ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
 
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
23 กันยายน 2555
 
All Blogs
 

คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 3

“เตรียมตัว ระวัง...ไป”

เขาเริ่มออกวิ่ง ก้าวขาซ้าย ขาขวา เหวี่ยงแขน สูดลมหายใจเข้าออกอย่างต่อเนื่อง มันเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยได้ทำ หรืออย่างน้อยก็ไม่เคยต้องทำติดต่อกันเป็นเวลานานแบบในตอนนี้ เสียงเฮสนับสนุนจากขอบสนามดังมา แต่ตอนนี้เขาหูอื้อ จึงฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

'ทำไมเส้นชัย มันถึงอยู่ไกลนักนะ' คู่แข่งที่วิ่งอยู่ข้างๆ เริ่มขยับล้ำหน้าห่างออกไปทีละน้อย เขาพยายามจะเร่งฝีเท้าเพื่อติดตาม ซึ่งในความคิด มันน่าจะทำได้ไม่ยาก 'ก็แค่ขยับขาให้เร็วขึ้นเท่านั้น' แต่ในความเป็นจริง มันกลับยากเย็นเหลือเกิน

'ฉันไม่ใช่กระต่าย' พอคิด 'ฉันคงวิ่งได้เร็วเท่านี้เอง'

ความล้าของกล้ามเนื้อเพิ่มสูง ลมหายใจยิ่งอึดอัดขาดช่วง เนื่องจากร่างกายไม่เคยคุ้นกับการต้องออกกำลัง นอกจากการเล่นฟุตบอลในสนามเล็กๆ กับเพื่อนช่วงพักกลางวัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการขยับตัววิ่งช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น เวลาที่เหลือของเขามักหมดไปกับการอ่านหนังสือ

'แต่ถ้านี่คือการวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอดล่ะ'

เขาหวนคิดถึงความฝันเมื่อคืน ถ้าการวิ่งร้อยเมตรนี้มีชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน เขาจะทำได้ดีกว่านี้หรือไม่ ระยะทางเหลืออีกไม่มาก คู่แข่งยังคงวิ่งนำ ล้ำหน้าเขาอยู่สองสามก้าว เขากัดฟันพยายามฝืนเร่งฝีเท้า โถมตัวไปข้างหน้า และนั่นเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง

โลกทั้งโลกพลันดับมืด

เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอรู้สึกตัวอีกที เพื่อนหลายคนก็มารุมล้อมอยู่รอบกาย รวมถึงคนที่กำลังวิ่งแข่งกับเขาอยู่เมื่อครู่นี้ด้วย

“เป็นอะไรหรือเปล่า” อะตอมยังหอบหายใจ ในตอนที่ยื่นมือมาให้

“พอ มีเลือดออกด้วย” เสียงตกใจของใครคนหนึ่งดังขึ้น เขาคุ้นๆ ว่าน่าจะเป็นเสียงของ พริม เขาเอื้อมจับมือเพื่อนเพื่อจะลุกขึ้น ในตอนนั้นเองที่ความเข้าใจทั้งหลายพึ่งจะผุดขึ้นมา เขาฝืนร่างกายตัวเองมากเกินไป 'ฉันล้มไม่เป็นท่า น่าอายจริง' ความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหลายค่อยๆ เริ่ม และคงจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างไม่ต้องสงสัย

“เอ้า ถอยหน่อย ถอยหน่อย เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เสียงทุ้มๆ ของ ครูวิท ดังมา ก่อนที่ร่างสูงสมส่วนของเขาจะแหวกกลุ่มเด็กนักเรียนชายหญิงที่ยืนมุงอยู่เข้ามา

“ลุกไหว...อ้าว ได้แผลด้วยนี่เรา” ครูวิทนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง มองดูแผลที่หัวเขาข้างขวาของเด็กแว่นซึ่งไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวในวิชาพละของเขา 'โชคดีที่บอกให้เขาถอดแว่นออกก่อนวิ่ง' ที่แผลมีเลือดมากพอดู แต่เขาดูออกว่ามันเป็นเพียงแผลถลอก ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก

