All Blog
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสเจ็ด
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *







*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


*.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* ติสเจ็ด *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *





เก็จพรหมขับรถไปทำงานตามปกติ คืนที่แล้วหลังจากที่แลกพินกับพู่กันแล้ว เป็นครั้งแรกที่ต้องอดทนที่จะไม่กระทำอะไรใดๆตามใจปรารถนาเขาไม่อยากรบกวนพู่กัน เกรงเธอจะรู้ตัวว่าเขากำลังรุกที่จะจีบ หากทำแบบนั้นเชื่อได้ว่าชะตากรรมของตัวเองคงไม่พ้นเหมือนกับแก้มใสแน่นอน ที่สำคัญเขายังไม่ทราบเลยว่าพู่กันมีคนรักแล้วหรือยัง ตี๋หนุ่มที่เขาเจอในร้านเป็นแค่เพื่อนหรือเป็นอย่างอื่นคนที่น่าจะทราบดีตอนนี้น่าจะเป็นพี่หนูนา ซึ่งจะเป็นเป้าหมายที่เขาต้องเดินใช้เป็นตัวช่วยต่อไป

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นชายหนุ่มกดบูลทูธรับสัญญาณ ระหว่างคุยคิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเป็นปม เสียงเรียบตอบรับคนในสายก่อนจะหมุนพวงมาลัยเลี้ยวหัวรถไปอีกทางแทนที่จะเป็นโรงแรมเหมือนดั่งเคย เส้นทางที่ชายหนุ่มขับไปจอดเป็นบ้านหลังใหญ่ถ้าจะเรียกให้ถูกคือคฤหาสน์ มันใหญ่โตสำหรับคนเข้าไปอยู่ได้อย่างสบายนับครึ่งร้อย เขารู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นหลังจากที่งานแต่งงานของจุมพิตาเพียงไม่นาน มันเป็นของกำนัลจากลูกเขยอภิมหาเศรษฐี เจ้าของบ่อเพชร ซึ่งหาไม่ได้จากเขาแน่ถ้าลูกสาวบ้านนี้แต่งกับเขา เก็จพรหมเดินเข้าไปในคฤหาสน์หรูนานมากแล้วที่เขาไม่ได้แวะเข้ามานับตั้งแต่จุมพิตาแต่งงานและติดตามสามีชาวรัสเซียไปอยู่เมืองนอก วันนี้เขาเข้ามาในฐานะแขกของบ้านนี้ตามคำเชิญของอดีตคนรัก

“คุณคะ คุณจูนเชิญที่สระว่ายน้ำคะ”
“ขอบใจ”

ทันทีที่เห็นชายหนุ่มเดินเข้าในตัวตึก เด็กสาวรีบเชื้อเชิญแขกของนายสาวไปที่สระว่ายน้ำ ร่างสูงเดินไปถึงสระว่ายน้ำกว้างสุดหรูนอกจากสวยแล้วยังครบครันด้วยความสะดวกสบายอ่างน้ำจากุซซี่มากกว่าหนึ่งจุด ไม่แน่ใจว่าเคยได้เปิดใช้งานหรือเปล่า ข้างสระมีโต๊ะญี่ปุ่นคลาสิคทำด้วยเซรามิกหรูตั้งไว้สำหรับวางเครื่องดื่มให้คนในสระเอื้อมถึงโดยไม่ต้องขึ้นจากน้ำ ร่างขาวโพลนบอบบางอยู่ในชุดบิกินี่ชิ้นน้อยสองชิ้นกำลังแหวกว่ายกลางสระ เธอโบกมือให้เก็จพรหม แล้วว่ายตรงรี่กลับมาหาทันที

“แหมไม่โทรตามไม่มาสินะพรหม”

ดวงหน้าสวยพราวไปด้วยหยดน้ำเงยขึ้นมา ผสานสายตาระยิบกับสายตาเข้มที่มองเฉพาะที่ใบหน้าของอดีตคนรัก หากมองต่ำลงไปมากกว่านั้นไม่ต้องบอกว่าจะเจออะไร มันคงไม่เหมาะเท่าไหร่ ค่อนข้างแปลกใจที่หญิงสาวต้อนรับเขาในสถานที่แบบนี้

“จูนโทรตามผมมามีเรื่องอะไรเหรอ”
เสียงเข้มถามส่วนสายตาปัดมองเข้าไปในตัวอาคารใหญ่ เหมือนมองหาใครในนั้นให้ปรากฏตัวออกมาทักทาย

“ต้องมีธุระหรือคะถึงจะพบพรหมได้ แปลว่าต่อไปนี้จูนจะเจอพรหมในฐานะเพื่อนไม่ได้งั้นหรือคะ”

ระหว่างที่พูดดูเหมือนว่าจุมพิตาจงใจให้สติของเก็จพรหมกระเจิง ร่างกายที่อยู่ในอาภรน้อยชิ้นปิดบนปิดล่างไม่ยอมนิ่งโยกย้ายร่างกายไปมา สายตาที่มองขึ้นสบนั้นแฝงบางอย่างไว้ เก็จพรหมหันไปมองทิศอื่นพลางถอนหายใจพูดอย่างรู้จักนิสัยของหญิงสาวเป็นอย่างดี

“จูนกำลังเบี่ยงประเด็นไปทางอื่น”
“แล้วจริงไหมล่ะคะ จูนน้อยใจเป็นเหมือนกัน เจอหน้ากันไม่ถึงนาทีก็ถามถึงธุระ”

จุมพิตานำตัวแนบชิดกับขอบสระ เงยหน้ามองใบหน้าคมสัน เผยอปากเล็กน้อยแอบยิ้มเมื่อเห็นสายตาของอดีตคนรักมองไปทางอื่น หญิงสาวเอื้อมมือจับขากางเกงทึ้งเบา ๆ กระตุ้นให้เจ้าของหันกลับมา ซึ่งมันได้ผล ชายหนุ่มเผลอก้มลงดูคนในสระเป็นเวลาเดียวกันที่ร่างงามสะพร่างถีบตัวออกจากขอบสระ สิ่งที่เก็จพรหมเห็นตรงหน้าคือเรือนร่างขาวโพลนอยู่ในน้ำอวดโฉมเห็นสัดส่วนโค้งเว้าอย่างถนัดตา เต้าตูมมีเพียงผ้าไม่กี่เซนต์ปิดเอาไว้เผยให้เห็นเนินเนื้อขาวอมชมพูปริ่มอยู่บนผิวน้ำ จุมพิตาหัวเราะพลิ้วมองด้วยสายตาหวานฉ่ำท้าทายอดีตคนรัก น่าแปลกใจที่หญิงสาวกล้าที่อวดเรือนร่างตัวเองต่อหน้าชายอื่นที่ไม่ใช่สามี แววตาคมกล้านั้นกลับมองนิ่งไม่ได้จาบจ้วงจนเดาไม่ออกว่ากำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ไหน เพียงชั่วครู่ดวงตาเข้มเลื่อนขึ้นสบตา ทำเอาใบหน้าหญิงสาวเห่อร้อนเข้าใจความหมายของแววตาที่ส่งมา

“จูนให้ผมมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร”
เก็จพรหมถามเสียงต่ำถอยห่างจากขอบสระ ดวงตาเข้มกวาดมองทั่วหน้าของหญิงสาวรอเหตุผลของเธอ

“เมื่อวานพรหมไปไหนมาคะ จูนไปหาที่โรงแรมไม่เจอ”
เจอไม้นี้จุมพิตาไม่กล้าเหมือนกันเพราะรู้นิสัยของอดีตคนรักดี

