A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

คนเล็ก งานอดิเรกใหญ่:ไอน์สไตน์ ๑




โลกนี้ใครไม่รู้จัก “ไอน์สไตน์” บ้าง........

เฮ้ย! ไม่รู้จักจริงๆเหรอ พูดเป็นเล่นรึเปล่า เพราะไอน์สไตน์ถือเป็นบุคคลสาธารณะ

ที่ได้รับการเคารพยกย่องจนกระทั่งแทบจะแบกขึ้นเสรียงไว้เทิดทูน

ตามแต่ ฐานะและโอกาส

นักวิทยาศาสตร์ นักสันติภาพของโลก ผู้ต่อต้านสงคราม ชายผู้มีอารมณ์ขัน ตลอดจน

อัจฉริยะผู้ปล่อยเนื้อปล่อยตัว เพร่าผมรุงรังมีวิถีชีวิตเรียบง่ายอย่างมีเสน่ห์

บุคลิกภาพของไอน์สไตน์ ถูกนำไปเป็นสัญญาณลักษณ์ในแง่ตัวบุคคลสมมติมากมาย

ตั้งแต่ ศาสตราจารย์สติเฟื่องผู้สร้างเครื่องย้อนมิติ ในหนังเรื่อง Back To The Future

ทั้งสามภาคในบทของ Dr. Emmett Brownไปตลอดจนถึง เครื่องหมายการค้าของสถาบันกวดวิชาที่มีชื่อเสียงย่านพญาไท







ไอน์สไตน์จึงมิใช่สัญลักษณ์แห่งความถูกต้องเสียทั้งหมดทั้งปวง

เพียงแต่หลายคนพร้อมที่จะเชื่อ หากมีการอ้างถึงสิ่งนั้น ว่าไอน์สไตน์เคยพูด

แม้แต่ก้อนสมองของไอน์สไตน์ บางท่านยังบอกว่า “มันใหญ่ผิดมนุษย์มนาทั่วๆไป”

ไอน์สไตน์ยังสามารถอธิบายโคตรวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นหลักการทางกายภาพ

แบบเด็กประถมก็ยังพอคิด (ดังนั้นท่านผู้ใหญ่อย่างเราอย่าได้อายเด็กเด็ดขาด)

เช่นการเปรียบเทียบ รถไฟที่กำลังเร่งด้วยความเร็ว ลิฟท์ที่กำลังร่วงลงมา

แม้กระทั่งมือที่กำลังจับถาดร้อนๆ เมื่อไปเทียบกับ เวลาพลอดรักกับสาวเจ้า

ทั้งๆที่ ความรู้สึกนึกคิดเรื่องเวลาช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แม้แต่เวลาที่เขาเอนหลังลงบนพนักเก้าอี้แบบเอนได้ มิวายที่สมองยังขบคิด

ในเรื่องโครงสร้างสเปซกับเวลาที่โค้งงอแบบแรงโน้มถ่วงแบบนิวตัน

อันนำไปสู่แนวคิดทฤษฎีบิกแบงค์และหลุมดำ

“จะเป็นเช่นไรน่อ ถ้าฉันตกเก้าอี้โยก จนหงายหลังเอนลงมา”







เราอาจจะคิดถึงการเจ็บตัว แต่สำหรับไอน์สไตน์ จินตนาการมันสำคัญกว่าความรู้

เป็นความรู้ที่อาจแลกมาด้วยการเจ็บตัว แต่เขย่าจักรวาลแห่งกาแลกซี่ทั้งมิติ

ประทานโทษมิติของไอน์สไตน์ มันไม่ใช่แค่ กว้าง-ยาว-ลึก แบบที่ตาปถุชนจะส่องได้เท่านั้น

เพราะมิติของไอน์สไตน์มันต้องประกอบด้วยสมการของมิติที่สี่เข้าไปด้วย

ซึ่งคนที่จะคิดได้อย่างนี้ มันมีเส้นยาแดงเล็กๆที่พาดผ่าน สองอยู่สองจำพวก







ถ้าไม่”บ้า”ก็ต้อง “อัจฉริยะ” กันไปข้างหนึ่ง ให้รู้แล้วรู้รอดกันเลย........







แต่ผมไม่ได้เขียนบทความนี้ เพราะดันไปเข้าใจวิธีคิดของไอน์สไตน์เข้า

พยายามแล้วครับ...แต่ไม่เป็นมรรคเป็นผล

เพ้อเจ้อพอทำเนา ..............แต่ก้าวไปถึงขั้นจินตนาการลึกล้ำ อันนี้กลัวจะเลยเทิด

เพราะประตูแห่งศรีธัญญา มันเปิดอ้าซ่ารอรับใครบางคน ที่พอจะสำแดงแนวโน้มอะไรบ้างอย่าง

เพียงแต่จะเล่าว่า ก้าวแรกความคิดที่สั่นวงการวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์

ไม่ได้เกิดจากอาชีพหลักทางห้องสำรวจทางวิทยาศาสตร์

ว่าแล้ว...............มันเกิดจากงานอดิเรกล้วนๆ ...........ว่าแล้วก็เข้าคอนเซ๊ปต์







คนเล็ก งานอดิเรก ตอนที่สาม....................เสียนี้กระไร











มีนักข่าว สอบถามว่าอะไร คือ จุดสำเร็จที่สุดของชีวิตเขา

ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรี่อง ย่อมไปตอบอะไรที่สามานย์

“ความสำเร็จของผมนะเหรอ ตามสูตรสมการเป๊กเลย A = X+Y+Z

X = งาน Y = เล่น”

“แล้ว Z มันคืออะไรละ?” นักข่าวถามอย่างขะมักเขม้นในคำตอบ

“การปิดปากให้สนิท” เขาตอบอย่างหน้าตาย

เขาละไอนสไตน์!!!!!!!!.........................







แต่กว่าที่เขาจะมีอารมณ์ขันเช่นนี้ได้ ชีวิตย้อนภูมิหลังในอดีตของเขา

มันช่างชวนขำได้ยากยิ่ง การที่เขายังทำให้ผู้อื่นเพลิดเพลินกับการสนทนาปราศรัยได้

บางทีอาจเป็นโจทย์ที่น่าค้นคว้าพอๆกับความเป็นจริงของจักรวาล

ไอน์สไตน์เป็นชาวเยอรมันที่เกิดในเมืองเล็กชื่อ อูล์ม (Ulm)

อีกด้านหนึ่งเขาก็มีเชื้อสายดั้งเดิมที่เป็นชาวยิว

ยิวที่ฮิตเลอร์เกลียดนักเกลียดหนาว่าเอาเปรียบเหล่าอารยันอันมีอารยะ

เพียงแค่เกิดมา มารดาก็ภาวนาให้บุตรชายของหล่อนมีสุขภาพที่ดี

เพราะกลุ้มใจที่ศีรษะของเขาคลอดออกมาอย่างผิดรูป สะกดแต่ละคำก็เชื่องช้า

ปานเด็กปัญญาอ่อน แม้ว่าเขาจะกลายเป็นเด็กอายุเก้าขวบมะร่ำมะร้อ

นิสัยก็เกเร ชอบเขวี้ยงของเล่นใส่น้องสาว จนน้องสาวต้องสารภาพในตอนโตแล้วว่า

“การเป็นน้องสาวของนักคิดนี้ จำต้องมีกะโหลกที่แข็งแรงเป็นพิเศษ”

วัยเด็กก็คล้ายกับชีวิตของรามานุจัน อัจฉริยะทางคณิตศาสตร์

กล่าวคือ เก่งก็เก่งอยู่ แต่จะเก่งในวิชาที่ชอบ นอกนั้น ก็แล๊วแต๋วะ

เขาจึงถูกวลีที่ชาวโลกต่างจดจำไปทั่วโลกจากครูใหญ่ว่า

“เขาไม่มีทางประสบความสำเร็จไม่ว่าอาชีพใดก็ตาม”

คำกล่าวของครูใหญ่เป็นจริงแค่เพียงตอนแรก จากนั้นในปี ๑๙๙๙

นิตยสารชั้นนำทั่วโลกอย่าง Time ก็ยกให้เขาเป็น Personal of a Century

ว่าแบบไทย อัจฉริยะข้ามศตวรรษ ประมาณว่าร้อยปี ท่านคือ เทพมาเกิด.....