“...ไปล้างแผลด้วยน้ำเสียก่อน แล้วค่อยไปห้องพยาบาล”

“ผมวิ่งเสร็จแล้ว เดี๋ยวผมพาพอไปเองนะครับ” อะตอมอาสา ครูวิทพยักหน้า ก่อนไล่เด็กคนอื่นๆ ให้กลับไปจับคู่วิ่งแข่งกันต่อ 'คงไม่ต้องโทรแจ้ง แต่น่าจะมีจดหมายไปอธิบายเสียหน่อย เดี๋ยวผู้ปกครองจะมาโวยวายเอา'

อะตอมพยุงเพื่อนไปล้างแผลตามที่ครูบอก สายน้ำเย็นๆ ไหลกระทบปากแผลทำให้พอถึงกับสะดุ้ง เขาไม่ได้แผลแบบนี้มานานแล้ว

“...ขอโทษนะ” อะตอมพูดขึ้น

“ไม่ใช่ความผิดของนายเสียหน่อย ฉันล้มลงไปเอง” พอปัดรอยเปื้อนตามร่างกาย ข้อศอกข้างขวาของเขามีรอยถลอก แต่ก็เพียงเล็กน้อย รวมถึงตามร่างกายส่วนอื่นๆ ด้วย

“เปล่า...ฉันหมายถึงเรื่องเมื่อวาน ที่ฉันทิ้งนายไว้ในร้านหนังสือประหลาดนั่นคนเดียวต่างหาก”

“...ก็...ไม่เห็นจะมีอะไรนี่นา...และมันก็แค่ร้านหนังสือเก่าเท่านั้นเอง” เขาไม่ค่อยแน่ใจในคำพูดของตัวเอง แต่ยังไม่อยากเล่าเรื่องความฝันเมื่อคืนให้ใครฟัง

“นายไม่เจออะไรแปลกๆ ในนั้นบ้างเลยหรือ” อะตอมถามย้ำ

“แล้วนายเจออะไรหรือไงเล่า” เขาย้อน

“ก็...เปล่า” อะตอมลังเล “แต่ฉันไม่ชอบตุ๊กตาในสวนพวกนั้นเลย มันดู...แปลก น่ะ” เขาเปลี่ยนใจไม่ยอมใช้คำว่า 'น่ากลัว' แล้วหลังจากนั้นก็ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง

“แผลนายเป็นอย่างไร เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า”

แม้จะยังคงมีเลือดซึมออกมา แต่บาดแผลก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ถึงจะยังคงมีอาการปวดอยู่ก็ตาม

“ไม่เป็นไรแล้ว...แบบนี้ ไม่ต้องไปห้องพยาบาลก็ได้”

“ไม่ได้หรอก...” เพื่อนรีบส่ายหน้า ก่อนยิ้มอย่างรู้ทัน “...นายกลัวเวลาใส่ยาแล้วมันจะแสบใช่ไหมล่ะ”

เขารีบตอบโต้ “แล้วนายล่ะ ที่อาสาพาฉันไปห้องพยาบาลนี่ ที่จริงเพราะอยากไปเจอหน้าครูอ้อมใช่ไหม” เขาหมายถึงหญิงสาวน่ารักที่ประจำอยู่ในห้องพยาบาล

“เปล่านะ...” เขาหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าเพื่อนเข้มขึ้น

“...นายวิ่งแพ้ฉัน” เพื่อนตอกกลับ แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป

ก่อนที่เรื่องจะเปลี่ยนเป็นเลวร้าย “เออ ฉันแพ้ ก็ฉันมันเป็นแค่เต่า ไม่ใช่กระต่ายเหมือนนาย” พอพูด แล้วเขาจึงเริ่มหัวเราะ เพื่อนมองหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่สุดท้าย ทั้งคู่ก็เดินหัวเราะไปด้วยกัน

