A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

it's not about a coffee แต่ผมว่าพี่กำลังขายกาแฟอยู่นะครับ



แทบไม่ได้แตะหนังสือหนังหามาอ่าน หลังจากในระยะหลังมี
กิจกรรมนอกกระแสให้ได้ถ่างตาดู ข่มตานอนอย่างฟุตบอลยุโร
(ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชาวเอเชียหัวเหลืองอย่างเราเลย) ไหนจะต้อง
แบบเวลาให้กับหน้าที่การงาน ซึ่งงานก็คือต้นน้ำของเงินที่ทำให้เรา
ใช้จ่ายอย่างออกนอกหน้า ในสภาวะที่ผมงอนงาน ทางออกของผม
ถ้าไม่ฟังธรรมเพื่อพิจารณาแก่นสารที่แท้จริงของชีวิต อ่านงานอดีตสุโขทัย
เพื่อหลีกหนีชีวิตทุนนิยมสมานย์เข้าสู่โลกแห่งอุดมคติสากล สิ่งหนึ่ง
ที่เป็นทางเลือกแบบที่ตั้งใจเลือก คือ การหาหนังสือมาอ่านจากกอง
หนังสือหมักดองที่จ่ายตังค์ไปก่อน บ่มให้พอสมควรในกองลัง แล้ว
ค่อยขุดคุ้ยมารับประทานเป็นอาหารสมองเพื่อค้นหาหลักการชีวิตและ
แง่คิดบางประการ ในอันจะสร้างสัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะ สู่การคิดดี
มีประโยชน์ในอันที่จะแจกจ่ายเป็นขวัญกำลังใจแก่มิตร (แล้วบางทีก็เอาไว้
ข่มเจ้านายที่ชอบทำเป็นศัตรูว่า"โลกนะ เขาไปถึงไหนกันแล้วครับ หัวหน้า!)

เลือกหนังสือจำนวนหน้าน้อยๆ เพราะต้องเก็บพลังงานบางส่วนให้กับสองคู่
ของฟุตบอลยุโรคืนนี้ หนังสือที่ตั้งชื่อได้สับสนอลหม่านว่า"It's Not About the Coffee
: Leadership Principles from a Life at Starbucks เขียนโดย Howard Beharที่สับสนตรงที่ พี่อย่าปฏิเสธเลยว่าพี่คนเขียนไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการทำกาแฟ
เพราะตำแหน่งพี่Howard Behar คือ ประธานสตาร์บัคภาคพื้นระหว่างประเทศ
(former president of Starbucks Coffee Company International) ใครที่จำนาย
Howard Schutte ในฐานะผู้กำเนิดสตาร์บัค แต่ถ้าเรื่องบริหารงานทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะเรื่องทรัพยากรบุคคล ต้องยกให้นายคนนี้เป็นหลัก ด้วยก้าวแรกที่
เข้าเหยียบประตูเข้าทำงานสตาร์บัคก็ตั้งแต่ปี 1989 ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักหรอกว่า
สตาร์บัคกำลังขายอะไร ขายดาว ขายกวาง ก็หาได้ทราบไม่? (แม้ชื่อจะออกเป็นอย่างนั้น)
ไม่ลืมว่าธุรกิจร้านกาแฟ ปีต้น90นั่น มีด้วยกันอยู่หลายเจ้ามิใช่น้อย อย่าง94 Degreesเอย
Black Canyon เอย ไหนจะกาแฟอาแปะหน้าออฟฟิคมากมายหลายเจ้า ทำไมสตาร์บัค
จึงครองใจผู้คนได้กว่าค่อนโลก อะไรคือความแตกต่างแง่ธุรกิจเครื่องดื่มกาแฟ
ในแง่ที่หลุดกรอบข้อจำกัดที่โดนใจผู้คนต่างวัฒนธรรม ต่างประเทศได้
หนังสือเล่มนี้บอกได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่พอเห็นทิศทางเหลาๆว่า เราก็น่าเอาจุด
ปรัชญาของหนังสือเล่มนี้มาประยุกต์เข้ากับธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่ได้ (แต่ได้แค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง)



