A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
วันที่ไม่มีหน้าให้สู้โลก


ผู้เขียนไม่ใช่อินทรีย์แดง ไม่ใช่แบทแมนหรือวีรบุรุษคิกแอสเตะก้นชาวบ้าน
อีกทั้งไม่ใช่อดีตนักรบพระเจ้าตาก ที่สุดท้ายแปลงมาเป็นสมุนนักรบโรนิน
ตามคำกล่าวอ้างของคุณเสธ แดง ผู้วายปราณ
ผู้เขียนก็ยังคงเป็นผู้เขียน ที่มักถูกถามจากอดีตเพื่อน
ที่ทุกวันนี้ จะมีคำขู่ออกมาฟอดๆว่า "ชีวิตนี้จะมีรูปจริงอัพบนเว็บบ้างรึไม่"




ถ้าไม่เจอะประโยคตอกแบบโดนๆ เข้าแล้ว
บางทีต่อจากนี้ทั้งชีวิต ผู้เขียนเองก็อาจจะไม่เคยหวนคิดเลยว่า
การที่ไม่เคยปรากฎรูปภาพถ่ายตัวเป็นๆ ชนิดใบหน้ายังพอครบอวัยวะ
ที่ลดสัดส่วนสามสิบสอง เหลือเพียงไม่กี่ส่วน
จะเป็นของสงสัยของอีกฝ่ายที่กล่าวอ้างด้วยความไม่เข้าใจในตัวเรา
ซึ่งไอ้ความไม่เข้าใจนี้ แม้แต่ตัวเราเองลึกๆแล้วก็ไม่ค่อยและไม่เคยจะเข้าใจเช่นกัน
ดังนั้น หัวข้อนี้จึงถูกทำขึ้น เพื่อพินิจพิเคราะห์ประเมินผลสภาพจิตของตัวเอง
ซึ่งนานๆจะเกิดขึ้นสักที เพราะนมนานกาเลนี้
ล้วนถูกจัดทำขึ้น เพื่อสนองความเข้าใจในตัวผู้อื่นแทบทั้งสิ้น
การไม่มีรูปถ่ายใน facebook,twitter,hi 5,MSN,Private Blog
Picaxa.Google,Yahoo ตลอดจนภาพหลุด คลิปรั่วใดใดทั้งหลาย
จะเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายรึไม่ อันนี้ผู้เขียนว่า "ไม่"
แต่ถ้าความรู้สึกผิดที่ขัดใจผู้อื่นนี้ อันโน้นผู้เขียนก็ไม่อาจเลือกความรู้สึกเดียว
กับคำตอบทางข้อกฎหมายได้ รู้เพียงอย่างเดียวว่าเป็นธรรมชาติของการ "ไม่ขึ้นกล้อง"
ที่อาจเป็นปมปัญหาในวัยเด็ก หรือคติความเชื่อเรื่องภาพถ่ายดูดวิญญาณ
ที่ญาติลูกพี่ลูกน้อง เพื่อนข้างบ้าน มักจะเอามา "เล่าขู่กันฟัง"
จนติดเป็นสภาพหล่อนที่ฝังใจใน "จิตใต้สำนึก" ถ้าถึงจุดยากนั้นก็ยากหน่อย
เพราะแม้ "จิตสำนึก" ก็เป็นสิ่งที่เพื่อนร่วมงานทั้งหลาย
เรียกร้องการมีอยู่ในเวลาทำงานกลุ่มส่งอาจารย์ มาแต่ไหนแต่ไร