#####

ฟูล นั่งพักหลังจากลงมือจัดหนังสือมาตั้งแต่เช้า 'ไม่มีประโยชน์' เขาไม่มีทางจัดหนังสือพวกนี้ให้เป็นหมวดหมู่ได้เลย พวกมันมีจำนวนมาก หลากหลายจนเกินไป แม้จะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่เขาก็ยังคงพยายามจัดพวกมันทุกครั้งที่มีการโยกย้ายร้าน พวกมันเป็นเหมือนกับความทรงจำเก่าๆ ที่เอาแต่สะสมเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน

'เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะ'

เขาหมายถึงการที่ต้องโยกย้ายร้านไปตาม 'ที่ต่างต่าง' ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ ที่ไหน แต่ยังอาจเป็น เมื่อไร และมีความหมายมากกว่าการเป็น 'สถานที่ใดใดบนโลกใบนี้' เพราะเขาไม่เคยแน่ใจว่ามันจะยังคงเป็น 'โลก' ใบเดิมในทุกครั้ง ไม่เคยแน่ใจว่าที่ผ่านมา และจะผ่านไปเป็นโลกใบเดียวกัน ไม่ว่ามันจะเหมือนกันมากเพียงใดก็ตาม

'หนังสือสำคัญ' เล่มอื่นๆ ถูกวางไว้ในตำแหน่งที่ถูกต้องเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงเล่มที่เขาอ่านค้างไว้ หนังสือนิทานที่ยังคงวางเปิดอยู่บนโต๊ะทำงานเหมือนเดิม

'ดูเหมือนว่าการย้ายร้านครั้งต่อไปคงจะเริ่มได้ในไม่ช้า' แต่เขาก็ยังไม่กล้าแน่ใจ เขาหวนคิดถึงเด็กแว่นที่พบเจอเมื่อวานนี้อีกครั้ง 'เขาชื่ออะไรนะ' เขานึก 'พอ ใช่ เขาชื่อพอ'

เขาเหลือบมองไปบนหน้ากระดาษ เต่า กับกระต่ายยังคงไม่กลับมา เขาขยับตัว แล้วผมที่ผูกไว้ข้างหลังก็เคลื่อนไหว เหมือนกับหางฟูเป็นพวงที่โยกส่ายไปมา ดวงตาคู่นั้นของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน มันดูลึกลับ และน่ากลัว

'ฉันจะลองคิดดูอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งคู่กลับมาแล้ว'

เขาคะเนความหนาของหนังสือส่วนที่เหลือ มันเป็นเพียงหนังสือเล่มบางๆ นิทานนั้นมีความยาวไม่มาก แต่มันยังคงมีอีกหลายเรื่องกว่าจะจบเล่ม

'หนังสือนิทาน ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย'

เขาเงยหน้าขึ้น และพบเพียงความวังเวงภายในร้าน 'ทำเลคราวนี้เลวร้ายเหลือเกิน' หมู่บ้านจัดสรรในยามกลางวันนั้นเงียบเหมือนหมู่บ้านร้าง ในยามเช้า และยามค่ำมีเพียงรถยนตร์วิ่งผ่านไปมา ไม่รู้ว่าในวันหยุด ทุกอย่างจะดีขึ้น หรือเลวร้ายยิ่งกว่านี้ เพราะถึงแม้ว่าการขายหนังสือจะไม่ใช่เรื่องที่เขาจำเป็นต้องใส่ใจ แต่การได้พูดคุยกับลูกค้าบ้าง ได้ขายหนังสือพวกนี้ออกไปบ้าง ก็ช่วยทำให้เขาหายเหงาได้

เขาได้แต่นั่งทอดถอนใจ จนในที่สุดก็ต้องลุกไปจัดหนังสือต่ออย่างไร้จุดหมาย

#####

เลิกเรียนยามเย็น เด็กชายสองคนเดินกลับบ้านด้วยกันเช่นเดิม

“พอ เป็นอย่างไรบ้าง...”

