| มหาวิทยาลัยกะกุชูอิง | | | ไปเถอะ ๆ ไม่ไกลจากวาเซด้าหรอก เธอคะยั้นคะยอ เพื่อนคนนี้เคยเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดภาษาไทยได้ แม้บางคำอาจจะพูดไม่เหมือนคนไทย แต่ส่วนใหญ่ก็คล่อง และคนไทยฟังเข้าใจได้หมด ก็จริงอย่างที่เธอว่า มหาวิทยาลัยกะกุชูอิงไม่ไกลจากวาเซดะ นั่งรถไฟไปแค่สถานีเดียวก็ถึง แต่ผมไม่อยากไปเพราะกังวลเรื่องการสอบ การเรียน และอะไรต่ออะไรอีกมากมายในชีวิต เนื่องจากมาถึงญี่ปุ่นได้เพียงครึ่งปี เธอคงจับสังเกตอะไรบางอย่างได้ จึงรีบอธิบายว่า ไปรับเสด็จพะเตปนะ ไปเถอะ ๆ อ้อ...เธอหมายความว่าไปรับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผมจึงไปด้วยความรู้สึกที่มากกว่ายินดี เพราะรู้ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่ได้เข้าเฝ้าฯ ในต่างแดน วันที่ 19 กันยายน 2544 มหาวิทยาลัยกะกุชูอิงทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารแด่พระองค์ ผมนั่งอยู่ในหอประชุมร่วมกับนักศึกษาชาวญี่ปุ่นคนอื่น ๆ ที่มาร่วมพิธีกันเนืองแน่น สมเด็จพระเทพฯ ประทับบนเวที มีล่ามผู้ชายใส่สูทนั่งเยื้องไปทางด้านหลังของพระองค์อยู่ไม่ห่างนัก ขณะที่ตัวแทนมหาวิทยาลัยกล่าวรายงาน ล่ามก็ทำหน้าที่ไป ผมนั่งอยู่ข้างล่าง ฟังภาษาญี่ปุ่นออกบ้างไม่ออกบ้าง ตอนนั้นวาดฝันอยู่ในใจว่า ต่อไปเราจะต้องเก่งภาษาญี่ปุ่นและเป็นล่ามให้ได้อย่างเขา เอาแค่แปลรู้เรื่องก็พอ ไม่ต้องถึงขนาดแปลถวายเชื้อพระวงศ์หรอก นั่งนึกอะไรเพลินๆ ได้ไม่เท่าไรพิธีก็จบ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ออกจากหอประชุมไปแล้ว ทางมหาวิทยาลัยเปิดพื้นที่ให้สมเด็จพระเทพฯ ได้มีพระราชปฏิสันถารกับชาวไทย ผมคือหนึ่งในคนไทยกลุ่มนั้น ซึ่งคงมีไม่ต่ำกว่า 30-40 คน ตอนนั้นไม่ได้นึกว่าสักวันจะได้มาเขียนเล่าความหลัง จึงไม่ได้บันทึกอะไรเป็นตัวอักษร สิ่งที่เล่าอยู่ตอนนี้ล้วนมาจากความทรงจำ สมเด็จพระเทพฯ ไม่ทรงถือพระองค์เลย พระราชทานพระราชวโรกาสให้คนไทยทั้งกลุ่มขยับเข้าไปติดหน้าเวที ใกล้ชิดมาก พระองค์มีพระราชดำรัสอย่างเป็นกันเองในหลายๆ เรื่อง หนึ่งในนั้นที่ผมจำได้แม่นมีใจความว่า มาญี่ปุ่นหลายทีแล้ว แต่ก็ไม่มีเวลาเรียนภาษาญี่ปุ่นสักที...ส่วนทางญี่ปุ่น [ผมฟังไม่ถนัด แต่คาดว่าทรงหมายถึงเชื้อพระวงศ์ทางฝ่ายญี่ปุ่น โดยเฉพาะเจ้าชายฟุมิฮิโตะ เจ้าอะกิชิโนะ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 แห่งสมเด็จพระจักรพรรดิ และเป็นพระสหายของสมเด็จพระเทพฯ] ท่านเสด็จไทยบ่อย มาทีไรก็มักจะมีของเล่นน่ารักๆ มาฝากเป็นประจำ คำอื่นผมอาจจะจำคลาดเคลื่อนได้ แต่จำคำว่า ของเล่น ได้แม่นยำ และด้วยคำนี้ จึงอนุมานได้ทันทีว่าราชวงศ์ของไทยกับญี่ปุ่นสนิทกันเป็นการส่วนตัวในระดับที่ไม่ธรรมดา คนวัยยี่สิบต้นๆ อย่างผมในตอนนั้น จึงเริ่มย้อนกลับไปสืบค้นเรื่องความสัมพันธ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นกับไทย และได้รู้เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันว่า ปลานิลที่ตัวเองชอบกินแบบทอดจิ้มน้ำปลานั้น จริงๆ แล้วก็เป็นของนำเข้าจากญี่ปุ่น จักรพรรดิญี่ปุ่นกับปลานิล ในโลกนี้ ประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์มีน้อยลง และในบรรดาประเทศเหล่านั้น ปัจจุบัน ญี่ปุ่นคือประเทศเดียวในโลกที่มี จักรพรรดิ, หรือ emperor ในภาษาอังกฤษ, หรือ เท็นโน (天皇;tennō) ในภาษาญี่ปุ่น คำถามที่หลายคนคงรู้สึกค้างคาใจคือ คำว่า กษัตริย์ (ซึ่งภาษาไทยใช้เป็นคำแปลของ monarch และ king [ราชา]) กับ จักรพรรดิ (emperor) ต่างกันอย่างไร คำอธิบายง่ายที่สุดตามรูปศัพท์ภาษาอังกฤษ คือ กษัตริย์ปกครองประเทศ ส่วนจักรพรรดิปกครองจักรวรรดิหรือสหภาพของรัฐต่างๆ ที่รวมกันเป็นอาณาจักรใหญ่ และในจักรวรรดิอาจจะมีประเทศโน้นประเทศนี้ ซึ่งแต่ละประเทศอาจมีกษัตริย์ปกครองอยู่ด้วย ตามนัยนี้ จักรพรรดิ จึงส่อนัยว่า ใหญ่ กว่ากษัตริย์ แต่ในความเป็นจริง อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เช่น อังกฤษก็เคยครองสถานะ จักรวรรดิอังกฤษ แต่ก็ใช้คำว่า King (หรือ Queen) เรื่อยมา ส่วนญี่ปุ่น ตามประวัติศาสตร์อาจเคยเป็นจักรวรรดิในบางช่วง และไม่ใช่ในบางช่วง แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยังคงใช้คำว่า จักรพรรดิ มาตลอด ดังนั้น ทุกวันนี้ คำว่า จักรพรรดิ ของญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ ใหญ่ หรือ เล็ก กว่ากษัตริย์ของที่ไหน เป็นแค่การ แล้วแต่จะเลือกใช้คำ และเป็นวาทกรรมที่ตกทอดมาจากประวัติศาสตร์ โดยสื่อถึงสถาบันกษัตริย์ทั่ว ๆ ไปเช่นเดียวกับประเทศอื่นในโลก
|