นาย Behar เล็งเป้าการทำธุรกิจร้านกาแฟจากพื้นที่โซนเหนือของอเมริกาเป็นอันดับแรก
ตอนนั้นที้แกยังเป็นแค่vice president of sales and operations จาก28ร้านตั้งไข่มาสู่กว่า400กว่าร้านในปัจจุบัน งานนี้ถ้าไม่มีนางควักลงอาคมชั้นดี นายคนนี้ก็ต้องมีดีกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหนๆหลังจากลองไล่อ่านไปบท สองบทแล้วข้ามไปอ่านบทจบจนย้อนกลับมาอ่านบทสาม สรุปได้
อย่างเมาฤทธิ์คาเฟอีนอยู่หน่อยๆว่า นายคนนี้มีดีที่การ"ปลูกฝังคน" หมายถึง สร้างทรัพยากรมนุษย์
ยอดนักบริการชั้นเลิศมากกว่าที่จะเน้นผลิตภัณฑ์ตัวเมล็ดกาแฟ ที่พูดไม่ได้หมายความว่ากาแฟ
เขาไม่ดีนะครับ (แต่แพงชิบ..) ลองย้อนไปสักสิบปีแล้วมีกระทาชายนายหนึ่งบอกว่า เราจะขาย
กาแฟร้อยสองร้อยกว่าบาทในกรุงเทพ คุณจะหาว่าหมอนี้บ้าไหม? แต่สุดท้ายก็มีธุรกิจกาแฟที่
ทำสำเร็จ สามารถทำให้ร้านกาฟกลายเป็นบ้านหลังที่สาม รองมาจาก บ้านจริงและที่ทำงาน
(ไม่รวมบ้านเล็กบ้านน้อยนะครับ) นายBehar แทนที่เริ่มต้นจะมาคำนวนกำไร ต้นทุนธุรกิจที่
จะเริ่มลงทุนตั้งเสาเอก แกเอาเวลาทั้งหมดในช่วงแรกเขียนสมุดพกเล่มเล็กอันเป็นคู่มือพนักงาน
(เหมือนสมุดปกแดงของเหมาเจอตุงปานนั่น)โดยแกตั้งชื่อให้มันว่า The Green Apron Book
เป็นคู่มือปฏิบัติงานของพนักงาน (ผมว่าแล้วว่าทำไมบริษัทถึงให้ผมทำคู่มือแจกพนักงานบริษัท
สงสัยมีคนพยายามเลียนแบบสตาร์บัคนี้เอง นายBehar ชื่อในความสำคัญพนักงานในฐานะที่
มากกว่าผุ้ถือหุ้นบริษัทเสียอีก ด้วยคนเหล่านี้เวลาเห็นบริษัทขาดทุนมันก็จะถอนเงินลงทุนไป
แต่พนักงานมันคือเครื่องดำรงเลี้ยงชีวิตตัวเองและครอบครัว พร้อมยอมรับความลำบากในเวลา
ที่บริษัทประสบปัญหาและเข้าใจในสถานการณ์ในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติจริง พนักงานจะเป็นผู้ที่
สร้างความผูกพันธ์ (เพราะกำเงินเป็นคนแรก) และเมื่อลูกค้าหวนกลับมา สิ่งที่เขาจดจำคือ
ร้านกับหน้าตาของพนักงานที่เคยให้บริการเขาเหล่านั้น สมุดThe Green Apron Book
จะเป็นเครื่องปฏิบัติและพัฒนาบุคลิก ความสามารถของพนักงานเพื่อให้เข้าถึงใจของลูกค้า
และรู้ถึงความต้องการของลูกค้าแต่ละคนว่ามีรสนิยมต่อสินค้าประเภทไหนๆเพื่อสร้างเชิง
ประสบการณ์ร่วมของการบริการ โดยยกให้เป็นอันดับหนึ่งมากกว่าการเน้นเรื่องสินค้ากาแฟ
ซึ่งที่ไหนๆเขาก็มีกัน (แต่ทำไมสตาร์บัคมีมากกว่าร้านกาแฟอื่นเป็นหมื่นชนิด และในบางเขตของ
ภูมิภาคโลกที่เราไม่คิดว่าจะมีคนทานกาแฟ...ผมตั้งคำถามกันนายBeharoนะครับ)

Behar เสนอหลักการผู้นำ 10 ข้อ อันประกอบด้วย
1) Know who you are
2) Know why you're here
3) Think independently
4) Build trust
5) Listen for the truth
6) Be accountable
7) Take action
8) Face challenge
9) Practice leadership
10) Dare to dream

การอธิบายหลักการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหนังสือHow toเล่มอื่นๆก็กล่าวไว้ไม่ต่างกัน
แต่จะต่างตรงที่ผู้บริหารโดยตรงจากร้านกาแฟอันดับหนึ่งของโลก (ที่สามารถเอาร้านไปวาง
ใกล้จัตุรัสเทียน อัน เหมิงได้) แต่นายBehar สามารถนำเอาหลักการเหล่านี้มาเล่าแบบสั้นๆ
ได้อย่างมีชีวิต ชีวา สะท้อนความเป็นนักบริการด้วยใจที่มาจากก้นบึ้ง ทั้งที่มันก็แค่หลักบริหาร
ตัวต้นโดยทั่วไป (principles for self-development) เพราะแม้คุณจะปฎิบัติหลักการเหล่านี้อย่างเคร่งครัด แต่สิ่งเหล่านี้มิใช่บทสวดแต่เกิดจากปรัชญาของการเข้าถึง เข้าใจและทำงานอย่างหนัก นายBeharกล่าวอย่างติดตลกว่า เขาไม่ได้แข่งขันกับใครเพียงแต่เข้าถึงหัวใจของ
สิ่งเหล่านั้น ใครมันจะบ้าวิเคราะห์คู่แข่งก็ช่างแ-งประลัย เอาเวลามาใส่ใจความต้องการของ
ลูกค้าไม่ดีกว่าเหรอ ตกลงหนังสือเล่มนี้ ไม่มีสูตรการทำกาแฟ ไม่ได้เล่าถึงการแสวงหาแหล่ง
เม็ดกาแฟที่มีคุณภาพจากซีกโลกที่สามที่ราคาถูกกว่า ไม่เอ่ยถึงคู่แข่งทางธุรกิจสักบริษัท
แต่เอ่ยถึงความยากลำบากและอุปสรรคในฐานะเป็นเครื่องสะท้อนการได้มาของการเป็นอันดับ
หนึ่งนั้นไม่ได้ด้วยโชคชะตาแต่เป็นเพียงใช้ใจเชื่อมใจ ใช้บริการเชื่อมบริการ อ่านไปก็เจอ
คน คนและก็คน (เดินชนกันไปหมด) อ่านเขียนเราจะได้พบกับคำว่า sincerity humane
sensible loyality ในฐานะที่เมืองไทยยังเหลือความเป็นเมืองยิ้ม มิตรภาพ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ช่วยเหลือแบ่งปันและเป็นเมืองพุทธ (กว่าแปดสิบเปอร์เซนต์) หนังสือเล่มนี้กำลังบอกสิ่งที่
เข้าทางวิถีชีวิตไทยๆและมีหลักพรหมวิหารเป็นสิ่งที่สอดรับได้ดี ผมไม่รู้ว่านายBeharจะเคยศึก
ษาพุทธศาสนาสักกี่มากน้อย แต่หนังสือเล่มนี้มันทำให้นายBehar ดูเป็นคนที่มีเมตตาต่อเพื่อน
มนุษย์เสียจริงเชียว......