“ผมไปทำธุระให้แม่กับพี่แก้วที่กรุงเทพ อย่างน้อยก็น่าจะโทรบอกล่วงหน้าจะได้ไม่ไปเก้อและเสียเวลา”
เสียงอ่อนลงเมื่อทราบว่าหญิงสาวไปหาแล้วเก้อ

“นี่พรหมนับจูนเป็นคนอื่นไปแล้วหรือคะ จะเจอกันก็ต้องนัดหมายก่อน”
เสียงครือจัดถามอย่างน้อยใจ

“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมมีงานที่ต้องทำนะ ทุกวันจะมีทั้งเอเยนต์ บริษัททัวร์ต่างๆ แวะเข้ามาพบ มาดูห้องที่โรงแรม ถ้าจูนมาแล้วไม่เจอก็เสียเวลา”

เก็จพรหมพูดตามจริง สอดมือลงในกระเป๋าตาเข้มมองใบหน้าอดีตคนรักก่อนระสายตาไปกลางสระ รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่หญิงสาวเลือกที่จะต้อนรับเขาในลักษณะนี้ ดูท่าเจ้าหล่อนไม่ยอมขึ้นจากสระสวมเสื้อผ้าปกปิดส่วนที่ควรสงวนเสียด้วยสิ ช่างไม่เหมาะไม่ควรที่เขาต้องมายืนคุยอยู่ตรงนี้

“ไม่ใช่เพราะไม่อยากเจอจูนหรอกนะคะ”

สายตาที่เงยขึ้นสบตาเข้มนั้นทั้งตัดพ้อทั้งเว้าวอนนที ดวงตาเข้มวนกลับมาลงบนหน้าสวยแม้จะพยายามให้หยุดแค่นั้นแต่สายตาเจ้ากรรมไม่วายเลยเถิดไปถึงทรวงอกขาวเนียนอวบอิ่มจนได้ เก็จพรหมสูดอากาศเข้าปอด ควบคุมสติไม่ให้เขวตามด้วยพูดติดตลกให้ร้ายเลขาตัวเอง

“ผมลืมบอกไปว่าเลขาผมเค้าร้ายมากทีเดียว เทคิวงานผมแต่ละวันเต็มเหยียดไม่ได้แพลนล่วงหน้าเป็นอาทิตย์หรอกนะ แต่เค้าจะแพลนให้ผมทำงานทั้งเดือนเลยล่ะ”
“เปลี่ยนเลขาสิคะ” จุมพิตาแนะ
“ไม่ได้เลยแม่คนนี้มีคนฝากฝังแม่ผมมา ความจริงเค้าทำงานดีเกินคาดมากกว่า ผมแค่ประชดก็เท่านั้น”
ชายหนุ่มบอกปัดอ้างถึงที่มาของเลขามาทำงานด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“คนที่อยู่หน้าห้องใช่ไหมคะ”

ไหล่บางไหว ปากอิ่มแบะ เมื่อเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตาเลขากับตนเองแล้วตกขอบความสนใจไปโดยปริยาย หากแต่เธออาจจะต้องใช้ผู้หญิงคนนี้เป็นสะพานไปหานายหนุ่มของเจ้าหล่อนแทน


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *

ในเวลาเดียวกันพู่กันกำลังเผชิญอยู่กับความหวานที่ไม่ได้รับเชิญกับการเอาอกเอาใจของแก้มใส หญิงสาวมาพร้อมกับดอกไม้และขนมหวานมาฝาก แก้มใสเป็นคนเรียบร้อยและอ่อนหวานในตัว ยามยิ้มแววตาเป็นประกายสดใสเหมือนคนกำลังอยู่ในความรัก แต่ในขณะที่อีกคนได้แต่มองตาละห้อยไม่รู้จะจัดการอย่างไรดีกับเพื่อนสาวที่ไม่ยอมเป็นแค่เพื่อน พู่กันมองตามร่างบางเดินเข้าหลังร้านพร้อมกับช่อดอกไม้เธอรู้ว่าประเดี๋ยวแก้มใสมาพร้อมกับดอกไม้ในแจกันเผลอถอนหายใจเบา ๆหน้าที่ดูสดใสตอนนี้มุ้ยสิ้นดี ทั้งหมดอยู่ในสายตาขบขันของก้องภพ เขากำลังลุ้นว่าแก้มใสจะงัดอะไรออกมาพิชิตใจแม่ติสจ๋าเพื่อนรักของเขาได้อีก

แก้มใสอยู่ในแสคกระโปรงผ้าพลิ้วสีชมพูอ่อนมองดูเป็นสาวหวานไปเลย ในมือของหญิงสาวมีดอกกุหลาบจัดอย่างสวยงามในแจกันนำมาตั้งไว้ข้างโต๊ะที่พู่กันกำลังลงสีบนรูป ร่างบางเอียงคอดูภาพอย่างสนใจเมื่อเห็นว่าพู่กันไม่ชวนคุยจึงเริ่มต้นเสียเอง

“ก่อนมาแก้มใสผ่านร้านเบเกอรี่เจ้าประจำ ของเค้าทำอร่อยมากนึกถึงพู่เลยเอามาฝากจะชิมซักหน่อยไหมคะ”
“ขอบใจแก้มใสมาก ไม่เห็นต้องลำบากเลย” พู่กันตอบแต่สายตายังปักอยู่ที่งาน
“ไม่ลำบากเลย แก้มใสดีใจเสียอีกถ้าพู่กันชอบ”
“ของพู่ก็มีตุนเหมือนกันยังเต็มกระจาดบนโต๊ะหลังร้าน... เออว่าแต่วันนี้แก้มใสไม่ทำงานหรือคะ”
“ไม่ทำหรอกคะ แก้มใสอยู่ในช่วงลาพักร้อน วันหยุดเหลือเยอะ หัวหน้าเลยให้แก้มใสลา แต่ก็ดีนะคะแก้มใสจะได้มาอยู่ที่ร้านพู่กันได้ทั้งวัน”
“ห๋าทั้งวันเลย”
พู่กันและจานสีที่ถืออยู่หลุดจากมือโดยอัตโนมัติ ตากลมโตเหล่หาตัวช่วยที่ทำตัวเป็นตอไม้ดิ้นได้เป็นพักๆ ของก้องภัพ

“พู่ไม่อยากให้แก้มใสมาที่ร้านหรือคะ ถึงได้ทำเสียงดังตกใจเชียว”
แก้มใสถามเมื่อเห็นหน้าตื่นๆของสาวติส

“เปล่า เปล่าใครจะคิดแบบนั้นได้ คือพู่กันหล่นสีกระจาย พู่แลยตกใจ”
พู่กันตอบเสียงอ่อนแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ แฉลบสายตาขอตัวช่วยที่ยังไม่รู้ตัวยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว

“ถ้าอย่างนั้น ช่วงนี้แก้มใสจะมาอยู่ที่นี่ทั้งวันเลยนะคะ”
แก้มใสแนบแก้มลงบนบ่าบางอย่างประจบ ทำเอาสาวติสตาโตหน้าร้อนไปกับความหวานที่แม้กระทั่งชายหนุ่มคนเดียวในร้านอดที่จะมองอย่างอิจฉาไม่ได้

“ ....โธ่ตรูจะได้ทำงานไหมนี่”

พู่กันยกมือกุมขมับมองตามหลังแก้มใสที่เดินเข้าหลังร้านอีกครั้ง เหวี่ยงสายตาไปที่ก้องภพกำลังอมยิ้มวาดภาพอยู่ ทำเอาอารมณ์สาวติสปริ๊ดเดินรี่เข้าหาทันที กัดฟันฟ่อแฟร้ดใส่เพื่อนรัก

“ไอ้ก้องแกไม่ห่วงฉันบ้างหรือไงวะ”
“อิจฉาล่ะไม่ว่า”
ก้องภพกลั้วหัวเราะกระซิบตอบ

“ไอ้บ้าก้อง ฉันอยากให้แกช่วยไม่ใช่ให้มาอิจฉา”
“ก็มันจริงนี่หว่า แมนๆอย่างฉันสู้เสน่ห์อาร์ทตัวแม่อย่างแกไม่ได้เลย”
“เอ๊ะไอ้บ้านี่ งั้นแกก็.......”

