"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2559
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
2829 
 
8 กุมภาพันธ์ 2559
 
All Blogs
 
มุมลึกของการศึกษาญี่ปุ่น (2) : ‘การสอนคน’ ให้อยู่ร่วมกับคนอื่น

โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์

มุมลึกของการศึกษาญี่ปุ่น (2) : ‘การสอนคน’ ให้อยู่ร่วมกับคนอื่น
ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
       Tokyo University of Foreign Studies



 ในฐานะคนด้านการศึกษาคนหนึ่ง ผมคิดว่า ‘การสอนคน’ กับ ‘การสอนหนังสือ’ นั้นต่างกัน

       การสอนคน คือ การสอนให้ผู้รับ ‘เป็นคนเต็มคน’ ทางความคิดและการปฏิบัติตนเพื่อให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม โดยมีคุณธรรมกำกับขณะที่เติบโตขึ้นและหาเลี้ยงชีพได้อย่างเป็นปกติสุขที่สุดตามอัตภาพ

ในลักษณะที่ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นในสภาพรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรืออย่างจงใจ รวมทั้งจะต้องมีส่วนช่วยธำรงสังคมให้ยืนหยัดต่อไปทั้งทางตรงและทางอ้อม

       ส่วนการสอนหนังสือ คือ การถ่ายทอดรหัสความรู้อันเป็นภาษากลางของคนในสังคมเพื่อสื่อและรับสารจากคนรอบตัวและสิ่งแวดล้อมให้เข้าใจตรงกัน หรือพูดง่ายๆ

ในระดับพื้นฐานที่สุดคือการสอนให้อ่านออกเขียนได้ บวกลบคูณหารเป็น และต่อไปคือการประยุกต์ความรู้ เพื่ออาชีพการงานอย่างเหมาะสม หรือถ้าในระดับสูงขึ้นไปก็คือการสอนในระดับปริญญาตรี โท เอก

       ‘การสอนคน’ ผ่านระบบโรงเรียนมักจะหยุดอยู่ในช่วงประถมวัย หรือเกินจากนั้นไม่เท่าไร ยิ่งในระดับมหาวิทยาลัยด้วยแล้ว อาจารย์แทบจะไม่สอนคน สอนแต่หนังสือ เมื่อผลผลิตที่ไม่ดีออกไปสู่สังคม

สังคมจึงว่าว่าการศึกษาล้มเหลวเพราะไม่สามารถสอนคนให้มีจิตสำนึกที่ดีได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือสอนคนให้เป็นคนจริงๆ ไม่ได้

       ด้วยสภาพทั่วไปของการศึกษาและธรรมชาติของคน ผมคิดว่าการสอนคนจะได้ประสิทธิผลที่สุดเมื่อผู้รับอยู่ในวัยเด็ก จริงๆ แล้วจะเรียกว่าสอนก็ยังอาจจะเบาไป ต้องเรียกว่าปลูกฝัง

ซึ่งครอบครัวและโรงเรียนต้องช่วยกันทุกทางตั้งแต่ผู้รับยังอยู่ในช่วงประถมวัย เพราะเมื่อโตขึ้นเรื่อยๆ จะเริ่มเกิดการแข่งขันทางการศึกษามากขึ้น และหน้าที่สอนคนของครูอาจารย์

ก็จะผันไปเป็น ‘การสอนหนังสือ’ ตามสภาพสังคมที่บีบคั้น หรือบางทีครูอาจารย์อาจจะคิดว่า ‘โตแล้วไม่ต้องสอน’ หรือไม่ก็ ‘โตแล้วสอนยาก’ หรือไม่ก็ปัดไปเลยว่า ‘พ่อแม่สอนมาไม่ดี นี่ไม่ใช่หน้าที่ของครู’ หรืออะไรก็แล้วแต่