นึกย้อนอดีตชาติ ทั้งๆที่วัยก็ไม่ค่อยอำนวยให้เข้าข่ายให้รำลึกถึง
ความสุขจากภาพถ่ายครั้งสุดท้าย ชนิดที่ "ถ่ายปุบ"
พอล้างพิมพ์ตีแผ่ ก็ "เก็บเงินปับ" ตามประสาคนยุคนั้น
ด้วยฟิลม์ม้วนอันจำกัดจำนวน การถ่ายภาพจริงไม่ใช่เรือ่งเล็กๆ
ที่จะยิงแบบสแนชฟิลม์ ชนิดที่ยิงรัวไม่ยั้ง กะเอาชัวร์สักภาพ
เพราะในทุกๆหนึ่งคลิก มันมีต้นทุนการกดแฝงประกอบราคาอยู่เสมอ
คนที่จะได้รับเกียรติ์ให้มีส่วนร่วมในการถ่าย แต่ไม่มีส่วนร่วมภายในภาพ
ถือเป็นการสละชีพที่มีเกียรติ์แบบเป็นส่วนเกิน ที่นอกจากใจถึงเอามากๆ
ยังต้องมี มือที่นิ่งจริงๆ เพราะเทคโนโลยีสมัยนั้น การสั่นไหวแม้เพียงปลายก้อย
ก็อาจสร้างความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในเฟรมของหมู่คณะ
ไม่แพ้การสั่นไหวของ Butterfly Effect ที่หนึ่งกระพรือ
ก็ตายหมู่กันทั้งภาพ ไม่แน่ใจว่าผู้เขียนถูกบังคับให้ได้เกียรติ์นี้สักกี่ครั้ง
แต่เท่าที่จำความได้ ดูเหมือนจะได้รับการเกี่ยงงอนแบบถนอมฝีมือ
จากความไม่มั่นใจของหมู่คณะ ด้วยพฤติกรรมปล้ำๆเป๋อๆติดตัวมาแต่เกิด
แม้แต่ยามที่สลับกันเป็นช่างถ่ายแบบเวียนคน คือ การสลับกันเป็นคนถ่าย
เพื่อเฉลี่ยการเข้าถึงภาพในสัดส่วนไล่เลี่ยกัน พอถึงตาที่ผู้เขียนเป็นช่างถ่ายทีไร
เพื่อนมันก็มักจะหวั่นใจ ไหว้วานคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแม้่ไม่รู้หน้าคาตา
แทนที่จะเชื่อใจผู้เขียน แต่ใช่ว่าเพื่อนมันจะไม่เห็นค่าความสำคัญของเรา
อย่างน้อยๆ ก็มีลูกกำชับตามมาว่า
"ถ้ามันวิ่งเอากล้องไป มึงต้องเป็นคนแรกที่วิ่งตามนะเฟ้ย"





ดังนั้น เท่าที่พอสรุปได้ตามมา คือ
ผู้เขียนในวัยเด็ก ยังมีความสุขกับการถ่ายรูปเข้าเฟรม
ปกติเหมือนกับคนทั่วไป มิได้รังเกียจเดียดฉันท์การเดินเฉียดกล้อง
เหมือนกันกับปัจจุบัน ซ้ำบางทียังมีการแกล้งเดินย่อง
แว้บโผล่ข้างหลัง เอามือปิดกล้อง สรุปง่ายๆ เลย
คือทำทุกวิถีทาง เพื่อจะได้มีส่วนรว่มแบบจะไม่ได้มีหนังสือชี้ชวน
หรือกวนตีนเพื่อความสุขใจ แล้วอะไรทำให้การเข้ากล้อง
กลายเป็นเรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง แฟลชไม่เข้าคายไม่ออก
แม้แต่หนังไทยแบบผีขี่คอ อย่าง "ชัตเตอร์" ที่ว่ากันว่า
ทำให้อัตราการเข้ากล้อง เป็นระยะขยาดของใครหลายคน
ลูกขยาดส่วนนั้น ก็เกิดขึ้น ช้าไปกว่าลูกขยาดเกิดผิดที
ที่ไปเกิดขึ้นแบบสิงสถิตย์ติดใจไม่ยอมคลายในความรู้สึกของผุู้เขียน
มานานกว่าหลายปี





