A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
อุทิศ"ลับ"กรรมการ"แล" ความ"แกร่ง"ที่รอ"คอย"


"อาจารย์คะ ถ้าหนูเป็นคนไม่ชอบอ่านและอีกนานกว่าหยิบปากกาเขียน
โตขึ้นหนูอยากจะได้รางวัลซีไรต์บ้าง จะได้ไหมคะ"

ถ้าผมเผอิญไปเจอลูกศิษย์อย่างนี้เข้า คงต้องบอกว่าอย่าคิดฝัน ในสิ่งที่ใกล้และไกล
ไกล คือ อย่าได้คิดฝันถึงความเป็นที่สุดของรางวัลนักเขียนในระดับประเทศ
ใกล้ คือ อย่าได้คิดฝันถึงคำถามเช่นนี้อีก ถ้าไม่รู้จักเป็นคนที่รักการอ่านและการเขียน



แต่ซีไรต์ก็อาจเป็นเพียงรางวัลๆหนึ่ง ในอีกหลายๆรางวัล
ที่ไม่อาจบ่งบอกได้ว่า มันจะต้องเป็นหนังสือที่ดีที่สุดในพิภพแดนสยาม
เพราะในบรรดาสิบรายชื่อหนังสือ ที่ผมมักจะหยิบจับขึ้นมาอ่านแล้ววางไม่ลง
สิบรายชื่อนั้น ก็ไม่ได้มีงานสักชิ้นเดียว ที่ได้รับรางวัลซีไรต์เป็นเครื่องการันตี
อาจดูดีหน่อย ในเวลาที่หยิบจับไปอ่านนอกสถานที่ เพียงเพราะมีตราปั๊มซีไรต์
ประทับล้าบนขอบริมบนหน้าปก ชวนให้เกิดความรู้สึกเป็นนักอ่านที่มีคุณภาพ
ตามการรับรางวัลของหนังสือ
แต่"ซีไรต์" ก็มิใช่ "ซีร๊อก" ที่จะเอาสำนวนตอนหนึ่งตอนใด มาตัดแปะต่อเรียง
จนเป็นเรื่องเป็นราว แล้วจะได้รับรางวัลแบสั่วๆ
เพราะมันมีเรื่องของศิลปะ ชั้นเชิง สำบัดสำนวนและข้อคิด-นัยยะ
ที่สะท้อนปรัชญา อารมณ์และจิตวิญญาณ
หลายเล่มที่ได้อ่านก่อนที่จะเข้าชิงรางวัลซีไรต์ จนคว้านำชัยไป
เป้าประสงค์แรก ก็ซื้อมาเพียงอ่านเพียงเพื่อที่จะเอารู้สึกสนุกสนาน
ปะปนกับสาระบ้างไปตามเรื่องตามราว
แต่ยังไม่ได้รู้สึกสัมผัสถึงพลังทางวิญญาณวรรณกรรม
พอได้มาฟังคณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัล หยิบยกขึ้นมาเชิดชู-พรรณนา
ใช้หลักทางวิชาการขึ้นมาประกอบ
เออ....บางทีมันก็ได้ซ่อนมวลสศักดิ์สิทธิ์บางประการ เพียงแต่ว่า
ยังไม่ได้ปลุกเสกจากคณะกรรมการเท่านั้นกระมัง

เหมือนกันงานล่าสุดที่ได้รับรางวัลซีไรต์ของปีนี้
"ลับแล แก่งคอย" โดย "อุทิศ เหมะมูล" งานดีที่มีขาย แต่ไม่ได้ให้ฟรี
ที่ไปคว้ารางวัลเซเว้นบุ้คอะวอร์ด ก่อนหน้านี้มานอนกอดอย่างอุ่นใจ
งานเขียนที่สะท้อนเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตผู้เขียน
จนมาสู่เส้นทางของการก้าวเป็นนักเขียนแนวหน้าระดับประเทศ ขอบอกว่า
ชีวิตของเขาคนนี้ไม่ธรรมดา พอๆกับคำโปรยของหนังสือ ที่ว่า ชีวิตเขานั้น
แท้จริงแล้ว เป็นความจริง หรือ ความลวงกันแน่..............


งานซีไรต์ที่ทำให้ เมืองแก่งคอย เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ
ไม่ต้องพีอาร์แบบที่พ่วงกับซีรีย์เกาหลีเป็นตอนๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
แต่พี่อุทิศฉลาดที่จะใช้ ลับแล และ แก่งคอย เป็นทั้งตัวละครและสถานที่
แม้แต่แม่ทิพย์ในเรือ่งก็ไม่เว้น เพราะนำแม่ที่เคารพของผู้เขียน มาร่วมประกอบฉาก
แต่ประกอบอย่างไรก็ไม่ทราบ กลับกลายเป็นตัวละครหลักสำคัญ ที่นักอ่านมักพูดถึง
พอๆกับ การให้ความสำคัญของตัวละครเอกในเรื่องซะงั้นไป..............
อุทิศจึงถือเป็นลูกกตัญญู ที่จะมีบิดาและมารดาอยู่ในงานของเขาเสมอ
ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เหมือนกับครั้งหนึ่งที่เขาเอาแรงบันดาลใจในตัวพ่อ
ถ่ายทอดในงานวิทยานิพนธ์ ที่เขาเล่นกับงานไม้ ก่อนจะเรียนจบที่ศิลปากร
(สถาบันที่เป็นเหมือนทุกอย่างของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นบ้าน
ออฟฟิค ห้องประชุมสังสรรค์ ไม่เว้นแม้กระทังเรือนนอนพักกาย)
ถ้าเป็นคนอื่น อาจจะสร้างภาพแกะสลักนูนสูง นูนต่ำ เว้าโค้ง อันเซ็นเซอร์
ที่แลดูอาร์ทๆ อันนี้ก็ว่ากันไป แต่วิทยานิพนธ์งานไม้ของเขา คือ โรงศพของตัวเอง
อันเป็นช่วงที่พ่อของเขาเพิ่งจะเสียไปได้ไม่นาน....................



พอศึกษาจบ ก็ต้องมาเผชิญกับปัญหาชีวิตเปราะใหม่
เมือ่เส้นทางแห่งอุดมการณ์ทางศิลปะกับอุดมการณ์เงินบาทในกระเป๋าสตางค์ไม่สอดคล้องกัน
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เป้าหมายอันดับหนึ่งของเขามาแต่ไหนแต่ไร
เพราะเมื่อสมัยวัยรุ่น ปัญหาปากท้อง มักเป็นปัญหาที่เขาต้องแก้ไขเองเสมอ
ทั้งค่ากิน หาส่งเรียนเอง ดูจะเป็นเรืองปกติ ติดขัดนิดหน่อย เพื่อนเราช่วยได้
เหลาะไปเป็นเด็กบอร์ดตามความกรุณาของรุ่นพี่ เพราะพวกนี้ใช้ดีไม่ค่อยมีปากมีเสียง
เสร็จสรรพรับตังค์ ก็ตั้งสอง-สามพัน ประทังชีวิตไปได้นาน
ถึงแม้ทางบ้านจะช่วยบ้างก็นิดหน่อย ด้วยสองพันของบ้านเกิดกับสองพันในเมือ่งกรุง
เป็นสองพันที่มีค่างวดที่ไม่เท่ากัน ยังดีที่โทรเลขช่วงนั้นยังฮิตอยู่ จึงเป็นช่องทางฉุกเฉิน
ที่เขาจะส่งผ่านความคิดถึงเพื่อแลกกับเงินค่าห้องเพื่อส่งท้ายปลายเดือน
ลองถ้าเป็นสมัยนี้ จะหาโทรเลข คงต้องไปพิพิธภัณฑ์ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่แท้