มุมลึกของการศึกษาญี่ปุ่น (2) : ‘การสอนคน’ ให้อยู่ร่วมกับคนอื่น

คุณสมบัติข้อหนึ่งของทรัพยากรมนุษย์ที่ดีตามที่ผมสังเกตได้จากการศึกษาของญี่ปุ่นคือ การไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นและกลุ่มที่ตนสังกัดอยู่ แนวคิดและแนวปฏิบัตินี้เริ่มถ่ายทอดกันตั้งแต่วัยเด็ก

การศึกษาประถมวัยเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งสำหรับการ ‘ปลูก’ และ ‘ฝัง’ ความเป็นมนุษย์ที่ดีให้หยั่งรากลึก และสิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้คือแง่มุมหนึ่งของวัฒนธรรมกลุ่มกับความคิดเรื่องการไม่ก่อความเดือดร้อนต่อกลุ่มดังที่ผมสังเกตมา

ระบบการศึกษาของญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ว่าปลอดจากปัญหาไปเสียทั้งหมด แต่โดยรวมแล้วผมคิดว่ารากฐานการศึกษาของญี่ปุ่น แข็งแกร่งกว่าของไทย โดยเฉพาะเรื่องการพยายามสอนคนให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น คนในสังคมญี่ปุ่นจึงมีคุณภาพสูง

       ข้อสังเกตเกี่ยวกับการศึกษาของญี่ปุ่นในช่วงประถมวัย คือ ญี่ปุ่นสร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เด็ก ได้เรียนรู้การปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตกับผู้คนเป็นหมู่คณะ การสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล จนจบชั้นประถมของญี่ปุ่น

มีลักษณะเป็นการสอนคน กล่าวคือสอนให้เด็กรู้จักวางตัวเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นมากกว่าการเน้นความดีเลิศทางวิชาการ ดังที่ได้กล่าวนำไปเมื่อครั้งก่อนว่าการศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นรวมเวลา 9 ปี ตั้งแต่ ป.1 จนจบ ม.3

จะเห็นได้ว่าระดับอนุบาลไม่ได้รวมอยู่ในการศึกษาภาคบังคับและสถานที่ด้านนี้ไม่มีคำว่า “โรงเรียน” ประกอบตามที่ภาษาไทยเรียกว่า “โรงเรียนอนุบาล” แต่เรียกว่า “โยชิเอ็ง” (幼稚園; yōchien)

ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า “สวนเด็ก” ถึงแม้ว่าโดยเนื้อหาแล้วสิ่งที่โยชิเอ็งถ่ายทอดก็เป็นการศึกษารูปแบบหนึ่งนั่นเอง สิ่งที่โยชิเอ็งของญี่ปุ่นให้เด็ก ‘เรียนรู้’ ไม่ใช่ ‘การเรียนหนังสือ’ แต่ให้ ‘เล่น’ ทั้งวัน หมายความว่าให้เด็กได้รู้ผ่านการเล่นและการใช้ชีวิตร่วมกับเด็กอื่น


มุมลึกของการศึกษาญี่ปุ่น (2) : ‘การสอนคน’ ให้อยู่ร่วมกับคนอื่น

สิ่งที่โยชิเอ็งให้ทำเป็นประจำซ้ำๆ ทุกวัน เช่น สอนให้เอ่ยคำทักทายเสียงดังฟังชัดกับทุกคน ให้เด็กร่วมกันร้องเพลง แบ่งกลุ่มให้เด็กช่วยกันเลี้ยงกระต่าย เลี้ยงเต่า ให้เด็กเล่นเกม สอนให้เด็กเข้าแถว

สอนให้เด็กพูดขอบคุณทุกครั้งเมื่อมีใครทำอะไรให้ สอนให้เด็กพูดขอโทษทุกครั้งเมื่อทำสิ่งใดพลาดแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย ส่งเสริมให้เด็กวิ่งเล่นออกกำลังกาย อ่านหนังสือภาพให้เด็กฟัง อบรมให้เด็กเข้านอนเร็วและตื่นแต่เช้า เมื่อจะเล่นสิ่งใดก็ให้เด็กช่วยกันขนอุปกรณ์ออกมา