ต่างกับวัยเด็กของผม ครูคนไหนเป็นต้องชมในความสามารถ พอโตขึ้นมา

กลับไม่ได้เรื่องได้ราวสักอย่าง คำชมจึงหอมหวานเหมือนลูกอมไซเดอร์ที่ทุกวันนี้

ไม่ได้ผลิตออกจำหน่ายอีก
















ชีวิตเขาทำท่าว่าจะไปได้ดีในพรสรรค์ทางไวโอลีน เก่งไม่เก่งไม่รู้หรอก

แต่เอาเป็นว่าเขารักอย่างหัวปักหัวปรำเอามากๆ ท่ามกลางการหยอกล้อของเพื่อนๆ

ที่มักว่าเขาหัวทึบ ไม่เอาถ่าน (Nerd)

พอสิบเอ็ดขวบ จากเด็กครอบครัวที่แทบไม่สนใจความเคร่งทางศาสนายิว

จนญาติท่านหนึ่งแวะมาสอนเรื่องศาสนาอยู่เป็นประจำ จากความที่เฉยๆ มาสู่ความสนใจ

กลายมาเป็นคนคลั่งศาสนา เลิกกินหมู ว่างๆก็แต่งเพลงสรรเสริญพระเจ้าอยู่หลายเพลง

จนกระทั่งสิ่งที่ทำให้เขาตัดขาดจากศาสนาโดยสิ้นเชิง คือ เรขาคณิตสองมิติของยูคริด

(Eucilidean plane geometry) จากนักศึกษาแพทย์ยากจนชาวโปร์แลนด์คนหนึ่ง

เขาเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า “หนังสือเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์” เขาปฏิบัติหนังสือเล่มนี้ราว

พระคามภีร์เล่มใหม่ในชีวิตของเขา ส่วนผมบูชา “ขายหัวเราะ”กับ “มหาสนุก”

ปานมหากาพย์ที่ต้องอดค่าขนมต้นเดือนและกลางเดือนมาซื้อไม่มีที่สิ้นสุด

แม้แต่งานของ อิมมานุเอล คานท์ ก็ทำให้เขายากที่จะถอนตัวจากแนวคิดปรัชญา

ไปจนชีวิตจะหาไม่ ถ้าคานท์ เคยกล่าวถึง World Government เป็นหนทางแห่ง

สันติภาพของโลก สิ่งนี้ก็มีผลต่อความนึกคิดของไอน์สไตน์เท่าที่เขาจะแสดงออกให้โลกรู้







ชิวิตเขาเริ่มเข้าสู่จุดเปลี่ยนในช่วงชีวิตวัยรุ่น เมื่อวัย ๑๕ ปี

ครอบครัวประสบปัญหาด้านการเงิน จากความล้มเหลวในการประมูลงานติดตั้งระบบไฟฟ้า

เมืองมิวนิค แน่ละการล้มละลายจึงเกิดขึ้น โชคดีที่เขาได้รับการยื่นมือช่วยเหลือ

แต่มีข้อแม้ที่เขาจะต้องโยกย้ายไปยังเมืองมิลานในอิตาลี โดยที่ต้องทิ้งให้ไอน์สไตน์กลายเป็น

เด็กประจำในโรงเรียนที่เขาเกลียดนักเกลียดหนา เกลียดชนิดที่ต้องให้แพทย์ช่วยเขียนใบรับรอง

ว่าเขากำลังป่วยทางจิต ถึงเป็นความเก็บกดขั้นรุนแรง อย่างมากผมก็แค่ปลอมลายเซ้นต์แม่

ว่าเป็นโรคอีสุกอีใส ได้หยุดเรียนหนึ่งอาทิตย์ แล้วไปบอกแม่อีกทีว่า ทางโรงเรียนมีการบูรณะ

รูปปั้นอดีตครูใหญ่ เท่านี้ก็แสดงออกอย่างสุดๆในอาการเกลียดโรงเรียนของผมแล้ว

การกระทำของไอน์สไตน์ครั้งนี้ถือว่าแรง จำเป็นต้องยุติด้วยการสานเสวนา......







เมื่อพ่อและแม่ ไม่สามารถเอาอยู่กับความดื้อรั้นของไอน์สไตน์

ตอนนั้นไอน์สไตน์บ้าเห่อกับความที่อยากจะเป็นนักปรัชญา ขณะที่พ่อนั้น

อยากให้ลูกคนตน อยู่กับอาชีพในโลกของความเป็นจริงที่สามารถนำไปประกอบอาชีพ

เมื่อพ่อเป็นอดีตช่างไฟฟ้า กับลูกที่บ้าปรัชญาแนวคานท์มาปะทะกัน

การประนีประนอมจึงเกิดขึ้น สู่สถาบันที่สร้างชื่อ (โดยไอน์สไตน์สร้างให้) เพราะ

สถาบันนี้ก็แสนดี ไม่ต้องมีประกาศนียบัตรก็สามารถเทียบโอนคัดเลือก เพียงแต่ว่า.....

ต้องผ่านด่านสอบคัดเลือกอรหันต์แสนหฤโหด................แล้วเรี่องราวจะเป็นอย่างไร

ขอไปอ่านแล้วจะค่อยนำมาย่ออีกในตอนต่อไป ว่าไปแล้วยังไม่เข้าชีวิตรัดทนบัดซบน่าดู

แล้วเจ้างานอดิเรกสะเทือนเลื่อนโลก เริ่มต้นจาก ณ จุดใด ตอนหน้าก็ยังไม่มี

เอาเป็นว่า เล่าไปเรื่อยๆ ถึงแม้หลายช่วงไม่น่าสนใจ

แต่อย่าไว้ว่า.........มันเป็นชีวิตของคนที่ชื่อไอน์สไตน์ คนอัจฉริยะที่น้อยคนจะสามารถอธิบาย

สูตรทางวิทยาศาสตร์อันลึกล้ำของเขาได้ มากไปกว่าการมีชื่อเสียงของเขา




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2551    
Last Update : 2 ธันวาคม 2551 11:23:28 น.
Counter : 2199 Pageviews.  

คนเล็ก งานอดิเรกใหญ่:นักแต่งเพ้อฝัน

เคยได้ยิน นักวิจารณ์วรรณกรรมกล่าวอะไรเท่ห์อย่างหนึ่งไว้ว่า

"งานวรรณกรรมที่แต่งแต้มขึ้น ล้วนเกิดจากจิตวิญญาณแห่งประสบการณ์ที่ผู้แต่งผ่านพ้นมา"

อืมม.......มันก็ฟังเท่ห์อยู่หรอกน๊าาา..........แล้วไอ้พวกที่เป็นนวนิยายประโลมโลก
ไม่มีสาระความเป็นจริงในโลกนี้ละ? พี่จะอธิบายได้ไหมครับว่า

"พวกเขาเหล่านั้นเข้าญานหรือไม่ก็นั่งเทียนเขียนแต่งไปตามเรื่องตามราวกันแน่"

เริ่มต้น..ผมก็ตั้งคำถาม ที่ชวนให้ได้รอยเท้าฟรีสักข้าง ไม่ก็ท่านไหนหากใจดี
งานนี้ก็อาจมีมากกว่าหนึ่งคู่จากรองเท้าคนละเบอร์ ก็มิอาจทราบได้
ในหัวเรื่อง "คนเล็ก งานอดิเรกใหญ่" ซึ่งต้องขอบคุณสหมงคลฟิลม์ที่คิดชื่อหนังจีนแต่ดัดแปลง
เสียจนน่าจดจำเป็นภาษาไทย โดยที่พี่โจว ชิงฉือ อาจเกาหัวแบบงงๆว่า

"ตูมันเล็กตรงไหนหว๋า?"

