จะเข้าใจเด็กได้อย่างไร ถ้าเอาแต่ใช้ตรรกะสำเร็จรูป จากประสบการณ์ที่เจนได้ทำงานดูแลเด็กๆมานั้น สิ่งหนึ่งที่พบเห็นมาตลอดคือพ่อแม่และผู้ใหญ่หลายคนมักจะมี ตรรกะสำเร็จรูป เกี่ยวกับเด็กเสมอ พวกเขาชอบคิดเอง เออเอง รับฟังอะไรเพียงเล็กน้อยแล้วก็กระโดดเข้าหาบทสรุปที่วาดไว้ในใจอย่างรวดเร็วง่ายดาย พวกเขาพูดและคิดราวกับว่าเด็กทุกคนชอบเหมือนกัน คิดเหมือนกัน โดยลืมไปว่ามนุษย์ทุกคนนั้นล้วนมีความเป็นปัจเจกด้วยกันทั้งสิ้นและเด็กเองก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นแต่ประการใด การกระทำทุกอย่างของมนุษย์นั้นมีแรงผลักดันอยู่ข้างหลังเสมอ แม้แต่คนที่ทำสิ่งเดียวกันนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำของเขาเกิดจากแรงผลักดันอันเดียวกัน และแม้แต่คนๆเดียวกันทำสิ่งเดียวกันแต่ต่างช่วงเวลากันก็ยังมาจากแรงผลักดันที่แตกต่างกัน เวลาที่ต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กับใครเจนก็จะถามว่า คนเราดื่มน้ำเพราะอะไร แทบทุกคนก็จะบอกว่า "เพราะหิวน้ำ" และก็ทำหน้าประมาณว่าเรื่องแค่นี้ไม่รู้หรือยังไง เจนก็ต้องอธิบายว่าคนส่วนใหญ่ดื่มน้ำเพราะหิวน้ำ แต่ไม่ใช่ทุกคน อย่างบางคนถือกาแฟจะเอาเข้าโรงหนังพอพนักงานบอกเอาเข้าไม่ได้ก็รีบดื่มให้หมดทั้งๆที่ไม่ได้หิวแต่ดื่มเพราะความเสียดาย หนุ่มสาวนั่งจีบกันชมกันไปชมกันมาแล้วก็หยิบน้ำขึ้นมาดื่มนั่นก็ดื่มเพราะแก้เขินอาย หรือเจนเองเดินอยู่ในห้างแล้วมีพนักงานเอาน้ำข้าวกล้องมาให้ชิม เจนก็ดื่มแต่ดื่มเพราะอยากลองไม่ใช่เพราะหิวน้ำอย่างครั้งที่ดื่มส่วนใหญ่ จะเห็นได้ว่าถ้าเราเอาแต่ใช้ตรรกะสำเร็จรูปสรุปว่าทุกคนที่ดื่มน้ำเพราะพวกเขาหิวน้ำเราก็จะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปในหลายกรณี อย่างเรื่องพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเด็กก็เช่นกัน ผู้ใหญ่นั้นชอบสรุปเอาเองว่าที่เด็กมีพฤติกรรมแบบนี้ๆก็เพราะเหตุอันนี้แน่ๆ ทั้งๆที่หลักสำคัญที่สุดในการแก้พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเด็กไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมอะไร สิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือต้องหาให้ได้ว่าอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมแบบนั้น เช่น เรื่องพูดคำหยาบ ตรรกะสำเร็จรูปที่เจอมาตลอดคือพ่อแม่ก็จะโทษว่าเด็กติดมาจากเพื่อนที่โรงเรียน โรงเรียนก็บอกไม่ใช่เด็กติดมาจากที่บ้านต่างหาก สุดท้ายก็โทษกันไปโทษกันมา แล้วก็จบลงแบบแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ครั้งนึงเด็กที่เจนดูแลมีคนนึงเธอพูดไม่ค่อยเพราะ ไม่ว่าจะกับครูหรือเพื่อนด้วยกัน ถามผู้ปกครองๆก็บอกที่บ้านไม่มีใครพูดแบบนี้ ถามเพื่อนๆทุกคนก็บอกว่ามีเธอพูดอยู่คนเดียว พอเจนคุยกับเด็กก็เข้าใจได้ว่าเด็กพูดไม่เพราะไม่ใช่เพราะติดมาจากใครแต่พูดเพราะคิดว่าการพูดคำหยาบคายทำให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่หรือมีอำนาจและก็เชื่อว่าการด่าคนที่ตัวเองเกลียดด้วยคำหยาบคายยิ่งหยาบเท่าไหร่นั้นยิ่งสะท้อนว่าคนที่ตัวเองด่านั้นเป็นคนเลวจริงๆ เจนก็ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้วัดจากการพูดคำหยาบหรือไม่หยาบ แล้วจริงๆคำพูดที่ออกมาจากปากเรานั้นมันสะท้อนถึงพื้นฐานทางการศึกษาและการได้รับการอบรมสั่งสอนต่างหาก ส่วนการที่บอกว่าพูดคำเหล่านี้แล้วทำให้ตัวเองดูเป็นคนมีอำนาจ ครูถามหน่อยว่าเคยได้ยินประธานาธิบดีหรือนายกประเทศไหนไหมออกทีวีแล้วก็ด่าฝ่ายตรงข้ามด้วยคำหยาบคาย ที่ครูเห็นก็มีแต่นักเลงข้างถนนเท่านั้นละ ส่วนตรรกะที่ว่าการด่าคนที่ตัวเองเกลียดด้วยคำหยาบคายยิ่งหยาบเท่าไหร่นั้นยิ่งจะทำให้คนที่ฟังเชื่อได้ว่าคนๆนั้นเป็นคนเลวมากมายจริงๆ ครูก็ต้องบอกว่าคนทุกคนมีวิจารณญาณด้วยกันทั้งนั้นและสำหรับคนที่มีความคิดและมีวิจารญาณสูงนั้นเขาจะตัดสินจาก "สิ่งที่เธอเล่าไม่ใช่สิ่งที่เธอบอก" เช่น ครูเล่าว่ามีผู้ชายคนนึงคนๆนี้เป็นคนที่ชอบทุบตีลูกเมีย ขโมยเงินพ่อแม่ ติดยา เตะหมากระทืบแมว แต่จะบอกอะไรให้นะจริงๆเขาเป็นคนดี ครูถามหน่อยว่าเธอเชื่อครูไหม แน่นอนว่าไม่เพราะเธอเองก็ตัดสินจากสิ่งที่ครูเล่าไม่ใช่สิ่งที่ครูบอกจริงหรือเปล่า เรื่องความชอบของเด็กก็เช่นกันผู้ใหญ่ชอบคิดว่าลูกต้องชอบแบบนั้นเด็กต้องชอบแบบนี้ แล้วก็ด่วนสรุปเอาเองอย่างง่ายดาย "ให้ลูกเรียนดนตรีจะได้ไม่เครียด" , "ชั่วโมงเรียนพละต้องมีสนามหญ้าใหญ่ๆเด็กจะได้ออกกำลังกายอย่างเต็มที่จะได้ผ่อนคลาย" ถามว่าความคิดเหล่านี้จริงไหมก็ต้องบอกว่าจริงบ้างไม่จริงบ้าง อาจจะจริงกับเด็กกลุ่มนึงแต่กับเด็กอีกกลุ่มผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจจะกลายเป็นตรงกันข้าม ถ้าเด็กเรียนดนตรีเพราะตัวเขาอยากเรียนเองย่อมมีแนวโน้มสูงที่เด็กจะมีความสุข แต่ถ้าถูกบังคับให้เรียนโดยที่ตัวเขาไม่ชอบหรือแย่ยิ่งไปกว่านั้นเด็กถูกคาดหวังว่าจะต้องเล่นได้เก่งเท่านั้นเท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้นอกจากเด็กจะไม่หายเครียดแล้วยิ่งจะเครียดหนักกว่าเก่า ส่วนเรื่องชั่วโมงพละนั้น ครั้งนึงเจนสัมภาษณ์คนที่มาสมัครเป็นครูพละ เจนถามว่าคิดว่าชั่วโมงพละในฝันสำหรับเด็กๆเป็นอย่างไร ครูท่านนั้นตอบว่า "ชั่วโมงพละต้องมีสนามหญ้าใหญ่ๆเด็กจะได้วิ่งได้ออกกำลังกายอย่างเต็มที่จะได้ผ่อนคลาย" เจนก็เลยบอกท่านว่าจากการรับฟังความคิดเห็นของเด็กที่ผ่านมา ชั่วโมงพละในฝันของลูกๆเรานั้น ต้อง "ไม่ตากแดด ไม่มีการบังคับให้วิ่ง และเด็กช่วงชั้นสูงๆไม่ต้องการเล่นกีฬาที่ทำให้เหนื่อยมากเกินไปเพราะไม่อยากให้เหงื่อออก" (กลุ่มตัวอย่างที่เจนใช้คือนักเรียนหญิงชั้นมัธยม ถ้าเปลี่ยนกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอนุบาล ประถมหรือเด็กผู้ชาย เจนก็ไม่ปฎิเสธว่าผลลัพธ์ที่ได้ย่อมมีแนวโน้มที่จะแตกต่าง) จะเห็นได้ว่าหลายต่อหลายครั้งสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดแทนเด็กนั้นตรงกันข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง การสอนเด็กก็เหมือนกันหลายครั้งผู้ใหญ่นั้นพอสอนเด็กแล้วเด็กไม่เห็นด้วย คิดต่างหรือไม่ทำตาม พวกเขาก็จะบ่นแต่ว่าสอนไม่รู้จักจำ เถียงคำไม่ตกฟาก ดื้อ งอแงเหลือเกินสอนไม่ไหวแล้ว จริงแล้วต้องบอกว่าหลายทีที่เด็กไม่เชื่อตามที่สอนหรือไม่ฟังนั้น