พูดไม่ทันจบตาคมวาวเกิดประกายวับเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ส่อ แววเจ้าเล่ห์มองไปหลังร้านสลับหันมามองเพื่อนรัก เป็นแววตาที่ก้องภพรู้สึกหวาดเสียวปนสยองเขาอ่านความคิดของพู่กันออก ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธความคิดนั้นทันที

“ไม่โว้ยฉันไม่เอากับแกด้วยหรอกไอ้พู่”
“แกว่าแก้มใสสวยไหม”
พู่กันพูดเสียงเหี้ยมแยกยิ้มใส่ชายหนุ่ม

“แกสวยกว่า”
“อย่ามาเฉไฉ ฉันถามว่าสวยไหมไม่ได้ให้ออกความเห็น”
แผงขนตากระพริบหรี่มองอย่างคาดคั้น

“สวยแล้วไง”
“หุ่นดีไหม”
คิ้วเรียวยักขึ้นถามต่อแววตาระยิบ

“ก็โอเค นี่ๆแกอย่ามาจับแพะชนแกะนะไอ้พู่”
ก้องภพส่ายหน้าค้านหัวชนฝากับความคิดพิเรณของเพื่อนสาว หนุ่มหน้าตี๋หันไปดูหลังร้านอย่างมีพิรุธแทนพู่กัน

“เปล๊า...ฉันก็แค่อยากให้แกช่วยฉันให้มีอากาศได้หายใจบ้าง”
คราวนี้ดูเหมือนว่าพู่กันจะตั้งหลักได้แล้วทำเสียงเหมือนเป็นต่อ ยักคิ้วหลิ่วตาให้ก้องภพ

“ยังไงวะ พูดภาษาสูงอีกฉันล่ะเบื่อ ไม่เข้าใจโว้ย”
“เบา ๆ สิวะเดี๋ยวเขาได้ยิน หมดกันพอดี”
พู่กันเบาเสียงลงตาคอยมองไปที่หลังร้านแล้วพูดต่อ

“แกต้องเป็นกันชนให้ฉัน เวลาฉันพูดหรือทำอะไรแกต้องสนับสนุน ห้ามขัดเข้าใจไหม”
“นี่เป็นการขอร้องหรือคำสั่งวะ”
“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ฉันเป็นเพื่อนรัก เป็นหุ้นส่วนแก เป็นพี่เป็นน้อง แกต้องช่วยฉัน”
“มันขุดญาติขึ้นมาเลยโว้ยไอ้บ้านี่ ขอลาออกทุกข้อได้ไหมวะ”
ก้องภพรู้ชะตาตัวเองครางเสียงละห้อยออกมาจากลำคอ เขาไม่เคยชนะพู่กันสักครั้งตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

“ไม่ได้ ไม่งั้นฉันไปฟ้องแม่แกว่า แกเป็นพี่ชายที่ห่วยแตกไม่รักน้องสาวที่น่ารักอย่างฉัน”

พู่กันยกฐานะความเป็นลูกสาวเพื่อนรักที่สุดรักสุดหวงที่แม่ก้องภพประกาศไว้ตั้งแต่เด็กๆแบบฉบับลิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หน้าที่คุ้มครองน้องสาวกำมะลออย่างพู่กันตกเป็นของก้องภพโดยปริยายเพราะสองครอบครัวสนิทสนมตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่นั่นเอง

“พอ ๆ ๆ แกอยากให้แม่ฉันตัดลูกตัดแม่หรือไงวะ หนอยถือว่าเป็นคนโปรดข่มเหงได้ตลอด เช้อไอ้บ้านี่”
“งั้นตกลงตามนี้ แก้มใสเดินมาแล้ว”

เป็นการกระซิบกระซาบคำสั่งสุดท้ายเมื่อเห็นร่างบางเดินมาพร้อมจานขนมที่อวดสรรพคุณว่าอร่อยนักหนา หน้าตาของคุ๊กกี้มองดูน่าทาน พู่กันยิ้มรับพลางสะกิดแขนก้องภพทันที

“โอโห้ ขนมน่าทานจริงๆ นี่ไอ้ก้องลองชิมสิ เอ๊านี่”
พู่กันหยิบชิ้นคุกกี้ในจานให้ก้องภพตามองเขม็งบังคับให้รับขนมจากมือ

“ทานดูสิคะ เจ้านี้อร่อยจริงๆคะ”
“อืมอร่อยคะ”
พู่กันยิ้มตาหยีกัดคุกกี้ รสปากบอกว่ามันหวานและจืดสู้รสมือแม่ตนไม่ได้อยู่ดี

“เออ คุณก้องล่ะคะเป็นยังไงบ้าง”
เป็นครั้งแรกที่แก้มใสหันไปคุยกับเพื่อนรักของพู่กัน ก้องภพกระพริบตามองรอยยิ้มหวาน เสียงน่ารักๆ ก่อนจะเหล่มองดูหน้าพู่กันที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“อร่อยครับ คุณแก้มใสซื้อจากที่ไหนเหรอฮะ”

ตอบแล้วอดที่จะถามให้กำลังใจคนซื้อไม่ได้ รางวัลที่ได้รับสองเด้งคือสายตาขอบใจจากเพื่อนรักและรอยยิ้มหวานหยดกับคำชมสำหรับของฝากที่เลือกด้วยใจ

“ร้านแถวบ้านน่ะคะ ที่บ้านเป็นขาประจำ ก็เลยอยากให้พู่กันได้ชิมบ้าง”

แก้มใสตอบแล้วหันไปมองสาวติสด้วยแววตาสดใส พู่กันยิ้มรับแล้วหันกลับไปสนใจงานต่อหางตาแฉลบมองไปทางก้องภพแล้วหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงสุด ๆ

“เออพู่นึกขึ้นได้ วันก่อนแก้มใสบอกพู่ว่าอยากเรียนวาดรูปใช่ไหมคะ”
“อุ๊ย พู่จำได้ด้วยเหรอคะ แก้มใสนึกว่าลืมไปแล้ว”

ร่างบางถูกสวมกอดจากแก้มใส พู่กันสะกดใจที่ระทึกเอาไว้ตอบเสียงหวานเจี๊ยบ ดำเนินตามแผนที่วางไว้ ฝืนกางมือกอดตอบบ้าง ก้องภพทำตาโตเห็นสองสาวแสดงความหวานต่อหน้าต่อตาอย่างไม่เคร์สื่อ

