ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
 
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
16 กันยายน 2555
 
All Blogs
 

คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 2

พอ เดินไปตามเส้นทางกลับบ้านที่คุ้นชินเพียงลำพัง ปีนี้เขาพึ่งได้กลับบ้านเอง เมื่อปีก่อน เขายังต้องนั่งกินข้าวเย็น ทำการบ้าน รออยู่ที่โรงเรียนเพื่อให้พ่อแม่แวะมารับหลังเลิกงาน ถึงแม้ว่าบ้านจะอยู่ห่างออกไปเพียงไม่ไกลก็ตาม และไม่ใช่เขาคนเดียวที่เป็นแบบนี้ ในโรงเรียนยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่ต้องรอเหมือนกับเขา โดยมีครูคอยผลัดเวรกันเฝ้าอยู่จนกว่าเด็กคนสุดท้ายจะได้กลับบ้าน เหมือนกับครูปุ้มในวันนี้

บ้านที่มีสมาชิกเพียงแค่ พ่อ แม่ ลูก บ้านที่อยู่ห่างไกลจากที่ทำงาน ระยะทางที่ถูกกีดกั้นด้วยการจราจรติดขัด แถมในบางกรณี โรงเรียนยังอาจอยู่ในอีกเส้นทางหนึ่งด้วยซ้ำ เวลาที่ต้องออกเดินทางคือเช้าตรู่ ส่วนเวลากลับถึงบ้านคือมืดค่ำ ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

'เงียบจัง' แถมยังมืดแล้วด้วย ดูเหมือนช่วงนี้ท้องฟ้าจะมืดเร็วกว่าที่ผ่านมา นอกจากเสียงเห่าของสุนัขที่ดังขึ้นให้ได้ยินเป็นบางครั้ง บ้านทุกหลังโดยรอบยังคงไม่มีสมาชิกกลับมา หรือถ้ามีแล้วพวกเขาก็เอาแต่อยู่ภายในบ้าน กินข้าว นั่งดูโทรทัศน์ หรือไม่ก็ท่องอยู่ในโลกออนไลน์

เขาเอื้อมมือไปเปิดประตูรั้ว มีเงาของอะไรบางอย่างวิ่งผ่านไป

'กระรอก ไม่สิ น่าจะเป็นแมว'

เขาเคยเห็นกระรอกอยู่บ่อยๆ ในวันหยุด ซึ่งมักจะเป็นตอนเช้า ไปจนถึงช่วงสายๆ มันจะวิ่งมาตามกำแพงรั้วด้านหลัง ก่อนเลี้ยวไปข้างบ้าน แล้วปีนหายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ทั้งร่มเงา และกั้นบดบังสายตาระหว่างหน้าต่างของห้องชั้นบนกับบ้านหลังข้างๆ ที่อยู่ติดกัน

เงาเมื่อครู่นี้มีขนาดใหญ่กว่านั้น มันจึงควรจะเป็นแมวมากกว่า พักหลังมานี้เริ่มมีแมวจรให้เห็นมากขึ้น ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน แต่คงมีคนสงสารคอยให้อาหาร พวกมันจึงเริ่มแพร่พันธุ์กันอย่างรวดเร็ว

'ว่าแต่ว่า มันจะเป็นแมวจริงหรือ' เขาคิดว่าเงานั้นดู หูยาว มากกว่าปกติ เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง แต่ไม่มีอะไร ไม่มีเงา หรือความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น

เขาเปิดประตูเข้าบ้าน คงอีกสักพักกว่าที่พ่อแม่จะกลับมา ไฟแสงสว่างถูกทยอยเปิดเพื่อขับไล่ความมืด การบ้านของวันนี้ถูกทำเสร็จเรียบร้อยมาตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้ว เมื่อเริ่มรู้สึกหิว และไม่แน่ใจว่าพ่อแม่จะกลับบ้านช้าเพราะการจราจรหรือไม่ เขาจึงเดินไปที่ตู้เย็น