เสียงใสๆ ของใครบางคนดังทักมา ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปถึงประตูรั้วของโรงเรียน ใครคนนั้นที่ว่าเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาสดใส ผมยาวถูกรวบมัดเอาไว้ด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินดูเรียบร้อย

“...ฉันหมายถึงแผลของเธอน่ะ”

ทั้งคู่ก้มมองตรงหัวเข่าที่ตอนนี้มีผ้าพันแผลสีขาวสะอาดปิดเอาไว้เรียบร้อย เขาอยากที่จะแกะมันออก แต่ต้องอดใจรอให้กลับถึงบ้านเสียก่อน ไม่อย่างนั้นอาจถูกครูที่พบเห็นโวยวายเอาได้

“ไม่เป็นไรแล้ว แค่แผลถลอกเท่านั้นเอง”

“ก็ดี ตอนนั้นฉันเห็นเลือดเต็มไปหมดเลย” เขายังจำเสียงตกใจที่เธอร้องออกมาได้ และมันทำให้ใบหน้าของเขาเข้มขึ้น

“แล้วพริมยังไม่กลับอีกหรือ” เขาถามเพื่อไม่ให้ความเงียบรั้งรออยู่นานเกินไป

“ยัง ว่าจะนั่งทำการบ้านรอพ่อมารับ...ไปนั่งทำด้วยกันไหมล่ะ”

เขาอยากตอบรับออกไป รู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆ ของเพื่อนที่กำลังแอบจ้องอยู่ข้างๆ แต่ที่สำคัญ วันนี้เขาถูกสั่งให้รีบกลับบ้าน

“ไปทำการบ้านกับพริมก่อนกลับก็ดีนะ” เสียงอะตอมพูดขึ้น เขาทำเป็นไม่ได้ยินน้ำเสียงซ่อนเร้นของเพื่อน

“ไม่ได้หรอก วันนี้ที่บ้านสั่งให้รีบกลับ ไว้วันหลังนะ”

ทั้งสองฝ่ายเดินแยกย้ายไปคนละทาง เด็กชายต่างยกมือไหว้ครูเวรที่ประจำอยู่ ทั้งคู่เดินผ่านร้านหนังสือฟูล และอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองผ่านประตูรั้วที่เปิดอ้าเอาไว้อย่างชวนเชิญ วันนี้ทุกอย่างดูเป็นปกติ แม้แต่เหล่าตุ๊กตาสัตว์ประดับสวนพวกนั้นก็ดูเรียบร้อยดี ไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดแต่อย่างใดอีก

อะตอมเลิกคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน และถ้าไม่มีความฝันเมื่อคืน พอเองก็อยากจะแวะเข้าไปดูหนังสือเก่าในนั้นอีกสักครั้ง มีพวกมันรออยู่มากมาย และน่าจะมีสักเล่มที่เหมาะกับเขา

ภาพของหนังสือนิทานเล่มที่เปิดวางทิ้งไว้บนโต๊ะผุดขึ้นมาทันใด พร้อมกับ 'หาง' หรือผมที่รวบมัดเอาไว้ของชายคนนั้น ก็โผล่ออกมาด้วย มันทำให้เขานึกถึงหมาป่าที่จ้องจะจับเถาะ กับตนุ กินเป็นอาหาร

“พรุ่งนี้เจอกัน” เพื่อนพูดทิ้งท้ายก่อนเดินแยกไป

“พรุ่งนี้เจอกัน” เขาตอบไปโดยไม่ต้องคิด มันจะต้องมีวันพรุ่งนี้อยู่เสมอ สำหรับเขามันคือความเป็นจริง

หากเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แก่ชราไปตามวันเวลา บางที คำพูดแบบนี้อาจต้องสะดุดกับความคิดอะไรบางอย่าง เช่น ไม่แน่ว่ามันจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเราอีกหรือไม่ พรุ่งนี้จะไม่เป็น 'สิ่งที่แน่นอน' อีกต่อไป