“จะลืมได้ไงล่ะ เอาเป็นว่าเริ่มเรียนเลยแล้วกัน แต่แก้มใสต้องให้สัญญากับพู่ก่อนนะคะ”
พู่กันได้ทีปล่อยมุขแบบไม่ให้แก้มใสตั้งตัว อาร์ทตัวแม่ขยิบตาให้ก้องภพที่เงยหน้าขึ้นมาพอดี

“ได้คะ สัญญาอะไรหรือคะ”
วินาทีนี้ความรักบดบังทุกอย่างย่อมดีไปหมด แก้มใสตอบรับไร้การถามไถ่แต่อย่างใด ๆ

“ต้องไม่ดื้อ ไม่บ่น และเลิกกลางคัน คือมันเป็นกฏของคนที่จะเรียนศิลปะ”
กฏของพู่กันที่ยกขึ้นมาทำเอาก้องภพอ้าปากแล้วขบเม้มปากกลั้นหัวเราะ “ บิดาศิลปะท่านใดวะตั้งกฏนี้ขึ้นมาไอ้พู่” พลางนึกสงสารนักเรียนใหม่อย่างจับใจ

“สัญญาแค่นี้เองหรือคะ งั้นแก้มใสสัญญาคะ”
“ก้องนายเป็นคนสอนดรออิ้งแก้มใสก่อนมันเป็นพื้นฐานขั้นแรกของการเรียนศิลปะ”

พู่กันปล่อยหมัดเด็ดทันที ไม่มองหน้าแก้มใสผงะออกห่างร่างบางพร้อมอ้าปากหวอพอๆกันกับก้องภพที่ถูกยกให้เป็นอาจารย์ฉุกเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน พู่กันแอบยิ้มเมื่อเห็นสองหนุ่มสาวหันมองหน้ากันแบบไม่ได้นัดหมายแล้วหันกลับมาหาเธอพร้อมๆ กัน

“อ้าว แก้มใสนึกว่าพู่กันจะเป็นคนสอนซะอีก”
แก้มใสถามเสียงหลง เอื้อมมือสั่นแขนเบาๆ หมายให้เจ้าของต้นคิดเปลี่ยนใจ

“อะอ๋อ..คือพู่ไม่ถนัดเรื่องดรออิ้ง นายก้องมันเก่ง พู่อยากให้สิ่งดีที่สุดกับแก้มใสน่ะคะ”

น่าแปลกใจว่าตอนนี้อะไรก็ดูลื่นไหลไม่ว่าจะความคิดไปถึงคำพูดที่หยิบยกขึ้นมาใช้เป็นเหตุผลประกอบให้ดวงหน้าหวานเชื่อและคล้อยตาม พู่กันตบบนหลังมือแก้มใสเบาๆ คล้ายปลอบใจ

“โอเค เกทล่ะคะ แก้มใสจะเป็นนักเรียนที่ดีกับอาจารย์ทั้งสองคะ”
“นั่นแหละคะ น่ารักที่สุดเลยล่ะคะ”

ไม่เพียงแต่หมดข้อกังขา แก้มใสยังออกอาการขัดเขินมือไม้เกะกะไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดีเพราะคำชมของคนพิเศษ เป็นครั้งแรกที่พู่กันพูดและยิ้มให้เธออย่างเปิดเผยนับตั้งแต่ที่เธอเปิดใจ ทั้งรอยยิ้มและแววตานั้นหวานๆซึ้งๆ ยามที่มองดูหน้าแม่สาวติสจ๋าที่กำลังวาดลวดลายให้แก้มใสเชื่อ คงจะมีคนเดียวมองละครฉากนี้ด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจแก้มใสที่ดันมาหลงรักแม่เพื่อนสาวของเขาอย่างพู่กันเข้า

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


หลังเลิกงานแล้วสามหนุ่มมาเจอกันที่ประจำเช่นเคย น่าแปลกใจว่าวันนี้ในโต๊ะไม่มีสาวๆมาร่วมเหมือนทุกครั้งที่ใช้บริการ หากจะมีก็คงจะเป็นลภณคนเดียวที่ดูจะมีแอ๊คติ่งมากกว่าใครในกลุ่ม คอยส่งสายตาแวะเวียนไปจุดที่สาวๆ นั่งบ่อยๆ ส่วนพี่ใหญ่ภวัตปักหลักนั่งดื่มและคุยเบาๆกับหนุ่มหล่อที่สุดในกลุ่มคือเก็จพรหมนั่นเอง

“วันก่อนพี่เห็นคุณจูนแว๊บๆ มาที่ร้านอาหาร เจอกันหรือยัง”
“ครับพี่”
“อืมม แล้วโอเคไหม”
น้ำเสียงฟังดูเรื่อยๆ แต่คนถูกถามรู้ว่าเต็มไปด้วยความห่วงใย

“สบายใจได้ฮะพี่วัต”
“แล้วจูนแวะเวียนไปหานายหรือเปล่าพรหม”
“เขาก็แวะไปเยี่ยมตามประสาเพื่อนเก่า”
เก็จพรหมพูดปกติเหมือนสีหน้าที่ไม่แสดงอาการใดๆ

“เฮอะ คู่รักเก่าล่ะไม่ว่า....”
ลภณสวนกลับ แต่เมื่อมองหน้าขรึมเพื่อนรัก รีบเอ่ยขอโทษขอโพย

”เออ...ขอโทษวะ ปากฉันไวไปหน่อย แต่ยังไงมันก็หลายปีแล้วนะว้อยแก”
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรนะแก ทำเป็นร้อนท้องไปได้”
“แหะ ๆ ๆ ใครจะไปรู้วะวัวมันเคยขาม้ามันเคยขี่เผื่อๆ มันติดพรึบพรั๊บขึ้นมา ของแบบนี้มันห้ามความคิดไม่ได้โว้ย”
“นายก็อย่าไปชี้โพรงให้กระรอกสิลภณ ฟังเจ้าของเรื่องก่อนแล้วกันว่าคิดยังไง”
พี่ใหญ่ปรามก่อนหันมองหน้าว่าที่น้องเขย เขาได้คุยกับเก็จแก้วมาแล้วบ้างแต่ก็อยากได้ยินจากปากของเก็จพรหมมากกว่า

“ความจริงก็ไม่มีอะไร จูนเขากลับมาเยี่ยมบ้าน” หน้าเข้มทิ้งระยะด้วยการยกดื่มแล้วพูดต่อ “เขาก็แค่แวะมาทักทายเพื่อนเก่าส่วนผมก็มีหน้าที่ต้อนรับตามมารยาทอันพึงกระทำก็เท่านั้นเอง”
“แค่นั้นก็แล้วไป”
เสียงพูดลอยมาจนเก็จพรหมเงยหน้าเอื้อมมือไปตบกบาลเพื่อนรักทันที

“แกไม่เชื่อใจฉันหรือไงวะไอ้ภณ”
“เชื่อแก แต่ไม่เชื่อคนอื่นวะ ลองอีมาบ่อยๆ ถ้าอีออดอ้อนมีหรือจะไฟเก่ามันจะไม่คุขึ้นมาบ้าง”
ลภณพูดภาษาเจ๊กเล้งในตลาด ยักคิ้วเข้มให้เพื่อนรักของเขา

“ก็ตามใจแกจะคิดแล้วกัน”
“แกห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้หรอกวะพรหม ถึงฉันไม่คิดคนรอบข้างแกก็คิด และเป็นห่วงไปพร้อมๆ กัน”
ลภณพูดเสียงขรึม ชูแก้วที่มีเหล้ากว่าครึ่งต่อหน้าเก็จพรหมก่อนจะสาดลงคอครั้งเดียว ให้เชื่อในสิ่งที่เขาพูดมีเพียงสายตาเท่านั้นที่บอกว่าเข้าใจและเชื่อใจ