ที่เขาเปิดคือช่องแช่แข็ง ในนั้นมีกล่องอาหารพร้อมรับประทานวางเรียงราย พวกมันคือความสะดวก เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีเหลือเฟือมากนัก ที่สำคัญ เขาทำกับข้าวไม่เป็น รวมถึงแม่ก็ไม่ได้ซื้อของสดอะไรทิ้งไว้มากนัก แม้แต่ในช่วงวันหยุด ส่วนใหญ่ที่บ้านจะใช้วิธีซื้ออาหารสำเร็จทั้งนั้น เขาอาจจะกินอาหารมาจากที่โรงเรียนเลยก็ได้ แต่พวกมันก็น่าเบื่อ หลังจากที่ต้องกินติดต่อกันมาหลายปี

เขาสุ่มเลือกออกมากล่องหนึ่ง ก่อนแสกนสัญลักษณ์วิธีการ 'ปรุง' ที่พิมพ์ติดเอาไว้กับเครื่องอุ่นอาหาร ฉีกห่อออก ใส่มันเข้าไป แล้วปิดฝา เครื่องก็จะให้ความร้อนด้วยวิธีการ และระยะเวลาที่เหมาะสม ก่อนส่งเสียงเตือนเมื่ออาหารพร้อมรับประทาน

เขานั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ จัดการกับอาหาร พร้อมกับดูความบันเทิง และข่าวสารต่างๆ ที่หลั่งไหลผ่านมา พร้อมกับเวลาที่ผ่านเลยไป เขาดูเวลาแล้วจึงไปอาบน้ำ ก่อนเริ่มสงสัยว่าทำไมวันนี้พ่อแม่ถึงได้กลับบ้านกันช้านัก แล้วเสียงรถที่คุ้นเคยก็ดังใกล้เข้ามาจากทางหน้าบ้าน

พ่อลงมาเปิดประตูรั้ว ก่อนถอยรถคันเก่าเข้ามาจอดในบ้าน เขายืนรอด้วยความสงสัย มีใครอีกคนอยู่ในรถนอกจากแม่ ถึงเขาจะมองเห็นเพียงเงาที่นั่งอยู่เบาะหลัง แต่ก็เป็นเงาที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน

“พอ กลับมานานหรือยังลูก”

แม่ถามเมื่อเปิดประตูก้าวลงมาจากรถ เขาแปลกใจ แม่ใส่เสื้อสีแดงสด เพราะเขาจำได้ว่าเมื่อเช้าแม่ไม่ได้ใส่เสื้อสีนี้ตอนที่ออกจากบ้านไป

เขายกมือไหว้ “สวัสดีครับแม่ ผมกลับมาได้พักใหญ่แล้ว” ก่อนหันไปไหว้พ่อที่พึ่งก้าวลงมาจากรถอีกคน “สวัสดีครับพ่อ” ใครคนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เขายังเห็นได้ไม่ถนัด ไฟภายในรถติดสว่าง แต่กระจกรถมืดทึบ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองอยู่เช่นกัน

แม่ยิ้ม ก่อนขยับไปเปิดประตูหลัง ในขณะที่พ่อกำลังเอากระเป๋าใบใหญ่ออกมาจากท้ายรถ เขาเห็นชัดเจนแล้วว่าแขกแปลกหน้าของค่ำคืนนี้เป็นผู้ใด เขายิ้ม และใครคนนั้นก็ยิ้มตอบ ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเขา

“...คุณยาย”

คุณยายค่อยๆ ขยับตัวลงมาจากรถอย่างช้าๆ ท่านดูแก่เหมือนที่เขาเคยจำได้ อาจจะมากกว่านั้นนิดหน่อย ท่านเป็นคนที่เคยช่วยดูแลเขาตั้งแต่ยังเด็ก จนเมื่อหลายปีก่อน ท่านก็ต้องกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจำได้อย่างลางเลือนว่าช่วงนั้น ทั้งบ้านต้องวุ่นวายปรับตัวกันน่าดู

