ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
28 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 

คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 8

ไข่ไก่ เหยาะด้วยน้ำปลา ก่อนตีจนได้ที่ แล้วเทลงในกระทะน้ำมันร้อนๆ จนขึ้นฟู ก็แค่นั้น ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้พวกมันแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้ พอ หมายถึงไข่เจียวฝีมือคุณยายที่พึ่งกินไปเมื่อครู่ เทียบกับไข่เจียวที่เขาเคยกินมา ไม่ว่าจะเป็นไข่เจียวที่ซื้อมาจากตลาด หรือไข่เจียวในชุดอาหารสำเร็จที่ถูกอุ่นให้ร้อนด้วยเครื่องอุ่นอาหาร ไม่ใช่ว่าไข่เจียวพวกนั้นจะไม่อร่อย แต่มันเป็นความอร่อยที่แตกต่าง

ไข่ที่พึ่งเจียวเสร็จร้อนๆ ใหม่ๆ นั้นอร่อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เขานั่งลงบนเตียงภายในห้องของตนอย่างเกียจคร้าน หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้ออาหาร รู้สึกเหมือนกับลืมอะไรที่สำคัญไปบางอย่าง แล้วถุงเปล่าใบหนึ่งก็ปลิวผ่านมา เขาเอื้อมมือออกไป ก่อนจะทันได้สัมผัส เขาก็นึกขึ้นได้ 'หนังสือเล่มนั้น' แต่มันควรจะยังอยู่ในถุงใบนี้มิใช่หรือ

'จะหายไปไหนได้ มันไม่มีขาเสียหน่อย'

ภาพแปลกๆ เบียดแทรกเข้ามาในห้วงความคิด หนังสือที่ตกอยู่บนพื้นค่อยๆ ขยับเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เขาไม่แน่ใจว่ามันทำแบบนั้นได้อย่างไร บางทีอาจจะมีขาเล็กๆ จำนวนมากงอกออกมาจากทางปกหลัง หรือมันอาจจะยื่นขาสั้นๆ สี่ขาที่เก็บซ่อนเอาไว้อยู่ภายในปกของมันออกมา 'เหมือนกับเต่า'

เขารีบก้มลง กวาดตามองหาไปใต้เตียง แต่ก็ไม่พบ และรู้สึกดีใจที่มันเป็นอย่างนั้น เขารีบปัดความคิดพวกนั้นทิ้งไป 'หนังสือจะทำแบบนั้นได้ที่ไหนกัน'

เขามองดูถุงเปล่าที่ยังถือค้างอยู่ในมือ ก่อนเริ่มพับมันเพื่อเก็บไว้ใช้อีกครั้ง 'เดี๋ยวก็คงเจอเอง' เหมือนกับเวลาที่ต้องการหาอะไรบางอย่าง พยายามหาเท่าไรก็ไม่พบ แต่สุดท้าย กลับเจอมันอยู่ในที่ที่เคยมองหามาแล้วหลายสิบรอบ มันมักเป็นเช่นนั้น จิตใจที่กำลังสับสนกระวนกระวายจะทำให้เรามองไม่เห็นในสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง

จิตใจมักชอบเล่นตลกกับเราแบบนั้นอยู่เสมอ

#####

พอ ลืมตาขึ้นช้าๆ เป็นอีกครั้งที่เขารู้ตัวในทันทีว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝัน ป่า ท้องฟ้า สายลม ก้อนเมฆ กับทุ่งหญ้าเขียวขจี พวกมันล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศของคืนวันอันเก่าแก่ พวกมันสดใส และสดชื่นในทุกลมหายใจเข้าออก ที่สำคัญมันกระจ่างจ้าชัดเจนไม่เหมือนกับที่ผ่านมา

'ราวกับเมฆหมอกที่เคยปกคลุมอยู่ถูกเปิดออก' เขาลังเล 'หรือไม่ก็คงเหมือนกับถุงที่ถูกเปิดออก' ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงคิดอย่างนั้น

เขามองไปรอบๆ มันไม่ใช่สถานที่เดียวกับที่เขาเคยชมการแข่งขันอันแสนเศร้าระหว่างตนุ กับเถาะ การวิ่งแข่งเพื่อไปสู่จุดจบ แต่มันต้องเป็นโลกเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย เสียงสายน้ำรินไหลดึงดูดให้เขาก้าวเดินไป ข้างหน้าเป็นลำธารแคบๆ สายหนึ่งกับสะพานไม้เก่าๆ ทอดข้ามไป