“เอาน่าถ้าเป็นแบบนั้นจริงตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก พี่เชื่อว่าพรหมทำได้”
ภวัตตบไหล่ว่าที่น้องเมียอย่างเชื่อมั่น

“ขอบคุณครับพี่ที่มั่นใจในตัวผม”
“แล้วเป้าหมายที่จะพุ่งชนไปถึงไหนแล้ว”
“พัฒนาขึ้นมาอีกนิดล่ะครับ แต่ก็เกือบทำล่มเหมือนกัน”

เก็จพรหมตอบเมื่อนึกถึงตอนที่จู่ๆ พู่กันวางสายไปซะดื้อ ๆ เพราะเขาใจร้อนขอแลกพินบีบีกับเจ้าหล่อนเข้า แต่ที่สุดแล้วก็สัมฤทธิ์ผลเพราะคำพูดซื่อ ๆและจริงใจนั่นเอง

“ได้ข่าวว่าไปทานข้าวด้วยกันสองต่อสองแล้วใช่ไหม”
“ครับ สถานการณ์พาไปครับพี่ เผอิญพู่กันเขาก็มีปัญหาส่วนตัว ผมก็เลยให้คำปรึกษา เค้าฉลาดมากฮะกว่าจะยอมเชื่อต้องยกตรรกะขึ้นมาอ้าง แต่ยังไงเค้าก็ยังอ่านไม่ออกง่ายๆ”
“อืมมม ต้องเข้าใจหน่อยนะว่าผู้หญิงสไตล์ติสอารมณ์เขาจะขึ้นไวลงไว แต่ก็ใช่ว่าจะเอาชนะไม่ได้ขอเพียงอดทนและใช้ความจริงใจเป็นสื่อ”
“คุยอะไรกันฮะ ผมฟังอยู่ตั้งนาน อะไรเป้าหมาย อะไรสไตล์ติส ฉันตกข่าวอะไรไปหรือวะพรหม”

ลภณถามแทรกทะลุกลางปล้องขึ้นมา เนื่องจากนั่งฟังอยู่หลายนาทีแต่ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องที่สองหนุ่มคุยกัน ยิ่งแปลกใจเมื่อเห็นแววตาพราวระยิบของเพื่อนรัก นานแล้วที่เขาไม่เห็นมันส่องแสงยามที่พูดถึงใครซักคน ขณะที่เก็จพรหมกับภวัตกำลังหัวเราะขำกับท่าทางของลภณอยู่ เสียงหวานพริ้วดังมาจากข้างหลัง สามหนุ่มหันไปตามเสียงก่อนจะหันมาหาเจ้าของชื่อที่หญิงสาวเรียก

“อุ๊ย พรหมมาเที่ยวเหมือนกันหรือคะ”
“จุมพิตา! จูน!”

หญิงสาวเจ้าของชื่อที่ลภณและภวัตเผลอเรียกเดินยิ้มเก๋เข้ามา คืนนี้หญิงสาวอยู่ในชุดแนบเนื้อ เห็นรูปร่างชัดเจน ร่างสูงระหงเหมือนนางแบบเดินบนแคทวอล์กเยื้องย่างเข้ามา ดวงหน้าหวานตกแต่งไว้อย่างดีช่วยให้หญิงสาวงดงามกว่าเดิม ภวัตมองแล้วคิดเป็นห่วงน้องเมียในอนาคตจริงๆ ว่า ถ้าหญิงสาวขยันเข้าหาบ่อย ๆ รูปร่างแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ มีหรือจะไม่เขวบ้างหรือไง มองลึกที่แววตาเจ้าหล่อนจ้องไปที่เพื่อนรุ่นน้องแล้วบอกได้เลยว่าพร้อมที่กระโจนใส่หากอยู่กันสองต่อสอง

“จูน! จูนเหรอนี่ ยังสวยไม่สร่างเลยนะ มาเมืองไทยเมื่อไหร่”

ลภณพูดก่อนใครทำเนียนเหมือนไม่รู้ว่าหญิงสาวมาเมืองไทย พลางขยับตัวให้หญิงสาวนั่ง แต่ต้องอึ้งเมื่อร่างระหงก้าวผ่านเขาไปนั่งแทรกกลางระหว่างเขากับเก็จพรหมอย่างหน้าตาเฉย ทำเอาคนถามสำลักน้ำลายไอขลุกขลักอยู่ในลำคอ จุมพิตาแสร้งค้อนอย่างมีจริตใส่ลภณที่ล้อเลียนเธอ

“เธอยังเหมือนเดิมนะภณ จูนก็มาเมื่อเธอเห็นนั่นแหละ”

ร่างนิ่มเอนเบียดมาทางเก็จพรหมอย่างจงใจ ปล่อยเสียงหัวเราะรื่นอย่างไร้ทุกข์ เลือดในกายวิ่งระอุเมื่อร่างกายบางส่วนของเธอแนบชิดร่างเพรียวด้วยกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอของคนรักเก่า ฝ่ายเก็จพรหมขยับออกห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้น่าเกลียด เขาไม่รู้สึกแปลกใจกับอาการเริงร่าเกินพอดีของจุมพิตา เมื่อได้กลิ่นเหล้าชั้นดีโชยมายามที่หญิงสาวพูด

“นี่จูนดื่มเหรอฮะ แล้วมายังไง”

เป็นแบบนี้เสมอยังไงก็ยังเป็นห่วงทั้งๆ ที่ปากบอกว่าไม่มีอะไร ภวัตมองหน้าว่าหล่อเหลาของว่าที่น้องเมีย ออกจะเห็นใจเหมือนกัน เพราะว่าจุมพิตาสวยทั้งหน้าตาและเรือนร่าง ผู้หญิงคนนี้เกิดมาเพื่อให้ผู้ชายหลง แต่ก็นั่นแหละเธอเป็นผู้หญิงต้องห้ามสำหรับเก็จพรหมไปแล้ว

“นิดหน่อยคะ จูนมากับเพื่อนอยู่มุมโน้นคะ แล้วพรหมล่ะคะมากันแค่สามคนหรือคะ”
“ใช่ครับ แต่เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“อ้าวทำไมรีบกลับล่ะคะ พอเห็นจูนก็จะกลับเลย แบบนี้เค้าเรียกรังเกียจกันชัด ๆ”
จุมพิตาทำเสียงดังเริ่มไม่พอใจคำพูดของเก็จพรหม

“ไม่ใช่อย่างที่คุณจูนคิดหรอกครับ คือเจ้าพรหมมีประชุมตอนเช้าที่มานี่ก็เพราะพวกผมบังคับให้มันมา”
ภวัตแก้ต่างให้เก็จพรหมมองเห็นลางยุ่งยากมาแต่ไกล ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะไม่รู้ตัวเลยว่าอะไรสมควรและไม่สมควร เพราะสติตัวเองยังครองไม่อยู่

“จริงหรือคะพรหม”

หญิงสาวฉะอ้อนถามเบียดร่างเข้าหาอย่างจงใจ ดูเหมือนว่าน้ำเมาจะทำให้หญิงสาวลืมตัวทำอะไรเกินพอดี ชโงกหน้าจ้องลึกเข้าไปในตาเข้มให้ทะลุถึงการเชื้อเชิญ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่รอเช้าที่จะก้มหน้าคลุกเคล้าความหวานจากปากอิ่มที่เผยอท้าทาย หากแต่ตอนนี้เขาได้แต่นิ่งมองไม่ใช่เพราะคำห้ามของเก็จแก้วแต่เป็นใบหน้าอ่อนเยาว์ดวงตากลมโตสุกสกาวรอยยิ้มแจ่มใสของพู่กันผุดขึ้นมาต่างหาก