คุณปู่ กับ คุณย่า จากไปนานแล้ว จากไปในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเมื่อเขาอายุได้ห้าขวบ เหลือไว้เพียงความทรงจำลางเลือน ภาพของพวกท่านในยามที่นอนอยู่บนเตียง และตอนนั้นเขายังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นสักเท่าไร จำได้แค่ว่ามันมีความวุ่นวาย ความเศร้า ผู้คน ก่อนที่ทุกอย่างจะผ่านพ้นไป

คุณตาเป็นบุคคลที่ไม่มีใครในครอบครัวเคยกล่าวถึง เขาไม่เคยถาม และไม่รู้ว่าทำไม แต่มันเป็นอย่างนั้น เป็นเหมือนความลับที่ไม่มีใครพูดถึง

เมื่อคุณยายลงมายืนเรียบร้อย เขาก็โผเข้าไปกอด ร่างเล็กๆ แต่แข็งแกร่งนั้นสั่นเบาๆ ท่านยกมือขึ้นลูบหัวหลานชายที่ไม่ได้พบหน้ากันมาช่วงหนึ่งอย่างรักใคร่

“ตัวโตขึ้นเยอะเลยนะเรา คิดถึงยายบ้างไหม”

“คิดถึงสิครับ”

พ่อหิ้วกระเป๋าที่คาดว่าคงเป็นของคุณยายล่วงหน้าเข้าบ้านไปก่อน ดูเหมือนครั้งนี้คุณยายอาจจะมาพักที่บ้านหลายวันก็เป็นได้ แม่เดินมา

“เข้าบ้านกันก่อนเถอะ ลูกก็ไปเอาน้ำมาให้คุณยายด้วย”

“ครับผม” เขาพึ่งเห็นว่าเสื้อสีแดงนั้นเป็นเสื้อคลุม ที่แม่สวมทับเสื้อของตนเอาไว้อีกที มันดูใหม่ บางทีแม่อาจจะพึ่งซื้อวันนี้ หรือเมื่อคิดดูให้ดีมันอาจจะเป็นของฝากจากคุณยายก็เป็นได้

พ่อ แม่ กับคุณยาย ทานข้าวกันมาเรียบร้อยแล้ว นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเขากลับมาช้า พอวางแก้วน้ำก่อนนั่งร่วมวง การเดินทางมาของคุณยายในครั้งนี้คงไม่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพราะไม่มีใครเคยพูดถึงมาก่อนเลย

“คืนนี้ผมจะไปนอนที่ห้องลูกเอง คุณยายจะได้นอนคุยกับคุณ กับเจ้าพอ” พ่อพูดกับแม่ และทั้งหมดต่างเห็นด้วย

“คุณยายจะมาพักอยู่กี่วันครับ”

เขาถาม และคาดหวังว่าสุดสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึงนี้ คงจะมีความทรงจำดีๆ เพิ่มขึ้น เขาแปลกใจ แม่กับคุณยายหันมองหน้ากัน และเขาพบเห็นความผิดปกติบางอย่าง บนใบหน้าของแม่ ในรอยยิ้มนั้นมีอะไรบางอย่างซุกเก็บเอาไว้ คุณยายเองก็เช่นกัน แต่ท่านหันมา ก่อนยิ้มเหมือนที่เขาเคยจำได้

“ใช่ ยายคงต้องมาอยู่หลายวัน”

“ดีครับ เราจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน” ผู้ใหญ่ทั้งสามคนมองหน้ากันแปลกๆ อีกครั้ง ก่อนคุณยายจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“ยายลืมขนมไว้ในรถ พอช่วยไปหยิบมาให้หน่อยสิ”