เขากลับถึงบ้าน ทำทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนเปิดคอมพิวเตอร์ในห้องชั้นล่างเพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ หลังจากเข้าไปดูตามหน้าต่างๆ ที่คุ้นเคยหมดแล้ว เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นิ้วมือรีบพิมพ์ข้อความลงไปในช่องสำหรับค้นหาอย่างรวดเร็ว

'นิทาน กระต่าย เต่า'

ผลที่ได้ออกมาคือสิ่งที่เขาคุ้นเคยทั้งสิ้น แม้จะมีหลายคนที่พยายามบอกเล่าเรื่องราวนี้ในแบบที่ต่างออกไป ด้วยการหักมุมแบบแปลกๆ แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นเรื่องราวของการแข่งขัน ยังคงมี ผู้แพ้ ผู้ชนะอยู่เช่นเดิม

ประตูบ้านถูกเปิด แต่เขาไม่ได้ยินเสียงรถเลย

“ว่าไง ไอ้ลูกชาย” พ่อทัก

“...สวัสดีครับพ่อ แล้วแม่กับคุณยายล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรือครับ” เขาหันไป 'พ่อไม่ได้ขับรถกลับมา' เขามั่นใจว่าตนเองคงไม่ได้ใจลอยถึงขนาดนั้น

พ่อยิ้ม แต่มันดูเป็นรอยยิ้มที่ฝืนอย่างเห็นได้ชัด

“เดี๋ยวพวกเขาก็คงกลับมา ทั้งคู่ไป...ทำธุระอะไรกันนิดหน่อย ตอนแรกพ่อยังคิดว่าพวกนั้นจะกลับมาก่อนพ่อด้วยซ้ำ”

เขาคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า แม่สวมเสื้อคลุมสีแดงตัวนั้นอีก และมันทำให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับนิทานเหมือนกัน 'หนูน้อยหมวกแดง' แต่แทนที่จะมีตะกร้า ในมือของแม่มีของที่ดูคล้ายกับซองใส่เอกสารแทน แถมคุณยายยังออกจากบ้านไปพร้อมกัน 'พ่อก็คงจะเป็นคนตัดฟืน' ส่วนที่ขาดไปก็คือหมาป่า 'อีกแล้ว' ซึ่งเขาไม่อยากนึกถึง

พ่อกับแม่ยืนคุยกันเงียบๆ ก่อนที่จะขับรถออกจากบ้าน 'จริงสิ' ดูเหมือนพ่อจะเปลี่ยนให้แม่เป็นคนขับแทน เมื่อจอดส่งเขาที่โรงเรียน นานๆ ครั้งที่พวกเขาจะทำอย่างนั้น นั่นหมายถึงแม่มีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องใช้รถ 'บางทีแม่อาจจะพาคุณยายไปทำธุระที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้' เขาคิด แต่ท่าทางแปลกๆ ของพ่อทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

“ดูอะไรอยู่หรือลูก”

พ่อถามพร้อมกับมองเข้าไปในหน้าจอ ก่อนขมวดคิ้ว

“นิทาน...ไม่เด็กไปหน่อยหรือ สำหรับลูก”

“พ่อคิดอย่างนั้นหรือครับ” เขาเลี่ยงที่จะตอบ พร้อมกับกดปิดหน้านั้นไป พ่อขยับหาที่นั่งลง ก่อนเริ่มชวนคุย ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อไม่ค่อยทำบ่อยนัก

“ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ก็ดีครับ อ้อ วันนี้ผมได้แผลถลอกจากวิชาพละ...”