“จริงฮะ พวกเรากำลังจะกลับกันพอดี”
เก็จพรหมพยักหน้ารับมุขที่ภวัตส่งให้

“งั้นพรุ่งนี้จูนไปหาพรหมที่โรงแรมนะคะ”
เจอไม้นี้ จุมพิตานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะชะอ้อนพริ้วชม้ายตาฉ่ำหวานขึ้นมองใบหน้าคมสัน

“เห็นจะไม่ได้ครับคุณจูน”
ภวัตพูดแทรกแทนเก็จพรหม

“ทำไมอีกล่ะคะ”
จุมพิตาส่งเสียงเอาแต่ใจเอียงคอดูเก็จพรหมด้วยสายตาตัดพ้อ ลภณทำคอย่นล้อเลียนเพื่อนรัก

“ก็พรุ่งนี้เจ้าพรหมไปประชุมกับผมที่จังหวัดกระบี่ พวกเราต้องออกจากบ้านก่อนไก่ขันเสียด้วยซ้ำกว่าจะกลับมาอีกทีก็คงดึก อืมมประชุมทั้งวันใช่ไหมพรหม”
ภวัตโยนหมากให้หนุ่มรุ่นน้องได้แก้ต่างให้ตัวเองอย่างไม่น่าเกลียด

“ตามที่พี่วัตบอกนั่นแหละฮะ”

เก็จพรหมสบตาจุมพิตา ตอบไปให้หญิงสาวสิ้นกังขา พร้อมกับยกมือให้บริกรเข้ามา หลังจากชำระเงินเรียบร้อยทั้งสามหนุ่มจึงเดินออกมาโดยมีสายตาไม่พอใจของจุมพิตาตามหลังมาติด ๆ

“หนีได้หนีไปพรหม แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”

แน่ล่ะคนอย่างจุมพิตามีหรือจะยอมอับอายบรรดาเพื่อนสาวที่กำลังมองดูเธอว่าจะทำสำเร็จตามราคาคุยไหมว่า นายหัวหนุ่มเจ้าของรีสอร์ทหรูถึงสามแห่งต้องเดินตามเธอกลับมาที่โต๊ะ หญิงสาวหมุนตัวกลับเดินนวยนาดกลับไปยังโต๊ะ ไหล่บางไหวแล้วบอกกับเพื่อนๆด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เค้าไม่ว่างที่บ้านเพิ่งโทรมาบอกว่าแม่ป่วยต้องรีบไปก็เท่านั้นเอง”
“โธ่เลยไม่ได้ใกล้ชิดหนุ่มหล่ออีกตามเคย”
เสียงบ่นกระปอดกระแปดอย่างเสียดาย

“เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน ยังไงฉันก็คงไม่ไปแข่งขันกับแม่พรหมหรอก”
“ขืนทำก็โง่แล้วล่ะเธอ”

บรรดาสาว ๆ หัวเราะกันคิกคักไม่มีใครติดใจเรื่องที่เก็จพรหมเดินจากจุมพิตาไปอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งไว้คือความโกรธในใจของหญิงสาว แต่ไหนแต่ไรเก็จพรหมยอมเธอทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องสุดท้ายคือยอมให้เธอเดินจากไปแต่งงานกับเศรษฐีเหมืองเพชร

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


ส่วนที่บ้านของพู่กัน หญิงสาวเพิ่งอาบน้ำเสร็จชุดที่ใส่นอนง่ายๆ ตามเคยเสื้อกล้ามกางเกงเลที่เธอชอบนักหนา คืนนี้ไม่ต้องทำงานเพราะตลอดวันที่ผ่านมาเธอทำงานด้วยความสะบายใจ บ่อยครั้งที่แอบมองก้องภพสอนแก้มใสขึ้นโครงร่างการวาดภาพดูมันช่างทุลักทุเล เสียงบ่นเบา ๆ ของแก้มใสเหมือนกลัวเธอได้ยิน เสียงหัวเราะของก้องภพคลอไปกับเสียงต่อว่าของแก้มใสทำให้เธอรู้สึกดี นานแล้วไม่ได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้จากเพื่อนรักอาจเป็นเพราะหลังเรียนจบทุกคนต่างมีงานต้องทำชีวิตวัยเรียนจึงหายไปพร้อมกับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ

พู่กันเดินเรื่อยเปื่อยมาที่เรือนกล้วยไม้ของพ่อ แสงสีจากไฟกระพริบไพล่นึกถึงคำแม่ค่อนขอดพ่อเสมอว่า “ เปิดเข้าไปเหมือนศาลพระภูมิไม่มีผิด” พ่อมักหัวเราะร่าแล้วตอบด้วยอารมณ์ดีว่า “กล้วยไม้ลูกรักของท่านก็มีหัวใจชอบแสงสีเหมือนกัน” พอตกเช้าก่อนไปทำงานพ่อจะเปิดเพลงคลาสสิคให้กล้วยไม้ฟัง พ่อก็อ้างกับแม่ว่า ” กล้วยไม้ก็มีหัวใจชอบเสียงเพลงเหมือนกันคนแล้วดอกที่ให้จะงดงาม” เหมือนจะอุปทานเรือนกลัวยไม้ของพ่อสวยงามออกดอกสวยและคงทนกว่าจะร่วงจากต้น จนแม่คร้านจะพูดกระทบ แม้แต่เธอเองก็ชอบเอามาใส่ภาพเขียนอยู่บ่อย ๆ เธอมักมานั่งดูกล้วยไม้ช่องามในนี้เสมอแล้วเอามาวาดรูปก็หลายหน อากาศยังเย็นค่อนข้างหนาว อยู่ในช่วงปลายเดือนมกราคม สำหรับพู่กันแล้วเธอชอบอากาศแบบนี้ เพื่อนๆมักค่อนขอดเสมอเวลาที่เธอใส่เสื้อทับบางๆไปมหาลัยท่ามกลางเพื้อนๆใส่เสื้อหนาสร้างความอบอุ่นร่างกาย มือบางลูบแขนไปมาสูดลมหายใจลึก ๆ ตาคมวาวมองดูกล้วยไม้ของพ่อที่ชูช่องามอย่างมีความสุขและอิ่มเอมข้างใน เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นอยู่นานเขย่าอารมณ์ติสของพู่กันให้กระเจิง

“ใครโทรมาอีกฟระ ”
พู่กันล้วงมือถือออกจากกระเป๋าเห็นชื่อคนโทรเข้ามา แววตาไหวกรอกเสียงเรียบเข้าไป

“สวัสดีคะคุณพรหมโทรมาซะดึกเลย”
“ผมรบกวนคุณหรือเปล่าพู่”
“ไม่ล่ะคะ พู่ยังไม่นอนงานก็ไม่ทำ ว่าแต่คุณมีอะไรกับพู่หรือเปล่าคะ”
ถามออกไปแล้วก็ต้องกัดปากตัวเองที่ถามงี่เง่า “ถ้าเขาไม่มีเขาจะโทรมาหาแกทำไมวะไอ้พู่” พู่กันย่นจมูกใส่อากาศหรือสายลมพัดความเย็นกระทบตัว