และเมื่อเล่นเสร็จก็จะให้ช่วยกันเก็บ ชีวิตที่โยชิเอ็งจะเป็นอย่างนี้ซ้ำๆ กันทุกวัน หรือสิ่งที่ให้ทำเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสมคือ ให้เด็กซ้อมหลบภัยแผ่นดินไหวด้วยการมุดเข้าไปใต้โต๊ะ จากนั้นก็ให้เข้าแถวเดินอย่างสงบออกไปนอกอาคารแม้อยู่ในภาวะฉุกเฉิน

       เมื่อเด็กเล่นกันทั้งวัน ย่อมเกิดการกระทบกระทั่งและทะเลาะกันบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการแย่งของเล่นหรือการเล่นกันแรงๆ นั่นคือจุดที่ครูจะทำหน้าที่ ‘สอนคน’ อย่างใกล้ชิด โดยเรียกมาอบรมเป็นรายคนหรือรายกรณี

เมื่อเด็กทำดีก็จะชม และหลักอย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่นคือ เมื่อจะชมก็มักจะชมต่อหน้าผู้อื่น แต่เมื่อจะดุก็จะดุโดยไม่ให้ผู้อื่นเห็นเพื่อไม่ให้ผู้ถูกดุเสียหน้า ช่วงเวลาแต่ละวันที่โยชิเอ็งก็จะสั้นๆ

เริ่มตั้งแต่ประมาณ 8 โมงกว่าถึงแค่ประมาณบ่าย 2 ก็กลับบ้าน ในระดับนี้จะมีการสอนให้นับเลขด้วยปากเปล่า การสอนอ่านเขียนก็อาจมีบ้างแต่น้อย สรุปคือ เน้นการสื่อสารและการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น มากกว่าการอ่านออกเขียนได้


มุมลึกของการศึกษาญี่ปุ่น (2) : ‘การสอนคน’ ให้อยู่ร่วมกับคนอื่น

การสอนหนังสือจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อเด็กขึ้น ป.1 ซึ่งก็ดำเนินควบคู่กันไปกับการสอนเด็กให้รู้จักปรับตัวเข้ากับคนหมู่มากอีกเช่นเคย เด็กจะเริ่มหัดเขียนหัดอ่าน บางคนอาจเขียนอ่านได้บ้างแล้วเพราะครอบครัวสอนล่วงหน้าให้

แต่ส่วนใหญ่ก็มาเริ่มกันอีกทีที่ ป.1 โดยเริ่มจากการเขียนตัวอักษรฮิระงะนะ คะตะกะนะ และคันจิ (รายละเอียดเกี่ยวกับตัวอักษรและภาษาญี่ปุ่น ผมจะกล่าวโดยละเอียดในโอกาสต่อๆ ไป)

ลักษณะการเรียนการสอนในระดับประถม จะเปลี่ยนจากการวิ่งเล่นมาเป็นการนั่งเรียนที่โต๊ะมากขึ้นเพราะต้องอ่านเขียน แต่ครูจะไม่กำหนดที่นั่งของเด็กให้ตายตัวทั้งเทอม

ครูประจำชั้นจะเปลี่ยนผังที่นั่งให้เด็กได้ย้ายไปนั่งข้างๆ เพื่อนที่ไม่ค่อยได้คุยกันเป็นระยะๆ จะได้ทำความรู้จักและปรับตัวให้เข้ากับคนใหม่ๆ

       ในระดับนี้เริ่มมีการพาเด็กออกไปศึกษานอกสถานที่มากขึ้น ถ้าเป็นการเดินทางไปสำรวจละแวกชุมชน สิ่งที่ต้องทำแน่นอนอยู่แล้วคือการเข้าแถว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือโรงเรียนญี่ปุ่นบางแห่ง

จะให้เด็กเข้าแถวเป็นแถวคู่และให้เด็กเดินไปเป็นคู่ โดยให้เด็ก 2 คนจับมือกันไว้ ครูจะกำชับว่าจะเดินไปทางไหนก็ต้องไปด้วยกัน อย่าปล่อยมือโดยเฉพาะตอนข้ามถนน