วันนี้จะหยิบยกตัวอย่าง อดิเรกของคนช่างฝันที่กลั่นมาจากประสบการณ์ที่บากบั่น
จนกลายเป็นงานที่รื่นรมย์............ชนิดที่คนทั้งโลกไม่อาจปฏิเสธว่า

"เฮ้ย ไม่รู้จักนะเฟ้ย อย่ามามั่วแบบขี้ตั๊วแบบี้"

รับรองได้ว่า ถ้าท่านไม่รู้จักคงได้อายอาตี้ อาหมวย ขาใหญ่ในซอย แซวเสียจนสิ้นสมรรถภาพ
ของความเป็นอาวุโสเป็นแน่แท้

เรื่องของหญิงคนหนึ่ง ที่มีความฝันในโลกจินตนาการอันไม่อาจจะจับต้องได้
แล้วเธอก็ต้องการแบ่งปันความฝันนั้น ให้แก่เด็กทั่วโลกได้อ่าน
แต่ความฝันแบบเด็กๆของเธอนั่น ล้วนเกิดจากความยากลำบากที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ
อาจต้องยอมละความฝันนั่น เพื่อมาเผชิญกับโลกความเป็นจริงที่ไม่มีวันสมบูรณ์แบบ
งานเขียนที่เธอไม่อาจจะเสนอชื่อจริงของเธอ เพียงเพราะว่าอคติทางสตรีเพศ
อันนำไปสู่การจำกัดตลาดของกลุ่มความเป็นชาย..................ผู้อ่านส่วนใหญ่ไม่ทราบหรอก
อคตินี้เป็นจิตใต้สำนึกที่ไม่อาจบ่งบอกในสำนักโพลล์ไหนๆ
เหมือนกับอ่านคอลัมภ์วิเคราะห์ฟุตบอล พอรู้ว่านักเขียนเป็นผู้หญิง ก็มีอคติว่าไม่เจ๋งจริงบ้างละ
พอหล่อนวิเคราะห์แม่นยำ ก็บอกแบบแทงสีข้างว่า "ถ้าเป็นเกจิชาย ก็เชื่อไปนานแล้ว"
อันนี้ไม่เกี่ยวกับการรูปเกมส์ แต่ไม่อยากเสียรูปเชิงชายเพราะไปเชื่อผู้หญิง!!

ก่อนที่จะรังสรรงานวรรณกรรมในรูปแบบความคิดของเธอ
เธอกำลังดำรงสภาพของความลำเข็ญฐานะผู้ว่างงาน ยืนรอเข้าแถวกับคนสิ้นไร้ไม้ตอก
เพื่อรองรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อรับเงินสงเคราะห์ มูลค่า ๗๐ ปอนด์ต่อสัปดาห์
ในขณะที่ยังต้องแบกรับกับการเลี้ยงบุตรสาวตามลำพัง อาศัยซุกหัวนอนในแฟลตโกโรโกโซ
ที่มีค่าเช่าตกอาทิตย์ละ ๒๓๐ ปอนด์ เรียกได้ว่าแพงเสียมากกว่าเงินสงเคราะห์รายสัปดาห์เสียอีก
ความจนเสียจนแทบไม่มีอะไรจะกิน จึงทำให้เธอต้องแบกลูกมาเลี้ยงที่ร้านกาแฟของน้องเขย
เกือบทุกวัน
บางคนเงินเดือนไม่ได้เพิ่ม ก็แทบจะนอนดิ้นหน้าออฟฟิค ติดเสียแต่ว่าโตจนเกินงาม

" ถ้าคุณไม่ได้อยู่ตรงนั้น คุณก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าการไม่มีเงินมันเลวร้ายขนาดไหน ความภูมิใจในตัวเองของคุณ
(ศักดิ์ศรี) จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง "
นี้คือเสียงสะท้อนเสี้ยวหนึ่งที่เลวร้ายในชีวิตของเธอ
ไหนจะต้องหอบบุตรสาวหนีอดีตสามีที่ตามราวีเธอ จนต้องขอคำสั่งศาลห้ามเขาเข้ากล้เธอ
และหย่าขาดในเวลาต่อมา แม้ก่อนหน้าเธอจะพยายามหลบหน้า เพื่อขอความช่วยเหลือทั้งจาก
เพื่อนที่เป็นครูหรือน้องสาวซึ่งเพิ่งแต่งงานไปอยู่ที่เมืองเอดินเบิร์กในสกอตแลนด์
ชีวิตที่เหลือของเธอ คือการใช้ชีวิตที่เหลือกับบุตรสาว อันเป็นสุดที่รักของเธอเพียงสิ่งเดียวเท่าที่เหลือ
อยู่ ก่อนหน้านั้นเธอได้แทงลูกครับเมื่อกลับไปโปรตุเกส ช่วงที่อดีตสามีถูกเกณฑ์เป็นทหารกองหนุน
แม้ช่วงหลังจากปลดประจำการไปประกอบอาชีพนักข่าวอิสระก็ไม่เป็นมรรคเป็นผลเท่าไรนัก
คนที่อยู่เบื้องหลังของเธอ อย่างมารดาก็มาเสียชีวิตลงจากโรคเส้นเลือดตีบ ส่วนบิดาของเธอก็
มีภรรยาใหม่แทบจะทันทีที่แม่ของเธอเสีย สร้างความเจ็บปวดและโกรธแค้นแก่เธอมาก
จนเธฮตีตั๋วเที่ยวบินเดี่ยวจากาลอนดอนมุ่งหน้าเผชิญโชคเดียวยังเมืองโปรตุเกส
จนมาได้พบสามีขี้หวงที่ร่วมชีวิตคู่กันได้เพียง ปีกับอีกหนึ่งเดือน

แต่ด้วยความที่เป็นคนรักงานขีดๆเขียนๆ Rabbit ถือเป็นงานแต่งเรื่องแรกที่เธอแต่งสมัยที่ยัง
อายุเพียง ๕ หรือ ๖ขวบ เธอเล่าภาพอย่างสนุกสนานกับน้องของเธอว่า

"I can still remember me telling her a story in which she fell down a rabbit hole and was fed strawberries by the rabbit family inside it
(ฉันยังจำเรื่องเล่าได้ครันที่เธอตกไปยังหลุมกระต่ายและถูกป้อนสตรอเบอรรี่โดยครอบครัวกระต่าย)"

และสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย Exeter ภาควิชาฝรั่งเศสคลาสสิค (BA in French and Classics at the University of Exeter) เธอก็ได้แต่งงานเขียนหลายเรื่อง
แต่งานเขียนที่สร้างชื่อเสียงและแรงจินตนาการแก่นักอ่านทั่วโลก บังเกิดโครงร่างขึ้น
ตั้งแต่ปี ๑๙๙๐ ครั้งที่กำลังนั่งรถไฟระหว่างเมืองแมนเชสเตอร์กับเมืองคิงส์ครอสในลอนดอน
จนเธอเปล่งออกมาว่า "ถาโถมอย่างเต็มเปี่ยม" (came fully formed) จนมาเสร็จสมบูรณ์
ก็อีกหกปีต่อมา เธอได้กล่าวถึงงานเขียนเล่มนี้ของเธอว่า

I was writing ........ at the moment my mother died. I had never told her about.............."
"ที่ฉันเขียนเรื่อง.........เป็นการรำลึกถึงแม่ของฉันที่ตายไปแล้ว ฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่ท่านเลย"

งานชิ้นแรกที่เธอได้ค่าเรื่องจากสำนักพิมพ์เล็กๆของกรุงลอนดอน ในราคาเพียงแค่1500 ปอนด์
และอาจมีออปชั่นเสริม (a £1500 advance) เท่านั้น แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จ
เพราะก่อนหน้านั้นเธอได้เสนอไปมากถึง ๑๒ สำนักพิมพ์ ล้วนปฏิเสธกันอย่างพร้อมเพรียงกัน( all of which rejected the manuscript)
ว่ากันว่างานเธอไปถูกใจลูกสาวchairmanหนึ่งในคณะกรรมการของสำนักพิมพ์
จนได้รับการติดต่อให้ตีพิมพ์ จนกระทั่งสำนักพิมพ์ของค่ายข้ามซีกทวีปให้ค่าลิขสิทธิ์แก่เธอ $105,000 ดอลลาร์
เธอแทบอุทานว่า "ปางใจจะวาย (nearly died)" เมื่อเธอทราบข่าวนี้เข้า..............................