“ผมก็โทรมาติดตามผลงานสิครับ”
ฟังดูเหมือนครูใหญ่ตรวจการบ้านเด็กนักเรียนไม่มีผิด พู่กันฉีกยิ้มเรื่อยเปื่อย ตอบตามจริงแบบไม่มีบริบทคำว่ารักษาฟอร์ม

“มันเหมือนดูแย่กว่าเดิม แต่คิดอีกทีมันก็เหมือนจะดีขึ้นนะคะ”
“ยังไงครับ”
เสียงทุ้มรับฟังแข็งขันจนคนเล่ารู้สึกดีที่จะเล่าให้ฟัง

“แก้มใสเค้าลาพักร้อนคงไม่มีที่จะไปเลย..มาอยู่ที่ร้านพู่ทั้งวัน ทีแรกฟังแล้วพู่เซ็งเหมือนกัน..แต่ไม่ต้องห่วงนะคะปัญหานี้แก้ได้แล้วคะ”
“ทำยังไงหรือครับ”
เก็จพรหมเผลอยิ้ม เพราะคำพูดยาวๆ ที่ปล่อยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

“พู่มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย”
พู่กันอวดความอัจฉริยะของตัวเองที่จัดการปัญหานี้ได้

“ใครหรือครับพระเอกของพู่”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเมื่อได้ฟังเสียงร่าเริง
“นายก้องภพไงคะ”
“อะอ๋อนึกว่าใคร”
เก็จพรหมรู้สึกแปลกๆเข้ามาในใจจนต้องรีบปัดทิ้ง ทำให้เงียบเสียงต่างคิดไปคนละทาง

“คุณพรหม”
พู่กันขานชื่อน้องชายเพื่อนพี่หนูนาเบา ๆ หลังจากคิดอะไรขึ้นมาได้

“ครับพู่”
เสียงทุ้มถามกลับมาอย่างกระตือรือล้น

“พู่ขอบคุณคุณพรหมมากเลยนะคะที่เป็นที่ปรึกษาให้ ถ้าไม่ได้คุณพู่คงคิดอะไรไม่ออกเผลอๆอาจจะพาลเลิกคบแก้มใสไปเลย แต่วันนี้นะพู่ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเค้าคะ ทำให้ไอเดียปิ้งขึ้นมาคะ ถ้ามันเป็นจริงเมื่อไหร่พู่จะดีใจที่สุดเลยคะ”

พู่กันเอ่ยขอบคุณเสียงกังวานใสกับคนในสาย จนเก็จพรหมนึกอยากเห็นสีหน้าว่าคนพูดตอนนี้เป็นแบบไหน จึงเผลอตอบไปด้วยน้ำเสียงทุ้มหวาน ทำเอาพู่กันดึงโทรศัพท์ออกห่างหูทำหน้าแปลก ๆ กับเสียงน่าฟังนั้น

“’งั้นเชียว เอ...เรื่องอะไรพอจะบอกเพื่อนคนนี้ได้ไหมฮะ”
“ไม่ได้คะ เอาไว้ให้มันเป็นจริงเมื่อไหร่พู่จะเล่าให้คุณพรหมฟังเป็นคนแรกเลย”
พู่กันยืนยันอย่างแข็งขันแต่หยอดคำสัญญาให้ไว้จนคนฟังยิ้มอย่างสมใจ

“งั้นแปลว่าผมต้องรอใช่ไหมครับ”
“งั้นสิคะ”
“ว๊า..อยากรู้จังฮะ สัญญาว่าจะไม่แพร่งพราย”

เก็จพรหมทำตัวเป็นนักข่าวทู่ซี้อยากรู้ เปิดปากอิ่มยิ้มขันกับคำเซ้าซี้จนปล่อยเสียงหัวเราะกิ๊กออกมา นายหัวหนุ่มอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงสดใส เขาเชื่อว่าตอนนี้ลักยิ้มข้างแก้มสองข้างกำลังแข่งกันบุ๋ม ไหนจะขนตาแพหนานั้นคงจะโบกบินอย่างเพลิดเพลินอยู่แน่ ๆ

“เสียใจคะ พู่อยากเก็บไว้เผื่อมันไม่สำเร็จพู่จะได้ไม่หน้าแตกคะ”
พู่กันยืนยันเจตนาของตน เก็จพรหมยอมรับโดยดี ฟังดูแล้วน่ารักอีกแบบในความคิดของคนได้ยิน

“ซะงั้น ไม่เป็นไรผมต้องยอมรับสิ่งที่พู่ตัดสินอยู่แล้ว”
“แหมฟังดูเหมือนคนน้อยใจเลยนะคะ ...(หัวก็ไม่ได้ล้านซักหน่อย)”
พู่กันพึมพัมเบาๆ ย่นจมูกยิ้มน่ารักใส่คนปลายสายผ่านทางโทรศัพท์อย่างไม่รู้ตัว

“คืนนี้ไม่ทำงานหรือครับพู่”
“วันนี้งานพู่ราบรื่นคะ พรุ่งนี้แค่ลงสีอย่างเดียวก็เป็นอันจบ”
“งานพู่นี่ก็ดีนะ เสร็จเป็นชิ้นๆ ไปไม่ต้องต่อยอดไม่เหมือนงานรูทีนประเภทงานอ๊อฟฟิท”
“ก็แหงอยู่แล้วคะ งานพู่เป็นงานรับจ้างทำนี่คะ ถ้าเป็นงานอ๊อฟฟิทอย่างที่คุณพูดมา พู่คงเป็นชาวเกาะแน่ๆ เลยคะ”
“โหนี่ผมกำลังพูดกับเจ้าของเกาะอยู่ใช่ไหมครับนี่”
“โธ่คุณพรหม พูดซะพู่เหนียมเลย ชาวเกาะที่พู่พูด หมายถึงเกาะพ่อเกาะแม่กินคะ”
“ฮะ ๆ ๆ ๆ โอยวันนี้ผมได้ศัพท์แนวมากเลย ฮะ ๆ ๆ ชาวเกาะ ฮะ ๆ ๆ ๆ”
“พอๆ คะไม่เห็นจะน่าตลกตรงไหนใครๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้น อายุคุณก็ไม่ได้เยอะจนไม่น่าจะไม่เคยได้ยินศัพท์พวกนี้นะคะ”
“ก็แหมผมเพิ่งได้ยินจริงๆ นี่ฮะ สงสัยวันไหนผมจะต้องขอเรียนจากพู่แล้วจะได้เอามาให้กับพวกพนักงานเด็กๆ ได้บ้างจะได้ปกครองให้ง่ายๆ ขึ้น”
“หูยยย ฟังแล้วรู้สึกสยองยังไงไม่รู้สิคะ นี่แปลว่าคุณพรหมเป็นเจ้านายจอมโหดน่ะสิคะ”
“ก็ไม่เชิงหรอกฮะ ผมต้องการความเป็นระเบียบ งานที่ทำจะได้ออกมาดี อีกอย่างงานโรงแรมเป็นงานบริการดังนั้นแขกหรือผู้เข้าพักเป็นลูกค้าของโรงแรมต้องได้สิทธิพิเศษเรื่องของความถูกต้องเสมอ”
“อืมมมม พู่เห็นด้วยกับข้อแรกนะคะว่าผู้ใช้บริการต้องได้สิ่งที่ดีและพิเศษแต่ถ้าบอกว่าต้องถูกต้องเสมอ พู่ขอค้านคะ”
“ยังไงครับ”
“ก็คนเราต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน ใครถูกก็ว่าถูกและหากผิดก็ตัดสินตามนั้น แต่ถ้าคนถูกถูกลงโทษโดยที่คนผิดยังยืดอกได้ ก็แปลว่าคุณเป็นผู้บริหารที่ไม่ได้ความ ไม่ปกป้องสิทธิความเป็นคนของพนักงานสิคะ”
“มันก็ถูกแต่...ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”
“สงสัยว่าคุณพรหมเป็นพวกเผด็จการแหงๆ เลย เฮ้อพู่ไม่คุยด้วยแล้วง่วงแล้วคะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ”