“ได้ครับ” เขารับคำแล้วรีบลุกออกไป

อากาศข้างนอกเย็นฉ่ำ ผิดกับภายในบ้านที่จำเป็นต้องเปิดพัดลม เขาไม่ลืมที่จะหยิบกุญแจรถของพ่อติดมือมาด้วย เขากดปุ่ม มันส่งเสียงเบาๆ บอกว่าจะไม่แผดร้องเมื่อเขาเปิดมัน ที่เบาะหลังมีกล่องขนมวางอยู่

เขาเอื้อมมือเข้าไป และจากหางตา เขาเห็นอะไรบางอย่างขยับเคลื่อนไหว อะไรบางอย่างที่คลานช้าๆ อยู่บนพื้น เขารีบหันกลับไป และได้พบเจอมัน

เต่าสีกระดำกระด่างตัวโต เดิมมันคงเคยมีสีคล้ำสม่ำเสมอ แต่ตอนนี้สีที่เคลือบไว้บางส่วนลอกหลุดออก เผยให้เห็นเนื้อวัสดุสีอ่อนที่ซ่อนอยู่ด้านใน มันเป็นตุ๊กตารูปเต่าขนาดใหญ่ที่เอาไว้ใช้ตั้งประดับ เขาจำมันได้ เขายังเคยนั่งบนหลังของมันมาหลายครั้ง นั่งเล่นแทนเก้าอี้ ก่อนที่มันจะถูกย้ายมาซุกเก็บไว้ใต้พุ่มไม้เหมือนกับในตอนนี้

เขาไม่ได้เห็น หรือนึกถึงมันมาพักใหญ่แล้ว 'มันไม่ได้ขยับใช่ไหม' เขามองดูเพื่อให้แน่ใจ มันยังคงตั้งอยู่ในที่เดิม หลบอยู่เหมือนที่ผ่านมา เพียงแต่ตอนนี้เมื่อถูกพบเห็นอีกครั้ง เขาก็ไม่อาจมองผ่านมันไปเหมือนเดิมได้อีก

'มันหลบอยู่อย่างอดทน นั่งนิ่งๆ มองดูทุกสิ่งที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป' เขาจำได้ว่ามีเต่าขนาดใหญ่บางชนิด อายุยืนเป็นร้อยปีเลยทีเดียว

เขาหิ้วถุงขนมออกมา ปิดรถ แล้วเดินไปหามัน เต่า ตัวแทนแห่งความอดทน มานะ พยายามในนิทาน พวกมันเคลื่อนไหวได้ช้า เพราะต้องแบกกระดองขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมากไปด้วยทุกที่

กระต่าย กับ เต่า ล้วนเป็นสัตว์ที่ถูกล่าด้วยกันทั้งคู่ มันเป็นพวกเดียวกัน ฝ่ายหนึ่งใช้วิธีการกระโดดที่รวดเร็วในการหลบหนี ส่วนอีกฝ่ายใช้กระดองเป็นเกราะป้องกันตัว

หลบหนี หรือ หลบซ่อน รวดเร็ว หรือ หนักแน่น 'แต่ก็ไม่ต่างกัน'

เขาลองยกเท้าไปสะกิดเบาๆ และตุ๊กตาปั้นก็อยู่นิ่ง หนัก อย่างที่มันควรจะเป็น 'ฉันคิดอะไรกัน' เขาหันหลังกลับหิ้วถุงขนมเดินเข้าบ้าน และภายใต้แสงจันทร์นวล เต่าตัวนั้นก็ทำสิ่งที่มันไม่ควรจะทำได้ มันไม่ได้ขยับ มันไม่ได้เคลื่อนไหว

มันเพียงแค่ลืมตาขึ้น ดวงตาของมันสะท้อนแสงจันทร์วาวสดใส

พอหลับไปแล้ว หลังจากที่แม่เตือนว่าพรุ่งนี้เขายังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน แม่ดูจนแน่ใจว่าเขาหลับ ก่อนที่เธอกับคุณยายจะนอนคุยกันเบาๆ ต่อไปในความมืด ไม่รู้ว่าพวกเธอพูดคุยกันเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนจะมีความเศร้าคอยเงี่ยหูฟังอยู่ไม่ห่าง