ขอบคุณส่วนวิจารณ์คร่าวๆจาก ..www.amazon.com //www.wigipedia.org และ//www.gotomanager.com/books/

ภาพโดยwww.amazon.com
//www.moleskinerie.comและ///i125.photobucket.com/albums/p80/pinkyhorse/




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2551    
Last Update : 14 มิถุนายน 2551 22:37:57 น.
Counter : 761 Pageviews.  

ขุดๆคุ้ยๆ ในกล่องไปรษณีย์สีแดง




"ฉันจะนับวันและนับคืน และจะคิดว่า เอาละ จดหมายของฉันจะเดินทางไกลถึง

๑๕๐๐ กิโลเมตร จากเกาะพงันไปเชียงใหม่ ฉันนึกถึงการเดินทางอันยาวไกล

ของมัน มันต้องลงเรือข้ามอ่าวไทยขึ้นฝั่ง จากนั้นมันจะขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพ ต่อรถไฟอีก

ขบวนเพื่อไปเชียงใหม่ มันอาจจะไปพักอยู่ที่ทำการไปรษณีย์ที่ไหนสักแห่งในเมือง

แล้วนายไปรษณีย์หน่มผู้แข็งขัน ก็จะพามันไปถึงประตูบ้านของแกเลยทีเดียว

และมันจะบอกกับแกว่า "สวัสดีดากานดา ฉันเดินทางมาถึงแล้วนะ”



เป็นหนังสือเล่มผอมเพรียวพอประมาณ หลังจากที่จบน้อยเล่มนักที่จะสร้างแรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง
ให้อุตริคิดทำตามแรงสร้างสรรค์ของนักเขียน ที่บอกเล่าเรื่องราวเล็กๆแสนธรรมดา ให้มีมุมมองใหม่อีกด้านในภาคการปฎิบัติจริง มากกว่าเป็นเพียงแค่ทฤษฎี หนังสือเล่มที่ว่า คือ กล่องไปรษณีย์สีแดง

หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปพบกับเรื่องราวของรักใสๆ ที่เดินทางไกลถึง 1,500 กิโลเมตร จากทะเลถึงภูเขา เรื่องราวที่เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของคนทั้งสามในรูปแบบตัวหนังสือ ผลงานการประพันธ์ของ "มีน" อภิชาติ เพชรลีลา หรือในนามจริงว่า สุรฉัตร เพชรลีลา เป็นผลงานรางวัลพิเศษนายอินทร์อะวอร์ด ปี 2543 ว่าด้วยเรื่องราวความรักระหว่างเพื่อนถึงเพื่อน ตีพิมพ์ครั้งแรกและครั้งที่สองในปีเดียวกับที่ได้รับรางวัล ด้วยตัวละครที่แจ่มชัด โลดแล่น มีชีวิตชีวา ชื่อของสองเพื่อนซี้ ดากานดา และ ไข่ย้อย จึงเริ่มเป็นที่แพร่หลายในแวดวงเวทีเสวนา กระทู้ต่างๆ และเป็นที่โดนใจ “คมกฤษ”ตรีวิมล หนึ่งใน 6 ผู้กำกับหนัง "แฟนฉัน" เข้าอย่างจัง และได้กลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง "เพื่อนสนิท" ที่กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวของหนังสือเล่มนี้ในขณะนี้





เป็นหนังสือที่สะดุดตาตั้งแต่รูปเล่มภายนอก ส่วนเนื้อหาภายในก็กินใจเป็นส่วนๆ
อาจถือเป็นงานเขียนประเภทฝันกลางวันข้างเดียว คิดไปเองนั้นโน่นนี้ แต่คิดแบบนี้ก็ดีไปอย่าง เพราะมันคิดง่ายไม่ต้องง้อว่าอีกฝ่ายต้องหันมาคิดตามเรา หนังสือเล่มนี้ซื้อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๓ ผมคงขอข้ามที่จะพูดถึงหนังที่ถูกทำจากหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีเพียงแต่ภาพที่อ่านกับสิ่งที่เห็นจากจอภาพยนตร์มันคนละอารมณ์
กับสิ่งแรกที่จินตนาการไว้ เมื่ออ่านจบครั้งแรก

หลังจากนั้นก็มีงานอื่นๆของนักเขียนคนเดียวกัน เช่น นกดวงจันทร์ อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง หนึ่งปีของชีวิต แต่ก็รู้สึกเอาเองอีกว่าไม่มีงานไหนเทียบได้กับกล่องไปรษณีย์สีแดง ในแง่ความง่าย ที่จะเข้าใจความเรียบง่ายของการเล่าเรื่อง และสร้างมิติทางมุมมองได้กว้างจนไร้เส้นระยะทาง อ่านแล้วเชื่อว่าภาพของไข่ย้อยของแต่ละคนคงมีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันไป บางคนอาจมองไข้ยอ้ยเป็นคนที่เกียจคร้าน บางคนก็ว่าขี้อ้าย บางคนก็เชื่อไปว่าหมอนี้มีเลือดศิลปินสูบฉีดพอที่จะแก้ผ้ากลางทะเลได้ แต่เมื่อGTHนำมาสร้างเป็นหนัง ภาพเหล่านี้คล้ายได้สรุปไปเรียบร้อยแล้ว ขอบอกอีกครั้งว่า”หนังดี” แต่ถ้าไม่มีหนังมาแย่งพื้นที่การจดจำ นายไข่ย้อยคงมีสีสันในใจตราบนานเท่านาน