“อย่างนั้นหรือ...” ถ้าเป็นแม่คงต้องรีบขอดู พร้อมกับบ่นโวยวายไปแล้ว เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดถึงจดหมายของครูวิทที่อยู่ในกระเป๋า “...ปีหน้า ลูกต้องเปลี่ยนโรงเรียน คงต้องเดินทางไกล แถมอาจต้องไปเองด้วย จะไหวไหมล่ะ”

เขาพยักหน้า “ที่ไหนล่ะครับ”

“ก็...ยังไม่แน่หรอก พ่อกับแม่ยังคุยกันอยู่เลย”

เขาพอจะนึกออก ที่เคยแอบได้ยินพ่อแม่พูดคุยกันเรื่องเรียนต่อของเขา และ 'มันฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไร' มันมีทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย การเดินทาง รวมถึง 'ความเหมาะสมของโรงเรียนเพื่อการศึกษาต่อในลำดับต่อไป' ทั้งคู่ต่างขึ้นเสียง และหัวเสียกับเหตุผลของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเขาไม่เข้าใจ

“แต่ลูกไม่ต้องกังวล เรา...” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พ่อยกมันขึ้นดู “...จากแม่” พ่อลุกเดินออกไปเพื่อรับสาย เขาแปลกใจเพราะตามปกติแล้ว พ่อจะคุยต่อหน้าเขาเลย

“...คืนนี้แม่กับคุณยายจะไปค้างที่อื่น”

พ่อบอกอย่างนั้น แต่เขาคิดว่าความจริงแล้วพ่อคงอยากจะพูดอะไร อยากบอกอะไรมากกว่านั้น แต่พ่อยังไม่แน่ใจว่าจะพูดมันออกมาอย่างไร เขาคิดว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดี และคงเกี่ยวข้องกับคุณยายอย่างไม่ต้องสงสัย

คืนนั้น พอเข้านอนเพียงลำพัง เขาหลับไปพร้อมกับความกังวลที่เหมือนหมอกควัน ความกังวลที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และไม่อยากรู้ด้วย

#####

พอ กลับมาอยู่ในความฝันอีกครั้ง ป่า ท้องฟ้า สายลม ก้อนเมฆ กับทุ่งหญ้าเขียวขจี เช่นเดิม พวกมันล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศของคืนวันอันเก่าแก่ แต่วันนี้พวกมันกลับไม่สดใส สดชื่นเหมือนเคย

“ว่าอย่างไร เพื่อนที่ผ่านทางมา เธอมีความคิดอะไรดีๆ บ้างหรือยัง” เสียงเถาะเอ่ยถามมาจากด้านล่าง เขาก้มมองและได้พบกับดวงตาสีแดง ขนปุยสีขาว หูยาว กับจมูกสีชมพูยุกยิกน่ารัก

“เอ่อ...ยังเลย” เขาตอบไปตามตรง

ทั้งคู่พากันเดินกันไปหาตนุ ซึ่งยังคงนั่งเหมือนก้อนหินอยู่ใต้ร่มไม้เหมือนเช่นเคย

“เราคงถ่วงเวลาต่อไปอีกไม่ได้แล้ว” เถาะว่า

“ใช่” ตนุพยักหน้าเห็นด้วย “ฉันเองก็ไม่ชอบอะไรที่ยืดยาดเหมือนกัน” พอฟังแล้วต้องกลั้นยิ้มเอาไว้

“เธอไปรอที่เส้นชัยบนยอดเนินสูงตรงนั้นก่อน ตัดลัดทางตรงนี้ขึ้นไปเลย” เถาะชี้มือไป “ส่วนพวกเราจะวิ่งอ้อมไปตามทางนี้” เถาะชี้มือวนเป็นวง

ตนุมองตาม พร้อมพึมพำออกมาเบาๆ “ไกลจังเลย”

พอยังลังเล แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ที่สำคัญ เขาเองก็อยากรู้ตอนจบของนิทานเรื่องนี้ด้วย 'มันก็แค่ความฝันเท่านั้น'

“ถ้าอย่างนั้น ฉันไปก่อนนะ”