#####

พอ กำลังอยู่ในความฝัน เขาไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้ แต่เขารู้ ป่า ท้องฟ้า สายลม ก้อนเมฆ กับทุ่งหญ้าเขียวขจี พวกมันล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศของคืนวันอันเก่าแก่ พวกมันสดใส และสดชื่นในทุกลมหายใจเข้าออก

เขาจะไม่แปลกใจเลยถ้ามีสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งผ่านมาแล้วเริ่มส่งเสียงพูดคุยกับเขา

“สวัสดี” เสียงทักทายดังมาจากข้างหลัง เขาหันกลับแต่ไม่พบเห็นใคร

“ข้างล่างนี่” เสียงเดิมดังขึ้นตรงหน้า จากข้างล่าง เขาก้มลง

กระต่ายสีขาวปลอดตลอดตัว ขนสั้นหนานุ่มน่าลูบไล้ หูยาวลู่ ผิวเนื้อที่อยู่ด้านในเป็นสีชมพู กับดวงตาสีแดง เงยหน้ามองเขาอย่างคาดหวัง

“...สวัสดี” เขาตอบ พร้อมกับแปลกใจในท่าทีที่สงบนิ่งของตน 'ฝัน ฉันกำลังฝัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ในความฝัน' เขาบอกตัวเอง

“ฉันไม่เคยเห็นเธอแถวนี้มาก่อน” กระต่ายถาม พร้อมกับทำจมูกยุกยิก เขาพยายามจะมองดู ว่ามันพูดพร้อมกับขยับปากไปด้วย หรือเขาเพียงได้ยินเสียงของมันภายในหัวเท่านั้น

“ฉัน...ฉันเป็นแค่คนผ่านทางมาน่ะ”

มันเงยมองดูเขานิ่งๆ จ้องเข้าไปในดวงตาเบื้องหลังแว่นคู่นั้น แม้แต่ในความฝัน เขาก็ยังสวมแว่นตา และใส่เสื้อผ้าเหมือนกับในยามตื่น เขาอาจไม่รู้ตัว หรือไม่เคยพะวงถึงพวกมัน นอกจากนั้นความฝันของเขายังมีสีสันสดใส บางทีอาจสดใสยิ่งกว่าในโลกแห่งความเป็นจริงก็เป็นได้

“...ฉันกำลังมีปัญหา...บางที บางทีเธอที่ผ่านทางมาอาจจะช่วยฉันได้ เธอจะช่วยฉันไหม”

กระต่ายสีขาวน่ารักกำลังขอร้อง และมันยากที่จะปฏิเสธ

“ฉันจะลองดู แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรได้แค่ไหน”

มันยิ้ม 'เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็น กระต่ายยิ้ม' แต่บางทีเขาอาจจะคิดไปเอง กระต่ายอาจจะไม่ได้ยิ้ม หรือมันอาจจะยิ้มจริงๆ 'ช่างมันเถอะ'

“ก่อนอื่นต้องหาเขาให้เจอเสียก่อน อ้อ เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ฉันชื่อ เถาะ”

“ฉันชื่อ พอ ยินดีที่ได้รู้จัก”

เขาคิดว่า บางทีคนที่เถาะกำลังตามหา อาจจะเป็นคนเดียว หรือตัวเดียวกับที่เขากำลังคิดถึงอยู่ 'ไม่แน่ว่าความฝันนี้ อาจจะมาจากหนังสือนิทานที่ฉันผ่านตามาเมื่อตอนเย็นก็เป็นได้' นิทานเรื่องที่ทุกคนต่างคุ้นเคย

“เราจะไปตามหา ตนุ...”