ใช่แล้วครับ ผมว่าหลายคนที่เป็นสาวกงานเขียนนี้ น่าจะเริ่มร้องอ้อกันแล้ว
สำนักพิมพ์เล็กในกรุงลอนดอน (ที่ตอนนี้ไม่เล็กแล้ว) ชื่อว่า Bloomsbury
ส่วนสำนักพิมพ์ค่ายซีกโลกทวีป คือ Scholastic Inc.
งานเขียนเล่มที่ว่า คือ Harry Potter and the Philosopher's Stone
และนักเขียนท่านนั้น คือ J. K. Rowling

ทุกวันนี้ ว่ากันว่า เธอมีทรัพย์สินรายได้มากกว่าราขินีอังกฤษร่วม ๒๐๐๐ พันล้านบาท
โดยSunday Times Rich List ปี ๒๐๐๘ ประเมินความร่ำรวยของเธออยู่ที่ £560 ล้านปอนด์ (ยิ่งกว่าค่าตัว
นักเตะแมนยูทั้งทีมอีก) เป็นอันดับที่ สิบสองของเมืองผู้ดี (the twelfth richest woman in Britain.)
ส่วนนิตยสาร Forbes (ที่วันๆตรวจดัชนีชี้วัดความรวยชาวบ้าน) ให้เธอในอันดับที่ ๔๘ ในกลุ่มผู้เชิดหน้าชูตา
ผู้มากด้วยบารมี (ผมตั้งให้เก๋ๆเองแหละ)
(the forty eighth most powerful celebrity of 2007) และนิตยสาร Times ยกให้เธอเป็น runner-up for its 2007 Person of the Year คงด้วยเพราะการทิ้งทวนงานภาคจบของพ่อมดน้อยในตอนHarry Potter and the Deathly Hallows จนแย่งพื้นที่ข่าวตั้งแต่หนังสือยังไม่ออกจำหน่ายไปต่างต่างนานา
แต่ไม่ว่าความโด่งดังและความมีชื่อเสียงล้อมรอบข้างกายเธอเพียงใดก็ตาม เธอเองก็ไม่ลืมศรัทธาที่มีให้แก่งานเขียนของเธอว่า

"I will continue writing for children because that's what I enjoy"
แล้วทุกวันนี้ คุณenjoyกับสิ่งที่คุณทำหรือคุณทำเพื่อenjoyในผลตอบแทนจากสิ่งที่คุณทำอยู่ละ?




แถมท้าย Harry Potter is now a global brand worth an estimated £7 billion ($15 billion)
,and the last four Harry Potter books have consecutively set records as the fastest-selling books in history.
The series, totalling 4,195 pages, has been translated, in whole or in part, into 65 languages.

(ทุกวันนี้พ่อมดน้อยยังเสกคาถาความเป็นแบนด์ระดับโลก
สนนรายได้อยู่ที่ ไม่มากไม่น้อย ๗พันล้านปอนด์ และเอาแค่สี่ภาคเบาะๆ ก็แค่ประเภทขายเร็วปานสายฟ้าแลบเท่าที่โลกเคยมีมา
จำนวนหน้าก็หนาพอสาดแมลงสาปดึกดำบรรพสิ้นชิวินด้วยความหนา ๔๑๙๕ หน้า ตอกย้ำความดังด้วยให้ชาวบ้านชาวช่อง
ไปแปลด้วยอักษรยึกๆยือๆแปลกถิ่นอีก ๖๕ ภาษา นี้แหละผลของงานอดิเรกจากฝีมือเจ๊แกละ
คนที่เคยต่อแถวแบบคนไม่มีกิน ครอบครัวแตกสิ้น รักคุด มุดซ่อนตัวตามที่ต่างๆ...........แล้วชีวิตคุณละ?)


//www.geocities.com/pichate1964/jkrowling
(ที่ไปอ้างจากสำเริงคดี/ทรงวาด มติชนสุดฯ เล่ม๑๑๑๘และ MovieTime Specialอีกที)

//en.wikipedia.org/wiki/J.K._Rowling

//th.wikipedia.org/wiki

//www.nanmeebooks.com


ขอบคุณเพียบเลย ข้อมูลปะแปะ จากพวกนี้แหละ
ภาพก็จาก //www.teenee.com




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2551 1:00:12 น.
Counter : 586 Pageviews.  

คนเล็ก งานอดิเรกใหญ่:รามานุจัน

ในบทความชื่อ. Fly towards your Dream ..

แม้จะเป็นบทความเก่าของท่าน XANAX71 ที่สะบัดคีย์บอร์ด
เป็นเรื่องราวทิ้งไว้ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เดือน ๑๑ ในปีนี้ ว่ากันด้วยเรื่องของ
ความฝัน .............ความจริง......................และการกระทำ
โดยเฉพาะประโยคที่กระแอ้มแหนบตัวเองว่า "ดิฉันก็จะตอบว่าความฝันของดิฉันเป็
นสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่ในขณะนี้เลย "
มันกลับกลายเป็นเสียงกระแอ้มแหนบ ที่ผมมักได้ยินจากใครหลายๆคน ที่มีความฝัน
และดำรงสถานะความฝันอย่างยั่งยืน กล่าวคือ ไม่มีทางเป็นจริงได้ในปัจจุบัน
ไม่ใช่เพราะว่า ไม่อยากทำ แต่ความเสี่ยงของการลงมือกระทำกับผลรับที่ได้ในฐานะ
เครื่องสร้างประกันในชีวิต ไม่ได้สอดคล้องต้องกัน
ท่ามกลางโครงสร้างของสังคมที่กำหนดตัวเลือกเพียงไม่กี่อย่าง ให้เราได้เลือก
ประคองต่อความน่าจะเป็น และอยู่รอดในสังคมที่ดูเหมือนว่าจะไม่จำกัดบทบาท

เกริ่นแบบเครียดๆ กับประโยคที่หลอกหลอนความคิดของผมตลอดทั้งอาทิตย์
ก่อนนอนก็นึก นั่งชักโครกก็ยังคิด ยิ่งนั่งสมาธิวิปัสสนามารประโยคก็ยังตามให้จิต
นั่นกระสับกระส่าย
จึงเห็นทีว่าต้องมากรณีมาหักล้างความกระสับกระส่ายนี้ ด้วยประสบการณ์คนใครบาง
คนที่แม้จะเป็นส่วนน้อยเอาม๊ากมาก แต่ยังพอให้มนุษย์เราเห็นช่องทางได้ว่า
แม้จะเป็นคนเล็ก ก็สามารถทำงานอดิเรกที่ยิ่งใหญ่ได้ ไปขุดๆคุ้ยๆมาได้สิบอุทาหรณ์
จะค่อยๆทยอย มานำเสนอ ช่วงเวลาที่นึกเรื่องไม่ออก ว่าจะมาเขียนอะไรในบล็อกดี

พี่น้องรู้จัก "รามานุจัน" ไหม?
รามานุจันนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "รามเกียรติ์" ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ "รามายณะ"
และไม่ได้เป็นญาติ "หนุมาน" ด้วย
และที่สำคัญ ไม่ได้เป็นพ่อค้าที่ สำเพ็ง อีกด้วย..................................

แต่ถ้าถามวงการนักคณิตศาสตร์ชั้นเลิศ แล้วมีใครมาเกาหัวหยิกๆอย่างสงสัย
นั่นก็แสดงว่า มิใช่นักคณิตศาสตร์ชั้นเลิศที่แท้จริง
เอ้า! ดูเหมือนผมจะเฉลยไปแล้วว่า เขาคนนี้ คือ นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะที่ไม่ได้จบ
แม้แต่ปริญญา แต่ได้รับการนับหน้าถือตา เป็นราชบัณฑิตของมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์
และที่สำคัญ เขาคือหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวเอเชียทั่วทวีป
ชิวิตเริ่มต้นของเขาก็ดุ่มๆดอมๆ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือจะให้ดูลำบากกว่านั่น
ก็ ราดยางมะตอยที่ล็อกสเป็กแบบนักการเมืองบ้านเรา

ศรีนิวาสะ รามานุจัน

ถึงแม้เขาจะเกิดในวรรณะพราหมณ์ ก็มีเพียงวรรณะเท่านั้น ที่บ่งบอกระดับทางชนชั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็เป็นคนยากจนในเชิงระดับรายได้และการครองชีพแบบ
สังคมอินเดีย
แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีได้ (และผมก็คิดว่า "ท่าน" ผุ้อ่านก็คงมีกันอย่างสองอย่าง อย่างน้อย
ก็การมั่นคงในการอับบล็อกส่วนตัว) อันเกิดจากพรสววรค์ที่มาจากความสนใจ
มาตั้งแต่เล็ก คือ คณิตศาสตร์
อย่างน้อยๆ วิชาเลข ไม่มีเพื่อนคนไหนปฏิเสธที่จะเปลี่ยนสถานะ"เพื่อนร่วมชั้น" ให้มาเป็น
"ครูส่วนตัว"
อย่างน้อยๆ ตอนเด็ก เขาก็สามารถท่องค่าสแควร์รูท ๒ และค่าของพายที่มีทศนิยม ๕๐หลัก
ได้อย่างประทับใจทั้งชั้นเรียน