'มีนิทานกี่เรื่องกันนะที่เกิดขึ้นในสถานที่แบบนี้'

มีแกะฝูงเล็กๆ ฝูงหนึ่งกำลังยืนและเล็มหญ้าอยู่ในท้องทุ่งที่ห่างออกไปไม่ไกล เขาได้ยินเสียงของพวกมันร้องเบาๆ อย่างมีความสุข แต่พวกมันจะยังไม่เดินมาทางนี้ และเขาเองก็จะไม่เดินไปทางนั้น 'มันยังไม่ถึงเวลา' อะไรบางอย่างภายในตัวบอกกับเขาอย่างนั้น

เขาเดินขึ้นไปบนสะพานไม้ มันเตี้ยพอที่เขาจะนั่งลงพร้อมกับหย่อนเท้าลงไปในสายน้ำเย็น 'ฉันไม่ได้สวมรองเท้า' เขาไม่รู้ว่ามันสำคัญหรือไม่ในความฝัน แต่ที่แน่ๆ การทำแบบนี้ให้ความรู้สึกสบายอย่างไม่น่าเชื่อ เขาก้มมองลงไปในสายน้ำ และจากภายในนั้น กำลังมีใครอีกคนจ้องมองกลับมาอย่างลางเลือน

ใครคนนั้นที่ว่า ก็คือตัวเขานั่นเอง 'มันลางเลือนเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่มีผิด' เขาหมายถึงช่วงเวลาแห่งความโกรธเกรี้ยวในสระว่ายน้ำที่พึ่งผ่านไปนั่นเอง

มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในสายน้ำ เงาของอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนมาจากอีกฟากฝั่งของสะพาน มันมีสี่ขา กับหางที่ยาวเป็นพวง มันทำให้เขานึกถึงใครบางคน ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันมาก่อน ใครบางคนที่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะหันไปมอง

เขานึกถึง ลูฟ หมาป่าที่ซ่อนกายอยู่ในความมืดมิดตัวนั้น

เงาดังกล่าวไม่ได้เพียงเดินผ่านไปอย่างที่เขาเฝ้าภาวนาอยู่ในใจ มันหยุดลงที่กึ่งกลางสะพานใกล้ๆ กับตัวเขา และมันบังคับให้เขาต้องหันไปมองในที่สุด เขากระพริบตา เจ้าของเงาดังกล่าวนั้นเป็นสุนัขสีขาวตัวใหญ่ แต่เขามั่นใจว่ามันไม่น่าจะใช่หมาป่า อีกทั้งเขายังรู้สึกด้วยว่า

'เธอน่าจะเป็น ผู้หญิง'

เขาค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น ก่อนถอยห่างออกไปอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด เขาหมายถึงการเข้าใจผิดที่จะทำให้สุนัขตัวโตนี้ตัดสินใจกระโจนเข้าใส่เขา

ในปากของเธอคาบอะไรไว้บางอย่าง ทำให้เขาเผลอจ้องมอง

“ออง อะ ไอ” เธอถามทั้งๆ ที่ยังคาบก้อนเนื้อชิ้นโตนั้นไว้ภายในปาก

“เธอว่าอะไรนะ” เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด แต่เสียงนั้นยืนยันได้เรื่องหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงจริงอย่างที่คิด

เธอวางก้อนเนื้อในปากลงข้างกายอย่างระวัง

“ฉันถามว่า มองอะไร เนื้อน่ากินชิ้นนี้เป็นของฉัน และถ้าเธออยากจะได้มันจริงๆ เราก็คงต้องต่อสู้แย่งชิงกันอย่างยุติธรรม...ซึ่งฉันไม่อยากทำอย่างนั้น” เมื่อพูดจบ เธอก็แยกเขี้ยวขาววาววับให้เขาเห็น

เขารีบส่ายหน้าทันที “เปล่า ผมแค่นึกสงสัยว่ามันคืออะไรเท่านั้นเอง”

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป” ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น แต่สายตาที่จ้องมองมายังคงแสดงว่าไม่ไว้วางใจเขาอยู่ดี ความเงียบก่อตัวขึ้นราวกับกำแพงใสที่กั้นกลางระหว่างทั้งสอง