“...เขาเป็นเต่าใช่ไหม” เขาพูดขัดขึ้น

“...ใช่แล้ว เขาเป็นเต่า เป็นเต่าที่ดีเหมือนกับ เหมือนกับ...เต่าที่ดี นั่นแหละ”

มันเริ่มกระโดดนำไปยังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ที่ใต้ร่มเงานั้นมีกองหิน กับไม้พุ่มเตี้ยๆ และเมื่อจ้องดูให้ดีเขาก็พบว่าก้อนหินก้อนหนึ่งในนั้น มีการขยับเขยื้อนอย่างช้าๆ

“สวัสดี ฉันชื่อพอ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาส่งเสียงทักทาย

“สวัสดี” ก้อนหินตอบ “ฉันชื่อตนุ” และเขาแปลกใจที่มันไม่ได้พูดช้าอย่างที่คาด เต่าตัวนี้มีขนาด และรูปร่างใกล้เคียงกันกับรูปปั้นในสวนของเขาอย่างน่าแปลกใจ

'นี่คือความฝันของฉัน มันก็คือการเอาสิ่งที่พบเห็นในความเป็นจริงมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันนั่นเอง'

“ว่าอย่างไรเพื่อน” สัตว์ทั้งสองทักทายกันอย่างสนิทสนม

'ไม่เห็นเหมือนกับในนิทานเลย' พวกมันควรจะไม่ถูกกัน และท้าทายว่าใครจะวิ่งได้เร็วกว่า เขาอดใจไม่ได้จนต้องเอ่ยปากถามออกไป

“นั่นแหละคือปัญหาที่ฉันพูดถึง” เถาะบอก “ให้ฉันเล่าเองดีกว่า” ตนุว่าอย่างนั้น เขานั่งลงที่หินก้อนหนึ่งใต้ร่มไม้ ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายกับเมื่อเขานั่งเล่นบนหลังรูปปั้นเต่าในอดีต

“กาลครั้งหนึ่งนานมา...” ตนุเริ่ม เขากับเถาะอึ้ง

“...ฉันล้อเล่นน่า ล้อเล่น จะหัวเราะก็ได้นะ ฉันไม่ว่าอะไร...” ทั้งคู่เงียบ “ก็ได้ ก็ได้” ตนุยอมแพ้ เขาบ่นอุบอิบ “ไม่มีอารมณ์ขันกันบ้างเลย”

เขารู้สึกแปลกใจกับบุคคลิกของเต่าตัวนี้ 'ถ้านี่เป็นความฝันของฉันจริง' ทำไมพวกมันจึงไม่ทำตัวเหมือนกับในนิทานที่เขาเคยรู้จัก ทำตัวในแบบที่พวกมันควรจะเป็น

“อะแฮ่ม” มันผงกหัว “ใช่ เราทั้งสอง กระต่าย กับ เต่า จะต้องวิ่งแข่งกัน แต่มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของพวกเราเองแม้แต่น้อย”

มันหันมองเพื่อนขนปุย แล้วยิ้ม 'ฉันเห็นมันยิ้มจริงๆ เต่ายิ้ม'

“ฉันเดินช้า อย่างที่ฉันควรจะช้า ส่วนเถาะก็วิ่งเร็ว อย่างที่เขาควรจะเร็ว มีประโยชน์อะไรที่จะต้องนำสิ่งนี้มาเปรียบเทียบแข่งขันกัน“

'...พอ...' เสียงเบาๆ ลอยมากับสายลม เขารู้สึกเหมือนโลกที่อยู่รอบกายสั่นไหว

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำสัญญา สัญญาที่เราทั้งคู่ต่างให้ไว้กับหมาป่า...ซึ่งที่จริงเราไม่ควรทำอย่างนั้น”