อีกแล้วเป็นครั้งที่สองแล้วที่พู่กันปิดโทรศัพท์หนีเขา เก็จพรหมคิด และครั้งนี้ดูเป็นเรื่องความคิดห็นไม่ตรงกัน พู่กันยังเด็กและอ่อนนักสำหรับเรื่องงานบริการ โลกที่หญิงสาวอยู่เป็นโลกที่สะอาด เต็มไปด้วยจินตนาการและสร้างสรร ความละเมียดละไมของจิตวิญญานศิลปินทำให้พู่กันคิดไม่ถึงว่าในมุมมืดของงานบริการเป็นเหมือนดาบสองคมที่ให้ผลดีและจ้องทำลายได้ในเวลาเดียวกัน

หลังจากปิดเครื่องแล้วพู่กันเดินเข้าห้องด้วยอารมณ์เซ็งนิด ๆ จู่ๆก็นึกอยากแช่งชักหักกระดูกเก็จพรหมซะอย่างนั้น เพราะเธอไม่ชอบความคิดและวิธีเผด็จการอย่างพวกนาซี จะว่าไปก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นเพราะเธอยังนึกชอบสัญญลักษณ์สวัสดิกะของนาซี อยู่ไม่น้อย ระหว่างทางที่เดินเข้าห้องทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวว่าทำตัวไม่เหมาะอีกแล้ว

“เฮ้อ.....แกทำตัวติสแตกใส่คุณเก็จพรหมอีกแล้วไอ้พู่เอ้ย”

ปากบางเม้มเหมือนชั่งใจว่าควรโทรไปขอโทษจะดีไหมนะ...แต่อีกใจก็ไม่เห็นต้องแคร์นี่ เดี๋ยวเขาก็โทรมาหาเองแหละ ครั้งพอนึกอีกที แล้วเธอเป็นอะไรกับเค้าล่ะ ถึงจะได้ง้อหล่อน ร่างบางเดินวนอยู่หน้าเตียงคิดว่าจะทำอย่างไรดี ขณะนั้นเสียงข้อความดังขึ้นติดๆ กัน หญิงสาวล้วงเอามือถือขึ้นมาดู มันเป็นข้อความบีบีส่งมาให้เธอ

“โกรธผมอีกแล้วหรือครับพู่กัน”
“ผมไม่ได้เผด็จการหรอกนะ แต่จะให้อธิบายตอนนี้คงลำบาก”
“เอาเป็นอันว่าถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีก แล้วผมจะพูดให้ฟัง”
“คืนนี้ผมคงฝันร้ายถ้าคุณยังโกรธผมอยู่”
“ฝันดีนะครับ”

ข้อความที่ส่งเข้ามาเปลี่ยนหน้าบึ้งค่อยๆอมยิ้มและยิ้มกว้างในเวลาต่อมาพู่กันไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอดุคนส่งบีบีอย่างหมั่นเขี้ยว

“คนบ้า...ส่งอะไรมาก็ไม่รู้ คุณหรือฉันกันแน่ที่จะฝันร้ายคืนนี้ เซี้ยวจริงๆ เลย”

เพียงไม่กี่นาทีใบหน้าคมสันของเก็จพรหมพราวด้วยรอยยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นข้อความที่ตอบกลับมา ร่างสูงเอนตัวนอนลงบนฟูกหนาแน่นอนคืนนี้เขาต้องนอนหลับฝันหวานอย่างแน่นอน

“ขอให้คุณฝันร้ายทั้งคืน”



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *





Create Date : 27 กันยายน 2554
Last Update : 27 กันยายน 2554 12:03:42 น.
Counter : 750 Pageviews.

8 comments
  
เวลาหนูยิมอัพนิยาย
หรืองานเขียนไรก็แล้วแต่
ช่วยแวะบอกพันวัตต์บ้างสินะ
............
สวัสดีสายๆนะครับ
โดย: panwat วันที่: 27 กันยายน 2554 เวลา:10:31:50 น.
  
แม่หนูยิมอัพไป แล้วก็มาแก้คำตกหล่นไปคะ
บทนี้อ่านแบบเพลิน ๆ นะคะ ตอนหน้ามาเอาใจช่วยเก็จพรหมพระเอกของเรา ที่เกือบเสียท่า...แบบไหนน๊าาาา
ติดตามกันต่อไปคะ

โดย: gymstek วันที่: 27 กันยายน 2554 เวลา:12:09:43 น.
  
ตามอ่านคะ แว้บบอกแม่อาเดียวด้วยมั่งนะ อยากอ่านอะ อิอิ กลัสตกหล่น


เรือ่งน่ารักมากคะ
โดย: ปันฝัน วันที่: 27 กันยายน 2554 เวลา:16:38:45 น.
  
ไม่เสียใจที่คิดถึงพระเอกของหนูฝนเลยคะ
"คืนนี้คงฝันร้ายถ้าคุณยังโกรธผมอยู่"
ฮิ้ววววววววววววว อยากบอกว่าเก็จพรหมก็ใช่ย่อยเลย
แบบนี้หนูฝน เอ้ยพู่กันจะทนไปได้กี่น้ำกันน้ออออ
โดย: Rainy IP: 223.207.201.180 วันที่: 27 กันยายน 2554 เวลา:21:18:34 น.
  
พี่วัติ กะ แม่อาเดียวเจ้าคะ
ขอบคุณนะคะท่านทั้งสอง แล้วแม่หนูยิมจะส่งไปที่กล่องข้อความหลังไมค์นะคะ ถ้ารบกวนก็รีบบอกได้เลยนะคะ junk mail อิอิ
โดย: gymstek วันที่: 27 กันยายน 2554 เวลา:22:11:29 น.
  
ฮิ้ววววววววววด้วยคะ หนูฝน
พระเอกเราเค้าโรแมนติกนะจะบอกให้
แต่ตอนนี้มันกุดๆห้วนๆก็เพราะยังอยู่ช่วงแอบจีบบบคะ อิอิ
ความจริงต้องถามว่าพี่พรหมของเราจะทนอารมณ์แม่ติสจ๋าได้กี่น้ำมากกว่าคะ อิอิงานนี้
โดย: gymstek วันที่: 27 กันยายน 2554 เวลา:22:13:16 น.
  
ใกล้กันเข้าไปเรื่อยๆแล้วนะคะ พระนางคู่นี้ น่ารักดีค่ะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 28 กันยายน 2554 เวลา:15:31:20 น.
  
อ่านรวดเดียวสามตอนค่ะ แม่หนูยิม
พักนี้ภารกิจใหญ่หลวง ไม่ค่อยมีเวลา
แต่ต้องตามมาอ่านตลอดแน่ ๆ
เพราะยิ่งอ่านยิ่งน่ารัก ยิ่งอ่านยิ่งติดใจ
โดย: โสดในซอย วันที่: 2 ตุลาคม 2554 เวลา:12:33:48 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gymstek
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



>