ลืมบอกผลกระทบของหนังสือเล่มนี้ที่มีต่อผู้อ่านอย่างผม มันทำให้จากที่เคยชอบเที่ยวต่างจังหวัดระยะหนึ่ง
ที่ไม่มีเรื่องบ่วงมาคล้องคอ หันมาสนใจกับการซื้อไปรษณียบัตรตามแ
หล่งท่องเที่ยวในแต่ละที่มาขึ้น ไม่เพียงหาซื้อเพียงแต่เหล้ากับโซดาเหมือนเช่นเคย ไปรษณีย์เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าน้อยใจด้วยความที่ชอบหลบมุมยาก

แก่การสังเกตการณ์ยังกับมาซื้อหนังสือปกขาว คงด้วยอัตรายอดขายที่จะทำกำไรคงไม่เท่ากับการที่เอาสินค้าอื่นมาวางขายหน้าร้าน
ซึ่งจะให้กำไรที่คุ้มค่ากว่า ถือว่าช่วงหนึ่งผมเองส่งเองค่อนข้างถี่ อาจด้วยคุณลักษณะที่ไม่แพงนัก ใบละไม่เกิน๑๐บาท ดวงตราไปรษณีย์๒บาท(ช่วงนั้น)น้ำลายซักแปล้บก็ยัดใส่ตู้จดหมายได้ในบัดดล

ที่เหลือก็ตกเป็นภารกิจของเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ที่ต้องดำเนินการในฐานะข้าราชการวิสาหกิจสัมพันธ์ ที่เหลือเพียงแค่รอคำตอบ (ถ้ามีใจสมนาคุณ) แต่ปรากฏว่าสหายเก่าๆไม่มีท่านใดตอบไปรษณียบัตรกลับมาสักฉบับ
เล่นเอาน้อยใจจนเลิกเขียนไปในที่สุด ส่วนใหญ่จะถูกส่งมาในรูปแบบอื่นๆที่ง่ายกว่า สะดวกกว่าและเร็วกว่าอย่าง เอสเอ็มเอส ไม่ก็ โทรศัพท์มือถือ ประมาณว่า “อืมรูปสวยดี ไปเที่ยวมาเหรอ แล้วส่งมาใหม่นะ จุ๊บๆ”(แล้วมันน่าจะเขียนต่ออีกไหมเนี่ย?) ล่าสุดก็มีไปรษณียบัตรหลงมาหาผมฉบับหนึ่ง ความจริงหลงมานานแล้ว เพียงแต่ว่าส่งมาตามที่อยู่ที่ต่างจังหวัด เป็นเพื่อนต่างคณะท่านหนึ่ง รู้สึกซาบซึ้งใจที่ส่งความคิดถึงมาให้ ทุกอย่างดูเหมือนที่ผ่านมาจะไม่ไร้ความวิริยะ ความพากเพียรที่ได้ลงมือมา เพียงแต่ทว่า “ไม่เขียนที่อยู่มา แล้วตูจะส่งให้ลื้ออย่างไรกันละเนี่ย?”




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2551 22:57:47 น.
Counter : 1218 Pageviews.  

Lone tailหางที่ยาวจนไม่แตะลงพื้น






ดูนาฬิกาเรือนโบราณบนข้อมือที่ค่าเปลี่ยนถ่านยังแพงกว่าตัวเรือน
ของมันเสียอีก
“เอ๊ ตีสี่กว่าแล้วเหรอนี้” เสียงอุทานของผมเป็นการอุทานตามพฤติกรรม
กล่าวคือ สักๆแต่ให้ได้อุทานไปเพราะมันจะได้อารมณ์ของการอุทานตามมา
ด้วยความจริงแล้วมันก็เป็นเวลาทำงานที่เย้ยหยันคนส่วนใหญ่ที่เอาแต่นอน
แต่พอถึงเวลาที่คนอื่นทำงาน ผมก็มักเย้ยหยันด้วยการนอนประชดคนทำงาน
ในทางกลับกัน เคยมีคนบอกว่ามีของสี่อย่างที่ไม่เคยหลับนอนพร้อมกับ
มนุษย์คนใดคนหนึ่ง นั้นคือ เวลา ดอกเบี้ย วงโคจรของโลกและนวัตกรรม
ไอ้สามข้อที่กล่าวมาผมว่าแม้แต่อดัม สมิทธจนถึงอับราฮัม ลินคอร์น ก็คงไม่
รู้สึกรู้สาอะไร เพราะเป็นสิ่งที่ยุคสมัยเป็นที่รับรู้กันดี แต่เจ้านวัตกรรมนี้สิ
คงเป็นภาพที่พิลึกในสายตา ถ้าเราเป็นเกิดพร้อมกับเขาในยุคนั้น ไม่ต่างกับมนุษย์ต่างดาว
อีกซีกโลกจักรวาลหนึ่งซึ่งไอสไตน์ก็หาสัมพัทธภาพจะเข้าถึง

สิ่งที่ตอกย้ำความเชื่อนี้ให้ฝังแน่น เหมือนอย่างนี้ที่ผมครั้งหนึ่งได้รับเกียรติ์ให้
ปฎิญาณตนในวันลูกเสืออำเภอ มันเป็นเกียรติ์ที่ตามด้วยท่องสคริปต์เพราะนอกจาก
การเป็นตัวแทนหน้าตาของโรงเรียนแล้ว อาจารย์ประจำชั้นยังมาเสริมอีกว่า
นี้คือพระเกียรติยศที่รัชกาลที่หกทรงพระประสงค์ให้คนไทยมีวินัยนับแต่เยาวชน
ลูกเสืออย่างผมใน ตอนนั้นก็ไม่ต่างจากลูกหมูตัวน้อยๆ พลางคิดในใจ
“ถ้าครอบครัวหนึ่งมีลูกสองคน แล้วแนวโน้มเป็นชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ยิ่งถ้า
หนึ่งอำเภอมีโรงเรียนประถมยี่สิบแห่ง ประชากรอำเภอที่มีสิทธิ์เลือกสส.หนึ่ง
คนต่อประชากรหนึ่งแสนห้าหมื่น หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของจำนวนนี้คือหนึ่งพันห้าร้อย
ถือเป็นค่าเฉลี่ยของลูกชายที่ถูกส่งไปเรียนชั้นประถมของอำเภอ ฉะไหนจึงมาลงตู
คนเดียวที่ต้องมานำคำสัตย์ปฎิญาณ(ฟะ)” นั้นเป็นจิตใต้สำนึกที่ถูกกดทับจนถึงวัย
เจริญพันธ์ในทุกวันนี้