“พวกเราทั้งคู่ต่างถูกหมาป่าจับได้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ชีวิตเพื่อชีวิต พวกเราต่างเป็นเหยื่อของสัตว์นักล่าอยู่แล้ว แต่หมาป่าตัวนี้แตกต่างออกไป มันมองดูพวกเราไปมาก่อนพูดขึ้นว่า”

'ฉันจะปล่อยพวกเจ้าตัวหนึ่งไป หากพวกเจ้ายอมให้สัญญา'

“แน่นอนตอนนั้นพวกเราต่างหวาดกลัว และการตายเพียงหนึ่ง ย่อมดีกว่าต้องตายทั้งคู่ เราจึงให้คำสัญญาไป”

'เอาล่ะ ฉันอยากให้พวกเจ้าวิ่งแข่งกัน ผู้ชนะจะรอด ส่วนคนแพ้จะต้องถูกฉันกิน'

“แล้วมันก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน นี่ไม่ใช่การแข่งขัน มันรู้อยู่แล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะ แต่พวกเราทั้งสองเป็นเพื่อนกัน และนั่นทำให้ทุกอย่างแตกต่างออกไป”

ภาพแปลกๆ โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา ผมที่ถูกรวบมัดไว้ของชายเจ้าของร้านหนังสือเก่า มันแกว่งไกวไปมาราวกับหางของหมาป่า

“ใครจะชนะก็ได้...” เถาะเสริม “...แต่ใครควรจะเป็นผู้ชนะ” ทั้งคู่มองหน้ากัน

“ฉันควรจะเผลอนอนหลับในระหว่างการแข่งขัน แล้วปล่อยให้นายเดินเข้าเส้นชัย” เถาะพูด

“ไม่ นายควรจะวิ่งรวดเดียวเข้าเส้นชัยอย่างที่ธรรมชาติสร้างมา” ตนุพูด

'...พอ...' เสียงในสายลมดังขึ้นกว่าเดิม ทุกอย่างยิ่งสั่นไหว แต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

“พวกเธอไม่ทำตามสัญญาไม่ได้หรือ” เขาถาม

“ไม่ได้” ทั้งคู่ตอบพร้อมกัน “สัญญานั้นมีพลัง สัญญาคือชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่อาจบิดเบือนได้” ตนุพูดอย่างหนักแน่น เหมือนกับตัวมัน

“เราจะต้องแข่ง...ไม่ว่ามันจะจบลงด้วยชีวิตของใครก็ตาม” เถาะทำหน้าเศร้าก่อนถามต่อ “เธอ คนที่ผ่านทางมา พอจะมีทางออกให้พวกเราหรือไม่”

“...เอ่อ...” เขาพยายามคิด แต่ก็ยังคิดไม่ออก

'พอ ตื่นได้แล้วลูก' เขาลืมตา แล้วโลกในนิทานก็หายวับไป ไม่มีเต่า ไม่มีกระต่าย เหลือเพียงความมืด ก่อนกลายเป็นความลางเลือนภายในห้องนอน

“ต้องตื่นกันเช้าขนาดนี้เลยหรือ” เสียงของคุณยายพึมพำ

“คุณแม่ไม่รู้หรอกว่ารถในเมืองติดขนาดไหน แค่ช้าไปห้านาที สิบนาทีก็แย่แล้ว”

เขานอนกระพริบตา ความเชื่อมโยงต่างๆ ระหว่าง โลกความฝันในนิทานที่เหมือนจริง กับความเป็นจริงในยามเช้าที่เหมือนกับความฝัน ยังคงสับสน

“ยังจะนอนอยู่อีก รีบลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”

แม่เตือน เขาจึงลุกขึ้นจากเตียง การขยับเคลื่อนไหว กับกิจกรรมยามเช้าที่คุ้นชิน ทำให้เขาค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงในที่สุด




 

Create Date : 16 กันยายน 2555
0 comments
Last Update : 16 กันยายน 2555 23:00:20 น.
Counter : 730 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.