ไม่ใช่เพราะพวกเขาดื้อแต่อย่างใดแต่เป็นเพราะเด็กเข้าใจคลาดเคลื่อนในสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการสื่อหรือมองในมุมที่แตกต่าง มีครั้งนึงน้องอิ๊กไปเล่นเครื่องวีดีโอเกมส์ Wii ที่บ้านญาติแล้วชอบมากๆ หลังจากนั้นไม่นานลูกก็มาขอให้เจนซื้อให้ เจนก็บอกลูกว่าให้อ่านหนังสือเรียนให้ได้ครบห้าสิบชั่วโมงก่อนสอบแล้วพอสอบเสร็จจะซื้อให้ พอเจนบอกไปลูกก็ยอมรับแต่ก็ซึมแล้วก็แอบไปนั่งคนเดียวน้ำตาไหล พอเจนเห็นตอนแรกก็คิดในใจว่าทำไมลูกเอาแต่ใจจังแม่ก็ตกลงจะซื้อให้แล้วๆอีกแค่เดือนกว่าๆก็จะสอบเสร็จอยู่แล้วนี่ เจนก็ถามลูกว่าเป็นอะไร ลูกก็บอกว่าเปล่า เจนก็พูดต่อว่าเราตกลงกันแล้วใช่ไหมถ้ามีปัญหาอะไรเราจะเปิดใจคุยกัน ลูกก็ยังเงียบต่อ เจนก็เลยพูดเชิงตำหนิว่า ทำไมแค่เดือนกว่ารอไม่ได้หรืออย่างไรจะต้องได้วันนี้เลยถึงจะพอใจใช่ไหม ลูกก็บอกว่าเขารอได้แต่ที่เขารู้สึกน้อยใจเพราะ "แม่เคยบอกว่าพ่อกับแม่รักหนูอย่างไม่มีเงื่อนไข แล้วหนูก็เชื่อหมดใจ แล้วเวลาที่พ่อกับแม่บอกให้ทำอะไรหนูก็ทำโดยไม่เคยมีเงื่อนไข แล้วทำไมพอหนูอยากได้อะไรแม่ถึงต้องมามีเงื่อนไขกับหนูด้วยละ" เจนก็กอดลูกแล้วก็อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าพ่อแม่รักหนูโดยไม่มีเงื่อนไขนั้นไม่ได้หมายความว่าหนูจะต้องได้ทุกอย่างตามที่หนูต้องการ แล้วเรื่องอ่านหนังสือที่แม่กำหนดนั้นก็เพื่อประโยชน์ของตัวหนูเองและที่สำคัญที่สุดสิ่งที่แม่กำหนดขึ้นกับปัจจัยที่หนูควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าหนูตั้งใจอ่านหนังสือ อย่างไรหนูก็ต้องได้แน่ๆเพราะแม่ไม่ได้กำหนดว่าแม่จะให้ก็ต่อเมื่อหนูต้องได้เกรดเท่านั้นเท่านี้ สุดท้ายลูกก็เข้าใจ (วันนั้นยอมรับเลยว่ารู้สึกไม่ดีกับตัวเองมากๆที่ดุลูกไป) จะเห็นได้ว่าบางครั้งสิ่งดีๆที่เราตั้งใจจะให้เด็กๆของเรานั้น เด็กกลับเข้าใจผิดหรือสุดท้ายกลับได้รับผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะว่าผู้ใหญ่เอาแต่ใช้ตรรกะสำเร็จรูปโดยลืมคิดไปว่าคนทุกคนนั้นมีความคิดเป็นของตัวเอง และหลายเรื่องในโลกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของถูกหรือผิดเพียงแต่เป็นเรื่องของทัศนคติและมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดนั้นกลับเป็นวิธีที่ไม่ค่อยมีใครสนใจที่จะทำ นั่นก็คือเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของเด็กๆ (บทความนี้เขียนขึ้นจากความรู้สึกและประสบการณ์ไม่ใช่งานวิจัยหรือเอกสารทางวิชาการ คุณพ่อคุณแม่จะคิดเห็นเช่นไรนั้นขอได้โปรดใช้วิจารณญาณตัดสินใจด้วยตัวเอง) เจน ชอบบล้อกนี้จังเลยครับคุณเจน
เปรียบเทียบเรื่องน้ำโดนใจเต็มๆ ได้แง่คิดดีดีไปปรับใช้กับลูกผมเยอะเลยครับ 555 ขอบคุณครับ โดย: กะว่าก๋า
![]() ![]() |
JanE & IK
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() All Blog
Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
บทความของครูเจน มีประโยชน์มากเลยค่ะ ขอบคุณอีกครั้ง ดีใจแทนเด็กๆ ในโรงเรียนของครูเจนมากที่มีครูที่มีจิตวิญญาณแบบนี้
อยากให้น้องไปเรียนด้วยจังเลยค่ะ หลังไมล์มาบอกได้ไหมคะ