ส่วนเรื่องการก้าวย่างสู่งานเขียน
ต้องขอบอกว่า พี่อุทิศทำมาตั้งแต่ยังไม่ทำบัตรประชาชน
ไมได้ด้วยการส่งงานเขียนตามนิตยสารที่ไหน แต่เกิดจากไดอารี่บันทึกรายวันเล่มเล็กๆ
เพียงแค่มีกระดาษกับปากกา ที่เหลือก็มีเพียงความบรรเจิดกับการบรรเลง
เป็นเวทีฝึกปรือฝีมือรายวัน เขียนไปทุกวัน เขียนซ้ำเขียนซาก
เงื่อนไขก็ไม่ยาก ขอเพียงเขียนไม่ต้องมาก เขียนอาทิตย์ละเจ็ดวันก็พอ
หากขึ้นวันที่แปดหลังอาทิตย์นั้น แล้วไม่ใช่วันจันทร์ ก็ถือว่าผิดกติกา
เขียนมากๆ ก็ชักอยากเขียนอะไรที่เป็นเรือ่งเป็นราว ที่นอกกระดาษในไดอารีสักแล้ว
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ จึงเป็นเวทีแรก กับค่าเรื่องตีพิมพ์ 1,500 บาท ในเรื่องสั้นเรื่องแรก
"เลือน...จุดจบของนามอันเป็นอื่น" จุดจบของเรื่องเป็นอย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าทำแล้วมีความสุข
เมือ่ไม่อยากให้ความสุขต้องจางหายไปเร็ว ก็ต้องทำความสุขให้ต่อเนื่อง
ค่าเรือ่งที่ได้มาก็มาจบกับที่ "ฉลอง" พอฉลองจนเงินหมด
สุขนั้นก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนเคย




แล้วเรื่องที่สอง เรือ่งที่สามก็ตามมา
จึงชักอยากจะลองงานใหญ่ขึ้นไปกว่านั้น นำไปสู่การเขียนนวนิยายเรื่องแรก
ที่ชื่อ "ระบำเมถุน" แต่งานนี้ต้องมีครูคอยช่วยแนะแนวทาง เขาจึงได้เลือกนักเขียนมือรางวัล
อย่าง "แดนอรัญ แสงทอง" ผู้เขียนเรื่องดัง "อสรพิษ"
มาครั้งนี้ ไม่ได้ไปจ้างมาเป็นครูพิเศษจากที่ไหน แต่เกิดจากในหนังสืออสรพิษ
พี่แกดันไปใส่ที่อยู่เอาไว้ พี่อุทิศเลยจัดการส่งต้นฉบับสามตอนแรกไปยั่วน้ำลายดู
สักพักไม่เกินสัปดาห์ไปรษณีย์ร่อนกลับมา ตอนแรกนึกว่าชมอย่างเลิศหรู
ปรากฎว่าดันเป็น "คำขู่"
ประมาณว่า หากจะเขียนหนังสือจริง ให้ไปทำอย่างอื่นเสียก่อนไอ้น้อง แล้วค่อยมาคิดว่า
เมื่อเวลาล่วงไป ความอยากเขียนยังมีอยู่กับตัวรึเปล่า ถ้ายังมี ค่อยมาว่ากัน .................
งานนี้มีเหรอจะเชื่อ ว่าแล้วพี่อุทิศก็ยิงกลับออกไปต่อ ปรากฎว่าคราวนี้เงียบไปสักพัก
ไม่นานนักก็ตอบกลับมาอีก ประมาณว่าอ่านที่ส่งให้จบแล้ว ใช้ได้แต่ยังไม่จบดี
ช่วยทำให้จบหน่อยได้ไหม ถ้าทำได้ก็ยินดีที่จะเขียนคำนิยมให้
กำลังใจจากนักเขียนมือทองออกปานนี้ มีเหรอจะอยู่นิ่งเฉย
พี่อุทิศเลยบรรเลงงานภาคต่อ ไปร่วม ๔-๕ เดือน
เขียนอีกสองภาคตามลำดับ คราวนี้กลับเป็นพี่อรัญที่ต้องตามงัอพร้อมกับให้กำลังใจ
อย่างไรอย่างนั้น