ในการบำบัดแบบอัตตาหิ อัตโน โฟโต้
คือ การพึ่งตัวเองในความเข้าใจเรื่องกล้องๆ นั้นดีที่สุด
สิ่งสำคัญที่พอจะชี้แนะเข้าทางให้พอคลำได้ จุดที่น่าจะเป็นรอยต่อ
ของจุดเปลี่ยนในชีวิต ที่ทำให้ชีวิตของการเป็นนายแบบ
ดารานักแสดง นักร้องหน้าจอ หรือ เอเอฟวีสิบแปด
ต้องกลายเป็นมลทินที่เลื่อนลอย จุดที่น่าศึกษาและคาใจแบบที่ส่งเสียงโย้ะ
น่าจะเป็น "ความสุขครั้งสุดท้ายของการถ่ายภาพ"
อันนี้วัดจากอะไรนะเหรอ "รอยยิ้ม" อย่างไรละครับ
รอยยิ้มอย่างเต็มใจ ที่ไม่ต้อง หนึ่ง สอง ยิ้ม หรือ กินชี้สส์คำยาวๆ
แน่นอนครับ ความสุขของชีวิตอาจจะมีหลายครั้ง
แต่มีบางครั้งที่นึกทีไรก็ผุดขึ้นอย่างฉับไวเหลือเกิน
หนึ่งในความสุขครั้งนั้น ที่เกี่ยวเนื่องกับการถ่ายภาพของผู้เขียน
คงคล้ายกับหลายๆคน เป็นในสมัยปัจฉิมศึกษาของช่วยมัธยมปลาย
ตอนนั้นเป็นช่วงทัศนศึกษาในต่างจังหวัด
ความดีส่วนหนึ่งของความเป็นเด็กต่างจังหวัด คือ การมองจังหวัดใดใด
ก็ไม่เคยกล้าเรียกว่า "ต่างจังหวัด" เพราะคำว่า "ต่างจังหวัด"
เป็นคำตั้งต้นในภูมิลำเนาในจังหวัดของตนเองเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว
สมัยนั้น กล้องอาจจะไม่ใช่สินค้าที่แลดูฟุ่มเฟือยเท่าไรนัก
เพราะมันไม่ได้มีเส้นวัดของความเป็น "พิกเซล" ที่เป็นข้อแตกต่างของราคา
เหมือนกันกับยามปัจจุบัน แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลอย่างที่ได้กล่าวข้างต้น
มันเป็นเรื่องของ "ราคาฟิลม์" และ "ค่าอัดล้าง" ที่ถือเป็นราคาโดดๆ
แบบอย่างไรก็โดน อันนี้ยังไม่รวมค่าจัดส่งไปถึงประตูบ้านเพือ่น
แบบผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียน มิใช่แนบไฟล์ผ่านอีเมลล์ดัง่สมัยนี้
เพราะความที่เพื่อนส่วนใหญ่ ก็ล้วนเป็นเด็กต่างจังหวัด
ที่เข้ามาเรียนในต่างจังหวัด ไม่ได้ยึดโยงความเป็น "กรุงเทพ"
ที่เลยขอบเขตปริมณฑลหน่อย ก็กลายเป็นเด็กต่างจังหวัดซะเเล้ว