กลับมาสู่โลก-นวัตกรรม(Innovation) ที่ถูกกำหนดวิธีการบริโภคแนวใหม่ที่
ผมเองเป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่งกับวิธีการค้าขายในวิถีชีวิตแบบไทยๆ จำพวกโชว์ห่วย ร้านของ
ชำ(ที่ช่วงหนึ่งผมมักประหลาดใจกับเรื่องราคา ที่ตอนเช้าซื้ออีกราคา เย็นกลับได้อีกราคา) หนังสือที่ทำให้ผม หวาดระแวงเช่นนี้ได้ จำชื่อมันไว้เถอะครับ “The Long Tail:Why The
Future of Business is Selling Less of More By Chris Anderson”
ผมซื้อมาในช่วงเวลาที่หนังสือสร้างความตื่นเต้นในท้องตลาดหนังสือประมาณสองปี
ก่อน จนเมื่อคนหายตื่นเต้นแล้วผมมักจะมาตื่นเต้นกระดี้กระด้ากในภายหลังแล้วไปย้อนถาม
พี่ที่อ่านก่อนหน้าว่า"เจ้าอารมณ์เนี่ย พี่เคยรู้สึกกันแบบเดียวกับผมว่าเป็นเหมือนกันรึเปล่า" (ซึ่งหลายคนที่ถามมักเกาหัวแบบลืมๆประมาณ ว่ามาพูดอะไรตอนนี้ฟะ)

เรายังจำอารมณ์ตอนที่เราไปรอเวลาการวางแผงเทปสำหรับอัลบั้มใหม่ได้ไหม
ประเภทที่ต้องประการก่อนเป็นเดือน นำการโฆษณาแบบช๊อตสั้น เห็นขาศิลปินนิด
แอวหน่อย โค้งจักกะแร้นิดๆในช่วงก่อนพักโฆษณา เป็นการประกาศให้เด็กมัธยมคอซอง
ขาสั้น คุณๆผมๆ เตรียมอดข้าว ชักลิ้นชักแม่ มายืนรอซื้อตรงหน้าแผงเทป ถ้าค่ายไหนเจ๊งๆ
หน่อย ก้อจะเอาศิลปินมารอแจกลายเซ็น บางค่ายทำปกพิเศษใส่เหล็ก เสริมดั้ง กระดาษแวว
ว้าบๆ หรือสอดปฏิทินศิลปิน ส่วนศิลปินนักร้องเองก็ซื้อเก็บงานตัวเองเจ็ด เก้าตลับตามความ
เชื่อ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว ร้านขายเทป ซีดีกลายเป็นของฟุ่มเฟือย
ด้วยนวัตกรรมอย่างi-tune (ที่ขายเพลงแบบDRMไปกว่า600ล้านเพลง), หรือRhapsody
(มีเพลง ไม่ต่ำกว่า1.5ล้านเพลง ว่ากันว่า99%ของอัลบั้มเพลงในตลาดทุกวันนี้ไม่มีวางขายในwall mart อย่างลืมนะครับwallmartคือทุกสิ่งที่สุขสันต์แห่งอเมริกาเพราะมันมีทุกสิ่แต่แล้วมันก็ยังมีดีีีไม่พอ
เมื่อเทียบกับสิ่งที่มีจริงบนโลก (นี้ยังไม่รวมเว็บประเภทamazonหรือ Ebayทีนะครับ) หรืออย่างบริการเช่าวีดีโอมันเป็นอะไรที่เด็กหนังอาร์ท หนังอินดี้พร้อมจะคอตกทุกเมื่อที่เข้าร้านเช่าวีดีโอ (พวกเขาเหล่านี้จึงมีความชอบธรรมเสมอที่จะหาหนังเถื่อนตามคลองถมตลอดจนแถวสีลม โดยมีข้ออ้างประกาศิตว่าไม่มีค่ายหนังที่ไหนผลิตสิ่งที่ตอบสนองความต้องการ
เฉพาะแก่กลุ่มของพวกเขา) แต่เขาเหล่านี้จะไม่ผิดหวังถ้าเขาเลือกใช้บริการของ Netflix (เช่าดีวีดี
ออนไลน์)ยอดล่าสุดในหนังสือบอกเชิงขู่ร้านเช่าวีดีโอว่ามีสต๊อกกว่า55,000เรื่อง
พวกเขาเหล่านี้ไม่เคยเกรงกลัวที่จะมีสินค้าชิ้นไหนขายไม่ออก เพราะเขายังมีFilterที่ช่วยกรองหรือหาสินค้าที่ใกล้เคียงให้คุณได้ควักกระเป๋าแน่โดยบางทีคุณแทบ
ไม่ต้องไปศึกษาข้อมูลอันใดให้ยุ่งยากหรือถามพนักงานที่อาจทำงานไม่ถึงอาทิตย
์จนไม่อาจจะพึ่งพาอะไรได้ (มันยอดมากเลยใช้มั้ย จอร์จ!) ต่างจากร้านค้าทั่วไปที่จะต้องเอาสินค้าที่ขายไม่ดีคืนแก่ซัพพรายเออร์ เพื่อสร้างพื้นที่แก่สินค้าใหม่ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง แน่นอนปัญหา การรักษาพื้นที่สต๊อกเท่ากับมีต้นทุนที่ต้องเสีย ต่างจากพวกที่ขายออนไลน์ที่ไม่มีค่าพื้นที่ ค่าสต๊อก ค่าพนักงานประจำแต่ละสาขา พวกเขาแค่ขอให้มีสายสัมพันธ์กับซัพพายเออร์และกระบวนการขนส่งที่ตรงต่อเวลาเท่านั้นพอ
amaZon ถึงแจ้งยอดที่จะส่งมอบสินค้าแต่ละเที่ยวเสมอก่อนที่คุณจะรูดปื้ดบัตรเดตดิตของคุณ

ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงกล้าประกาศทลายทฤษฎีคลาสสิค(ที่สมัยผมเรียนมันเป็นข้อที่ยากในการ
อธิบายให้แจ้มในสายตาอาจารย์) คือกฎของพาเรโต้ ที่จำตัวเลขง่ายกว่าชื่อของแก นั้นก็คือ
กฎ 80 / 20 ฟังให้ ง่ายกว่านั้น คือ ในโลกนี้เต็มไปด้วยสินค้าแต่ละชนิดมากมาย ตีสักว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เอาเข้าจริง ได้ใช้แค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น (ไปดูgoogleก็ได้ว่าเด็กไทยใช้searching เพียงไม่กี่คำเท่านั้น..
ส่วนคำว่าอะไรบ้างผมว่าทุกคนล้วนมีคำตอบในใจ เพราะผมก็หนึ่งในนั้นด้วยแต่ทำไมส่วนใหญ่
ต้องเสียสตางค์กันด้วย) แต่หนังสือเล่มที่กล้าแหก กฎนี้เพราะเชื่อว่ามนุษย์มีความต้องการที่หลากหลาย จึงเกิดกลุ่มเฉพาะที่เรียกว่า นิช ดูอย่างLegoก็ได้ ซึ่ง ทุกคนคงเคยเห็นวิธีการเล่น(แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้เล่น) ได้ออกตัวที่ชื่อว่า Lego factoryให้คุณได้ออกแบบตัวเลโก้ที่คุยอยากได้ตามใจคุณโดยโรงงานจะออกแบบเฉพาะให้แก่คุณเอง (แต่หนังสือไม่ได้บอกว่าให้คิดแพลงๆได้เท่าไหน) สรุปใจความของเรื่องทั้งหมดได้ว่า
ไอ้หนังสือLong Tail หางยาวนี้ มีความเชื่อว่า ความต้องการต่อตัวสินค้ามีไม่สิ้นสุด ไม่ได้หมายความว่าของใหม่ ของฮิตเท่านั้นที่จะขายได้ กลุ่มสินค้าที่คิดว่าไม่น่าสนใจแท้จริงยังมีความต้องการที่เรายังไม่รู้อีกมาก สิ่งเหล่านั้นได้สะท้อนผ่านจากธุรกรรมในโลกออนไลน์แล้วว่ายังมีอยู่จริง และไม่มีวันต่ำเตี้ยจมหายไปเสมอ หางมันยังคงยาว ย๊าว ยาวไม่สิ้นสุด เหมือนกับความขี้เกียจสันหลังยาวประมาณนั้น

(มีหลายสิ่งที่ข้ามเนื้อหาสาระไปบ้าง ก็ความกระชับส่วนที่เหลือก็ใฝ่เรียนรู้กันเองละกัน ใครอ่าน
คนนั้นก็ได้)




 

Create Date : 01 เมษายน 2551    
Last Update : 1 เมษายน 2551 1:33:47 น.
Counter : 674 Pageviews.  

Audacity of Hope เรามาขายฝันให้คุณ



ช่วงนี้ผมแทบจะพยายามหลีกเลี่ยงการับฟังข่าวสาร
ในบ้านเมืองของตนเอง เพราะเนื่องด้วยเรากับ
กำลังเผชิญกับวัฏจักรการเมืองแบบเก่าที่แทบ
ยุคหนึ่งเรากำลังคิดว่าจะมีเพียงพรรคการเมือง
ที่เข้มแข็งเพียงสองพรรคใหญ่ ฟังรายการของ
อ.วีระ ธีรภัทรทางคลื่น97.0 trinity radio หลังจาก
อาจารย์เพิ่งกลับมาจากอินเดียประเทศ
อาจารย์ก็มีความคิดเดียวกับผม แม้เทคโนโลยี
จะแทบเชื่อมให้โลกนี้ดูแคบลง แต่กับทำให้
มนุษย์นี้แทบหาความสงบในจิตใจไม่ได้เอาเสีย
เลย การปิดรับข่าวสารบ้านเมืองสักพรรคแม้ไม่
ได้ทำให้คนกลายเป็นอรหันต์ในบัดดล แต่อาหาร
สมองบางประเภทก็น่าจะเสพๆแบบเพลาๆเอาเสีย
บ้างก็น่าจะดี
อย่างว่าช่วงเวลาที่คนเรามันรู้สึกท้อแท้ ต่างคนก็มีวิธี
การเติมเสริมพลังใจในรูปแบบที่ต่างๆกันไป
ผมเลือกที่จะคว้าหนังสือสักเล่ม ต่อจากนั้นก็ซึมซาบ
สิ่งที่อยู่ลึกลงไปมากกว่าตัวหนังสือที่เรียงท้อจนเสียยาว
พรืดจนบางที่ได้ชิมแต่เพียงรสกวีเท่านั้น
The Audacity of Hope: Thoughts on
Reclaiming the American Dream
่ หนังสือเล่มที่สองของวุฒิสมาชิกBarack Obama
มีวางจำหน่ายตั้งแต่ตุลาคม 2006 ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้
เราก็แทบไม่ต้องติดตามแคมปัสปราศัยการชิงตำ
แหน่งประธานาธิบดีของพี่ท่านเสียยังได้ ด้วยมันได้
ปรัชญาชีวิต แรงบันดาลใจและไร้วาทะที่ไปเชือดเฉือน
หักล้างที่แทบไม่ต่างจากบ้านเราที่กำลังเป็นอยู่
ตอ้งยอมรับว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะหมดหมึกไปกับตัว
"hope"อยู่ไม่น้อย จนแทบจะเป็นการสะกดจิดมากกว่า
การสร้างแรงบันดาลใจ แต่งานชิ้นนี้ก็ไม่ได้ขาดฝัน
ให้แก่คนอเมริกันแต่ถ่ายเดียว เพราะอย่างน้อยมัน
ก็เป็นการถักทอคีย์โน้ตครั้นตั้งแต่ประชุมพรรคเดโมแครต
เมื่อปี2004 และเป็นการแจ้งเกิดในตัวเขาจนเข้าชิง
ตำแหน่งตัวแทนพรรคด้วยพรสวรรค์ทางการพูด
ยิ่งเมื่อวานได้ชมรายการของคุณสิทธิชัย หยุ่นที่สัม
ภาษณ์นักเขียนชื่อดัง พอล เธอโรลล์ ยังกล่าวคำชื่นชม
เหมือนที่ครั้งหนึ้งประธานาธิบดีเคเนดี้ สร้างความฝันครั้ง
ใหญ่ให้กับอเมริกันชนด้วยวาทะเด็ดๆ ที่ติดตรึงในปัจจุบัน
แต่ประเทศไทยก็ยังดีที่เรื่องมายาคติทางด้านสีผิวชนชาติ
อาจไม่เข้มข้นเท่าชาวอเมริกัน เพียงแต่ต่างกันในเรื่อง
สีผิวที่ไม่ขาวเป็นตัวแทนเห็นความหม่องคล้ำไม่สวยงาม
อย่างที่เห็นในโฆษณาบ้านเรา สีผิวจึงเป็นมายาคติที่มี
ทิศทางเกือบจะคล้ายคลึงกันแบบแปลกๆ ที่พยายาม
จะยกความเป็นผู้ที่เหนือกว่าแบบหลอกๆเท่านั้นเอง