แล้วไอเดียที่เอามาเขียนชิ้นรางวัล "ลับแล แก่งคอย" มาเกิดขึ้นตอนไหน!!!
มันมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ดันมาปิ๊งตอนที่กำลังเขียนนวนิยายก่อนหน้า
ที่ชื่อ กระจกเงา/เงากระจก ที่ค่อยๆตั้งเค้ากลุ่มก้อนความคิดบางอย่าง
ทะเลเรียบถึงมีคลื่นเล็กน้อย ห่างฝั่งมีคลื่นปานกลาง ห่างมาก........มองไม่เห็น
และเหมือนจะมีแรงกระตุ้น ในอัตราเร่งอย่างสูงขึ้น
เมื่อ กระจกเงา/เงากระจก เป็นงานที่เขาบอกว่า "จะต้องไม่ถูกทำลายด้วยเรื่องนี้"
เพราะเป็นงานที่ถูกคัดเลือกจากคณะกรรมการซีไรต์ ให้เข้ารอบ ๑๕ เล่มสุดท้าย
แต่พอคัดให้เหลือ ๑๐ เล่ม หนังสือเห็นคณะกรรมการซีไรต์ แต่ซีไรต์ไม่เห็นงานของเขา
หลายคนมาเจอการประกาศผล พอรู้ว่าตัวเองไม่ได้รับเลือก
อาจมีนอนชักดิ้นชักงอ ท้อแท้อัปเปหิจากวงการน้ำหมึก
หรือไม่ก็ตีโพยตีพายถึงความชอบธรรมจากเส้นทางการคัดเลือกของคณะกรรมการ
จนต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความถึงการสรรหาของคณะกรรมการ
สุดท้ายก็ถูกตีกลับ...........เพราะศาลรัฐธรรมนุญแจ้งว่า ..........ไม่ใช่หน้าที่!!!
แต่กลับพี่อุทิศแล้ว เมื่อทราบว่าไม่อาจเข้ารอบลึกๆได้ วันรุ่งขึ้น
เขากลับเข้าหาเก้าอี้ตัวเดิม สร้างงานเขียนจากกลุ่มก้อนที่ยังค้างคา
จนมาสู่งานรางวัลที่ชื่อ "ลับแล แก่งคอย" ที่เขารู้ว่า
เขียนไปแล้ว ทางสำนักพิมพ์แพรว ต้องนำเสนอเข้าชิงรางวัลแน่นอน.......





รางวัลซีไรต์ที่เขาพร้อมที่จะรับอย่างท่วมท้นด้วยความสุข และจะรู้สึกอย่างเต็มที่
พร้อมที่จะรับอย่างไม่เขอะเขิน ได้อะไรมา ก็รับไปเสียหมด
เพราะรู้เพียงว่า เมื่อมันมาแล้วก็จะจากไป โดยจะมีนักเขียนรางวัลคนใหม่ในปีถัดไป
แต่พี่อุทิศคงไม่มีเครดิต เพราะถึงแม้ว่าพี่อุทิศจะเคยมีหนี้ และชดเชยโดยเสร็จสิ้น
แต่สภาพของพี่อุทิศก็ยังคงติดหวงกรรม "เครดิตบุโร"
ก็ไม่ต่างจากนักเขียนรางวัลซีไรต์ ที่ชื่อเสียงนั้นจะติดตัวไปตลอดกาล ให้ผู้คนได้กล่าวขาน
ยกเว้นว่า พี่อุทิศจะไปได้รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม อันนี้ก็จะช่วยให้ลืมเลือน
แต่อย่างไรเสีย สิ่งที่เขารู้สึกยินดีต่อรางวัล อาจไม่เท่ากับแม่ที่ได้ทราบข่าว
แม่ทิพย์ที่ถูกไปใช้ในฐานะตัวละครเอกคนหนึ่งของเรือ่ง และที่สำคัญ จั๋วไพ่เก่งซะด้วย
ความดีใจของแม่ที่ได้ทราบข่าว จากร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็นที่ยืนจอดหน้าบ้าน
ที่เปิดหนังสือพิมพ์แล้วบังเอิญเจอชื่อ ความดีใจที่ลูกอุทิศอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
ต้องยืมคำว่า "เซิ้งหน้าบ้าน" เพื่อให้เห็นภาพไปพร้อมๆกับการกระทำ
แม้คุณลูกอุทิศต้องรีบเข้าสะกิดแม่ว่า "ยังไม่ใช่ แค่เข้ารอบเฉยๆ"
แม่ที่อาจจะยังสงสัยว่า เจ้าซีไรต์มันมีหน้าตามาเป็นจัง่ได๋ แต่ความยิ่งใหญ่ในใจแม่
มันคือรางวัลของคนเขียนหนังสือที่มียิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
เป็นความสุขที่ต้องบอกว่า ปล่อยให้มีความสุขล้นของแกต่อไป
ส่วนอยากรู้จักถึงความ ตื้น ลึก หนา บาง ของยายทิพย์มากแค่ไหน .............
ในหนังสือ "ลับแล แก่งคอย" มีคำตอบ........