จนกระทั่งหนังสือที่ชื่อ Synopsis of Elementary Result in Pure and Applied Mathematics
ของ จี เอส คาร์ ที่ปรากฎในเรื่องที่ห้องเรียนยังไม่ได้สอน อย่าง พีชคณิต
ตรีโกณมิติ และเรขาคณิต ๖๐๐๐ สูตร ก็ยิ่งทำให้เขาหลงใหลและดื่มด่ำไปกับมัน
(ขณะทีพวกเด็กศิลป์อย่างผม สู้มามีดมาแทงให้ตายเสียยังดีกว่า)
สุดท้ายกลายเป็นร้ายมากกว่าดี เพราะเขาฝักใฝ่แต่เรื่องคณิตศาสตร์เสียจนโงกหัวไม่ขึ้น
ตราบที่ห้องเรียนเขาไม่ได้วัดเพียง วิชาใดวิชาหนึ่งเป็นสำคัญ
รามานุจันจึงได้ดีอยู่วิชาเดียว ขณะที่วิชาอื่นๆ เขาสอบตกเกือบทั้งหมด
ทุนการศึกษาก็ถูกตัดทิ้ง สอบตกในมหาลัยตั้งแต่ปีแรก
แม้ผู้ใหญ่ท่านจะให้โอกาสอีกสองครั้ง เขาก็ไม่ได้ทำให้มันดีขึ้น

เมื่อไม่มีปริญญา การหางานก็ยากนัก (อย่างว่าแต่เขาเลย ปริญญาจบใหม่ปีนี้ก็ท่า
จะแยก เพราะรมต.คลังเตรียมอัดฉีดแสนล้านรองรับการว่างงานแล้ว)
ต้องขออาหารจากเพื่อนๆและญาติๆไปวันๆ
บางคนอาจสะกิดเขาว่า "เก่งเลขเหรอ?สอนพิเศษเด็กสิ!"
อันนี้อยากบอกว่า เขาลองพยายามทำมันแล้ว แต่ด้วยความอัจฉริยะ เขาจึงมักสอน
ในระดับที่เด็กตามความคิดเขาไม่ทัน แล้วก็ไม่มีพ่อแม่คนไหนว่าจ้างเขาอีก......




จนกระทั่งเขาได้เป็นเสมียนที่ Madras Port Trust งานที่เงินไม่มากนัก
แต่แน่ละเวลาว่างส่วนใหญ่ คือ การที่เขาวิ่งหากระดาษลังแถวนั้น แล้วเอาดินสอมารีบ
เขียนสูตรและสมการต่างๆ เพราะความจน จึงทำให้เขาไม่สามารถซื้อกระดาษดีๆมา
เขียนรวบรวมสูตรเฉพาะของเขาได้ (ฟังแล้วรู้สึกตัวเองดีขึ้นรึยัง?)
จนแล้วจนรอด ก็ต้องมีคนเห็นถึงพรสวรรค์เชิงความสามารถที่ไม่ย่อท้อของเขาบ้างละหน๊า
จึงมีคนแนะนำให้เขาเขียนจดหมายไปหานักคณิตศาสตร์ที่มหาลัยเคมบริดจ์ เพราะมีแต่
อาจารย์มหาลัยระดับโลกเท่านั้นที่จะสามารถถอดสูตรคณิตศาสตร์ว่าถูกต้องตามจริงรึไม่?
แต่ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายดายตามนั่น นักคณิตศาสตร์สองแรกปฏิเสธงานของเขา
โดยส่งจดหมายคืน โดยไม่มีข้อคิดเห็นใดใดตามมา

จะมีก็เพียงคนเดียวที่ตอบจดหมายเขา คนนั่นก็คือ ก๊อดฟรีด์ ฮาร์ดี้ วัย ๓๖ ปี
ซึ่งฮาร์ดี้คนนี้ ถือ เป็นนักคณิตศาสตร์เด็กแนว ที่เปิดรับความคิดเห็นใหม่ๆอยู่เสมอ
แม้ทีแรกเขาได้รับจดหมาย เขาเองก็นึกว่าเป็นพวกจิตป่วนเพราะสุตรที่รามานุจันคิด
ไม่เป็นระบบ (ส่วนหนึ่งคงด้วยการเรียนรู้โดยตัวเองของรามานุจันที่ไม่ผ่านระบบ
มหาวิทยาลัย)
สูตรผลงานที่รามานุจันส่งมาจึงเกินกว่าฮาร์ดี้ที่จะวินิจฉัยได้ เขาจึงต้องขอเชิญศาสตรจารย์
อีกคน คือ จอห์น อี ลิตเติ้ลวู้ด แห่งวิทยาลัยทรินิตี้ ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่อง
calculus และ number theoty มาวิเคราะห์ร่วม
ผลสรุป จึงบ่งบอกว่านี้คือสูตรของปราชญ์ทางคณิตศาสตร์ และจะเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลง
ทางวงการการศึกษาคณิตศาสตร์โลก
จนสู่การอันเชิญให้รามานุจัน เสมียนเล็กในท่าเรือมาสู่มหาวิทยาระดับชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลก
อย่างเคมบริดจ์พร้อมเงินค่าเดินทางให้ ตลอดค่ากินอยู่ทั้งปีให้

ทุกวันนี้สูตรสมการของเขา ถูกใช้ในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนสถานะของสสาร
และฟิสิกส์ใน๑๐มิติตามทฤษฎี string ของ ต่างก็พึ่งพาแนวคิดของสิ่งที่รามานุจันได้คิดเอาไว้
ทุกวันนี้อีกกว่า ๔๐๐๐ สูตร ที่ยังไม่ได้นำมาประยุกต์ใช้ในวันข้างหน้า และอัตชีวประวัติ
ของเขาถูกมาสร้างเป็นซีรียส์ทางช่องบีบีซี ในชื่อ Letters from an indian Clerk)
โดยผู้สร้างคริสโตเฟอร์ ไซด์
และเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ ในการเขียนบทเรื่อง Good Will Hanting
โดยแมท เดมอนและเบน แอ๊ฟแฟค จนได้บทภาพยอดเยี่ยมในรางวัลออสก้าร์

ดังนั้นอาชีพก็มิได้เป็นเพียงพิสูจน์คุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน
อาจเป็นแต่เพียงข้อบังคับกลายๆ ในการรักษาสภาพการดำรงชีวิตด้วยข้อจำกัด
ทางโอกาส กาละและเวลาในแต่ละช่วง
ผมจึงใครหลายคนที่เปลี่ยนงานแล้วไปได้ดีกับงานนั้น
อีกทางไปแล้วแย่ลง จนต้งบ่นว่าอยากกลับมาทำงานที่เก่าก็ไม่น้อย
ผิดกับงานอดิเรก ที่ไม่สร้างมูลค่าแต่กลับสร้างความสุข ความรื่นรมย์และรอยยิ้มเล็กๆ
ที่มุมปาก (และตีนกาน้อยๆที่ริมขอบตา)
เราไม่รู้หรอกว่า สิ่งเล็กๆที่เราทำจะเปลี่ยนแปลงหรือกระทบต่อความเป็นไปของสังคม
ข้างหน้ามากน้อยเพียงใด

............รู้เพียงแต่ว่า ทำแล้วสุขใจ แคนี้ก็เพียงพอแล้วกระมัง................



หาอ่านฉบับเต็มได้จากหนังสือแปล the man who knew infinity by Robert Kanigel
ชื่อแปลฉบับภาษาไทย "รามานุจัน อัจฉริยะไม่รู้จบ"




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 21:11:59 น.
Counter : 1827 Pageviews.  

วิถีแห่งโตโยต้า กรณีศึกษาของคนไร้วิถี

เอ่ยถึงผลิตภัณฑ์ในรูปแบบส่งออกทางวัฒนธรรมที่มาจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว
ที่เราพอจำความได้นับตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันร่วมสมัยแล้ว

คุณแม่บ้าน อาจนึกถึง อายิโนะโมะโตะ หม้อหุงข้าวชาร์ป และ......
คุณลูก อาจนึกถึง โปเกมอน เซเลอร์มูน โดเรมอน และ...............
ส่วนคุณพ่อบ้าน อาจนึกถึง คูโบต้า โซนี่ โตชิบา โตโยต้า ...................