 

Create Date : 30 มีนาคม 2551    
Last Update : 7 เมษายน 2551 1:40:28 น.
Counter : 746 Pageviews.  

อ่านGreen Bookแล้วอมภูมิอยู่คนเดียว มันเสียสถาบัน

เคยอ่านหนังสือบางเล่มแล้วรู้สึกไม่เป็นสุข สำหรับผมแบ่งออกเป็น2ประการ
อย่างแรก คือ ซื้อเพราะตามกระแส แ่ต่เอาเข้าจริงมันคนละรสนิยม
อย่างที่สอง คือ อ่านแล้วต้องบอกต่อ ด้วยมันมีผลต่อสังคมที่ร่วมกันอยู่
ผมเคยreview หนังสือเรื่องGreen book ไปครั้งหนึ่ง ก็คงประเภทร้อน
วิชา ได้มาก็เลยอยากอวด แต่พอเข้าจริง หนังสือเล่มนี้ถูกผมกระทำเขียนขีด
ทำไฮไลน์อยู่หลายจุด หลายตอน ยิ่งมาอ่านเจตนารมณ์ของผู้เขียนแล้ว
หนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับรู้แต่เพียงผู้เดียว คงด้วยหนังสือไม่
ต้องการสื่อสารแค่มนุษย์คนหนึ่ง คนใด แต่มันต้องการเตือนเราทุกคนที่ยัง
เป็นส่วนร่วมทางสังคมว่าต้องช่วยกัน ไม้ขีดก้านเดียวก็แค่ให้ประกายเชื้อเพลิง
มันจำเป็นต้องได้ลุกลามขยายจึงจะมีผลต่อพื้นที่โดยกว้าง
ดังนั้นผมจึงเลือกสิ่งที่ผมได้ไฮไลน์ 10 จุดจากหลายร้อยตัวอย่าง
ที่คิดว่าเหมาะสมกับคนไทย และควรจะรับรู้โดยกว้าง ทำได้ง่าย แถมยังอินเทรน
อีกตั้งหาก (กรณีที่ไม่คิดจะลงทุนซื้อหนังสือ แต่ลงทุนเถอะครับของมันดีจริง)
1 การแบ่งปันการยืมหนังสือหรือเข้าห้องสมุด ตลอดจนการบริจาค จะช่วยรักษา
การโค่นต้นไม้สี่แสนต้น เพราะแต่ละปีมีหนังสือใหม่ราวสามพันล้านเล่มออกสู่ท้องตลาด
2 การล้างรถจากสถานบริการแทนการล้างรถด้วยตัวเอง จะประหยัดการบริหารปริมาณ
น้ำ ไม่น้อยไปกว่า 100 แกลลอน เพราะร้านเหล่านี้มักมีการรีไซเคิลน้ำ ถ้าคน
อเมริกาให้มืออาชีพล้างรถให้ จะประหยัดน้ำ 8700 ล้านแกลลอน น้ำสบู่ 12000
ล้านแกลลอน
3 หันมาใช้ไม่ขีดแทนไฟแช๊ค เพราะไฟแช๊ค มีองค์ประกอบทั้งตัวพลาสติก เชื้อเพลิง
บิวเทนที่มาจากปิโตรเลียม ทุกวันนี้มีขยะจากไฟแช๊คที่ฝังกลบและเผาประมาณ 1.5
พันล้านชิ้น ถ้าเลือกไม้ขีดแบบกระดาษยิ่งจะรักษาต้นไม้ 5.5 ล้านต้น
4 การปิดก๊อกน้ำเวลาแปรงฟัน จะช่วยประหยัดทันที 5 แกลลอน ถ้านับคนอเมริกัน
ทั้งประเทศในแต่ละวันจะเท่ากับ1.5พันล้านแกลลอน (คนไทยตกที่ 350 ล้านแกลลอน)
หรือการกดชักโครกให้น้อยลงหนึ่งครั้งประหยัดน้ำราว 4.5 แกลลอน ซึ่งสามารถให้คน
แอฟริกาใช้ดื่ม ทำอาหาร อาบน้ำ และซักผ้าในตลอดทั้งวัน
5 การใช้หลังคาสะท้อนแสงแดด จะประหยัดค่าพลังงานทำความเย็น 1100 กิโลวัตต์ชั่ว
โมง และ90 เหรียญต่อปี (ประมาณ 3000 บาท )ซึ่งมากกว่าการปรับแอร์ 3 องศา
ถ้าบ้านใหม่ 1 ใน 66 หลัง ใช้หลังคาสะท้อนแสง จะประหยัดพลังงานที่ผลิตจากเซลล์
แสงอาทิตย์ขนาดเท่าตึกเพนตากอนเชียว
6 ใช้รถสาธารณะแทนรถส่วนตัวซึ่งเฉลี่ยต่อคันจะปล่อยคาร์บอน2.75 ปอนด์ต่อไมล์ แล้ว
ลองเอาไปหารจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดในรถ คือ จำนวนที่เราช่วยลดโลกร้อนแก่โลก