อ้างอิงฐาน จาก ........บทสัมภาษณ์ ของหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก
และ การถอดเทปจากรายการวิทยุ โลกหนังสือ ทาง FM ๑๐๐.๕

ภาพ จาก pochmews


Create Date : 02 กันยายน 2552
Last Update : 18 ตุลาคม 2552 3:55:47 น. 4 comments
Counter : 772 Pageviews.

 
เอ่อ...อาจารย์ค่ะ ถ้าหนูชอบแต่อ่านไม่ชอบเขียน ตัวหนูเป็นคนเห็นแก่ตัวรึเปล่าค่ะ?
.
.
.
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งคือ..อ่านหนังสือได้ทุกประเภท แต่ไม่รู้เป็นไรค่ะ อ่านหนังสือซีไรท์ไม่รู้เรื่อง???


โดย: pathaipanshell วันที่: 4 กันยายน 2552 เวลา:21:52:48 น.  

 
แน่นจริงครับ

เมื่อวานผมก็เดินผ่านร้่านหนังสือ
แต่ไม่ได้หยิบเล่มนี้มา

เห็นว่าพึ่งได้รางวัล กลัวเขาจะหาว่าตามกระแส
เลยรอก่อน แต่ปกสวยดีครับ
ผมเคยเห็นพี่อุทิศ ออกทีวีช่องเก้า อยู่ครั้งหนึ่ง
ดูเท่ไม่หยอกเชียวครับ

วันนั้นผมเลยหยิบหนังสือเรื่อง พลังของคนหัวรั้นของ คุณ สฤณี กลับบ้านไปแทน


โดย: เด็กผู้ชายที่ไม่เตะบอลตอนกลางวัน (kanapo ) วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:11:39:49 น.  

 
อ่านแล้วสนุกมากเลย

ซื้อหนังสือมาอ่านกันเยอะๆนะ


โดย: เด็กดี ชอบอ่านหนังสือ IP: 58.9.172.104 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:16:35:07 น.  

 
รางวัล ซีไรต์...อืม เป็นรางวัลที่การันตีว่าเราแต่งได้เยี่ยมแค่ไหน มันน่าภูมิใจที่ได้มันมา ฉันก็เคยฝันที่จะได้มันเหมือนกัน...ฉันเป็นแค่นักอยากเขียนเขียนไปเรื่อยอ่านไปเรื่อยเท่าที่มีเวลาว่างจากการอ่านหนังสือเรียน...

ฉันไม่เคยอ่านเรื่องนี้หรอกน่ะ...ฉันเป็นคนที่อ่านได้ทุกเรื่องไม่มีรางวัลใดๆการันตี แต่คงมีสักวันแหล่ะ...ที่งานเขียนอันภาคภูมิใจของคนเขียนฉันจะได้หยิบมันขึ้นมาอ่าน

ยินดีด้วยน่ะค่ะกับรางวัลนี้


โดย: oนักอยากเขียน...แค่มคนอ่านก็ยังดี IP: 202.29.57.211 วันที่: 12 ตุลาคม 2552 เวลา:7:26:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.