เขาหันหลังเดินจากมา ก่อนค่อยๆ ไต่สูงขึ้นไปบนเนินที่ว่า น่าแปลกที่เนินสูงนี้กลับบดบังเส้นทางการแข่งขันเบื้องล่างไปจนหมด สุดท้ายเขาจะได้เห็นเพียงระยะทางช่วงสั้นๆ ก่อนถึงเส้นชัยเท่านั้นเอง เขายืนหันซ้ายหันขวา ก่อนคิดจะขยับออกไปเพื่อดูเหตุการณ์ข้างล่าง

'โครก' เสียงประหลาดดังออกมาจากในพุ่มไม้ที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวข้างบนนี้ เขามองไป มันเป็นเพียงพุ่มไม้ธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ไม่เฉพาะแค่ในความฝัน นั่นเป็นความคิดก่อนที่เขาจะได้เห็นอะไรบางอย่าง ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในความมืดลึกล้ำ ดวงตาของนักล่าที่สะท้อนประกายสีแดง

“สวัสดี...” พุ่มไม้ส่งเสียงทักทายแหบห้าวเยือกเย็น “...คนที่ผ่านทางมา ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้ามาแล้ว”

เขาไม่เห็นอะไรนอกจากพุ่มไม้หนา ความมืดมิด และดวงตาคู่นั้น แต่เขาคิดว่าตัวเองรู้ว่ามีใคร หรือตัวอะไรซ่อนอยู่ในนั้น 'โครก' เสียงประหลาดนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

“ข้าชื่อ ลูฟ เป็นหมาป่า เจ้าคงรู้แล้ว และเสียงนั่น...เป็นเสียงท้องของข้าเอง ซึ่งเจ้าอาจยังไม่รู้” มันหัวเราะ และในเสียงที่ร่าเริงนั้นมีคมเขี้ยวซ่อนอยู่ด้วย

“สวัสดี...ฉันชื่อ พอ” เขาตอบไปตามมารยาท พยายามรักษาระยะห่างจากพุ่มไม้ และไม่ละสายตาไปไหน

“ข้าคิดว่าบางที...การแข่งครั้งนี้ อาจใช้เวลานานกว่าที่คาด”

'หากกระต่ายวิ่งเต็มที่ ก็คงไม่เสียเวลาสักเท่าไร' เขาคิด

“ไม่หรอก ถ้ากระต่ายนั่นคิดจะวิ่งจริง มันคงขึ้นมาถึงก่อนเจ้าเสียอีก เจ้านั่นมันวิ่งเร็วราวกับปุยเมฆล่องลอยไปในสายลม” ราวกับมันอ่านความคิดของเขาได้ มันเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้ารู้ไหม ว่าข้าต้องเหนื่อยเพียงใดกว่าจะจับกระต่ายดีๆ ได้สักตัว”

“อ้อ กระต่ายดีที่ว่า ข้าหมายถึงกระต่ายอ้วนท้วนเนื้อนุ่มนั่นแหละ ถ้าเจ้าสงสัย ส่วนเจ้าเต่าตัวนั้น แม้มันจะอยู่นิ่งๆ ก็ทำให้ข้าต้องปวดหัวมิใช่น้อย กว่าจะหลอกให้มันโผล่หัวออกมาจากก้อนหินที่มันแบกเอาไว้ได้”

“ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อของมันคงจะต่างออกไป” มันหัวเราะอีกครั้ง เขาได้แต่ยืนเงียบ

“เจ้ารู้ไหม ว่าพวกมันวางแผนจะทำอะไรกัน”

เขาส่ายหน้า

“ถ้าอย่างนั้น อีกเดี๋ยว อ้อ ไม่ใช่สิ คงต้องอีกสักพัก เราจะได้รู้กัน” มันส่งเสียงหัวเราะยาวนาน 'โครก' เสียงท้องร้องดังแทรกออกมา และทำให้มันยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม

“...แล้วเราจะได้รู้กัน”




 

Create Date : 23 กันยายน 2555
0 comments
Last Update : 23 กันยายน 2555 23:01:43 น.
Counter : 838 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.