อะอ๊ะ!! หยุดตรงที่ โตโยต้า ก่อนนะครับ เพราะผมกำลังจะคุยถึงเรื่องนี้

เรือ่งของคนที่ไม่เคยรีไฟท์แนสค่างวดส่งดอกรถโตโยต้า
ไม่เคยเกี่ยงว่าแท๊กซี่คันไหนจะตอ้งเป็นยี่ห้อโตโยต้าเท่านั้น
แล้วถ้าเพื่อนคนไหนจะขับรถไปส่งให้ฟรีโดยไม่ต้องแชร์ค่าน้ำมันรถ

อันนี้ ........ผมก็ไม่เกี่ยง (เข้าไปใหญ่) เช่นกันที่จะต้องเป็นโตโยต้าเท่านั้น
เพียงทว่า สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นแค่นามธรรมชนิดหนึ่ง
ซึ่งเหล่านักศึกษาทางธุรกิจควรได้รับเรียนรู้อย่างยิ่งยวด
เพราะเป็นการสร้างนามธรรมจากตัว "คน"
ซึ่ง "วิถีแห่งโตโยต้า" ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

สำคัญซะยิ่งกว่าเทคโนโลยี การออกแบบ หรือแผนการตลาดใดใด
ที่ตะวันตกต่างหลงทางกัน ..............ไม่ต้องอะไรมาก อย่างน้อย
ก็ทำให้ยักษ์ General Motor เสียกระบวนท่า ในดินแดนบ้านเกิดของตัวเอง
ในเรื่องของส่วนแบ่งการตลาด

แล้วอะไรละ คือ วิถีแห่งโตโยต้า (Toyota Way)
สิ่งนี้คงไม่มีใครจะตอบได้ดีเท่า นาย Jeffrey K. liker,ดร. แห่งมหาวิทยาลัย Michigan
คนๆนี้ได้เรียนรู้แล้วสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงของโตโยต้า มากกว่า 40 ท่าน
รวมถึงสัมภาษณ์ผู้จัดหาชิ้นส่วนให้แก่ โตโยต้า ได้เยี่ยมชมโรงงานของโตโยต้า
โรงงานผู้จัดส่งชิ้นส่วนของโตโยต้า สำนักงานขาย ศูนย์กระจายชิ้นส่วน สนามทดสอบ
และศูนย์เทคนิคของโตโยต้า เป็นต้น
ชนิดที่ว่าอะไรที่แปะยี่ห้อโตโยต้า พี่แกจะตะลุยไปแคะแกะเกลาทุกซอกทุกมุม
จึงได้ฐานขอ้มูลกลั่น แล้วมาชำแหละแตกย่อยแบบแผนให้สอดคล้องกับรูปแบบ
การตลาดในปัจจุบัน
ดังนั้นตลอดชีวิตที่ผ่านมา หนังสือของแกหลายเล่ม จึงหนีไม่พ้นเกี่ยวกับเรื่องของ
โตโยต้า อาทิเช่น Toyota Talent ​​ ,Toyota Way (Fieldbook) ​
Toyota Culture: The Heart and Soul of the Toyota Way
The Toyota Product Development System:,
Becoming Lean: Inside Stories of U.S. Manufacturers เป็นต้น

​ปัจจุบันตั้งบริษัท​ Lean Associates ให้​คำ​แนะนำ​ปรึกษา​เกี่ยว​กับ​ระบบการผลิต​
และ​อบรมบุคลากรแบบ​ Lean ​แก่บริษัทต่างๆ​ ​ที่สนใจ​ "​วิถี​แห่งโตโยต้า​"

โตโยต้าจึงมีพระคุณยิ่งต่อแก อีกทางหนึ่งแกก็มีพระคุณต่อการขยายโลกของ
แนววิถีโตโยต้าออกสู่วิชาบริหารธุรกิจสมัยใหม่ กลับมาสอนชาวตะวันตก
ถ้าไม่เรียกว่า "ตบหน้า" อย่างนี้ ก็ต้องเรียกว่า "เอาล้อยางทับหน้า" ชนิดกู่ไม่กลับ
ตบ อาจหน้า แดง แต่ ล้อยางทับหน้า กว่าจะกลับมาหล่อเหมือนเดิม งานนี้คงอีกนาน
เพราะบางสมรรถนะของพื้นถนนที่อาจเพิ่งลาดเทด้วยยางมะตอย



คำถามจริงมีอยู่ว่า ตกลง "วิถีโตโยต้า" เขาสอนอะไรกัน?
ถ้าตอบอย่างง่ายๆ ก็คือ กระบวนการสร้างทรัพยากรบุคคลที่เป็นเลิศ
บ่มเพาะวัฒนธรรมองค์กรให้เข้มแข็งและต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น
ฟังแล้วอาจจะงง สร้างรถยนต์แข่งกันขายกับชาวบ้าน ไง!ไปเน้นที่การสร้างคน
หลักข้อหนึ่งถือเป็นปรัชญาเชิงตะวันออก เชื่อว่าพรสรรค์นั้นมีจริงแต่กว่าจะหาบุคคล
ประเภทนี้ได้ ยิ่งยากนัก
เก่งมากก็ทรนงตน ชอบแอ็กอาร์ตกันอยู่ไม่น้อย
สู้มา​ให้​ความ​สำ​คัญด้านพัฒนาบุคลากร​ (People Development) ในอัตราส่วน ๗๕%
ส่วนในเรื่องปรับปรุงกระบวนการ​ (Process Improvement) ​เพียง​ ๒๕%
วิถีแห่งโตโยต้าไม่มุ่งเน้นทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะ แต่เน้นความรักที่จะตั้งคำถาม
และเป็นนักแก้ไขปัญหาตัวยง มีความเป็นเพื่อนมนุษย์ ปรับตัวได้ดี เป็นนักสร้างสรรค์
คงคล้ายกับเพลงหนึ่งของแอ๊ด คาราบาว
"ที่ขันน๊อตตัวหนึ่ง ใส่แล้วจะเดินต่อ เสียงเธอก็ร้องอ้อ! ไหนว่าเป็นคนบ้า"

ในแง่การจัดอบรมก็เข้มข้น ทุกๆ​ ​พนักงาน​ 10 ​คน​จะ​มี​ Trainer 1 ​คน​ ​และ​
ทุกๆ​ Trainers 10 ​คน​ ​มี​ Instructor 1 ​คน​ เอากันชนิดเรียนกันให้ใกล้ชิดถึงตัว
จำลองสถานการณ์ ที่เรียกว่า​ "Job Breakdown Sheet" แล้วตีโจทย์ให้แตก
ในกรณีที่พบกันปัญหาที่คาดไม่ถึง (Genchi Genbutsu)
เพราะปัญหาที่คาดถึง มักมีแบบเรียนการแก้ไขที่สำเร็จรูปแล้ว
ก็เหมือนกับกาแฟซอง ๓ in ๑ ฉีกซอง แล้วเทน้ำร้อนใส่ก็ทานได้เลย
แต่ถ้าใครคิดโจทย์ที่ว่า "แล้วถ้ากระติกน้ำร้อนไม่ทำงานละ?"

กาแฟยังคงเป็นกาแฟ แต่มิใช่กาแฟที่เราจะดื่มกินอย่างสนิทใจได้
อันที่จริง​ ​ระบบการสอนงานแบบนี้มีจุดกำ​เนิดมา​จาก​ระบบ​ "​ฝึกทหารอย่างเร่งด่วน​" ​
ใน​อเมริกายุคทศวรรษที่​ 40 ​ซึ่ง​พัฒนาขึ้นมา​โดย​ WAR MANPOWER COMMISSION ​
แต่​เลิก​ใช้​งานไปหลังสงครามสิ้นสุดลง​ ​จนกระทั่งโตโยต้านำ​กลับขึ้นมาปัดฝุ่น​และ​
ประยุกต์​ใช้​ใน​ระบบการผลิตของ ตนอย่าง​ได้​ผลดี​เยี่ยม​