และคอยสังเกตดูด้วยว่าคู่ของตัวเองเป็นปกติดีหรือไม่ แม้เริ่มมีการสอนหนังสือมากขึ้น แต่ช่วงเวลาเล่นของเด็กญี่ปุ่นก็ยังมากอยู่ สังเกตได้จากจำนวนช่วงพักในแต่ละวัน โรงเรียนประถมของญี่ปุ่นมีช่วงพักถี่

คือทุกครั้งที่เปลี่ยนวิชาจะมีช่วงพักสั้น มีพักกลางวันตามปกติ และมีพักใหญ่หน่อยช่วงบ่ายซึ่งบางโรงเรียนให้เวลา 10-15 นาที เด็กๆ ก็จะได้ออกไปวิ่งเล่นกันกลางสนาม


มุมลึกของการศึกษาญี่ปุ่น (2) : ‘การสอนคน’ ให้อยู่ร่วมกับคนอื่น

อาชีพครูในโรงเรียนประถมของญี่ปุ่นเป็นอาชีพที่งานยุ่ง เพราะจะต้องติดตามความประพฤติของเด็กอย่างใกล้ชิด และเขียนรายงานให้ผู้ปกครองทราบอย่างละเอียด เมื่อถึงเวลาก็จะนัดผู้ปกครองมาที่โรงเรียนเป็นรายคน

เพื่อรายงานให้ทราบความประพฤติของเด็กว่า ตอนอยู่ที่โรงเรียนเป็นอย่างไร การเชิญผู้ปกครองมาพบไม่ใช่เรื่องผิดปกติในวงการศึกษาของญี่ปุ่นแต่อย่างใด ไม่เหมือนของไทย ถ้าผู้ปกครองถูกเชิญเมื่อไรส่วนใหญ่หมายความว่า

เด็กมีปัญหา แต่ของญี่ปุ่นการเชิญมาพบคือการสื่อสารให้เข้าใจตรงกันระหว่างทางบ้านกับทางโรงเรียน เพราะเด็กหลายคนมีความประพฤติต่างกันระหว่างตอนอยู่บ้านซึ่งเป็นสังคมเล็ก

กับตอนอยู่ที่โรงเรียนซึ่งเป็นหมู่คณะที่ใหญ่กว่า ส่วนใหญ่แล้ว ครูจะรายงานพฤติกรรมของเด็กเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นและสอบถามผู้ปกครองว่าตอนอยู่บ้านเด็กเป็นอย่างไร กรณีที่ผมเคยมีส่วนรับรู้ด้วย

ช่น เด็กคนหนึ่ง ‘รักสะอาดผิดปกติ’ คือเห็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็จ้องจะทำความสะอาดอยู่ตลอด เพื่อนๆ นั่งอยู่ตรงไหนก็จ้องแต่จะเข้าไปเช็ดตรงนั้น หรืออีกกรณีหนึ่งคือ เด็กคนหนึ่งไม่มีความอดทนต่ออะไรทั้งสิ้น

ครูบอกให้รอเล่นเกมตามลำดับ ก็จะชิงแทรกเข้ามาก่อน บอกให้เข้าแถว ก็จะรีบชิงตัดหน้า สิ่งเหล่านี้ครูจะบันทึกไว้หมดและจะเชิญผู้ปกครองมารับฟังรายงานเพื่อให้ช่วยกันปรับความประพฤติของเด็ก

เช่นกรณีที่ยกมานี้ก็จะช่วยกันสอนให้เด็กรู้จักตัดสินว่า สิ่งไหนควรทำเมื่อไร และควรฝึกความอดทนไว้เพราะคนอื่นๆ ยังรอได้ เราก็ต้องรอได้เช่นกัน ถ้าทำอะไรตามใจตัว ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น และให้ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นต้น