การเข้ามากรุงเทพครั้งแรก โดยที่ไม่มีพ่อแม่ห้อยท้าย
จึงเป็นอิสระที่ปล่อยดะทุกแชะ ตั้งแต่ปลายหลักกิโลที่มีคำว่ากรุงเทพ
ไปจนถึงในห้างสรรพสินค้า ที่เป็นประสบการณ์แรกแบบอบรมสั่งสอนว่า
"ในห้าง เขาไม่ให้ถ่ายภาพกัน" ดีนะ ที่ยามท่านนั้นใจซื่อ
เพราะถ้าบอกว่า จะยึดของกลางซึ่งเป็นกล้องถ่ายรูปไปด้วย
อันนี้ ก็คงยอมจำนนไปตามๆกัน
ผู้เขียนจำได้เลยว่า ในทุกช๊อตขอให้ได้มีเอี่ยวในเฟรม
แบบที่ให้เกี่ยวคอ ลอดใต้ว่างขา หรือชูสองนิ้วแบบมีเขาให้ท่าน
ก็เสลอในทุกๆกรณี แบบแต่การ "ฉายเดี่ยว"
ก็เป็นการสบยอมกระทำแต่โดยดี มันสะท้อนถึงความสุข
ภายใต้หวงแห่งบรรยากาศของมิตรภาพแบบร่วมเขาลงโรง
พร้อมจะตายด้วยกันแบบวัยเด็กมัธยม "คลั่งเพื่อน" มากกว่า "คลั่งชาติ"
จึงเป็นการถ่าย ที่ระดมความผิดให้กับผู้อื่นไปเรือ่ย
แบบถ่ายไม่ดีก็โทษเพื่อนที่ถ่าย หรือเก็กหมู่อยู่ดีๆก็โทษเพื่อนตัวอ้วน
ว่าถ่ายเทน้ำหนักของภาพ จนไม่สมดุล
มันเลยเป็นบรรยากาศของการมีส่วนรวมทั้งหมดโดยรอบ
ไม่ใช่แค่คนหนึ่งคนใด หรือจากเราเพียงคนๆเดียว
แม้แต่เพื่อนที่ไม่ได้แจม ก็ยังนึกถึงว่าดันไปเจ็บป่วยได้ไข้
หรือหนีโรงเรียนแบบไม่ทำการบ้าน ว่าวันนี้มีถ่ายรูปหมู่ยกชั้น
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แม้แต่เอาภาพไปก่อนแล้วไม่ยอมจ่ายตังค์
ก็ยังคงเป็นเรือ่งเม้าท์ประนามกันชั่วชีวิตการศึกษา แบบที่มีหน้าตอบโต้ว่า
"ถ้าจ่ายดีๆซะ อีกหน่อยต่อไปก็ลืมกูกันพอดี"
ซึ่งถ้าไอ้หมอนี้ เลือกไปเป็นหมอดู ก็ถือว่ามันแม่นเอาการ