ดังนั้น วิถีแห่งโตโยต้า จึงไม่มีคำ​ว่า​ "​ล้มเหลว​" ​เว้นแต่​ไม่​ยอมเรียนรู้
และไม่มีคำว่า"เพอร์เฟกซ์" แต่จะสมบูรณ์โดยการปฏิบัติซ้ำๆ จนกลายเป็นความ
ชำนาญ ที่โตโยต้ายกคำว่า Heijunka ทำงานให้สม่ำเสมอเหมือนกับเต่า มิใช่กระต่าย
เรื่องนี้ถ้าหลักการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่า ความ​จำ​ของมนุษย์มีจำ​กัด​ ​หรือ​เพียงแค่​
๑๐% ​จาก​ที่​เห็น​หรือ​ได้​ยิน​เท่า​นั้น​ โตโยต้าจึงชอบเริ่มต้นกับคนที่มีขีดความสามารถ (capability)
พร้อมที่จะกลายเป็นพนักงานที่มีความสามารถโดดเด่น ข้อสำคัญอีกประการ
คือ การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง" (continuous improvement) ด้วยความคิดที่ไม่เคยพอใจ
กับสภาพในปัจจุบันและแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าอยู่ตลอดเวลา ด้วยความคิดที่สร้างสรรค์ และการทุ่มเทความพยายาม
ความพอใจเป็นสิ่งที่ดี แต่พอใจแล้วก้าวอยู่กับที่ แล้วจะไปสู้คู่แข่งที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างพอใจได้อย่างไร

ขณะเดียวกัน ในแง่การผลิตและการส่งมอบงาน
ในแง่ความต้องการก็ต้องตอบสนองในสามด้านไม่ให้ขาดให้พร่อง
คือสินค้า (ที่ลูกค้าต้องการ) เวลา (ที่ลูกค้าต้องการ) และจำนวน (ที่ลูกค้าต้องการ)
หลักเกณฑ์ทำส่งมอบทันเวลา (Just-in-Time) จึงลดทั้งปริมาณและการรักษาคลัง
สินค้าในพื้นที่ ส่วนเรื่องคุณภาพก็หาใช่สิ่งที่โตโยต้าละเลย
“Jidoka” ซึ่งเป็นพื้นฐานของ Built-in Quality จะช่วยประกันในคุณภาพหากมีสินค้า
ใดไม่ได้มาตราฐาน ทางเครื่องจักรก็พร้อมที่จะหยุดผลิต เพื่อสร้างมาตราฐานแบนด์
ของตัวสินค้าเอาไว้ สู่การยกระดับการผลิตในระยะยาว เชื่อมั่นในทัศนวิสัยด้วย
สายตามากกว่าคอมพิวเตอร์เป็นพื้นฐานหลักแต่อาจจะเสริมในเครื่องมือบางส่วน
ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบงาน

ว่ามาทั้งหมดนี้ โตโยต้าจึงเป็นพัฒนาเพื่อก้าวสู่องค์กรแห่งการ เรียนรู้
โดยผ่านการพิจารณาอย่างไม่รู้จบ (Hansei) และ ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Kaizen)
แต่ใช่ว่าจะมุ่งเน้นแต่เพียงปัจจัยเฉพาะภายในองค์กรเท่านั้น
การให้ความสำคัญกับกลุ่มพันธมิตรและผู้จัดส่งวัตถุดิบก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
ชี้ให้เห็นจุดของความสำเร็จและมุ่งก้าวเติบโตไปพร้อมกัน
นำมาซึ่งการร่วมกันบรรลุเป้าหมายที่วาดหวังเอาไว้
เรื่องแบบนี้ เราจะรับรู้ได้จากละครซีรีส์สไตล์ญี่ปุ่น ที่.........ดีทั้งที่ต้องได้ดีร่วมกัน
ดูไปก็เช็ดน้ำตาไป หาใช่ซึ้งใจจากละคร แต่สงสารประเทศไทยที่ยังก้าวไปไม่ถึงไหน
ยิ่งอ่านวิถีแห่งโตโยต้าเข้าให้แล้ว วิถีแบบไทยๆ คืออะไร ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้สักที




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2551 10:45:21 น.
Counter : 1533 Pageviews.  

ความสุขแบบตื่นเต้น (Excited Happiness)

คุณเคยมีความสุขแบบตื่นเต้นกับสิ่งง่ายๆในชีวิตประจำวันบ้างไหมครับ
ง่ายที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยาก (ซึ่งก็คือง่าย)
ราคาไม่แพง (จนถึงขั้นฟรี)
สามารถทำซ้ำได้แทบทุกวัน (และไม่มีวันเบื่อด้วย)
Italic
คำถามนี้ผมอาศัยความเสลอในเรื่องชาวบ้าน อันเป็นปกติวิสัยส่วนบุคคล
เพราะจะให้ไปนั่งถามคำถามแบบนี้ชาวบ้านชาวช่อง อาจถูกย้อนกลับมาว่า
"ก็ตอนที่ไม่ได้คุยกับแกไง"

ดังนั้น เท่าที่สังเกต (อีกแล้ว) เรื่องเช่นนี้ อาจเป็นเรื่องของความรู้สึก
ประมาณว่ารับรู้.................แต่..........ไม่ได้ใส่ใจ
เรื่องแบบนี้บางทีต้องอาศัยสายตาของคนอื่น แล้วหันมามองกับอีกฝ่าย
โดยที่อีกฝ่ายอาจสะดุ้งอุทานเล็กๆว่า

"เหรอ.........ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย"

ยายบางท่าน มีความสุขแบบตื่นเต้นกับการตักบาตรช่วงเช้า ที่ต้องลุ้นให้ปัจจยาหาร
เพียงพอกับพระ เณรที่เดินแถวบัณฑบาตรอย่างสำรวม
นักเสพข่าวบางท่าน มีความสุขแบบตื่นเต้นกับการโทรศัพท์ชิงรางวัลในรายการข่าว
ตอนเช้า ประเภทรู้คำตอบนะ แต่โทรไม่ติด
นักการเมืองหลายท่าน ออกตรวจราชการในหน้าที่ (อาจ) มีความสุขแบบตื่นเต้น ที่ไม่เจอ
ม๊อบมือตบส่งเสียงเจี๊ยวจ้าว..........เพราะอาวุธชนิดนี้ไม่อาจใช้เครื่องสแกน ตรวจวิเคราะห์อย่าง
ละเอียดได้
หรือ นักเขียนบล็อก มีความสุขแบบตื่นเต้น ที่บรรจงเรื่องราวในบล็อกส่วนตัว แล้วผ่านมา
สองสามชั่วโมงแล้ว ยังไม่เห็นมีใครหน้าไหนมาคอมเมนต์เสียที

ผมว่าทุกท่าน คงมีช่วงมีความสุขแบบตื่นเต้นคนละอย่างสองอย่าง ในแต่ละวันที่เราไม่รู้ตัว
หรืออาจรู้บ้าง แต่ไม่อาจแยกแยะ
เพราะพอได้แยกแยะแล้ว จะทำให้มันดูออกห่างเป็นส่วนหนึ่งที่แตกแยก
ก็ในเมื่อมันเป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน จะแยกวิเคราะห์ไปทำไม
คิดไปวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีอีก

ผมเพิ่งมารู้สึกว่า ตัวผมเองก็มีความสุขแบบตื่นเต้นจากเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันเช่นกัน
ดีใจจัง...............ที่ยังมีความสุขนี้แบบชาวบ้านที่เขามีกัน
ความสุขแบบตื่นเต้นของผมมันมาจากเรื่องบนท้องถนนในกรุงเทพ
ท้องถนนที่คนกรุงเขาว่าเป็น "นรกบนดิน"
เรื่องที่ผมจะเล่านี้ คือ รถเมล์เพื่อประชาชน

รถเมล์เพื่อประชาชน เป็นชื่อที่แสนจะเป็นทางการ (เสียจนบางท่านอาจมองว่าเสียดายงบ
ประมาณชาติบ้านเมือง ที่ตอ้งมาลงทุนตัดสติกเกอร์ติดพล้างบนหัวรถหน้ากระจก)
เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เขาจดจำสิ่งที่ง่ายกว่านั้น ซึ่งเข้าถึงคอนเซปต์ของเรื่อง
ว่า.........................."รถเมล์ฟรี"




ผมไม่รู้หรอกว่าจะเคยมีท่านผู้อ่านท่านใด เคยได้ลิ้มลองบริการรถเมล์ฟรีที่ว่านี้แล้วรึยัง?
ความจริงมันก็คือ รถเมล์ร้อนสีแดง-ครีม ที่วิ่งให้บริการในความรับผิดชอบของ
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เจ้าประจำของรัฐ
หากโบกรถตามป้าย ทุกอย่างก็แทบไม่ต่างจากการใช้บริการแบบเสียสตางค์ ๙ บาท
(ตามราคาปัจจุบัน) รูปทรงภายในก็เหมือนรถเมล์แบบเสียสตางค์ เก้าอี้ยังมีให้นั่ง
แต่ที่ยืนก็ยังมีให้มากกว่าเก้าอี้นั่ง
ยิ่งขึ้นชื่อว่า "ฟรี" ..........................โอกาสของการได้ยืนย่อมมีมากกว่าปกติธรรมดา