“...เอ่อ สวัสดีครับ ผมชื่อ พอ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาแนะนำตัวเองเพื่อทำลายความเงียบชวนอึดอัดนั้น

“ฉันชื่อ ขาว” เธอตอบอย่างภูมิใจ “มันมีที่มาจากขนสีขาวสะอาดราวกับหิมะของฉันนั่นเอง”

ขนของเธอมีสีขาวอย่างที่ว่าก็จริง แต่เขาไม่คิดว่ามันจะคล้ายหิมะ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้เห็นหิมะของจริงมาก่อนในชีวิตก็ตาม ขนของเธอหยาบกระด้าง มีร่องรอยแหว่งวิ่นที่คงเกิดจากการต่อสู้อยู่หลายแห่ง รวมถึงรอยเปื้อนอันเกิดจากคราบดิน โคลนที่พบเห็นได้เกือบทั่วตัว

แต่คำว่า 'ขาวราวหิมะ' นั้น ทำให้เขานึกไปถึงใครอีกคน

เธอคาบเนื้อก้อนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนยื่นศีรษะพ้นออกจากขอบสะพานไม้ พร้อมกับจ้องมองลงไปในสายน้ำไหล แล้วแววตาของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เขานึกออกในทันทีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

'สุนัขตัวหนึ่งได้แย่งเนื้อชิ้นโตมาจากในตลาด มันถูกพ่อค้าเนื้อไล่กวด แต่ก็หนีรอดมาได้ จนกระทั่งผ่านมาถึงลำธารสายหนึ่ง เมื่อกำลังเดินข้ามสะพาน มันก็ได้พบเห็นอะไรบางอย่างในสายน้ำเบื้องล่าง'

เธอวางก้อนเนื้อลงข้างกายอีกครั้ง แววตามุ่งมั่นสาดประกาย

“ดูเหมือนว่าใครอีกคนในนั้น จะมีเนื้อก้อนใหญ่กว่าของฉันเสียอีก”

“ไม่ใช่” เขาดีใจที่เธอวางก้อนเนื้อลงก่อนที่จะเปิดปากพูด เพราะไม่อย่างนั้น 'มันก็จะหล่นลงไป ไหลไป หายไปกับสายน้ำ' เหมือนกับที่มันควรจะเป็น “ไม่มีใครอยู่ในนั้น ไม่มีเนื้ออีกก้อน มันเป็นแค่เพียงเงาสะท้อนของตัวเธอเท่านั้นเอง”

เธอหันมองมา แววตานั้นแสดงว่าไม่เชื่อในคำพูดของเขาเลยสักนิด

“มันจะไม่มีใครได้อย่างไร ก็ในเมื่อฉันเห็นอยู่ชัดๆ ด้วยตาคู่นี้”

เขาเดินไปที่ขอบสะพานพร้อมกับชะโงกตัวออกไป

“ดูสิ มันก็เป็นเพียงแค่...” ไม่มีเงาของตัวเขาอยู่ในสายน้ำ มีเพียงสายตาของสุนัขสองตัวที่จ้องมองมา ตัวหนึ่งมีขนสีขาวยืนอยู่บนสะพาน ส่วนอีกตัวหนึ่งก็กำลังยืนคาบก้อนเนื้ออยู่บนสะพานเช่นกัน แต่เป็นสะพานที่ทอดตัวอยู่ในสายน้ำ ขนของมันเป็นสีเดียวกับท้องน้ำที่อยู่เบื้องล่าง

“...เป็นไปไม่ได้” เขารำพึง มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ 'ไม่ มันเป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะนี่คือความฝัน' เขาอธิบายกับตัวเอง

“เอาล่ะ ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นฝ่ายถูกสินะ” เธอหันกลับไปสนใจฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง ยิ่งมองดูนานเข้า เธอก็ยิ่งรู้สึกว่า เนื้อชิ้นที่ไม่ได้อยู่ในความครอบครองของเธอนั้น มันช่างดูใหญ่โต และน่ากินเสียเหลือเกิน

“มันคงเป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว”

“ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อเธอมีเนื้อชิ้นนี้อยู่แล้ว” เขาชี้ไปที่ก้อนเนื้อที่อยู่ข้างๆ ตัวเธอ “มันก็น่ากินไม่แพ้กันเลยสักนิด”