7 เครื่องปรับอากาศแบบเบอร๋ห้า โดยส่วนใหญ่จะเสียค่าไฟปีละประมาณ 220 เหรียญ
(ราว 7300 บาท ช่วยลดพลังงาน 20-40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าทุกบ้านติดแอร์เบอร์ห้า
จะเท่ากับเงินที่รัฐบาลบุชเอาไปช่วยประสบภัยเฮอร์รีแคนแคทรีนา คือ 100 ล้านเหรียญ
(หรือเงินงบประมาณอัดฉีดสู่หมู่บ้านทั้งหมดของรัฐบาลสมัครทุกบาททุกสตางค์)
8 สนามกอลฟในโลกใช้น้ำ 2500 ล้านแกลลอนต่อวัน เฉพาะแค่การรดน้ำ สามารถเอา
ไปเลี้ยงคนได้ 4700 คน (จึงควรประชุมครม.ในห้องประชุมดีกว่า)
9 ควรหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการเติมเพราะจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก หรือพลาสติก
แบบรีไซเคิล เพราะการผลิตพลาสติกใหม่ใช้พลังงานมากกว่าพลาสติกแบบรีไซเคิล
ถ้าเอาเทียบกัน พลังงานส่วนต่างสามารถเอามาใช้เป่าผมได้กว่าสิบนาที
10 ถ้าคุณวางแผนซื้อคอมพิวเตอร์เลือกแบบโน้ตบุ๊คมากกว่าแบบตั้งโต๊ะ เนื่องจากใช้วัสดุ
ประกอบและพลังงานน้อยกว่า ช่วยคุณประหยัดพลังงานราว 220 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อ
ปีและประหยัดค่าไฟปีละ 20 เหรียญ (ราว 700 บาท ) ถ้าทุกบ้านเลือกใช้โน๊คบุ๊คทุก
บ้าน เท่ากับลดพลังงานที่นำไปเปิดไฟทุกบ้านในซิลิคอนแวลลีย์เชียว หรือ โทรศัพท์มือ
ถือทนใช้ให้นาน 3 ปี แทนที่จะเป็น 18 เดือนแบบวัยรุ่นขี้เบื่อ ขอคนที่คิดอย่างนี้สัก
ร้อยละ 10 จะลดปริมาณขยะมือถือได้ถึง 5.2 ล้านเครื่องต่อปี

อย่างที่บอกนี้ คือ ตัวอย่างที่ผมเลือกไฮไลทเพราะสอดคล้องกับวิถีชีวิต
แบบผม ซึ่งความจริงมีตัวอย่างอีกมากที่อาจเหมาะสมกับคุณๆท่านๆ (มันต้องเหมาะแน่
ถ้าหากอายตนะยังทำงาน) มันจึงเหมาะที่จะเป็นตำราเรียนหรือหนังสือสามัญประจำบ้าน
ถึงแม้ว่าในเรื่องสถิติอาจยังต้องถกเถียงกันต่อไปแต่ข้อดีที่มากกว่าข้อเสียคงไมมีใคร
ปฏิเสธสักเท่าไร (ถึงได้บอกแล้วครับ ว่าอ่านแบบอมภูมผู้แต่งหนังสือคงไม่ปลื้มสักเท่าไร)
เรือ่งเงินหลายคนอาจมองว่าไม่ใช่เรือ่งใหญ่เพราะมีปัญญาจ่ายตามเคาร์เตอรเซอร์วิสหน้าปาก
ซอย แต่ในฐานะที่ทรัพยากรโลกอันมีจำกัดและบริโภคอย่างไม่เท่าเทียม (โปรดมองแก่
เด็กตาปริบๆที่แอฟริกาหรือเกาหลีเหนือ) ดังนั้นหวังว่าเวลาที่ผมกำลังตระหนักการใช้ทรัพยากร
ธรรมชาติผ่านในชีวิตประจำวัน ขอให้เชื่อว่ายังมีคนอีกซีกโลกที่ยังคิดเหมือนคุณอยู่ มันเป็น
ภารกิจเพื่อมนุษยชาติและลูกหลานของเราิ
(ป.ล. ขอเชียร์ให้ซื้ออ่าน The Greenbook โดย เอลิเซเบธ โรเจอร์และ
โธมัส เอ็ม คอสทิเจน แปลโดย โตมร ศุขปรีชา ราคา 200 บาทจะช่วยsave เงิน
ใน pocket หลายพันในอนาคตขอบอก )ิ์





 

Create Date : 30 มีนาคม 2551    
Last Update : 30 มีนาคม 2551 21:37:39 น.
Counter : 1897 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.