่” หน้าพู่กันร้อนขึ้นมาอีกเมื่อสายตาทุกคู่หันมามองตามคำบอกเล่าของพี่หนูนา ได้แต่ยิ้มเขิน ๆ ก้มหน้ามองจานข้าวของตน หนุ่มหน้าเข้มตรงหน้ามีโอกาสได้มองอย่างเต็มตา “เออ คุณพรหมเป็นไงบ้างครับ บาดแผลที่หัวครับ” ตรีภพถามอาการเจ็บของชายหนุ่มเมื่อเงยหน้ามองดูผ้าพันแผลบนศีรษะ “รู้สึกตึง ๆ นิดหน่อยครับ” “คุณน่าจะนอนพักนะคะ แก้มบุ๋มมียาแก้ปวดจะรับไหมคะ” แก้มบุ๋ม เอ่ยแทรกขึ้นมา แสดงความมีน้ำใจเอียงคอยิ้มให้เก็จพรหม สายตาหลายคู่มองฉงนกับความมีน้ำใจที่เพิ่งเคยเจอ “ขอบใจครับ แต่ไม่เป็นไรฮะ ทางโรงพยาบาลจัดมาให้แล้วนี่ไงฮะ” เก็จพรหมชูถุงยาของโรงพยาบาลส่งยิ้มเก๋ให้หญิงสาวที่นั่งติดกับเขา ก่อนจะตวัดสายตาไปที่คนนั่งตรงข้ามที่เอาแต่สนใจบางอย่างบนพื้นที่ของตัวเอง ดูท่าเจ้าหล่อนไม่ได้สนใจใครๆหรือการสนทนาบนโต๊ะอาหาร “นี่ไอ้พู่แกติดใจอะไรนักหนากับมือถือวะ เห็นจิ้มๆกดๆ อย่าบอกนะว่าแก BB อยู่” พี่หนูส่ายหน้าระอากับอาการติสจ๋าของพู่กัน เธอจะเข้าโหมดส่วนตัวได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่สนใจว่าใครจะพูดคุยหรือทำอะไรกันอยู่ “งานเข้าคะพี่ พู่กำลังรับงาน ขอโทษนะคะ เด่วพู่ออกไปโทรศัพท์นะคะ” พูดจบพู่กันลุกขึ้นเดินออกไปคุยนอกร้าน โดยมีสายตาของหนุ่มหน้าเข้มตามไปด้วย เขาอยากรู้ว่าพู่กัน BB กับใคร ที่ว่างานเข้านั้นมันคืออะไร พี่หนูนามองหน้าเก็จพรหมแล้วหัวเราะดังๆ ก่อนจะสาธยายคุณสมบัติเด่นของหญิงสาว “แบบนี้แหละคะ แม่พู่ติสจ๋าของพวกเรา” “เชื่อแกเลย” ตรีภพพูดเสริมพร้อมกับส่ายหน้าเอ็นดูนิสัยส่วนตัวของสมาชิกชมรม “ทำไมไม่คิดว่าเป็นการเสียมารยาทบ้าง เราควรตักเตือนเค้าให้รู่ว่า อยู่กับคนหมู่มากไม่ควรสร้างโลกส่วนตัว ทำตัวแบบนี้น่าเกลียด” แก้มบุ๋มพูดเมื่อเห็นทุกคนบนโต๊ะไม่ได้ตำหนิเมื่อพู่กันผละจากไปคุยเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะสายตาของหนุ่มหล่อที่นั่งข้างๆ เธอ “แก้มบุ๋มทำไมพูดแบบนั้น พู่กันเค้าก็บอกว่า งานเข้า ก็แปลว่ามีงาน ดีออกน่าจะดีใจกับพู่กันมากกว่าถึงจะถูก” แก้มใสพูดในเชิงบวกทำให้ทุกคนในที่นั้นพยักหน้าเห็นด้วย เพียงไม่นานคนเจ้าของเรื่องกลับมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยกเว้นแววตาที่เต้นระริกที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิด พู่กันมีลักษณะคล้ายกับเพื่อนฝนเลยคะ
แบบว่าชอบมีโลกส่วนตัว นึกอยากจะทำอะไรก็ทำเลย ไม่เชิงว่าไม่แคร์ใคร ๆ ประมาณ ชะแว๊บไปแล้วก็ชะแว๊บมาคะ อ่านแล้วก็ เออ มันใช่เลย โดย: Rainy IP: 223.207.210.179 วันที่: 21 สิงหาคม 2554 เวลา:19:27:53 น.
หวัดดีจ๊ะหนูฝน
เป็นข้อมูลที่ดีเลยหล่ะคะ เพราะแม่หนูยิมเป็นสาวติสมิใช่สาวหวานแต่ต้องมาเขียนติส ๆ ๆ ก็ต้องพยายามแล้วหล่ะคะ โดย: gymstek วันที่: 22 สิงหาคม 2554 เวลา:7:51:10 น.
|
gymstek
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?] Friends Blog
Link |
ดีจร้าแวะมาทักทายจร้า แวะไปทักทายกันบ้างนะจร้า