“ไม่ ฉันว่าเนื้อที่เขามีน่ากินมากกว่า”

“เขา...” เขาคิดว่าเงาน่าจะเหมือนกับเจ้าของของมันมิใช่หรือ

“ใช่ เขาคนนั้นเป็นผู้ชาย”

ที่เธอยังลังเลเพราะดูเหมือนเขาจะตัวใหญ่กว่า มันคงเป็นการต่อสู้ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยต่อสู้กับผู้ชาย และขนาดตัวก็ไม่ได้ใช้ตัดสินผลแพ้ชนะเสมอไป

“เอาล่ะ...” ก่อนที่เขาจะทันได้ส่งเสียงร้องห้าม ร่างของเธอก็พุ่งลงจากสะพานหายไปในสายน้ำ น่าแปลกที่มันเพียงเกิดวงคลื่นขึ้นเท่านั้น ไม่มีเสียง หรือสายน้ำสาดกระจาย ที่สำคัญไม่มีร่างของสุนัขสีขาวจมลง หรือไหลไปกับสายน้ำ

บนสะพานที่ทอดอยู่ในลำธาร มีเงาของสุนัขสองตัวกำลังเผชิญหน้ากัน เขาเห็นพวกมันต่างแยกเขี้ยว อาจจะส่งเสียงขู่ด้วย แต่เขาไม่ได้ยิน ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะหายไปจากสะพาน เขาลองขยับไปรอบๆ เผื่อจะได้เห็นเงาของทั้งสองจากมุมอื่นๆ แต่ก็ไม่มีประโยชน์

เสียงปลุกดังมา พร้อมกับโลกรอบกายเขาค่อยๆ เลือนหายไปกับความมืด ห้องที่คุ้นเคยกลับมาอยู่รอบกายเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ที่น่าประหลาดคือ เขาเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกอีกต่อไป

มันเป็นอีกวันอันแสนเงียบงันที่โรงเรียนสำหรับเขา โดยเฉพาะเมื่อมีใครคนหนึ่งไม่ยอมพูดจา หรือหันมาสบตากับเขาเลยตลอดทั้งวัน

#####

คุณยายปิดประตูบ้านเรียบร้อยก่อนที่จะเดินออกไป เธอไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ลูกสาวก็คอยพูดย้ำกับเธอหลายครั้ง 'มันไม่เหมือนที่บ้านแม่นะคะ เราจะไว้ใจใคร หรืออะไรไม่ได้ทั้งนั้น'

พอ ไปโรงเรียน คนอื่นๆ ก็ออกไปทำงาน เหลือเพียงเธออยู่บ้านเพียงลำพัง หลังจากเก็บกวาด ทำอะไรไปอีกหลายอย่างรวมถึงกับข้าวง่ายๆ สำหรับตัวเอง เธอก็ไม่อยากที่จะนอนพักอยู่เงียบๆ อย่างที่ถูกขอร้องไว้ แผลผ่าตัดดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ

แต่ยังคงมีบางอย่างที่รบกวนจิตใจ อะไรบางอย่างที่ติดตามเธออยู่ ไม่ใช่แค่ตั้งแต่เมื่อเข้าโรงพยาบาล อาจบางทีตั้งแต่ก่อนที่เธอจะรู้ตัวว่าเจ็บป่วย อาจจะตั้งแต่ก่อนหน้านั้นเนิ่นนาน อะไรบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด 'มันอาจจะหลบอยู่ข้างๆ ในตอนที่ฉันนั่งรถมายังบ้านหลังนี้' อะไรบางอย่างที่เธอต้องรู้จักแต่กลับนึกไม่ออก

ในสวนบ้านข้างๆ มีผู้ชายสูงวัยไล่เลี่ยกับเธอกำลังยืนดูต้นไม้อยู่

“สวัสดี” คุณยายตัดสินใจเอ่ยทัก

เขาหันมาอย่างไม่แน่ใจ “สวัสดีครับ” เสียงของเขายังคงไม่แน่ใจ

“ฉันชื่อแดง อยู่บ้านข้างๆ นี่เอง”

“...ผมชื่อเอก ไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย” เขามองไปที่บ้านซึ่งอยู่ติดกัน “บ้านหลังนั้นมีแค่สามคนพ่อแม่ลูกนี่นา เด็กผู้ชายคนนั้นชื่อว่าอะไรนะ...” เขาพยายามนึก