คิดดู................มีรถมาเบอร์เดียวพร้อมกันสองคัน คันหนึ่งติดสติกเกอร์ว่ารถเมล์เพื่อประ
ชาชน กับอีกคัน ที่ไม่ได้ติด
แม้คันที่ไม่ได้ติดจะมาก่อน และมีเก้าอี้ว่างมากมาย
เทียบกับคันหลังที่ติดสติกเกอร์ว่ารถเมล์เพื่อประชาชน แต่ผู้คนกระจุกตัวอัดเสียดเสียแน่น
คนส่วนใหญ่ก็พร้อมใจที่จะเลือกคันหลัง
เหตุผลไม่ต้องมาก
ก็เพราะว่ามันฟรีไง
กลไกราคาของมือที่มองไม่เห็น ได้ทำงานเรียบร้อยแล้ว
อีกอย่าง คงเข้าวิสัยลักษณะของคนไทยโดยส่วนใหญ่ ไม่ต้องคิดมาก แม้แต่ตอนผมไป
ดูคนชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตร ผมไม่ยังเคยเห็นคนต่อแถวซื้อของจากร้านค้า
ปกติ เพราะคำว่า "ต่อแถว"
มันได้ถูกย้ายไปอยู่ตรงจุดรับแจกของแม่ยกพันธมิตรเรียบร้อยแล้ว

รถเมล์เพื่อประชาชนนี้ มีขึ้นในสมัยของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "สมัคร สุนทรเวช"
นายกฯท่านนี้ แม้มีหลายเรื่องที่ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วย
อย่างน้อยๆ เท่าที่นึกได้ ก็เรือ่งไก่ต้มฟัก แล้วอย่างหนึ่ง
แกแนะนำให้ใส่น้ำปลา ๒ ช้อนโต๊ะ
แต่ผมว่ามันเค็มไป ช้อนเดียวก็พอ
แต่แล้วความสุขแบบตื่นเต้นของผมก็มีช่วงเวลา ไม่ต่างจากความสุขแบบโปรโมชั่นของ
โทรศัพท์มือถือ
เพราะจะให้บริการฟรีที่เป็นรถร้อน จำนวน 800 คัน ใน 73 เส้นทาง เป็นเวลา 6 เดือน
ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ถึง 31 ม.ค. ปี 2552 ความจริงแล้วมันอาจมีการขยายเวลาช่วง
การทดลองให้บริการต่อไปอีก เนื่องจากถ้าเราสังเกตจะมีพนักงานที่เรามักเรียกว่า
"กระเป๋ารถเมล์" ซึ่งผมก็มักแปลกใจเสมอ ด้วยในมือที่เขาถืออยู่ไม่ได้เรียกว่า
"กระเป๋า" แต่มันคือ "กระบอก"
ดังนั้นมันน่าจะเรียกว่า "กระบอกรถเมล์" มากกว่า

เวลาที่เขาท่านนั้น ประจำหน้าที่ในรถเมล์ฟรี เขาจะถูกเปลี่ยนสถานะจากพนักงานเก็บตังค์
มาเป็น "เจ้าหน้าที่ R&D"
R&D ถือเป็นศัพท์ในภาษาการตลาด ที่มีความหมายเต็มว่า Research and Devolpment
แปลตรงตัวไม่ต้องอ้อมค้อม คือ วิจัยและพัฒนา
แต่เมื่อมาสู่บ้านเรา ศัพท์นี้ถูกมาแปลความหมายให้เหมาะสมกับสภาพงานและยถาอาชีวะ
R&D จึงกลายมาเป็น Research and Do it again คือ จดจำนวนผู้ขึ้นโดยสารบนรถเมล์ฟรี
แล้วทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

การนั่งรถเมล์ฟรี ถ้าคิดให้ดี ก็สามารถเชื่อมโยงกับธรรมะ ได้อยู่บ้าง
ทั้งความอดทน-อดกลั้น (พอแต่ละช่วงความถี่ของรถเมล์ฟรีที่นานแสนนาน)
ความวิริยะ อุตสาหะ (ที่ยอมสละรถเมล์เบอร์ที่ตอ้งการ เพราะหวังมากกว่านั้นเพราะมันไม่ฟรี)
การให้ทาน (เพราะคุณไม่มีวันนั่งอย่างสงบได้
ในเมื่อเด็ก สตรี คนชรา เขาเหล่านี้ก็ชอบของฟรี..........................ไม่ต่างกัน)
ผมจะรู้สึกรำคาญใจที่กลุ่ม องค์กรตลอดจนพรรคการเมืองพยายามอ้างตนว่า "ทำเพื่อประชาชน"
อย่างงั้น อย่างนี้ โดยที่ประชาชนไม่เคยวิ่งเข้าแต่อย่างใด ผิดกับการวิ่งขึ้นรถเมล์เพื่อประชาชน
(ถึงขั้นแย่งกันตกรถกันเลยก็มี)
เวลาที่ผมได้นั่งรถเมล์ฟรีมาทำงาน ผมมักถูกสาวออฟฟิคหยอกล้อเปรียบเทียบว่าเป็น
"พ่อพระ"
ไอ้ตอนแรกก็คิดว่า เป็นคำชื่นชมที่ผมลุกเก้าอี้ให้เด็กนักเรียนได้นั่ง
แต่ตอนหลังมารู้อีกทีว่าเป็นคำเสียดสี
กล่าวคือ ทำตัวเหมือนพระ เพราะ ได้สิทธิ์นั่งรถเมล์ฟรี
ซึ่งผมก็ได้แย้งญัตตินี้ในภายหลัง ว่า อย่างไง๊อย่างไง ......................... ก็ไม่จริง
ตอนขึ้น....อาจใช่ แต่ถ้าต่อรถเมล์อีกเที่ยวที่เป็นรถปรับอากาศ
พระยังได้นั่งฟรี แต่ผมนั่น.........................ไม่
แม้จะบอกกระเป๋ารถเมล์ว่า "เป็นเด็กวัด"
ก็อย่าหวังว่าจะได้อภิสิทธิ์นั้นตามมา


แต่สุดท้าย (แล้ว) ความสุขแบบตื่นเต้นก็หาใช่จากการนั่งรถเมล์เพียงอย่างเดียวไม่
เพราะอย่างนั้น เรียกได้แต่เพียงว่า................ความสุข
แต่เกิดจากการเริ่มต้นขึ้นรถเมล์ฟรี แล้วก็ได้ต่อรถเมล์ฟรีในอีกเที่ยว
จากนั้นพอขากลับ ยังจะได้ขึ้นรถเมล์ฟรีในตอนท้ายในที่สุด
ถ้าขาไพ่ ก็ต้องเรียกว่า ป๊อกเก้าสามเด้ง กินรอบโต๊ะ
แต่ภาษารถเมล์ คงต้องเรียกว่า มาและไปไม่เสียสักบาท
เงินแค่นี้อาจไม่มาก แต่ถ้าไม่เสียก็คือ..........ความสุข

ความสุขแบบตื่นเต้น

แต่ก็ใช่ว่าทุกวันจะมีความสุขเช่นนี้ เพราะโอกาสอย่างนี้มีน้อยราย
ส่วนใหญ่มักคลาดแคล้วในสิ่งที่หวัง
ประมาณว่ารอจนสุดทน ประชดขึ้น รถเมล์ปอ. หันหลังกลับมารถเมล์ฟรีจี้หลังมาติดๆ
ที่สำคัญเก้าอี้ว่างตึม และวันนั้นรัฐมนตรีคมนาคมเข้าพบเจ๊เกี้ยวเพื่อขออนุญาต
ปรับราคาค่าโดยสารกิโลเมตรละสองบาท
ดังนั้นบางความสุขนอกจากรอคอยโอกาสแล้วยังต้องมีบุญญาวาสนาเป็นเครื่องประกอบ
ชีวิตด้วย
ว่าแต่ว่า.................พวกท่านมีความสุขแบบตื่นเต้นเป็นของตัวเองแล้วรึยัง?




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2551    
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 15:54:44 น.
Counter : 771 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.