       วัฒนธรรมกลุ่มของญี่ปุ่นได้รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่เด็ก และในการอยู่ร่วมกันย่อมต้องมีความกลมกลืนกันเพื่อไม่ให้กลุ่มแตก แนวคิดหนึ่งที่ผมเห็นว่าโรงเรียนญี่ปุ่นและวัฒนธรรมญี่ปุ่นต่างก็สอนให้ตระหนักไว้คือ

การไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นเมื่ออยู่ร่วมกัน คำว่า “ความเดือดร้อน” ภาษาญี่ปุ่นพูดว่า “เมวะกุ” (迷惑;mēwaku) พอคนมาอยู่รวมกันมากๆ เข้าและแต่ละคนก็มีเงื่อนไขประจำตัวแตกต่างกันไป สิ่งที่ทำได้ที่บ้าน เมื่อทำขณะอยู่กับผู้อื่นก็อาจจะกลายเป็นเมวะกุได้

       “ความเดือดร้อน” ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายกว้าง กินความทั้งเรื่องทางกายและทางใจ และหมายรวมถึงเรื่องที่ตัวเองก่อและเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อแต่คนในครอบครัวก่อด้วย ในสังคมญี่ปุ่นมีสำนวนที่ได้ยินบ่อยๆ

ว่า “โกะ-เมวะกุ โอะ โอะ-คะเกะชิเตะ โมชิวะเกะ โกะซะอิมะเซ็ง” (ご迷惑をおかけして申し訳ございません; Go-mēwaku o o-kakeshite mōshiwake gozaimasen)

ซึ่งเป็นสำนวนขอโทษที่สุภาพมากสำหรับเรื่องหนักหนา ที่ทำพลาดไปและก่อความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แปลว่า “ขออภัย (ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ) ที่ได้ก่อความเดือดร้อน (แก่คุณ)”

       เรื่อง “เมวะกุ” คือจุดที่คนญี่ปุ่นใส่ใจระวังทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ การแซงคิวก็ถือว่าเป็นเมวะกุ, การนัดเพื่อนแล้วไปผิดเวลาก็ถือว่าเป็นเมวะกุ, การยกเลิกนัดกะทันหันก็ถือว่าเป็นเมวะกุ

หรือยกตัวอย่างกรณีจริง เช่น ครั้งหนึ่งคนญี่ปุ่น 3 คนไปเล่นสกีแล้วหายตัวไป กลายเป็นข่าวทั่วประเทศ สร้างความกังวลแก่ผู้คนเป็นวงกว้าง ต่อมาปรากฏว่าหายตัวไปเพราะหลุดออกนอกเส้นทางการเล่น

แต่โชคดีที่กลับมาได้โดยปลอดภัย เหตุการณ์แบบนี้ก็เป็นการก่อเมวะกุแก่คนทั้งประเทศ คนญี่ปุ่นกลุ่มนี้ก็ออกมาขอโทษ หรือกรณีนักการเมืองญี่ปุ่นที่มีข่าวอื้อฉาว

ก็มักจะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบและขออภัยที่ก่อเมวะกุแก่คนทั้งประเทศ ส่วนของไทย ถ้าเราสอนดีๆ ให้ได้ดุลระหว่าง ‘การสอนคน’ กับ ‘การสอนหนังสือ’ โดยทำจริงจังขณะที่ผู้รับยังเป็นเด็กแบบที่ญี่ปุ่นทำ

กรณีปัดความรับผิดชอบก็คงจะน้อยลงหรืออาจจะไม่มี และกรณีหนีทุนก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เพราะนั่นเป็นเมวะกุแก่คนทั้งประเทศอย่างเห็นได้ชัด


มุมลึกของการศึกษาญี่ปุ่น (2) : ‘การสอนคน’ ให้อยู่ร่วมกับคนอื่น


ขอบคุณ MGR Online  

ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ 

จันทรวารสิริสวัสดิ์ค่ะ    





Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2559 13:11:49 น. 0 comments
Counter : 887 Pageviews.

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.