“เขาชื่อ พอ ฉันเป็นยายของเขา และพึ่งจะมาอยู่ได้ไม่กี่วัน”

เขาละจากสิ่งที่ทำอยู่ เดินเข้ามาที่ริมรั้ว “อย่างนั้นเองหรือครับ” เขาแต่งตัวง่ายๆ ท่าทางยังคงแข็งแรง ผมตัดสั้น ผิวคล้ำ รูปร่างปานกลาง 'อ้อ แต่มีพุงอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน' เธอนึก

“ที่บ้านนี้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น พวกลูกๆ ต่างแยกย้ายไปอยู่บ้านของตัวเอง อยู่กับครอบครัวของพวกเขากันหมดแล้ว...แต่ก็ยังมีแวะเวียนกลับมาเยี่ยมผมบ้างเหมือนกัน” เธอไม่แน่ใจว่า 'บ้าง' ของเขานั้นจะบ่อยสักแค่ไหน แต่คงไม่บ่อยอย่างที่เขาต้องการให้เป็นแน่

“ที่นี่เงียบจังนะคะ”

“ครับ หมู่บ้านมันเงียบแบบนี้มานานแล้ว แต่ผมว่ามันก็สงบดีนะ” เธอว่ามันอาจจะเป็นเพียงคำปลอบใจที่เขาชอบใช้บอกตัวเองก็เป็นได้

“...กำลังทำอะไรอยู่หรือคะ”

“อ้อ ผมปลูกอะไรไว้นิดหน่อยน่ะ สวนครัวเล็กๆ ของผมเอง” เขาคิดดูว่ามันจะเหมาะสมหรือไม่ หากเขาจะเอ่ยปากชวนเธอเข้ามาในบ้านตอนนี้

'สวนครัว' เธอนึก เป็นความคิดที่ดีทีเดียว เธอน่าจะลองทำดูบ้าง ยังมีที่ว่างในสวนอยู่อีกมาก และต้นไม้ที่ปลูกไว้พวกนั้นก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากให้ร่มเงานิดหน่อยเท่านั้นเอง เย็นนี้เธออาจจะลองคุยเรื่องนี้กับลูกสาวของตัวเองดู

“เอ่อ...” เขาพยายามนึกหาเรื่องชวนคุยต่อ

“ถ้าอย่างนั้น ฉันไปก่อนนะคะ ว่าจะไปเดินดูรอบๆ เสียหน่อย”

“...ครับ” เมื่อเธอทำท่าจะออกเดินต่อไป เขาจึงหันกลับไปสนใจต้นไม้พวกนั้นอีกครั้ง

เธอเดินไปท่ามกลางความเงียบเหงา บ้านทุกหลังเหมือนกับเป็นบ้านร้างที่ไร้ผู้คน 'พวกเขาหลับนอนอยู่ที่นี่ แต่ใช้ชีวิตอยู่ในอีกที่หนึ่ง' เธอยิ่งรู้สึกอยากกลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองมากขึ้น

สองขาพาเธอเดินห่างออกมาเรื่อยๆ เธอไม่คิดว่าตัวเองจะหลงทาง แต่ก็ยังไม่อยากเสี่ยงเดินไปไกลนัก แล้วสายตาก็พาเธอไปพบเจอกับอะไรบางอย่าง ประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่งที่ถูกเปิดทิ้งไว้ พร้อมกับแผ่นป้ายที่ติดอยู่

'มีร้านหนังสืออยู่ในที่แบบนี้ แล้วจะขายได้หรือ'

ตอนแรกเธอคิดจะเดินผ่านไป เพราะไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วยเลย แต่เมื่อมองไปรอบๆ มันก็มีเพียงบ้าน สวน และรั้ว ที่มีรูปร่างคล้ายๆ กันทอดยาวไปทั่วทุกทิศ กับเสียงของความเงียบเหงา ล่องลอยมาในสายลมที่อบอ้าว เธอจึงเปลี่ยนใจว่าจะเข้าไปในร้านหนังสือฟูลแห่งนี้แทน

เธอหยุดนิดหนึ่งที่หน้าประตูรั้ว 'ตอนกลับออกมาฉันจะต้องเลี้ยวขวา' เธอพยายามจำมันให้ขึ้นใจ ก่อนก้าวผ่านเข้าไป