หลังจากหมดช่วงนั้นไป สถานภาพมัธยมศึกษากลายเป็นสิ่งสิ้นสภาพ
ความสุขจากการถ่ายภาพก็ลดน้อยถอยลงไป
ไม่ว่าจะภาพถ่ายมหาลัย รับน้อง ร่วมคณะ ออกค่าย
รับปริญญา วันบวช วันโกน ถ่ายตู้สติกเกอร์ งานบริษัท
ก็กลายเป็นยาขม (ขื่น)) ที่เลี่ยงได้ก็อยากหลีกเลี่ยง
แม้จะไม่ได้มองว่าเป็น "ส่วนเกิน" แต่ก็ไม่ได้ถือเป็น "ส่วนขาด"
อย่างที่เคยรู้สึกในสมัยมัธยมปลาย ถึงแม้จะถูกจับอัดถ่ายเป็นส่วนหนึ่งของภาพ
ก็มีความรู้สึกของการเป็น "สิ่งแปลกแยก" ที่ไม่น่าจดจำ
ซึ่งถ้านับกันจริงแล้ว ถ้าไม่นับอัลบั้มเพลงที่สมัยนี้ดาวน์โหลดกันเป็นยกล็อด
อัลบั้มที่ถือเป็นอัลบั้มรูปถ่ายจริงๆ แล้ว ภาพถ่ายช่วงมัธยมถือเป็นอัลบั้มสุดท้าย
ที่เก็บรักษาไว้อย่างดี และถูกเปิดซ้ำแบบข้ามช่วงเวลาที่ไม่คาบเกี่ยว
จากอัลบั้มไหนๆ จนรู้สึกอยากจะสต๊าฟหน้าตาเก็บไว้สวมทับกับความร่วงโรยตามวัย
ซึ่งอันนี้ อาจจะไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดที่ทำให้ขยาดต่อการถ่ายภาพเข้ากล้อง
แต่ทำให้กล้อง เป็นสิ่งไม่มีความสุขหากมีหน้าตาตนเองปรากฎ
และจะกลายเป็นสิ่ง "เสียของ" ที่สู้เอาไปถ่ายสิ่งแวดล้อมอื่น
ซึ่งดูคุ้มค่าของพลังงานที่เสียไปมากกว่า แม้แต่กรณีของกล้องดิจิตอล
ที่ถ่ายทิ้งเรี่ยราด แม้แต่ถาดข้าวที่วางอยู่ตรงหน้าในแต่ละมื้อ
สาบานได้ว่าแทบไม่เคยอุตริสักครั้ง ที่จะหยิบกล้องมาถ่ายกระจกแพงๆสักใบ
เพื่อขอให้สะท้อนไปสู่หน้าของตัวเอง
อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะครับ แต่เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่อาจไปสู้หน้ากระจกได้
หรือถ้าถูกถ่ายจริง ก็จะทำหน้าบ้าๆบอๆ ให้กล้องทำงานหนักขึ้น
เพื่อสง่เสริมความดูดีให้กับคนที่ร่วมชะตากรรมเคียงข้างในการถ่ายไป
จนบางทียังนึกไปว่า หากแต่งงานแล้วมีไฟล์บังคับภาพเจ้าบ่าว เจ้าสาว
จะขอรวบรวมภาพอื่นแทนตัว จากเหล่าไซเบอร์คอมูนิตี้ยูสเซอร์ทั้งหลาย
หรือหากเกิดตายวันใด ก็ขอให้ใช้ภาพจากบล็อกนี้แทนหน้าหลุมศพไปก่อนละกัน
หากวันหนึ่งวันใด นาซีซัสซินโดรมเกิดแพร่ระบาดแบบเชื้อไวรัสซอมบี้
นักวิทยาศาสตร์ชีวภาพ อาจจะมัดจับตัวไปสกัดเซรุ่มแก้อาการ
แต่กระนั้นก็ต้องแลกกับอาการข้างเคียง ซื้อของเซเว่นแล้วชอบทวงสติกเกอร์
หรือกินข้าวไม่ชอบใช้ช้อนกลาง ซึ่งเป็นกมลสันดานของผู้เขียนโดยตรง




แต่กระนั้น มันก็มักทำให้ผู้เขียนเป็นปลื้มเวลาที่ถูกเพื่อนเก่าทักว่า
"ดูดี กว่าที่เห็นในจอสักอีก" (ซึ่งก็อมยิ้มตามแผนที่วางไว้ตามระเบียบ)
แต่ไม่วายก็โดนกระแหนกระแหน่ว่า

"เออเข้าใจแล้ว ก็เพราะแก่งักอย่างนี้นี่เอง"




Create Date : 07 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2553 12:18:24 น. 3 comments
Counter : 661 Pageviews.

 
สวัสดีครับ มาฟัง เพลง ปอดแหก ของพี่ป้างกันครับ ทีเด็ดอยู่ตรง MV ครับ


โดย: MaFiaVza วันที่: 7 พฤศจิกายน 2553 เวลา:1:52:51 น.  

 
--- อรุณสวัสดิ์ค่ะ

--- เปิ้ลก็ถ่ายรูปไม่ขึ้นกล้องค่ะ

--- ไม่ชอบถ่ายรูปตัวเองเท่าไหร่

--- แต่ชอบถ่ายทุกสิ่งอย่างรอบตัว

--- นานๆทีจะหันกล้องหาตัวเองซักครั้ง

---วันนี้อาทิตย์ วันหยุดอย่างนี้ไปเที่ยวไหนรึป่าวค๊ะ

--- ขอให้สนุกนะคะ

--- มีความสุขทั้งวันนะคะ


โดย: luckiezgalz วันที่: 7 พฤศจิกายน 2553 เวลา:6:08:35 น.  

 


โดย: ฟ้าสางที่ปางสวรรค์ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:25:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.