'มีตุ๊กตาประดับสวนเยอะจริง' ลูกค้าเกือบทุกคนคิดแบบนั้น และถ้าพวกเขาใส่ใจมากขึ้นอีก ก็จะพบว่าพวกมันล้วนเป็นรูปสัตว์ชนิดที่คุ้นเคยทั้งสิ้น แต่มันไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอไป ในบางสถานที่ ในบางช่วงเวลา ร้านหนังสือแห่งนี้ก็จะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่แตกต่างออกไป ตามแต่ผลสะท้อนจาก หนังสือแท้ แต่ละเล่มนั่นเอง

ภายในร้าน ฟูล คนเฝ้าหนังสือ กำลังรอคอยลูกค้าคนที่สิบสามของเขาอยู่อย่างเงียบเหงา

“ตายจริง...” คุณยายต้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเห็นสภาพภายใน มีตู้หนังสือเรียงราย และตั้งหนังสือกองอยู่มากมายอย่างไร้ระเบียบแบบแผน

“...แล้วอย่างนี้จะหาหนังสือสักเล่มเจอได้อย่างไรกัน” เธอส่งเสียงเปรยกับตัวเองเบาๆ ก่อนเริ่มสำรวจลึกเข้าไป ในใจของเธอเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างประหลาด มันควรเป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้ามาภายในร้านหนังสือแห่งนี้ แต่ลึกลงไปภายในเธอกลับไม่เชื่อเช่นนั้น

“พวกมันก็ไม่แตกต่างจากความทรงจำของเรา มีอยู่มากมายจนสับสน หลายเล่มจะถูกลืมเลือนกลืนหายไป บางเล่มจะโดดเด่นเหนือใคร ทำให้เราอยากอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางเล่มก็โดดเด่น แต่เป็นเล่มที่เราไม่อยากหยิบออกมา ไม่อยากให้มันมีอยู่ด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะยังอยู่ตรงนั้นเสมอ และตอกย้ำการคงอยู่ของมันราวกับเป็นหนังสือปกแข็งเพียงเล่มเดียวที่โดดเด่นอยู่บนชั้น”

สายตาของคุณยายหันมองไปตามเสียง ที่โต๊ะทำงานมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ เขานั่งหันหลัง ผมยาวผูกไว้เป็นพวงเหมือนกับหางของสัตว์บางชนิด และมีอยู่ชนิดหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาในความคิดของเธอ แน่นอนที่มันต้องเป็นชนิดที่มีดวงตาสีแดงจ้องมองออกมาจากในความมืด รวมทั้งมีเขี้ยวด้วย

“...ในร้านมีหนังสือเยอะดีนะ”

เขาหันกลับมาและ บนใบหน้านั้นแสดงความรู้สึกแตกต่างมากมายที่แม้แต่คุณยายซึ่งผ่านโลกมานานก็ยังไม่อาจอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่คงก้ำกึ่งอยู่ระหว่าง ตกใจ ประหลาดใจ อาจจะเป็นดีใจ และเศร้าใจด้วยก็เป็นได้ ถึงแม้เธอจะบอกไม่ได้ว่าทั้งหมดนั้นมันจะมารวมอยู่ด้วยกันได้อย่างไรก็ตาม

เขากระพริบตา แล้วความรู้สึกทั้งหมดนั้นก็หายวับไป

“...ยินดีต้อนรับสู่ร้านหนังสือฟูลครับ”




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2555
2 comments
Last Update : 28 ตุลาคม 2555 20:52:28 น.
Counter : 900 Pageviews.

 

คุณ อาณาจักรแห่งเรา ยังจำได้ และยินดีที่กลับมาติดตามกันอีกครั้งครับ

ช่วงนี้ผมมีงาน อาจไม่สามารถลงติดต่อกันได้นะครับ
และจะพยายามเขียนให้ได้นานๆ อย่างที่ต้องการ (เพราะผมเองก็ต้องการแบบนั้นอยู่เหมือนกัน)

 

โดย: zoi 28 ตุลาคม 2555 20:57:41 น.  

 

ผมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว จริง ๆ แหละ มาตามกำหนดนัด ...ทุก ๆ หนึ่งสัปดาห์ คุณตั้งไว้อย่างนั้น แล้วสัปดาห์หน้าจะมาพบใหม่

 

โดย: อาณาจักรแห่งเรา 28 ตุลาคม 2555 23:18:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.